27 สิงหาคม 2552 19:10 น.

"เรารักพระเจ้าอยู่หัว" บทความที่คนไทยควรอ่าน

ลุงเอง

ประชายาก พระทรงยาก ลำบากด้วย
พระทรงช่วย เกื้อกูล พูนรักษา
หกสิบปี ผ่านพ้น ล้นพรรณา
เหล่าประชา สุขท้น ล้นดวงใจ

"ดอกบัวจากหัวใจ"

ที่ นครพนม บนเส้นทางรับเสด็จตรงสามแยกชยางกูร-เรณูนคร บายวันที่ 13 พ.ย. 2498 อาณัติ บุนนาค หัวหน้าส่วนช่างภาพประจำพระองค์ ได้บันทึกภาพในวินาทีสำคัญที่กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ภาพหนึ่งของประเทศ

ภาพที่พูดได้มากกว่าคำพูดหนึ่งล้านคำ

วัน นั้นหลังจากทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารเสร็จสิ้นในช่วงเช้าแล้ว ทั้ง 2 พระองค์ได้เสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่งกลับไปประทับแรม ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ราษฎรที่รู้ข่าวก็พากันอุ้มลูก จูงหลานหอบกันมารับเสด็จที่ริมถนนอย่างเนืองแน่น

ดังเช่นครอบครัว จันท์นิตย์ ที่ลูกหลายช่วยกันนำ แม่ตุ้ม จันทนิตย์ วัย 102 ปี ไปรอรับเสด็จ ณ จุดรับเสด็จห่างจากบ้าน 700 เมตร โดยลูกหลานได้จัดหาดอกบัวสายสีชมพูให้แม่เฒ่าจำนวน 3 ดอก และพาออกไปรอที่แถวหน้าสุดเพื่อให้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทที่สุด

เปลว แดดร้อนแรงตั้งแต่เช้าจนสาย เที่ยงจนบ่าย แผดเผาจนดอกบัวสายในมือเ่ยวโรย แต่หัวใจรักภักดีของหญิงชรายังเบิกบาน เมื่อเสด็จฯ มาถึงตรงหน้า แม่เฒ่าได้ยกดอกบัวสายโรยราสามดอกนั้นขึ้นจบเหนือศีรษะแสดงความจงรักภักดี อย่างสุดซึ้ง พระเจ้าแผ่นดินทรงโน้มพระองค์อย่างต่ำที่สุด จนพระพักตร์แนบชิดกับศีรษะของแม่เฒ่า ทรงแย้มพระสรวลอย่างเอ็นดู พระหัตถ์แตะมือกร้านคล้ำของเกษตรกรชราชาวอีสานอยางอ่อนโยน

เป็นคำบรรยายเหมือนไม่จำเป็น สำหรับภาพที่ไม่จำเป็นต้องบรรยาย ไม่มีใครรู้ว่าทรงกระซิบคำใดกับแม่เฒ่า แต่แน่นอนว่าแม่เฒ่าไม่มีวันลืม

เช่น เดียวกับที่ในหลวงไม่ทรงลืมราษฎรคนสำคัญที่ทรงพบริมถนนวันนั้น หลานและเหลนของแม่เฒ่าเล่าว่า "หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ แล้ว ทางสำนักพระราชวังได้ส่งภาพรับเสด็จของแม่เฒ่าตุ้ม พร้อมทั้งพระบรมรูปหล่อด้วยปูนพลาสเตอร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานผ่านมาทางอำเภอพระธาตุพนมให้แม่เฒ่าตุ้มไว้เป็นที่ระลึก

พระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้นี้ อาจมีส่วนชุบชูชีวิตให้แม่เฒ่ายืนยาวขึ้นอีกด้วยความสุขต่อมาอีกถึงสามปีเต็ม ๆ

แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ ราษฎรผู้โชคดีที่สุดคนหนึ่งในรัชกาลที่ 9 สิ้นอายุขัยอย่างสงบด้วยโรคชราเมื่ออายุได้ 105 ปี

ข้อมูลจาก "แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์" ภาคพิเศษโดย คุณหญิงศรีนาถ สุริยะ วารสารไทย 

"เขาเดินมาเป็นวัน ๆ"

"...มี อยู่ครั้งนึง ข้าพเจ้าอายุ 18 ปี ได้ตามเสด็จ...ตอนนั้นเป็นช่วงหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรทุกจังหวัดและอำเภอใหญ่ ๆ ก็เสด็จฯ ประมาณ 9 โมงเช้า เสด็จออกทรงเยี่ยมราษฎรมาเรื่อย ๆ

ทีนี้ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า แหม นานเหลือเกิน ตอนนั้นยังไม่กางร่ม ตอนนั้นยังไม่ค่อยกลัวแดด ไม่ใส่หมวก ก็รู้สึกแดดเปรี้ยง หนังเท้านี้รู้สึกไหม้เชียว ก็เดินเข้าไปกระซิบท่านว่า พอหรือยัง ก็โดนกริ้ว

นี่เห็นไหมราษฎรเขาเดินมาเป็นวัน ๆ เพื่อมาดูเราแม้แต่นิดเดียว แต่นี่เรายืนอยู่ไม่เท่าไรล่ะ ตอนนี้ทนไม่ไหวเสียแล้ว..

พระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ วันที่ 11 ส.ค. 2534 


"ต่อไปจะมีน้ำ"

บท ความ "น้ำทิพย์สาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวงาม ทั่วเขตคามชื่นธารา" เขียนโดย มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 5 ธ.ค.2528 ได้เล่าให้ผู้อ่านชาวไทยได้ประจักษ์ถึงเรื่องอัศจรรย์ของ "ในหลวง" กับ "น้ำ" ที่เกิดขึ้นในคำวันหนึ่งของเดือน ก.พ.2528

ด้วยความทุกข์ที่ เปี่ยมล้นใจอันเนื่องมาจากต้องเผชิญความแห้งแล้งอย่างหนัก หญิงชราคนนึ่งที่มาเข้าเฝ้าฯ รับเสด็จได้คลานเข้ามากอดพระบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กราบบังคมทูลด้วยน้ำตาอาบแก้ม ขอพระราชทานน้ำ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสตอบว่า

ยายไม่ต้องห่วงแล้วนะ ต่อไปนี้จะมีน้ำ เราเอาน้ำมาให้

แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระดำเนินกลับไปยังรถพระที่นั่งซึ่งจอด ห่างออกไปราว 5 เมตร ปรากฎว่าท่ามกลางอากาศที่ร้อนแล้ง จู่ ๆ ก็เกิดฝนตกลงมาเป็นครั้งแรกในรอบปี ทำให้ผู้ตามเสด็จและราษฎรในที่นั้นถึงกับงุนงงไปตาม ๆ กัน 


"เก็บร่ม"

การ เสด็จพระราชดำเนินทุกครั้ง แม้จะต้องเผชิญกับแดดร้อนหรือลมแรง ราษฎรก็ไม่เคยย้อท้อที่จะอดทนรอรับเสด็จให้ถึงที่สุด แม้ฝนจะตกหนักแค่ไหนก็ไม่มีใครยอมกลับบ้าน

ร้อยเอกศรีรัตน์ หริรักษ์ เล่าไว้ในบทความ "พระบารมีปกเกล้าฯ ที่อำเภอท่ายาง" ตีพิมพ์ในหนังสือ "72 พรรษาราชาธิราชเจ้านักรัฐศาสตร์" ว่า ครั้งหนึ่งที่โครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฎว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ราษฎรและข้าราชการที่มาเข้าแถวรอรับเสด็จต่างเปียกปอนกันหมด แต่ก็ยังตั้งแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่อย่างนั้น

เมื่อพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ นายตำรวจราชองค์รักษ์ที่ตามเสด็จได้เข้าไปกางร่มถวาย ทรงทอดพระเนตรเห็นบรรดาข้าราชการและราษฎรที่มายืนตั้งแถวรอรับเสด็จอยู่ต่าง ก็เปียกฝนโดยทั่วกัน

"จึงมีรับสั่งให้นายตำรวจราชอครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงพระดำเนินเยี่ยมข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเสด็จ โดยทรงเปียกฝนเช่นเดียวกับข้าราชการ และราษฎรทั้งหลายที่ยืนรอรับเสด็จในขณะนั้น" 


"ฉันทนได้"

ใน เดือนหนึ่งของปี 2528 พระทนต์องค์หนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหักเฉียดโพรงประสาทฟัน พระทนต์องค์นั้นต้องการการถวายการรักษาเร่งด่วน แต่ขณะนั้นกรุงเทพฯ ก็กำลังประสบปัญหาอุทกภัย ต้องการการบรรเทาทุกข์เร่งด่วนเช่นกัน

เมื่อทันตแพทย์เข้ามาถวายการรักษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งถามว่า "จะใช้เวลานานเท่าใด"

ทันตแพทย์กราบบังคมทูลว่า อาจต้องใช้เวลา 1-2 ชม.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า

"ขอรอไว้ก่อนนะ ฉันทนได้ วันนี้ขอไปดูราษฏรและช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วมก่อน" 

"คำสอนประโยคเดียว"

เมื่อ นิตยสาร "สไตล์" ฉบับปี 2530 ได้ตั้งคำถามกับ ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ถึง "คำสอน" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ประทับอยู่ในหัวใจ ดร.สุเมธ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเลขานุการ กปร. ตอบว่า คำสอน "ประโยคเดียวก็เกินพอนั้นคือพระราชดำรัสที่ว่า

"มาอยู่กับฉันนั้น ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากความสุขที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น" 

"สุขเป็นปี ๆ"

ด้วย เหตุนี้จึงมีผู้กราบบังคมทูลขอพระราชทานให้ทรงลดการเสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตรลงบ้าง โดยอาจงดเว้นการพระราชทานปริญญาบัตรในระดับป.ตรี คงไว้แต่เพียงระดับปริญญาโทขึ้นไป

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับมี พระราชกระแสรับสั่งตอบว่า พระองค์เองเสียเวลายื่นปริญญาบัตรให้บัณฑิตคนละ 6-7 วินาทีนั้น แต่ผู้ได้รับนั้นมีความสุขเป็นปี ๆ เปรียบกันไม่ได้เลย

ที่ สำคัญคือ ทรงเห็นว่าการพระราชทานปริญญาสำหรับผู้สำเร็จป.ตรี นั้นสำคัญ เพราะบางคนอาจไม่มีโอกาสศึกษาชั้นปริญญาโทและปริญญาเอก ดังนั้น "จะพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตปริญญาตรีไปจนกว่าจะไม่มีแรง.." 


....**** คัดลอกมาจาก MThai				
27 สิงหาคม 2552 10:52 น.

บ้านปริศนา ???

ลุงเอง

"จันทร์ฉาย" เล่าประสบการณ์สยองขวัญ

เรื่องลึกลับน่าสยองขวัญในบ้านริมแม่น้ำ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เกิดขึ้นมาเกือบยี่สิบปีแล้ว แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครตอบได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่า มันเกิดขึ้นจากอะไรกันแน่?

ผู้ใหญ่อาจจะไม่กลัว หรือไม่ก็ลืมเลือนเรื่องราวเหล่านั้นไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่สำหรับเด็กๆวัยสิบขวบเศษอย่างดิฉันกับเพื่อนๆ ภาพหลอนอารมณ์สุดขีดยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ ชนิดที่ไม่มีวันจะลบเลือนไปได้ง่ายๆ แน่นอน

สมัยนั้น พวกเราเรียกว่า "บ้านผีสิง" ค่ะ!

จากสถานีรถไฟ ผ่านตลาดไปสู่ถนนเลียบแม่น้ำ มีบ้านเรือนเก่าแก่ปลูกกันห่างๆ ส่วนมากเป็นบ้านสองชั้น ที่เป็นชั้นเดียวก็นิยมลาดปูนใต้ถุนเรือน มีโต๊ะใหญ่สารพัดประโยชน์ ตั้งอยู่หน้าห้องครัวและห้องน้ำ เป็นทั้งโต๊ะกินข้าว โต๊ะทำงานและโต๊ะรับแขกพร้อมสรรพ

มองจากหน้าบ้านเข้าไปมักจะเป็นที่โล่งๆ มีโต๊ะหินสำหรับนั่งเล่น บางบ้านก็มีกรงนกเขาแขวนที่ระเบียง แม่ไก่คุมฝูงลูกเจี๊ยบคุ้ยเขี่ยหากินเป็นภาพที่เห็นจนเจนตาเจนใจ

ทั่วๆ ไปมักไม่มีรั้วหรอกค่ะ นิยมปลูกมะพร้าว มะละกอ ขนุน มะม่วงหรือมะยมไว้หน้าบ้าน อย่างดีก็ปักเสาห่างๆ ใช้ไม้ไผ่พาดตามขวางไว้ 3-4 ท่อน บางบ้านก็ปลูกดอกไม้อย่างดาวเรือง บานชื่น บานไม่รู้โรยไว้ข้างรั้ว

บ้านติดๆ กับดิฉันคือลุงยิ่งกับป้าแย้ม มีอาชีพค้าขายในตลาด ลูกสาวคนเดียวชื่อลำไย อายุราว 17 ปี หน้าตาสะสวยคมคาย รูปร่างสูงโปร่ง เรียนแค่ ม.3 ก็ออกมานั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้าน บางวันโดนพ่อแม่เคี่ยวเข็ญถึงจะยอมออกไปช่วยขายของ

ลำไยชอบหัวเราะต่อกระซิกกับพวกหนุ่มๆ นัยน์ตาแวววาวหยาดเยิ้มที่ชาวบ้านนินทาว่า "เจ้าชู้" ตกเย็นลุงยิ่งเมาเหล้าเข้าไปเป็นร้องด่าลูกสาว หาว่าชอบให้ท่าผู้ชาย พอป้าแย้มร้องห้ามก็ยิ่งยั่วโทสะให้เสียงดังเหมือนตะโกน มีการทุบตีลูกเมียจนดังโครมครามน่าตกใจ

ค่ำวันหนึ่ง หลังจากเสียงทะเลาะกับเสียงทุบตี ตามด้วยเสียงหวีดร้องของลำไย...ก็ได้ข่าวว่าป้าแย้มตกบันไดลงมาคอหักตาย!

ลุงยิ่งจมอยู่กับขวดเหล้า ลำไยก็เอาแต่ร้องไห้จนกระทั่งงานศพผ่านไป...

ไม่มีใครเห็นหน้าลำไยอีกเลย ลุงยิ่งก็เลิกไปขายของที่ตลาด นานๆ ถึงจะขับรถกระบะออกจากบ้าน ซื้ออาหารทั้งสดและแห้งมาตุนไว้ มีคนเล่าว่าแกรูปร่างผ่ายผอมผิดตา หน้าดำคล้ำ นัยน์ตาลึกโหลแดงก่ำเหมือนกะปูด มองใครก็มีแววขุ่นขวางคล้ายคนวิกลจริต

ทุกคนพูดตรงกันว่า ลุงยิ่งเหม็นสาบเหม็นสางราวกับคนจรจัด ใครถามถึงลูกสาวลุงยิ่งก็ขบกราม นัยน์ตาขุ่นขวางยิ่งกว่าเดิม ตอบห้วนๆ ว่า...มันหนีตามผู้ชายไปแล้ว...

นอกจากลำไย ดูเหมือนลุงยิ่งก็สูญหายไปอีกคน!

ไม่มีใครเห็นแกนั่งดื่มเหล้าที่โต๊ะใหญ่ใต้ถุนบ้าน เพื่อนฝูงจากตลาดมาหา ทั้งตะโกนทั้งกดแตรเรียกก็ไม่ได้ยินเสียงขานตอบ...บางคนก็เดาว่าลุงยิ่งคงจะ ออกไปตามหาลูกสาว แต่บาง คนก็เดาว่า แกคงจะเมากลิ้งอยู่บนบ้าน หรือไม่ก็ขาดใจตายไปแล้วโดยไม่มีใครล่วงรู้

แต่ยังหรอกค่ะ...ลุงยิ่งยังไม่ตาย! เพราะตอนกลางคืนพวกเราเห็นไฟสว่างจ้าที่ชั้นบน บางคืนก็เห็นเงาตะคุ่มๆ ของแกยืนทะมึนอยู่ที่หน้าต่าง เป็นสิ่งยืนยันว่าลุงยิ่งยังมีชีวิตอยู่...

ตอนเย็นๆ พวกเราชอบไปเดินเล่นที่ริมตลิ่ง ลมจากแม่น้ำพัดโชยเข้ามาเยือกเย็น แต่บางวันก็พัดแรงจนดิฉันขนลุกเกรียว...ตกค่ำเดินกลับบ้านก็อดมองไปทางบ้าน ลุงยิ่งไม่ได้...มันมืดครึ้มน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับจะมีความชั่วร้ายบางอย่างแอบแฝง ซุกซ่อนไว้ในนั้นอย่างน่าสยดสยอง...

จู่ๆ ก็มีไฟเปิดพรึ่บขึ้นที่ชั้นบน ดิฉันเงยหน้ามองก็เห็นลุงยิ่งยืนจังก้า สองมือเท้าขอบหน้าต่าง ท่าทางเหมือนจะกระโจนลงมาหาในพริบตา

วิ่งซีคะ...รวดเดียวถึงบ้าน หอบแฮกๆ แทบจะขาดใจตาย!

ชาวบ้านพูดกันว่า ลุงยิ่งคงเสียใจสุดขีด ไหนจะเมียตายอย่างน่าสยอง ไหนจะลูกสาวหายสาบสูญไปโดยไม่มีร่องรอย จนแกสติแตก ไม่ยอมคบค้าสมาคมกับใคร ไม่โผล่ไปให้ใครเห็นหน้า คล้ายจะเก็บตัวอยู่โดดเดี่ยวจนถึงวันตาย! บางคนส่ายหน้า บอกว่าหมกอยู่กับน้ำเมาทั้งวันทั้งคืนจนกว่าจะหมดสติ ไม่ช้าก็คงตายตามป้าแย้มไปจริงๆ

บางคนก็หลุดปากว่า...ตายิ่งแกอาจจะฆ่าลูกสาวหมกไว้หลังบ้านที่เป็นป่า ละเมาะก็ได้? แกคงเมาจนขาดสติ พลั้งเผลอทำอะไรลงไป แต่โดนขัดขืนก็เลยบันดาลโทสะ กลายเป็นฆาตกรใจโหดในพริบตา!

บ้านนั้นกลายเป็นบ้านปริศนา ใครผ่านก็หันมอง วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา...จนกระทั่งมีคนสังเกตว่า ไม่มีแสงไฟในยามค่ำคืนมานานแล้ว หน้าต่างยังเปิดโล่งตามเดิม แต่ไม่มีใครเห็นลุงยิ่งมายืนที่หน้าต่างอีกต่อไป

ในที่สุด มีญาติจากราชบุรีมาหา...ครั้นรู้เรื่องจากชาวบ้านก็ชวนกันเข้าไปดูให้รู้แน่ ว่าเกิดอะไรขึ้น? ชาวบ้านตั้งสิบกว่าคนที่ตามเข้าไป รวมทั้งเด็กๆ อยากรู้อยากเห็นอย่างพวกเรา

ดิฉันใจเต้นตึกตัก มือเย็นเท้าเย็นไปหมด นึกวาดภาพว่าจะเห็นศพลุงยิ่งอยู่ในห้องนอน กำลังขึ้นอืดหรือเน่าเฟะ แต่ก็ไม่ได้กลิ่นเหม็นเน่าอะไร นอกจากกลิ่นอับๆ และสาบสางเตะจมูก...ไม่มีวี่แววของลุงยิ่งหรือลำไยในบ้านนั้นเลย!

หลายๆ คนเข้าไปสำรวจหลังบ้าน ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ เช่นหลุมศพของลำไยที่ลือกันว่าถูกพ่อฆ่าแล้วฝัง...คนทั้งสองดูเหมือนจะหาย สาบสูญไปโดยไร้ร่องรอยใดๆ ทั้งสิ้น

พวกญาติลุงยิ่งมาขนข้าวของใส่รถบรรทุกไป บอกฝากขายบ้านไว้ด้วย...ยังไม่ทันมีใครจะมาติดต่อขอซื้อหรือขอดู จู่ๆ บ้านหลังนั้นก็เกิดไฟไหม้กลางดึก รุ่งเช้าก็เหลือแต่เถ้าถ่านกองใหญ่ ควันลอยกรุ่น...ติดหูติดตาดิฉันมาจนถึงทุกวันนี้!

http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEU0TURJMU1RPT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09DMHdNaTB4T0E9PQ==				
27 สิงหาคม 2552 09:03 น.

๗ ขั้นทะลุเป้าหายป่วยด้ว "โพชฌงค์" ธรรมโอสถ"

ลุงเอง

"โพชฌงค์" ธรรมโอสถ"

 ๑. จงมีสติ  คือ ระลึกนึกขึ้นได้ถึงกิจและสิ่งทั้งหลายที่จำเป็นมีประโยชน์ต่อการรักษาตัว

 ๒. จงมีธัมมะวิจยะ คือ การวิเคราะห์และคัดสรรกิจ สิ่งต่างๆ ที่สติระลึกได้จาอสิ่งที่คิด เอาลักษณะอาการป่วย อาหาร อิริยาบถที่สนับสนุนให้หายป่วยเร็วขึ้น

 ๓. จงมีวิริยะ คือ เพียรพยายามกล้าหาญอดทนที่รักษาตนให่หายป่วยจากโรค

 ๔. จงมีปีติ คือ ยินดีอิ่มเอมเต็มใจ มีกำลังใจที่จะรักษาตน

 ๕. จงมีปัสสัทธิ คือ ความสงบกาย สงบใจ ให้กลมกลืนกับการรักษาโรค ไม่ทุรนทุรายเกินเหตุ

 ๖. จงมีสมาธิ คือตั้งใจแน่วแน่ รวมพลังกายและพลังใจเพื่อใช้ในการรักษาตัว

 ๗. จงมีอุเบกขา คือ ทำใจเฉยรอคอยได้ เพราะรู้ว่าความป่วยจักหายไป ตามจังหวะเวลา และความจริงใจในการปฏิบัติต่อการรักษาตน

  หากปฏิบัติได้ตาม ๗ ขั้นนี้ หลายๆรอบ โรคในกาย และใจของท่านย่อมหายได้ง่าย				
24 สิงหาคม 2552 21:06 น.

21 วิธี ''''' ประหารชีวิต . . . . ในสมัย กรุงศรีอยุธยา

ลุงเอง

21 วิธี ''''' ประหารชีวิต . . . . ในสมัย กรุงศรีอยุธยา

ในสมัยกรุงศรีอยุธยา อาณาจักรที่รุ่งเรืองที่สุดอีกยุคสมัยหนึ่งของไทยเรา พบว่า มีการตราบทลงโทษขั้นรุนแรงที่สุดคือ โทษประหารชีวิตเอาไว้ในพระไอยการกระบถศึก ซึ่งเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 และมีการแก้ไขเพิ่มเติมในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก่อนจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้งในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ แต่กฎหมายฉบับนี้มิได้มีการแก้ไขในบทลงโทษความผิดขั้นประหารชีวิตและวิธีการประหารชีวิตเลยแม้แต่น้อย
คือยังคงลักษณะเดิมไว้แต่ครั้งการตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ทุกประการ

วิธีการประหารชีวิตตามพระไอยการกระบถศึก บันทึกและอธิบายเอาไ*่างละเอียดถึงวิธีการลงโทษประหาร 21 วิธีหรือ 21 สถาน ดังนี้

- สถาน 1 คือ ให้ต่อยกระบานศีศะ (กบาลศีรษะ) เลิกออก (เปิดออก) เสียแล้ว เอาคีมคีบก้อนเหล็กแดงใหญ่ใส่ลงไปในมันสะหมอง (มันสมอง) ศีศะพลุ่งฟู่ขึ้นดั่งม่อ (หม้อ) เคี่ยวน้ำส้มพะอูม

- สถาน 2 คือ ให้ตัดแต่หนังจำระ (จาก) เบื้องหน้าถึงไพรปากเบื้องบนทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงเกลียวคอชายผมเบื้องหลังเป็นกำหนด (หนังบริเวณคอถึงท้ายทอย) แล้วให้มุ่นกระหมวดผมเข้าทั้งสิ้น (ม้วนเข้าหากัน) เอาท่อนไม้สอดเข้าข้างละคน โยกคลอนสั่นเพิกหนังทั้งผมนั้นออกเสียแล้วเอากรวดทรายหยาบขัดกระบานศีศะชำระให้ขาวเหมือนพรรณศรีสังข์

- สถาน 3 คือ ให้เอาขอเกี่ยวปากให้อ้าไว้ แล้ให้ตามประทีบ (ดวงไฟ) ไว้ในปาก ไนยหนึ่ง (นัยหนึ่ง) เอาปากสิวอันคมนั้นแสะแห*ผ่าปากจนหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้าง แล้วเอาขอเกี่ยวให้อ้าปากไว้ให้โลหิตไหลออกเต็มปาก

- สถาน 4 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันให้ทั่วร่างกายแล้วเอาเพลิงจุด

- สถาน 5 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันนิ้วทั้งสิบนิ้วแล้วเอาเพลิงจุด

- สถาน 6 คือ เชือดเนื้อให้เป็นแรงเป็นริ้วอย่าให้ขาดจากกัน ตั้งแต่ใต้คอลงไปถึงข้อเท้าแล้วเอาเชือกผูกจำ ให้เดินเหยียบริ้วเนื้อริ้วหนังแห่งตน ให้ฉุดคร่าตีจำให้เดินไปกว่าจะตาย

- สถาน 7 คือ เชือดเนื้อให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร่งเป็นริ้ว ตั้งแต่ ใต้คอลงมาถึงเอวและให้เชือดตั้งแต่เอวให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร้งเป็นริ้วลง มาถึงข้อเท้ากระทำหนังเบื้องบนให้คลุมลงมาเหมือนนุ่งผ้า

- สถาน 8 คือ ให้เอาห่วงเหล็กสวมข้อศอกทั้งสองข้าง ข้อเข่าทั้งสองข้างให้มั่นแล้วเอาหลักสอดในวงเหล็กแย่งขึงตรึงลงไว้กับแผ่นดินอย่าให้ไหวตัวได้ แล้วเอาเพลิงรน (ลน) ให้รอบตัวจนกว่าจะตาย

- สถาน 9 คือ ให้เอาเบ็ดใหญ่ที่มีคมสองข้างเกี่ยวทั่วร่างเพิก (เปิด) หนังเนื้อและเอ็นน้อยใหญ่ให้หลุดขาดออกมาจนกว่าจะตาย

- สถาน10 คือ ให้เอามีดที่คมเชือดเนื้อให้ตกออกจากกายแต่ทีละตำลึง(นำเนื้อมาชั่งให้ได้น้ำหนักหนึ่งตำลึง:มาตราวัดสมัยโบราณ) จนกว่าจะสิ้นมังสา (เนื้อ)

- สถาน 11 คือ ให้แล่สับทั่วร่างแล้ว เอาแปรงหวีชุบน้ำแสบกรีดครูดขูดเสาะหนังและเนื้อแลเอ็นน้อยใหญ่ให้ลอกออกให้สิ้นให้อยู่แต่ร่างกระดูก

- สถาน 12 คือ ให้นอนลงโดยข้างๆ หนึ่งแล้วให้เอาหลาวเหล็กตอกลงไปโดยช่องหูให้แน่นกับแผ่นดินแล้วจับขาทั้งสองข้างหมุนเวียนไปดังบุคคลทำบังเวียน (เวียนเทียน)

- สถาน 13 คือ ทำมิให้หนังพังหนังขาด แล้วเอาลูกสีลา (ลูกหิน) บดทุกกระดูกให้แหลกย่อย แล้วรวบผมเข้าทั้งสิ้น ยกขึ้นหย่อนลงกระทำให้เนื้อเป็นกองเป็นลอม
แล้วพับห่อเนื้อหนังกับทั้งกระดูกนั้นทอดวางไว้ดั่งตั่งอันทำด้วยฟางซึ่งเอาไว้เช็ดเท้า

- สถาน 14 คือ ให้เคี่ยวน้ำมันให้เดือดพลุ่งพล่าน แล้วลาดสาดลงมาแต่ศีศะ (ศีรษะ) จนกว่าจะตาย

- สถาน 15 คือ ให้กักขังสุนัขร้ายทั้งหลายไว้ อดอาหารหลายวันให้เต็มอยากแล้วปล่อยให้กัดทึ้งเนื้อหนังกินให้เหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า

- สถาน 16 คือ ให้เอาขวานผ่าอกทั้งเป็นแหกออกดั่งโครงเนื้อ

- สถาน 17 คือ ให้แทงด้วยหอกทีละน้อยๆ จนกว่าจะตาย

- สถาน 18 คือ ให้ขุดหลุมฝังเพียงเอว แล้วเอาฟางปกลงคลุมร่างก่อนคลอกด้วยเพลิงพอหนังไหม้แล้วไถด้วยไถเหล็ก ให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่เป็นริ้วน้อยริ้วใหญ่

- สถาน 19 คือ ให้เชือดเนื้อล่ำออกทอดด้วยน้ำมัน เหมือนทอดขนมให้กินเนื้อตัวเองจนกว่าจะตาย

- สถาน 20 คือ ให้ตีด้วยตะบองสั้นตะบองยาวจนกว่าจะตาย

- สถาน 21 คือ ตีด้วยหวายที่มีหนามจนกว่าจะตาย				
20 สิงหาคม 2552 23:12 น.

วันนี้ของวันนั้นความเป็นมา….

ลุงเอง

วันนี้ของวันนั้นความเป็นมา…. 

ทุกชีวิตเกิดมาเพื่อใช้กรรม เป็นวิบากที่เราไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ เป็นลิขิตที่เรากำหนดเอง

    ชายคนหนึ่งซึ่งโชกโชนมากับชีวิต บนถนนเส้นทางในดงนักเลงพอตัว  แต่เมื่อชีวิตคู่มาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ชายคนนั้นเลิกเดินบนเส้นทางถนนนักเลง เปลี่ยนมาเป็นถนนแห่งการสร้างครอบครัว มีจุดประกายแห่งการสร้างฝันให้เป็นจริง
แต่อาจเป็นกรรมเก่าที่ชายคนนั้นเคยก่อไว้  

    วันที่รอคอยคืนวันที่ภรรยาเขาให้กำเนิดบุตรที่น่ารัก ทุกคนในบ้านต่างยินดีกับสมาชิกใหม่ โดยเฉพาะย่า เพราะเป็นหลานย่าคนแรก แม้จะมีหลานยายมาหลายคน  ทุกคนหลงหลานย่า หลานป้า ครบกำหนดหนึ่งเดือนเตรียมจัดงานโกนผมไฟ ชายคนนั้นกำหนดวันนิมนต์พระ  และก่อนถึงวันโกนผมไฟลูกชายเพียงวันเดียว
แม่ถามว่าบอกป้าหรือยัง ซึ่งเป้นคนเดียวที่ยังไม่ได้บอกด้วยความเกรงใจแม่จึงจำเป็นต้องไปบอกแม้จะเหลือเวลาเพียงวันเดียว

   ชายคนนั้นอยู่ฝั่งธนบุรีเป็นบ้านสวนต้องนั่งเรื่อมาขึ้นที่ท่าช้างวังหลวง และในสมัยนั้นจุดศูนย์รวมขอรถประจำทางคือท้องสนามหลวง  ชายคนนนั้นก็มามาขึ้นรถที่สนามหลวงเพื่อไปบ้านป้าที่หลานหลวง  และวินาทีที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น  เมื่อชายคนนั้นถูกกลุ่มวัยรุ่นเข้ามารุมทำร้าย ด้วยสัญชาตญาณชายคนนั้นสู้ด้วยใจแม้สามหนึ่งก็พร้อมรับมือ  

   เหตุการณ์ชุลมุนท่ามกลางผุ้คนมากมาย เสียงใครคนหนึ่งตระโกนบอกตำรวจมา สองในสามวิ่งหนีหายไปทิ้งไว้แต่เพื่อนที่นอนจมกองเลือด และตำรวจมาถึงจับชายคนนั้น  ไปโรงพักส่วนผู้บาดเจ็บถูกส่งโรงพยาบาล  ผลผู้บาดเจ็บคืออริที่เคยพันตูกันมาในอดีตได้รับบาดเจ็บสาหัส  ชายคนนั้นถูกตั้งข้อหาทำร้ายพยายามฆ่า และคงเป็นเวรซ้ำกรรมซัดเจ้าของคดีคืดสารวัตรโรงพักที่เคยติดตามทำคดีของชายคนนั้น  ชายคนนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อญาติทางบ้านเพราะอยู่ในช่วงกฎอัยการศึกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๒ วันที่ ๒๐ มกราคม คือวันที่เขาสิ้นอิสระภาพ

   ชายคนนั้นถูกส่งตัวเข้าเรือนจำกรุงเทพฯคลองเปรม (สวนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าราชินีในปัจจุบัน)  ครบสองฝากถูกส่งตัวไปตัดสินที่ศาลาทหาร (ศาลอาญาปัจจุบัน)  วันนั้นชายคนนั้นดีใจมากเพราะภรรยาของเขาได้รับข่าวจากเพื่อนโดยเพื่อนเป็นชายคนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ของเรือนจำ เขาดีใจโดยไม่ได้สนใจคำถามของผุ้พิพากษา ชายคนนั้นตอบรับคำเดียวว่า "ครับ ...ๆๆๆๆ...." ผลคำตัดสินของศาล ผู้ต้องหารับสารถาพ ตัดสินความผิดมีโทาจำคุก
 ๑๖ ปี แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ และไม่เคยทำความผิดได้รับโทษมาก่อนพิจารณาลดโทาให้กึ่งหนึ่งเหลือ ๘ ปี  

    หลังจากนั้นชีวิตของชายคนนั้นเหมือนตกนรกทั้งเป็น สงสารแต่แม่ที่เจ็บปวดซ้ำใจ แต่แม่มีเพียงอุเบกขา ที่ทำใจกับชะตากรรมของลูกชาย  ต่อมาไม่นานภรรยาของเขาก็นำลูกชายหนีไป หัวใจย่าแทบสลาย

    สี่ปีหนึ่งเดือนยี่สองวัน  ที่ชายคนนั้นต้องตกอยู่ภายใต้นรกแห่งความเจ็บปวด  ตลอดเวลาที่ชายคนนั้นอยุ่ในเรือนจำ แม่เขียนจดหมายถึงลูกชายนับร้อยฉบับฝากของกินที่ลูกชายชอบมาเยี่ยม ทุกฉบับแม่จะลงท้ายว่าอดทนนะลูก แม่ใจไม่แข็งพอที่จะมาเยี่ยม อย่าโกรธแม่นะ  และจดหมายทุกฉบบับจะมีหยดของคราบน้ำตาจากแม่

   วันที่ชายคนนั้นได้รับอิสระภาพแม่เตรียมอาหารเสื้อผ้าชุดใหม่ ได้รอรับลูกชาย อ้อมกอดแรกแห่งอิสระภาพคืออ้อมกอดที่อบอุ่นและจริงใจจากอ้อมกอดแม่
"หมดเคราะห์หมดโศกแล้วลูก และอีกท่านที่มารับขวัลูกชายคือหลวงพ่อ (พ่อผู้ให้กำเนิด ท่านไปบวชเมื่อปี ๒๕๑๖) มาพร้อมความรักความเมตตาเมตตา และหวงหาอาทร

    หลังจากนั้นชายคนนั้นจากไม่เคยดื่มเหล้า หันกลับมาดื่ม ครั้งแรกเป้นเพราะอยากดื่มให้เมาแล้วหลับ ในที่สุดเขากลายเป็นขี้เมาที่ขึ้นชื่อ  เคยรับปากว่าจะบวชหลังรับอิสระภาพแต่ก็ยังไม่ได้บวชทดแทนคุณผุ้ให้กำเนิดทั้งสอง
เขาได้ตามหาลูกชายของเขาที่เห็นหน้าครั้งสุดท้ายเพียงแค่อายุยี่สิบเก้าวัน

    เขาได้พบลูกชายอีกครั้งเมื่อลูกชายอายุ ๕ ขวบ และไม่เคยได้พบอีกเลย
จวบจนเมื่อ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๑ เขาจึงได้ข่าวลูกชาย และได้พบกันเมื่อ๒๒ ธันวาคม ปีเดียวกัน

    หลวงพ่ออาพาธรักษาตัวที่โรงพยาบาลสงฆ์ (ท่านเป้นเจ้าอาวาสอยู่วัดหนองไม้ซุง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) วันที่ ๒๐ มันาคม ๒๕๒๐ ชายคนนั้นได้ไปเยี่ยมหลวงพ่อที่โรงพยาบาล  อาการท่านนั้นยังไม่ปรากฎว่าจะหนักหรือทรุดกว่าเดิม  ก่อนจะกลับหลวงพ่อถามเขาว่า "หากฉันตายแก่จะบวชให้ฉันได้ใหม ๗ วัน" เขาบอกว่าหลวงพ่อไม่ต้องพูดหรอกหลวงพ่อยังอยู่อีกนาน ยังไม่ถึงเวลา "

    เช้าวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ มีโทรศัพท์จากโรงพยาบาลมาที่บ้านอาบอกว่าให้ไปรับศพหลวงพ่อ  ชายคนนั้นใจสั่นระริกรวบรวมสติสัมปัชชัญญะ  บอกแม่ว่าทำใจเย็นๆนะแม่ หลวงพ่อมรณะแล้วหนูจะไปรับศพหลวงพ่อ 

   เมื่อไปถึงโรงพยาบาลได้พบกับอาน้องชายหลวงพ่อ บอกว่ามารับศพหลวงพี่ไปอยุธยา เป็นหลวงพ่อเอ็งก็จริง แต่ท่านเป็นเจ้าอาวาสที่วัด ดังนั้นต้องเอาศพหลวงพ่อไปจัดงานที่วัดหนองไม้ซุง อยุธยา  คำหนึ่งที่อาถามชายคนนั้น "เอ็งจะบวชให้หลวงพ่อเอ็งใหม ??? ส่วนข้ารับปากท่านแล้วจะบวชให้ท่าน ๗ วัน" เขามองหน้าอา แล้วเอ่ยว่า " อายังบวชแล้วฉันจะไม่บวชได้หรือ " 

   เช้าวันที่ ๒๒ มีนาคม ๓๐ แม่และพี่น้องทุกคนพร้อมญาติทางแม่เดินทางจากกรุงเทพฯมาถึงแต่เช้า  ปรึกษากรรมการวัดและญาตทางหลวงพ่อตกลงว่าวันที่ ๒๖ มีนาคม ๓๐ เป็นวันประชุมเพลิง เช้าวันที่ ๒๖ มีนาคม ๓๐ ชายคนนั้น
โกนผมตั้งแต่เย็นวันที่ ๒๕ มีนาคม เช้าวันที่ ๒๖ มีนา หลังทานข้าวต้มเพียงแค่สองช้อน ก็จัดขบวนนำนาคเข้าโบสถ์ เป็นงานบวชที่อมตะ เพราะผู้ร่วมงานแต่งกายด้วยชุดสีดำ และสีขาว ปราศจากโห่ร้องมีแต่ความสงบที่เงียบสงัด

   เช้าวันรุ่งขึ้น ๒๗ มีนา ชายคนนั้นบัดนี้คือพระผู้บวชใหม่  หลังทำบุญช่วงเช้าเสร็จเรีบยร้อย โยมแม่และญาติๆ ต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ บวชใหม่บอกโยมแม่ว่า "อาตมาไม่กลับด้วยนะ เพราะวันที่ ๒ เมษายน ๓๐ ก็สึกแล้วขออยู่ที่นี่แหละ" โยมแม่มองหน้าพระใหม่ยิ้มเศร้าๆ พร้อมกับกล่าวว่า "ไม่เป็นไร แต่เสียดายที่บวชทั้งที โยมแม่ไม่ได้ใส่บาตรพระเลย"

   เหมือนน้ำกรดรดใจ ดุจมีใครเอามีดมากรีกแทงใจพระใหม่ " โยมแม่กลับไปถึงบ้านแล้ว ไปบอกอาจารย์ชาญ (อาจารย์ของพระใหม่ที่เคยอยู่กับท่านเมื่อครั้งมาเป็นเด็กวัด ตั้งแต่เรียน ม.ต้นถึง ม.ปลาย) บอกท่านว่าหากุฎีให้ห้องหนึ่งอีกสามวันจะไปอยู่ด้วย ให้โยมแม่ได้ใส่บาตร หนึ่งเดือน "  แม่พระใหม่ไม่ได้ร้องไห้แต่น้ำตาแห่งความดีใจบอกในแว่วตา "

   อดีตสีกาคนใหม่ที่ก่อนนั้นเคยสัญญาว่าจะแต่งงานในเดือนหกมาหาเมื่อพระใหม่มาอยู่ที่วัดพิกุล ใกล้บ้านโยมแม่ พระใหม่บอกกับสีกาว่า "หลวงพี่ขอเวลาหนึ่งเดือนนะ เธอไม่ได้ว่าอะไร แต่เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเมื่ออาจารย์ของพระใหม่มามรณะด้วยโรคหัวใจล้มเหลวอย่างกระทันหัน แม้เป็นพระใหม่แต่ความเป็นศิษย์วัดมาก่อน และกรรมการวัดไวยาวัจกรวัดให้ความไว้วางใจพร้อมพระในวัดทุกรูปรู้จักพระใหม่เป็นอย่างดี จึงให้เป็นแม่งานในการจัดงานศพ

   วันเวลาแห่งการสึกของพระใหม่ดูเหมือนต้องเลื่อนอย่างไม่มีกำหนด  จากเดือนเป็นสองเดือน บวกกับคำสบประมาทของญาติโยมที่รู้จักพระใหม่ ต่างดูแคลนว่าจะบวชได้ไม่นานเห็นเมียดีกว่า อยู่ไม่ได้พรรษาแน่ เป็นการปรามาสอย่างเจ็บปวด สีกาก็แกล้งควงชายมามาให้เห็น ในที่สุดตัดสินใจบวชให้หลวงพ่อหนึ่งพรรษา ให้โยมแม่หนึ่งพรรษา และให้ตัวเอง หนึ่งพรรษา และระเบิดเวลาก็มาลงที่กุฎีพระใหม่ สีกาโกรธพระใหม่มาก วันนั้นเป็นวันพระ สีกาขึ้นมาที่กุฎีพร้อมกับร้องไห้เสียงดังมาก พร้อมกับชี้หน้าพระใหม่ว่า "บวชไปเลยไม่ต้องสึกมาหรอก บวชให่เป็นเจ้าอาวาสไปเลย ส่วนตัวฉันขอสัญญาว่าไม่มีผัวก็อยู่ จำไว้ฉันจะไม่มีใครเด็ดขาด " เธอร้องไห้แล้วก้วิ่งลงกูฎีไป เป็นเหตุการณ์ที่นึกไม่ถึงญาติโยมบนศาลามาดุเหตุการณ์แบบชนิดที่เรียกว่าลิเกอาย  และหลังจากนั้นทุกคนก็คอยดูว่าพระใหม่จะสึกหรือไม่  ส่วนโยมว่าพระใหม่ไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่บอกว่าเป็นเรื่องที่ท่านต้องตัดสินใจเอง

   ในที่สุดพระใหม่ไม่ได้สึกเพื่อให้ชาวบ้านดูถูกนินทา และไม่ให้โยมแม่ต้องเสียใจอีกครั้ง หลังจากพระใหม่บวชต่อไปได้สามพรรษาจึงตัดสินใจออกศึกษาหลักธรรมโดยการขอออกธุดงค์  พระใหม่ออกธุดงค์เพียงรูปเดียวในอรัญแห่งภาคอิสาน และภาคเหนือ ใช้ชีวิตด้วยการบิณฑบาตร ปฎิบัติตามหลักพระวินัย
เมื่อถึงฤดูกาลเข้าพรรษา ก็ปาวารณาเขตในพนาเป็นเขตอาวาส สามปีที่พระใหม่ปฎิบัติ  หลังออกมาก็กลับวัด  มาเยี่ยมโยมแม่ซึ่งขณะนั้นโยมแม่โยมแม่ป่วยเป็นมะเร็ง แต่ไม่เคยปริปากเพราะกลัวว่าพระจะสึกมาดูแล และสัจธรรมก็รักษาสัจธรรมไว้ไม่แปรเปลี่ยน ๒๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๗ ท่านก็มาจากไป พระใหม่ซึ่งตอนนี้เจ็ดพรรษาแล้ว มาดูแลโยมแม่ตลอด ๔๕ วันโดยไม่ยอมไปใหนจนถึงวันที่โยมแม่จากไป แต่ก่อนท่านจะหลับไปแล้วไม่ตื่นมาอีกครั้ง  พระท่านได้เช็ดตัวท่าน โยมแม่ดึงจีวรท่านมากอดแล้วบอกว่า " โยมแม่รักผ้าเหลือง " พร้อมหยาดน้ำตาใหลซับจีวร เป้นภาพที่พระรูปนั้นให้สัญญาว่าจะไม่สึกเพื่อโยมแม่ แม้ท่านจะจากไปแล้วก้ตาม

  บัดนี้พระรูปนั้นบวชมาได้ ๒๓ พรรษาในปีนี้ ทำกุศลด้วยการบรรยายธรรม อบรมเยาวชน โดยไม่ยึดติดในอามิส จนถึงวันนี้ และพระรูปนั้น ก็คือ " (หลวง) ลุงแทน " ในวันนี้

   .......ลุงแทน......



  

.				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงเอง
Lovings  ลุงเอง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงเอง
Lovings  ลุงเอง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงเอง
Lovings  ลุงเอง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลุงเอง