3 กันยายน 2552 08:34 น.

เทพประจำเทศกาลสารทจีน

ลุงเอง

เทพประจำเทศกาลสารทจีน

เทพจงหยวน เทพประจำเทศกาลสารทจีน

        เทพจงหยวนเป็นเทพประจำเทศกาลสารทจีน ชื่อเต็มว่า "จงหยวนต้าตี้-อธิบดีแห่งคืนเพ็ญกลาง" หรือ "ตี้กวนต้าตี้-ธรณิศมหาเสนาธิบดี" เรียกสั้นๆ ว่า "ตี้กวน-ธรณิศเสนา" มีหน้าที่ควบคุมดูแลเทพแห่งมหาบรรพตทั้งห้า (ของจีน) ภูเขาและแม่น้ำ เจ้าที่ประจำเมืองทุกเมือง เทพในเมืองที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ตรวจดูโชคเคราะห์ของสรรพสัตว์ ตรวจบัญชีความดีความชั่วของมนุษย์ และหน้าที่สำคัญคือให้อภัยโทษแก่ผู้รู้ผิดกระทำพลีบูชาท่าน วัน15 ค่ำ เดือน 7ท่านจะลงมาตรวจบัญชีชั่วดีของมนุษย์แล้วประทานอภัยให้

        นอกจากนี้ท่านยังต้องมาเป็นประธานดูแลการไหว้ผีไม่มีญาติ ซึ่งคนเป็นผู้ไหว้ โดยท่านจะไปเจรจากับ "ลี่" ราชาของผีพวกนี้ ให้ช่วยคุมดูแลบริวารไม่ให้ทำร้ายมนุษย์ ฉะนั้นผู้คนจึงกินเจ ทำพิธีเซ่นสรวงบูชาท่าน เซ่นไหว้บรรพชน เพื่อให้ท่านอภัยโทษให้ทั้งแก่ตนเองและวิญญาณบรรพชน ปัจจุบันในไต้หวันนิยมไหว้ท่านตั้งแต่ยามแรกของวัน 15 ค่ำ จีนแบ่งวันคืนออกเป็น 12 ยาม ยามละ 2 ชั่วโมง ยามแรกคือช่วง 5 ทุ่มถึงตี1 (23.00-01.00 น.) ยามแรกของวัน15 ค่ำ ก็คือช่วง23.00-01.00 น. ของคืนวัน14 ค่ำ เพราะจีนเริ่มวันใหม่ตอน 5 ทุ่ม ถ้าไม่ไหว้ตอน 5 ทุ่ม ก็มาไหว้ตอนเที่ยงวันของวัน 15 ค่ำ หลังจากไหว้บรรพบุรุษไปแล้ว ในจีนแต่ละถิ่นเวลาไหว้ต่างกัน บางถิ่นก็ไม่ได้ไหว้แล้ว ส่วนในไทยไม่ปรากฏมีพิธีไหว้เทพจงหยวนโดยเฉพาะ ประเพณีนิยมการไหว้ในวันเทศกาลจีนของไทยจะไหว้เจ้าและเทวดาทั้งหมดตอนเช้า อนึ่งคนจีนในไทยนับถือ "ตี่จู๋เอี๊ย" คือ "เจ้าที่" มาก มีศาลเล็กๆ ตั้งอยู่ในบ้านแทบทุกบ้าน ตี่จู๋เอี๊ยอยู่ใต้บังคับบัญชาของตี้กวน (ธรณิศเสนา) หรือเทพจงหยวน จึงถือได้ว่าเป็นตัวแทนของท่านประจำอยู่ทุกบ้าน การไหว้ตี่จู๋เอี๊ยจึงพออนุโลมแทนการไหว้เทพจงหยวนได้				
3 กันยายน 2552 08:25 น.

เทศกาลสาร์ทจีน

ลุงเอง

เทศกาลสาร์ทจีน

วันสารทจีน ตามปฏิทินทางจันทรคติ เทศกาลสารทจีนจะตรงกับวันที่ 15 เดือน 7[1] ตามปฏิทินจีน เทศกาลสารทจีนถือเป็นวันสำคัญที่ลูกหลานชาวจีนจะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ โดยพิธีเซ่นไหว้ และยังถือเป็นเดือนที่ประตูนรกเปิดให้วิญญาณทั้งหลายมารับกุศลผลบุญได้

ตำนาน

ตำนานที่ 1

ตำนานนี้กล่าวไว้ว่าวันสารทจีนเป็นวันที่เซ็งฮีไต๋ตี๋ (ยมบาล) จะตรวจดูบัญชีวิญญาณคนตาย ส่งวิญญาณดีขึ้นสวรรค์และส่งวิญญาณร้ายลงนรก ชาวจีนทั้งหลายรู้สึกสงสารวิญญาณร้ายจึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ดังนั้นเพื่อให้วิญญาณร้ายออกมารับกุศลผลบุญนี้จึงต้องมีการเปิดประตูนรก นั่นเอง


ตำนานที่ 2

มีชายหนุ่มผู้หนึ่งมีนามว่า “มู่เหลียน” (พระโมคัลลานะ) เป็นคนเคร่งครัดในพุทธศาสนามาก ผิดกับมารดาที่เป็นคนใจบาปหยาบช้าไม่เคยเชื่อเรื่องนรก-สวรรค์มีจริง ปีหนึ่งในช่วงเทศกาลกินเจนาง เกิดความหมั่นไส้คนที่นุ่งขาวห่มขาวถือศีลกินเจ นางจึงให้มู่เหลียนไปเชิญผู้ถือศีลกินเจเหล่านั้นมากินอาหารที่บ้านโดยนางจะ ทำอาหารเลี้ยงหนึ่งมื้อ

ผู้ถือศีลกินเจต่างพลอยยินดีที่ทราบข่าวว่ามารดาของมู่เหลียนเกิดศรัทธา ในบุญกุศลครั้งนี้ จึงพากันมากินอาหารที่บ้านของมู่เหลียนแต่หาทราบไม่ว่าในน้ำแกงเจนั้นมี น้ำมันหมูเจือปนอยู่ด้วย การกระทำของมารดามู่เหลียนนั้นถือว่าเป็นกรรมหนัก เมื่อตายไปจึงตกนรกอเวจีมหานรกขุมที่ 8 เป็นนรกขุมลึกที่สุดได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส

เมื่อมู่เหลียนคิดถึงมารดาก็ได้ถอดกายทิพย์ลงไปในนรกภูมิ จึงได้รู้ว่ามารดาของตนกำลังอดอยากจึงป้อนอาหารแก่มารดา แต่ได้ถูกบรรดาภูตผีที่อดอยากรุมแย่งไปกินหมดและเม็ดข้าวสุกที่ป้อนนั้นกลับ เป็นไฟเผาไหม้ริมฝีปากของมารดาจนพอง แต่ด้วยความกตัญญูและสงสารมารดาที่ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างสาหัสมู่เหลียน ได้เข้าไปขอพญาเหงี่ยมล่ออ๊อง (ยมบาล) ว่าตนของรับโทษแทนมารดา

แต่ก่อนที่มู่เหลียนจะถูกลงโทษด้วยการนำร่างลงไปต้มในกระทะทองแดง พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงมาโปรดไว้ได้ทัน โดยกล่าวว่ากรรมใดใครก่อก็ย่อมจะเป็นกรรมของผู้นั้นและพระพุทธเจ้าได้มอบ คัมภีร์อิ๋ว หลันเผิน ให้มู่เหลียนท่องเพื่อเรียกเซียนทุกทิศทุกทางมาช่วยผู้มีพระคุณให้หลุดพ้น จากการอดอยากและทุกข์ทรมานต่างๆ ได้ โดยที่มู่เหลียนจะต้องสวดคัมภีร์อิ๋ว หลันเผินและถวายอาหารทุกปีในเดือนที่ประตูนรกเปิดจึงจะสามารถช่วยมารดาของ เขาให้พ้นโทษได้

นับแต่นั้นเป็นต้นมา ชาวจีนจึงได้ถือเป็นประเพณีปฏิบัติสืบต่อมากันโดยตลอดด้วยการเซ่นไหว้ โดยจะนำอาหารทั้งคาวหวาน และกระดาษเงินกระดาษทองไป วางไว้ที่หน้าบ้านหรือตามทางแยกที่ไม่ไกลนัก มีนัยว่าเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของบรรดาวิญญาณเร่ร่อนที่กำลังจะผ่านมา ใกล้ที่พักของตน

จำนวนชุดที่ไหว้

การไหว้ในเทศกาลสารทจีนแบ่งออกเป็น 3 ชุด ดังนี้

[แก้] 1. ชุดสำหรับไหว้เจ้าที่

จะไหว้ในตอนเช้า มีอาหารคาวหวาน ขนมที่ไหว้ก็ขนมถ้วยฟู กุยช่าย ส่วนขนมไหว้พิเศษที่ต้องมีซึ่งเป็นประเพณีของสารทจีนคือขนมเทียน ขนมเข่ง ซึ่งต้องแต้มจุดสีแดงไว้ตรงกลาง เนื่องจากชาวจีนมีความเชื่อที่ว่าสีแดงเป็นสีแห่งความเป็นศิริมงคล นอกจากนั้นก็มีผลไม้ น้ำชา หรือเหล้าจีน และกระดาษเงินกระดาษทอง

[แก้] 2. ชุดสำหรับไหว้บรรพบุรุษ

คล้ายของไหว้เจ้าที่พร้อมด้วยกับข้าวที่บรรพบุรุษชอบ ตามธรรมเนียมต้องมีน้ำแกงหรือขนมน้ำใสๆ วางข้างชามข้าวสวย และน้ำชาจัดชุดตามจำนวนของบรรพบุรุษ ขาดไม่ได้ก็คือขนมเทียน ขนมเข่ง ผลไม้และกระดาษเงินกระดาษทอง

[แก้] 3. ชุดสำหรับไหว้วิญญาณเร่ร่อนหรือวิญญาณไม่มีญาติ

วิญญาณเร่ร่อนหรือวิญญาณไม่มีญาติ เรียกว่า ไป๊ฮ๊อเฮียตี๋ แปลว่า ไหว้พี่น้องที่ดี เป็นการสะท้อนความสุภาพและให้เกียรติของคนจีน เรียกผีไม่มีญาติว่าพี่น้องที่ดีของเรา โดยการไหว้จะไหว้นอกบ้านของไหว้จะมีทั้งของคาวหวานและผลไม้ตามต้องการและที่ พิเศษคือมีข้าวหอมแบบจีนโบราณ คอปึ่ง เผือกนึ่งผ่าซีกเป็นเสี้ยวใส่ถาด เส้นหมี่ห่อใหญ่ เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทองจัดทุกอย่างวางอยู่ด้วยกันสำหรับเซ่นไหว้

[แก้] ขนมที่ใช้ไหว้

ในสมัยโบราณชาวจีนใช้ขนมไหว้ 5 อย่าง เรียกว่า โหงวเปี้ย หรือเรียกชื่อเป็นชุดว่า ปัง เปี้ย หมี่ มั่ว กี

    * ปัง คือขนมทึงปัง เป็นขนมที่ทำมาจากน้ำตาล

    * เปี้ย คือขนมหนึงเปี้ย คล้ายขนมไข่

    * หมี่ คือขนมหมี่เท้า ทำมาจากแป้งข้าวเจ้าข้างในไส้เต้าซา

    * มั่ว คือขนมทึกกี่ เป็นขนมข้าวพองสีแดงตรงกลางมีไส้เป็นแผ่นบาง

    * กี คือขนมทึงกี ทำเป็นชิ้นใหญ่ยาวเวลาจะกินต้องตัดเป็นชิ้นเล็กๆ

แต่ชาวไทยเชื้อสายจีนใช้ขนมเทียน ขนมเข่งในการไหว้ โดยหลักของที่ไหว้ก็จะมีของคาว 3 หรือ 5 อย่าง เช่น ไก่ หมู เป็ด ไข่ หมึก ปลา เป็นต้น ของหวาน 3 หรือ 5 อย่าง เช่น ขนมเทียน ขนมมัดไต้ ขนมถ้วยฟู หรือขนมสาลี่ปุยฝ้าย ขนมเปี๊ยะ ส้ม หรือผลไม้ตามใจชอบ

แง่คิด

ประเพณีสารทจีนนอกจากจะเป็นประเพณีที่ลูกหลานจะแสดงความกตัญญูต่อ บรรพบุรุษซึ่งล่วงลับไปแล้ว ยังเป็นประเพณีที่มีกุศโลบายในการสนับสนุนให้ทุกคนในครอบครัวทำกิจกรรมร่วม กันอย่างพร้อมหน้าและมีความสุข

[แก้] อ้างอิง

    * บทความโดย วัชนี พุ่มโมรี กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม				
2 กันยายน 2552 11:11 น.

ภูเขาไฟใกล้ไทยรอวันปะทุ

ลุงเอง

ภูเขาไฟใกล้ไทยรอวันปะทุ


ภูเขาไฟ (Volcano) คือภูเขาที่เกิดขึ้นโดยการปะทุของหินหนืดร้อน แรงดันสูงภายใต้เปลือกโลก ปรากฏตัวเป็นลักษณะเด่นอย่างหนึ่งทางภูมิศาสตร์ มีหลายชนิดแบ่งตามสภาพของความรุนแรงในการปะทุ

การเกิดภูเขาไฟตาม ทฤษฎีพลูม (Plume Theory) โดยเจสัน มอร์แกน (Jason Morgan) กล่าวว่า การเกิดภูเขาไฟระเบิดเกิดจากจุดศูนย์รวมความร้อน (Hot Spot) หรือ "พลูม" (Plume) เกิดการถ่ายเทพลังงานของมวลที่แข็งและร้อนในชั้นของเปลือกโลกแมนเทิล (Mantle) ซึ่งเป็นชั้นหินหลอมเหลวใต้เปลือกโลก

ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำ ให้เกิดภูเขาไฟและภูเขาไฟระเบิด ตัวอย่างที่สนับสนุนทฤษฎีนี้ ได้แก่ การแทรกตัวของมวลหินร้อนที่โผล่พ้นระดับน้ำทะเล กลายเป็นหมู่เกาะฮาวาย

การ ระเบิดของภูเขาไฟนอกจากจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินแล้ว ยังเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติอื่นๆ เช่น คลื่นสึนามิ (Tsunamis) หรือเถ้าภูเขาไฟตกทับถมอยู่ใกล้ภูเขาไฟ ทำให้เมื่อมีฝนตกหนัก อาจเกิดน้ำท่วมและโคลนถล่มตามมา เช่น กรณีภูเขาไฟพินาตูโบ ที่ฟิลิปปินส์ระเบิด เป็นต้น

บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
ในประเทศไทย พบว่าภูเขาไฟส่วนใหญ่มักเกิดบริเวณภาคเหนือ กระจายตัวและตำแหน่งที่ไม่แน่นอน สันนิษฐานว่าเป็นภูเขาไฟเมื่อประมาณ 2-4 ล้านปีที่แล้ว จากรายงานทางธรณีวิทยาและแผนที่ทางธรณีวิทยา พบบริเวณที่เป็นหินภูเขาไฟ หรือหินบะซอลต์อยู่ 5 บริเวณ ได้แก่

บริเวณที่ 1 ทางภาคเหนือ ได้แก่ อำเภอแม่ทา อำเภอสบปราบ และอำเภอเมืองลำปาง ทางด้านทิศตะวันตกของจังหวัดแพร่ น่าน อุตรดิตถ์ ตาก และสุโขทัย เป็นหินบะซอลต์ ไรโอไลต์ แอนดีไซต์ และแอกโกเมอเรต (ศิลาแลง)

บริเวณที่ 2 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณเขากระโดง เขาพนมรุ้ง และภูอังคาร จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ และทางทิศใต้ของจังหวัดศรีสะเกษ

บริเวณที่ 3 ที่ราบสูงภาคกลาง พบที่จังหวัดสระบุรี โคกสำโรง หล่มเก่า ท่าลี่ และทางด้านทิศตะวันตกของภูกระดึง จังหวัดเลย อำเภอเดิมบางนางบวช อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี

บริเวณที่ 4 ภาคตะวันตก พบที่อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี

บริเวณที่ 5 ภาคตะวันออก พบที่บ้านบ่อไร่ จังหวัดตราด บ้านบ่อพลอย จังหวัดจันทบุรี

ภูเขาไฟที่พบในประเทศไทยทั้งหมดเป็นภูเขาไฟที่สิ้นพลังแล้วทั้งสิ้น อายุอย่างน้อยที่สุดประมาณ 7 แสนปี

ส่วนใหญ่มีสัณฐานแบบรูปโล่ (Shield Volcanoes) คือสัณฐานไม่สูงมากนักมีความลาดเอียงไม่เกิน 10 องศา ส่วนความเอียงที่ฐานไม่เกิน 2 องศา

และมีแร่รัตนชาติอยู่มาก เช่น ทับทิม บุษราคัม และเขียวส่อง เป็นต้น

ส่วนภูเขาโคลนที่พบในทะเลอันดามัน มีโอกาสน้อยมากที่จะเป็นภูเขาไฟ

แต่ยังต้องรอการพิสูจน์ที่ชัดเจนต่อไป
วรวุฒิ ตันติวนิช" ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ปรึกษาทางการบริหารจัดการทรัพยากรธรณี กรมทรัพยากรธรณี ซึ่งระบุว่าภูเขาไฟลูกนี้เคยระเบิดมาแล้วเมื่อครั้งอดีต แต่เป็นภูเขาไฟขนาดเล็กไม่ค่อยมีความสำคัญในสายตาของนักวิทยาศาสตร์โลก แต่บังเอิญว่าเป็นภูเขาไฟที่อยู่ใกล้ประเทศไทย

วรวุฒิอธิบายว่า ภูเขาไฟบนเกาะบาร์เรนตั้งอยู่กลางทะเลอันดามัน อยู่ห่างจากหมู่เกาะนิโคบาร์ ประเทศอินโดนีเซีย ไปทางทิศตะวันออก มีประวัติการปะทุและระเบิดของภูเขาไฟลูกนี้เป็นระยะๆ แต่ไม่รุนแรง ล่าสุดปี 2538 มีรายงานการปะทุและมีรายงานการพ่นลาวาออกมา

อย่างไรก็ตามวรวุฒิ บอกว่า บนเกาะบาร์เรนไม่มีคนอยู่อาศัย จึงไม่ค่อยมีข้อมูลเกี่ยวกับการระเบิดมากเท่าไรนัก แต่ภูเขาไฟลูกนี้ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการอำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กังวลว่าหากเกิดการระเบิดอาจจะเกิดสึนามิ ซึ่งประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบจากภูเขาไฟลูกนี้ เพราะอยู่ใกล้ประเทศไทยมากกว่าภูเขาไฟลูกอื่นๆ
อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2550 มีรายงานการปะทุและระเบิดของภูเขาไฟบนเกาะบาร์เรนที่อยู่ห่างจากเกาะ นิโคบาร์ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 135 กิโลเมตร ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านภูเขาไฟระเบิดจากประเทศอินเดีย ลงไปสำรวจร่องรอยการระเบิดครั้งใหม่ในรอบ 10 ปี เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ที่ผ่านมา พบลาวาและหินระเบิดพุ่งออกมาอย่างรุนแรงจากปล่องภูเขาไฟ มีอุณหภูมิตั้งแต่ 900 ถึงมากกว่า 1,200 องศาเซลเซียส พร้อมด้วยฝุ่นหินของลาวาที่ร้อนแรงพุ่งออกมาจากปล่องสูงถึง 100 เมตร นานกว่า 15-30 วินาที หมอกควันที่ระเบิดออกมา มีรูปร่างคล้ายดอกเห็ดใหญ่ๆ ที่มีทิศทางพุ่งไปทางเหนือ

นอกจากนี้วรวุฒิ ยังระบุถึง ภูเขาไฟอีกลูกที่อาจก่อให้เกิดคลื่นสึนามิชายฝั่งอ่าวไทย นั่นคือ ภูเขาไฟที่ตั้งอยู่ตรงบริเวณปลายแหลมญวน หากระเบิดขึ้นมาอาจทำให้เกิดคลื่นสึนามิได้ แต่ตอนนี้ยังสบายใจได้ เพราะภูเขาไฟลูกนี้ยังสงบเงียบอยู่ แต่ขณะเดียวกันภูเขาไฟกรากะตัวที่ยังคุกรุ่นอยู่ด้วย ยังเป็นสิ่งที่น่ากังวล เพราะหากภูเขาไฟลูกนี้ระเบิดอีกครั้งอาจทำให้เกิดสึนามิได้เช่นกัน
ภูเขาหินยักษ์ที่อัดแน่นไปด้วยแมกม่าจากหินหลอมละลายใต้พิภพเกือบ200 แห่งทั่วโลกอาจกำลังถูกปลุกด้วยการขยับตัวของแผ่นเปลือกโลก ฤา...ใกล้ถึงวงรอบการระเบิดของภูเขาไฟครั้งประวัติศาสตร์ที่จะย้อนมากลืน อารยธรรมของมนุษย์อีกครั้ง!


บันทึก...ปฐพีเดือดครั้งสำคัญ ของโลก


- ปี622 ภูเขาไฟวิสุเวียส ประเทศอิตาลี มีผู้เสียชีวิตราว16,000 คน

- ปี1712 ภูเขาไฟเอ็ตนาเกาะซิซิลี ประเทศอิตาลี มีผู้เสียชวิตราว15,000 คน

- ปี2174 ภูเขาไฟวิสุเวียสประเทศอิตาลี มีผู้เสียชีวิตราว 4,000 คน

- ปี2212 ภูเขาไฟเอ็ตนาเกาะซิซิลี ประเทศอิตาลี มีผู้เสียชีวิตราว 20,000 คน

- ปี2315 ภูเขาไฟปาปันดายัง ประเทศอินโดนีเซีย มีผู้เสียชีวิตราว 3,000 คน

- ปี2335 ภูเขาไฟอุนเซ็นดาเกะ ประเทศญี่ปุ่น มีผู้เสีนชีวิตราว10,400 คน

- ปี2358 ภูเขาไฟแทมโบโลประเทศอินโดนีเซีย มีผู้เสียชีวิตราว12,000 คน และยังทำให้ปี2359 ไม่มีฤดูร้อนอีกด้วย

- วันที่26-28 สิงหาคม2426 ภูเขาไฟกรากะตัว ประเทศอินโดนีเซีย มีผู้เสียชีวิตราว 36,000 คน

- วันที่8 เมษาย 2445 ภูเขาไฟซานตามาเรียประเทศกัวเตมาลา มีผู้เสียชีวิตราว 1,000 คน

- วันที่8 พฤษภาคม 2445 ภูเขาไฟปิเล เกาะมาร์ตินีกมีผู้เสียชีวิตราว 10,000 คน

ระวัง วันไหนที่เผลอมันอาจกระชากวิญญาณคุณ
ส่วนข้อมูลละเอียดที่
http://www.dmr.go.th/news_dmr/data/2355.html				
31 สิงหาคม 2552 19:54 น.

วันจันทร์ ที่ 27 กรกฎาคม 2552 ลูกชาย ช้างไทยตัวแรกที่เกิดในออสเตรเลีย

ลุงเอง

วันจันทร์ ที่ 27 กรกฎาคม 2552
ลูกชาย ช้างไทยตัวแรกที่เกิดในออสเตรเลีย 

ขณะที่ชาวไทยกำลังเห่อไม่เลิกกับ แพนด้าน้อย ชาวออสเตรเลียก็กำลังเห่อช้างไทยเชือกแรกที่เกิดในประเทศของเขาเหมือนกัน
ที่ สวนสัตว์ ทารองกา เมื่อเวลาประมาณ 03.30 น.ของวันที่ 4 ก.ค. พังทองดี ช้างไทยที่ถูกส่งตัวมา (อย่างทุลักทุเล ถ้าใครติดตามข่าวคงรู้) ปีกว่าๆ ได้ตกลูกเพศผู้ออกมา 1 ตัว

สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับชาวออสซี่ (แต่คงไม่มากเท่าบ้านเราเห่อหมีแพนด้า) เป็นอย่างมาก ถึงกับมีการประกวดตั้งชื่อ ลูกช้างไทย

ล่าสุด ได้รับการตั้งชื่อว่า ลูกชาย (ฝรั่งจะออกเสียงได้ไหมเนี่ย)เป็นชื่อที่เลือกจากกว่า 3 หมื่นชื่อที่ส่งเข้าประกวด (เลียนแบบไทยเห็นๆ แต่แพ้เพราะเขาไม่ยืดเยื้อเอิกเกริกเท่า)

นำภาพช้างไทยในต่างแดนน่ารักๆมาให้ชม เอาใจคนรักช้างบ้าง

ไม่ได้รังเกียจหมีแพนด้านะครับ อย่างที่บอกว่าเจ้าตัวน้อยไม่ผิดอะไร แต่ผู้เกี่ยวข้องกับสื่อนั่นแหละที่ทำโอเวอร์ไป

จะเกลียดก็เกลียดคนเถอะครับ

ชมคลิปเจ้า ลูกชาย ได้ที่ลิงค์ข้างล่างหรือกดที่รูปเลยครับเลยครับ

http://cool.mthai.com/lookchai

ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.taronga.org.au/taronga-zoo.aspx


.... ลุงแทนขอดีใจกับ "ลูกชาย" ช้างไทย ที่สร้างเกียรติให้กับชาติไทย  และภูมิใจใน "ลูกชาย" ที่คงความเป็น "ไท" ให้ยิ่งใหญ่ดุจบรรพบุรุษ แห่งคชสารชาติไทย				
31 สิงหาคม 2552 19:46 น.

***** รำลึกวีรบุรุษผู้กล้าแห่งค่ายนเรศวร *****

ลุงเอง

***** รำลึกวีรบุรุษผู้กล้าแห่งค่ายนเรศวร ***** 

  ครบรอบ 1 ปีแล้วกับการจากไปของน้องรักคนนี้ ร.ต.อ. ธรณิศ ศรีสุข ผมขอถือโอกาสนี้พาทุกๆ คน หวนกลับไปยังเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เมื่อวันเสาร์ ที่ 29 กันยายน 2550 รวมถึงภาพและคำไว้อาลัยบางส่วน ที่หลายๆ คนคงไม่เคยเห็นหรือรับทราบมาก่อน

    ผมขอเริ่มที่ตัวผมเองก่อนล่ะกันครับ เช้าวันเสาร์ ที่ 29 กันยายน 2550 เวลาประมาณเกือบ 11.00 น. ขณะที่นั่งทำงานอยู่ที่ออฟฟิศ ที่กรุงเทพ ผมได้รับโทรศัพท์จากรุ่นน้องที่เคยเรียนมาด้วยกัน ซึ่งก็แปลกใจอยู่นิดๆ ว่าโทรมาทำไมเวลาทำงาน เพราะปกติพวกเราจะไม่โทรมาคุยกันเรื่องทั่วไปเวลาที่ทำงานกัน การพูดคุยเป็นไปโดยปกติไม่มีพิรุธใดๆ ที่จะทำให้ผมต้องสงสัย แต่แล้วปลายสายถึงได้ถามผมเอง คงจะลองๆ คุยกับผมช่วงแรกๆ เพื่อยั่งผมดูก่อนว่าทราบเรื่องรึยัง น้องมันถามผมขึ้นมาว่า "เฮียรู้เรื่องแคนแล้วหรือยัง" ผมก็งงสิครับเลยถามกลับไปว่าเรื่องอะไรเหรอ น้องก็ตอบกลับมาว่า "แคนเสียแล้วน่ะเฮีย" ผมอึ้งไปเลย แล้วถึงถามความเป็นมาของเรื่องราวต่างๆ พอฟังเสร็จผมก็ถามกลับไปว่า ข่าวชัวร์รึป่าว เช็คข่าวแล้วหรือยัง ซึ่งน้องมันก็ไม่กล้ายืนยัน คุยกันได้สักพักผมเลยขอวางสายก่อนแล้วกัน ขอไปเช็คข่าวก่อน
    หลังจากวางสาย ผมก็เข้าเน็ตเสริช์หาชื่อ ธรณิศ ศรีสุข ในทันที ก็ปรากฏพบข่าวในเวปอยู่ 2-3 ที่ แต่อ่านดูแล้วก็สับสน เพราะรายงานไม่เหมือนกันสักที่ ก็เลยเลิกค้นหา คิดว่าโทรเช็คเอาชัวร์กว่า เลยยกหูโทรศัพท์โทรไปหารุ่นน้องอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นนักเรียนนายร้อยรุ่นเดียวกันกับแคน คือ สามพราน 54 เมื่อได้พูดคุยกันและได้รับคำตอบว่าแคนเสียชีวิตแล้วจริงๆ ทำเอาผมอึ้งไปอีกรอบ


    เช้าวันเสาร์ ที่ 29 กันยายน เวลาประมาณ 8.00 น. บนถนนสายบันนังสตา-เขื่อนบางลาง "ชุดเคลื่อนที่เร็ว" จำนวน 12 นาย ซึ่งเป็นกองกำลังจาก กองร้อยรบพิเศษที่ 1 กองกำกับการสนับสนุนทางอากาศตำรวจตะเวนชายแดน หรือที่รู้จักกันในนาม "พลร่ม ตชด." แห่งค่ายนเรศวร หัวหิน ประจงบคีรีขันธ์ ได้ออกปฏิบัติภารกิจลาดตะเวนในพื้นที่ต้องสงสัย เพื่อรักษาความปลอดภัย หังได้รับเบาะแสว่ากลุ่มโจรใต้วางแผนดักซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่และประชาชนที่ จะใช้เส้นทางดังกล่าว
    เมื่อชุด เคลื่อนที่เร็วทั้ง 12 นาย ไปถึง "เนินนวรัตน์" ซึ่งภูมิประเทศสองข้างทางเป็นเนินสูงปกคบุมไปด้วยป่าทึบ เอื้นอำนวยต่อการวางกำลังรอคอยเป้าหมายที่จะผ่านเข้ามาใน "พื้นที่สังหาร" ที่กำหนดไว้
    ร้อยตำรวจเอกหนุ่มวัยสามสิบ ซึ่งเป็นหัวหน้าชุด เจ้าของร่างกายล่ำสันรู้สึกผิดปกติและสำเนียกได้ถึงความเงียบเชียบที่แตก ต่างจากทุกครั้ง มันเป็นเสมือนสิ่งบอกเหตุว่ามีอะไรบางอย่างที่เป็นอันตรายรอคอยอยู่เบื้อง หน้า
    "ผู้กองแคน" ของลูกน้อง ที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาโดยตลอดจึงสั่งหยุดเคลื่อนที่ เพื่อปฏิบัติตามยุทธวิธีและขั้นตอนของการรบนอกแบบ นั่นคือการใช้ส่วนล่วงหน้าเดินเท้าเข้าตรวจสอบในบริเวณต้องสงสัย
    ด้วยความองอาจและหัวใจแกล้วกล้าของนายตำรวจนักรบ ที่มีจิตวิญญาณความเป็นผู้นำอย่างเต็มเปี่ยม ผู้กอแคนอดีต นักเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานรุ่น 54 จำทำหน้าที่ส่วนล่วงหน้าด้วยตนเองเหมือนเช่นทุกครั้งที่ออกปฏิบัติภารกิจ ซึ่งเขาจะต้องก้าวเท้านำหน้า พลร่ม ตชด. ที่อยู่ในทีมโดยไม่หวั่นไหวพรั่นพรึงต่ออันตรายใดๆ
    ไม่ไกลจากตำแหน่งที่ผู้กองหนุ่มแห่งค่ายนเรศวรกำลังเคลื่อนที่อย่างช้าๆ กลุ่มโจรใต้ไม่ต่ำกว่า 20 คน พร้อมอาวุธกำลังเล็งศูนย์เข้าใส่เป้าหมายของพวกมัน กาลีแผ่นดินเหล่านั้นรู้จักหน้าค่าตาและชื่อเสียงของ "ผู้กองแคน" ในฐานะหัวหน้าชุด ตชด. แห่งฐานปฏิบัติการเขื่อนบางลาง ซึ่งเป็นนักรบจู่โจมที่มีผลงานยอดเยี่ยมมาโดยตลอด ทั้งในด้านยุทธการและการเข้าถึงมวลชนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี จนทำให้ชาวบ้านหันมาให้ความร่วมมือกับทางการมากขึ้น
    การปรากฏตังของผู้กองแคนในเช้าวันปะทะ จึงเสมือนเป็นการปรากฏของเป้าหมายที่มีค่ามากที่สุดสำหรับการซุ่มโจมตี โจรใต้กลุ่มนั้นจึงหันปากกระบอกปืนเล็งเข้าหาร่างของนายตำรวจหนุ่มเป็นจุด เดียว เพื่อที่จะระดมปืนเด็ดชีพคนเป็น "หัวหน้าชุด" ให้ได้เป็นลำดับแรก แล้วในบัดดลนั้นกัมปนาทการยิงก็แผดสนั่นหวั่นไหว พร้อมๆ กับวิ๔กระสุนแดงวาบพุ่งลงมาเป็นห่าฝน
    วินาทีแรกที่เสียงปืนดังขึ้น ร้อยตำรวจเอกหนุ่มก็โผนเข้าหาที่กำบังด้วยสัณชาตญาณ พร้อมกับร้องตะโกนสั่งให้ลูกทีมทำการยิงตอบโต้ ก่อนที่ร่าของเขาจะล้มร่วงลงบนเนินหินมรณะ
    การปะทะดำเนินไปอย่างดุเดือดนานกว่า 20 นาที แลบะกำลังอีกชุดหนึ่งภายใต้การนำของ "ผู้กองช้าง" หรือ "ร้อยตำรวจเอก สมรัฐ อาวรณ์" ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดปะทะได้รีบเดินทางมาช่วยก่อนที่เสียงปืนจะสงบลง เมื่อฝ่ายตรงข้ามล่าถอยไป
   
    "ผู้กองถูกยิง ! วิทยุไปที่บ้านภักดี ขอ ฮ. มารับด่วน !"

    รองหัวหน้าชุดตะโกนเสียงหลงในทันทีที่มองเห็นร่างของร้อยตำรวจเอกหนุ่มแดง ฉานไปด้วยเลือด มีบาดแผลฉกรรจ์ที่ลำคอ บอกให้รู้ว่าผู้นำของชุดเคลื่อนที่เร็วต้องคมกระสุนได้รับบาดเจ็บสาหัส อาการเป็นตายเท่ากัน

    ภายในห้องประชุมกองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ ค่ายนเรศวร อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตอนสายวันเดียวกัน นายตำรวจพลร่มชั้นสัญญาบัตรกำลังประชุมอยู่กับผู้บังคับการ เพื่อเตรียมเคลื่อนย้ายกำลังไปสับเปลี่ยนหน้าที่กับหน่วยที่อยู่ในพื้นที่ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามวงรอบทุก 6 เดือน
    ทุกคนต่างมีขัวญกำลังใจดีเยี่ยมและกระหายที่จะเดินทางไปปฏิบัติภารกิจใน พื้นที่อันตรายด้วยความมุ่งมั่น เพราะเท่าที่ผ่านมา "ชุดเคลื่อนที่เร็ว" ซึ่งเป็นหน่วยพลร่มจาด ตชด. ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมและไม่เคยสูญเสียกำลังพล
     แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ของผู้การก็ดังขึ้น ขัดจังหวะการประชุม สายตาทุกคู่จ้องมองไปยังผู้บังคับบัญชาซึ่งมียศสูงสุดในที่นั้น ก่อนที่ทุกคนจะเห็นสีหน้าและแววตาซึ่งเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน

    "ชุดลาดตระเวนของเราถูกซุ่มโจมตีที่ยะลา"

    ผู้บังคับการพลร่มพยายามบังคับเสียงอย่างคนที่ข่มความรู้สึก ขณะที่กล่าวถ้อยคำซึ่งไม่ต่างอะไรกับสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางหัวใจของทุกคนที่ ได้ยิน

    "ไอ้แคนตาย.. เมื่อสองชั่วโมงที่ผ่านมานี่เอง..!"

    นายตำรวจหนุ่มผู้พลีชีพเพื่อชาติกลางสมรภูมิแดนใต้ในเช้าวันนั้นก็คือ ร้อยตำรวจเอก ธรณิศ ศรีสุข รองผู้บังคับการกองร้อยรบพิเศษที่ 1 กองกำกับการสนับสนุนทางอากาศตำรวจตระเวนชายแดน ผู้เป็นแบบฉบับของ "ชายชาตินักรบ" ซึ่งสมควรได้รับการยกย่องในฐานะวีระบุรุษของชาติ ผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์อันสูงส่งตราบจนลมหายใจของชีวิต....


    ครับ นี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเช้าวันนั้น ซึ่งถูกตีพิมพ์ลงในหนังสืออนุสรณ์ (เล่มเล็ก) ซึ่งทำออกมาภายหลัง เพื่อแจกจ่ายให้กับเพื่อนพ้อง ญาติสนิทมิตรสหาย ที่ไม่ได้รับหนังสืออนุสรณ์ (เล่มใหญ่) ที่แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2550
    และต่อไปนี้ผมจะนำประวัติของน้องแคนอย่างคร่าวๆ มาบอกกล่าวให้ทุกๆ คนทั้งที่รู้และยังไม่รู้มาให้รับทราบกันอีกทีครับ


ประวัติ ร้อยตำรวจเอก ธรณิศ ศรีสุข

    เกิดเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2520 ที่ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น เสียชีวิตขณะปฏิบัติราชการ เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2550 รวมอายุ 30 ปี 1 วัน เป็นบุตรของ รศ.ดร เกรียงศักดิ์ ศรีสุข ผอ.ศูนย์วิจัยน้ำบาดาล มหาวิทยาลัยขอนแก่น (อดีต คณบดีคณะเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยขอนแก่น) และ รศ. ทพญ. นิธิภาวี ศรีสุข อดีตคณะบดีคณะทันตแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (เสียชีวิต) มีน้องชาย 1 คน ชื่อ นพ. นราธิป ศรีสุข แพทย์ประจำโรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร.ต.อ. ธรณิศ ศรีสุข สมรสกับ ทพญ. คนึงนิจ บุตรวงศ์ ยังไม่มีทายาท

ประวัติการศึกษา
    พ.ศ. 2526-2527 ศึกษาชั้นอนุบาล ที่โรงเรียนอนุบาลพัฒนาเด็กขอนแก่น
    พ.ศ. 2527-2533 ศึกษาชั้น ป.1 ถึง ม.1 ที่โรงเรียนสาธิตมอดินแดง มหาวิทยาลัยขอนแก่น
    พ.ศ. 2533-2534 ศึกษาชั้น ม.2 ที่โรงเรียนมัธยมต้น เมืองแอดมันตัน รัฐเอลเบอร์ต้า ประเทศแคนาดา
    พ.ศ. 2534-2537 ศึกษาชั้น ม.2 ถึง ม.5 ที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน อ.เมือง จ.ขอนแก่น
    พ.ศ. 2538       สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 38 ได้เป็นลำดับที่ 1 ของเหล่าตำรวจ
    พ.ศ. 2544       สำเร็จระดับปริญญาตรี จากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ เป็นนักเรียนนายร้อยรุ่นที่ 54

การศุกษาอบรมหลักสูตร
    ปี พ.ศ. 2546 การต่อต้านการก่อการร้ายสากล รุ่นที่ 8 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    ปี พ.ศ. 2547 การกระโดดร่มแบบกระตุกเอง รุ่นที่ 1/47 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    ปี พ.ศ. 2548 พับและซ่อมบำรุงร่มโดด รุ่นที่ 1/48 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    ปี พ.ศ. 2549 การลาดตระเวนจู่โจมสะเทินน้ำสะเทินบก (RECON) รุ่นที่ 36 ของกองทัพเรือ
    ปี พ.ศ. 2550 เก๋บกู้และทำลายวัตถุระเบิด รุ่นที่ 1/50 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

    เมื่อสำเร็จการศึกษาจากโรงดรียนนายร้อยตำรวจ ได้สมัครใจเข้ารับตำแหน่ง ผบ.มว. ร้อย 5 รพศ.กก.สอ.ตชด. ค่ายนเรศวร และสมัครใจไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่เสี่ยงภัยหลายพื้นที่ ถวายความปลอดภัย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทำหน้าที่เป็นส่วนสมทบ ร.1 พัน 4 และเป็นหัวหน้าชุดสมทบกองวัง ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศ จ.นราธิวาส ถวายความปลอดภัย ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ฯ ทำหน้าที่หัวหน้าชุดปฏิการประจำพระองค์ ได้รับรางวัล ผู้บำเพ็ญประโยชน์ดีเด่นด้านปฏิบัติการของค่ายนเรศวร ประจำปี 2548 เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญการใช้อาวุธปืนสั้นและอาวุธปืนยาวเป็นอย่างดียิ่ง มีความรู้ความสามารถในการเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด และถ่ายทอดวิชาความรู้ด้านต่างๆ ให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นอย่างดี


คติพจน์ประจำใจ
    จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา

ข้อคิดฝากถึงเพื่อน
    จง เป็นผู้เสียสละ อย่าคาดหวังว่าเราจะได้อะไรบ้างจากหน่วยงานและประเทศชาติ แต่จงคิดเสมอว่าเราทำอะไรบ้างให้แก่หน่วย   งานและประเทศชาติ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงเอง
Lovings  ลุงเอง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงเอง
Lovings  ลุงเอง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงเอง
Lovings  ลุงเอง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลุงเอง