13 พฤษภาคม 2547 16:18 น.

ฤทธิ์อภิญญา....................ตอนจบ

วสุนทรา

ภายในถ้ำ ที่ละม้ายคล้ายคลึงกับถ้ำที่ กวิน เวคิน และทินกร เคยขึ้นมาตอนที่หลวงปู่ได้สอนพวกเขา พระภิกษุ วัยประมาณ 40 ปี ผิวเหลืองสวย นั่งอยู่บนแท่นหินสีขาว ใบหน้าท่านยิ้มแย้มอิ่มเอิบ แฝงแววเมตตาเปี่ยมล้น ท่านใช้สายตาที่ปราณี มองดู พระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง ที่นั่งเรียบร้อยอยู่ตรงหน้าท่าน ท่านกล่าวกับพระภิกษุหนุ่มว่า 

ถ้ำแห่งนี้เป็นที่อดีตชาติของฉันได้รับการสั่งสอนจากหลวงปู่ และเป็นที่ๆฉันต้องมาอยู่ที่นี่ในชาติปัจจุบัน แม้ว่ากาลเวลาแห่งอดีตชาติของฉันจะได้ผ่านไปนานแล้ว แต่สถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เรื่องราวทั้งหมดที่ฉันเล่าให้เธอฟัง เป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็ก ๆแห่งอดีตชาติของฉันและเชื่อมโยงมาถึงปัจจุบันชาติของฉันเช่นกัน และที่ฉันเล่าให้เธอฟัง เพราะมันเป็นหน้าที่ของฉันที่ต้องมารอเธอ ในที่แห่งนี้ 

พระภิกษุหนุ่ม ขณะถามขึ้น พระภิกษุท่านนั้น พระภิกษุท่านนั้น พูดขึ้นอย่างกะทันหัน 

เธอสงสัยหรือว่าฉันเป็นใครในบรรดาเด็กทั้งสามคนนั้น ฉันคือเด็กที่ชื่อทินกร ทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาตินี้ อีกสองท่านได้มรณะภาพไปแล้ว 

พระภิกษุหนุ่มถามด้วยความเคารพว่า 

ถ้าเช่นนั้น หลวงพี่ทั้งสององค์ท่านมรณะภาพตอนอายุยังน้อย 

พระภิกษุที่ถูกเรียกสรรพนามเป็นหลวงพี่ หลวงเราะเบา ๆ ก่อนตอบว่า 

เธอคิดว่าฉันอายุเท่าไหร่หรือ 

ประมาณ 40 ปีขอรับ 

แต่ฉันว่า ฉันอายุมากกว่านั้น เท่าไหร่ ฉันจำไม่ได้ จำได้แต่ว่าฉันมีหน้าที่สอนพระธุดงส์ที่บังเอิญมาเจอฉันในที่แห่งนี้ อย่างเธอ มาหลายวาระ และพวกเขาต่างก็มรณะภาพด้วยวัยเกินแปดสิบปีทั้งนั้น 

พระภิกษุหนุ่มรับฟังอย่างตะลึงลาน 

เธออย่าสงสัยอะไรเลย มันก็แค่ธาตุขันธ์ของฉันเท่านั้น อยู่ได้เพราะฉันอธิษฐานไว้ แม้ว่าจะไม่ฉันอะไรเลยฉันก็อยู่ได้ หรือจะให้เปลี่ยนกายขันธ์ของฉัน ฉันสามารถเปลี่ยนได้ในรูปลักษณะของพระแก่ พระหนุ่ม บางทีฉันก็ตลก ที่มีหลายคนที่อยากจะพบฉัน ฉันก็เคยเดินผ่านพวกเขามาแล้ว แทบจะเรียกว่า ใกล้แค่เอื้อม พวกเขายังไม่รู้เลยว่า ฉันคือ คนที่เขาอยากจะพบ 

เหมือนกับธรรมนั่นแหละ ลูก ธรรมนั้นมีทุกหนทุกแห่ง ทุกที่ธรรมเกิดไม่ยากเลย ธรรมเป็นของกลางไม่ยาก แต่ไม่ง่ายเกินไป ธรรมะไม่ใช่สิ่งไกลตัวเหมือน พระอาทิตย์ พระจันทร์ แต่ธรรมะ คือ ชีวิตเราดี ๆนี่เอง ดังนั้นที่หลายคนบอกว่าไม่พบธรรมเลย ทำไมปฏิบัติธรรมมันยาก แท้ที่จริงแล้ว เขาไม่มองธรรมที่ใจ เขามองข้ามใจตนเอง มัวแต่ไปดูคนอื่น แล้วจะพบธรรมได้อย่างไร 

เราอยู่กับบ้านทุก ๆวัน ก็ต้องทำความสะอาดบ้าน ของเรา ให้มันสะอาด ไม่ใช่คอยไปปัดกวาดบ้านให้คนอื่น จนละเลยบ้านของตัวเอง บ้านก็เลยสกปรก เปรียบกับจิตที่ขาดปัญญา ขาดความฉลาด เพราะมัวแต่ไปยุ่งเรื่องของชาวบ้าน จำไว้นะลูก องค์สมเด็จพระบรมครู ตรัสไว้ว่า 

อัตตนา โจทยัตตานัง จงเตือนตนด้วยตนเอง หมายความว่า ใครเขาจะดี จะเลว ก็เป็นเรื่องของเขา เราควรมองหาความเลวของกาย วาจา ใจ ของเรา ให้เป็นปกติ เมื่อรู้ว่าส่วนไหนเลว ส่วนไหนบกพร่อง เราก็แก้ไข ปรับปรุงส่วนนั้น เมื่อไหร่ที่ค้นหาความเลว เพราะได้ทำลายความเลวนั้นออกจากจิตหมดแล้ว เมื่อนั้นความดีก็จะปรากฏเอง เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอเป็นคนดี เมื่อนั้นโลกทั้งโลกนี้ก็หาคนเลวไม่ได้หรอกลูก เพราะไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนเลว เขาอยู่และกระทำการต่างๆ มันเนื่องเพราะ กฎของกรรมทั้งนั้น และมันก็เป็นธรรมดาของโลก 

ภิกษุหนุ่มรู้สึกปิติ อิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก 

ฉันรู้มูลเหตุที่เธอต้องออกธุดงส์ การหนีไม่ใช่สิ่งที่แก้ปัญหา แต่ว่าเป็นการดีที่เธอยังไม่หลวงใหล ไปตามคำเชิญชวน เธอตัดสินใจถูกที่เลือกออกธุดงส์ อย่างน้อยตอนนี้เธอก็เหมือนกับนักมวยที่จะต้องฝึกซ้อม เพื่อเตรียมตัวขึ้นเวทีต่อสู้ ดังนั้น ตอนนี้หน้าที่ของเธอคือ ฝึกซ้อมจิต เพื่อที่จะต่อสู้กับกิเลสต่าง ๆ แต่เธออย่าลืมนักมวนที่ฝึกซ้อมอย่างเดียว ยังไม่ได้ขึ้นชก มักคิกว่า ตัวเองแน่เสมอ เมื่อไหร่ก็ตามที่เจอคู่ต่อสู้ที่แท้จริง คือ กิเลส ถ้าเธอไม่แกร่งพอ ก็แพ้ เธอต้องกลับมาซ้อมใหม่ การอยี่ในป่าเธอไม่ได้สัมผัสกับรูป รส กลิ่น เสียง ดังนั้นบางครั้ง จิตของเธออาจจะสงบ ดังนั้นเพื่อเป็นการทดสอบ เมื่อฉันแนะนำเธอทุกอย่างตามหน้าที่ของฉันแล้ว เธอก็จงกลับออกไปเพื่อพิสูจน์ว่า เธอแน่จริงหรือไม่ 

กระผมไม่สามารถอยู่ป่าตลอดชีวิตหรือครับหลวงพ่อ 

ที่เธอไม่สามารถอยู่ได้เพราะเป็นหนี้บุคคลอื่นเขามาก ดังนั้นชาตินี้ของเธอ เธอก็ต้องใช้หนี้พวกเขา นี่เป็นหน้าที่โดยตรงของเธอ แล้วเธอจะรู้เอง 

แล้วทำไมจึงมีพระที่ท่านอยู่ในป่าได้ขอรับ 

ทั้งนี้เพราะ พระที่ท่านอยู่ในป่า โดยส่วนมาก ท่านฝึกแบบ วิชชาสาม อภิญญา 6 หรือปฏิสัมภิทาญาณ ท่านกลัวคนเป็นบาปถ้าหากไปอยู่ในเมือง แต่ก็เฉพาะท่านที่มีหน้าที่สอนพระธุดงส์อย่างที่ฉันทำอยู่ เป็นหน้าที่ๆฉันต้องทำในฐานะบุตรของพระพุทธเจ้า เพราะฉันได้ปรารถนามอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระพิชิตมาร ฉันก็ต้องทำหน้าของฉันจนกว่าจะหมดเวลา 

ฉันหวังว่า เธอกลับออกไป คงจะไม่แพ้ พวกวัวเขาอ่อน นะ เป็นเรื่องที่อันตรายที่สุด ฉันจะเล่าให้ฟัง ตอนที่ฉันยังเป็นหนุ่มน้อย หลวงปู่ยังไม่ได้พาฉันออกบวช ฉันเคยอ่าน และเคยเห็นพวกนี้มามาก จนต่อเมื่อฉันได้ปฏิบัติธรรมและรู้เห็นอะไรมากมาย ฉันเคยถามพระว่า 

สมัยที่พระองค์เป็นเจ้าชาย มีนางบำเรอหกหมื่น ท่านชมการแสดงนี้แล้ว ทรงจัดการอย่างไรกับชีวิตในตอนนั้น พระพุทธเจ้าข้า 

ทรงแย้มพระโอษฐ์ฉันเมตตา แล้วตรัสว่า 

ถ้าเธอหมายถึง sex ฉันไม่ได้ดูหนังแห้งอย่างเธอ ฉันดูหนังสด จบแล้ว OK มีสถานการณ์รองรับ แต่เจ้าชายครั้งกระโน้น มิได้กามตายด้าน กำหนดรู้เขา(นารี) รู้เรา แต่ไม่ประกอบกิจนั้น และพวกเขาไม่อารมณ์ค้าง ไม่คลุ้มคลั่ง เจ้าชายกล่าวขอบคุณผู้มุ่งบำเรอว่า ภักดี แต่เป็นกิจที่ทำให้เราละไม่ได้ ธรรมบทกล่าวว่า ทุกสิ่งอาศัยอยู่เพื่อที่จะละ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งอาศัยแล้วละไม่ได้ คือ กามราคะ ยิ่งดื่มด่ำยิ่งกระหายเหมือนไฟไม่อิ่มเชื้อ ทะเลไม่อิ่มน้ำ และสัตว์ติดภพ ไม่อิ่มตัณหา เธออย่าสงสัยเลยว่า ฉันจะรู้สึกอย่างไร เธอจงมุ่งทานเสียสละความต้องการออกไป ชวนบริวารถวายเป็นพุทธบูชา อย่าบริโภคกามเลย สกปรก เนิ่นช้า 

หลวงพ่อพูดจบท่านยิ้มอย่างขำๆ คล้ายรู้ว่า ภิกษุหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่ 

เธออย่าเดาเปะปะว่าฉันเป็นพระอรหันต์ ไป การปฏิบัติของฉัน ฉันให้เป็นศูนย์ มีคำสอนว่า พระอรหันต์สามารถยิ้มได้ แม้ในทะเลแห่งกองเพลิง เพลิงดูถูก กองป่วย และพระอรหันต์ อยู่ที่ไหน ที่นั่นมีแต่ความรื่นรมย์ 

ฉันอยู่ได้ด้วยการยืม ยืมอารมณ์พระอรหันต์มาใช้ ยืมของคน ยืมทุกอย่างต้องใช้หนี้ ต้องส่งคืน แต่ทว่า ฉันยืมอารมณ์พระอรหันต์มาใช้ ฉันไม่ต้องขออนุมัติ ไม่ต้องส่งคืน ไม่ต้องจ่ายดอก ไม่ต้องใช้หนี้ ยืมตอนไหนหรือ ก็ตอนที่จิตกระทบ ราคะ โทสะ โมหะ นั่นแหละ เขาดูถูกยิ้ม ใจเย็น ไม่ต้องทำใจ มันหลุดเอง เขาหยิบยื่น ความไม่เป็นธรรมให้ ยิ้ม 

มันเกิดก็ดับเสีย ทำไป บางวันดี บางวันไม่ดี สุดแท้แต่มันจะเป็น ไม่ตั้งเป้าแล้วบีบบังคับ ไม่ทำร้ายจิตพระอริยเจ้า ถ้าเราไม่เป็นแต่เราใช้คุณธรรมของท่าน ไม่ทำร้ายลูกตถาตค กายเป็นลูกพ่อแม่ จิตที่กำลังฝึกกรรมฐานเป็นลูกพระพุทธเจ้า ตัวเราก็อยู่โรงเรียนทางโลก จิตเราก็เข้าโรงเรียนของพระพุทธเจ้า ทุกข์มีอย่างม อย่าไปจับมัน เหมือนไฟร้อนอย่าจับ ขี้เหม็น อย่าจับ ปวดร้าว อย่าจองไว้เอาละวันนี้ฉันสอนเธอแค่นี้ก่อน ให้เธอเอาไปใคร่ครวญด้วยปัญญา พรุ่งนี้ ฉันจะพาเธอไปทัวร์ที่อื่นบ้าง  

พระภิกษุหนุ่มกราบท่าน สามครั้ง พอเงยหน้า ท่านก็หายไปแล้ว 

.............................................................................................

ป่าแห่งนี้มีต้นไม้ขนาดมหึมารายล้อมเต็มไปหมด พระภิกษุหนุ่มเดินตามหลังหลวงพ่อ ที่บังเอิญพบท่านในถ้ำขณะที่เดินธุดงส์มาแถวทิวเขาพนมดงรัก 

หลวงพ่อถามพระภิกษุหนุ่มว่า 

เธอคิดว่าที่นี่คือที่ไหน 

กระผมคิดว่า ที่นี่คงเป็นป่าหิมพานต์ สมัยที่อดีตชาติหลวงพ่อเคยแอบมาเล่นที่นี่ 

ฉันจะพาเธอไปดูอะไรสักอย่าง 

หลวงพ่อเดินไม่กี่ก้าว ก็ถึงสถานที่อยู่กันคนละซีกโลก น้ำตกสวยสูงงามตระหง่าน ดอกไม้พันธุ์ที่ไม่มีในโลก บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยมาตามลม พื้นน้ำตกส่องประกายสีทองงามจับตา และไม่ไกลจากน้ำตกฟากตรงข้าม เสือ เก้งกวาง กำลังนั่งคลอเคลียราวกับ พวกมันไม่รู้ว่าต่างก็เป็นสัตว์พรานและสัตว์เหยื่อซึ่งกันและกัน 

หลวงพ่อพูดขึ้น 

สถานที่แห่งนี้แหละ ที่มีทรายเป็นทองคำ เสือเก้งกวางเป็นเพื่อนเล่น สังเกตเห็นไหมว่าใต้พื้นน้ำตกมีประกายสีทองเหลืองอร่าม นั่นเป็นทรายทองคำทั้งนั้น 

ถ้าฉันพาคนตาบอดมายังสถานที่แห่งนี้ แล้วบอกว่า มีทรายเป็นทองคำ เธอว่าเขาจะเชื่อฉันไหม 

อาจจะเชื่อหรืออาจจะไม่เชื่อขอรับ 

แล้วถ้าฉันพาคนตาดีมาดูอย่างเธอตอนนี้ เธอว่าเขาจะเชื่อไหม 


อาจจะเชื่อหรือไม่เชื่อขอรับ 

ทำไมเธอคิดเช่นนั้น 

กรณีคนตาดีกระผมเคยพบมาบ้างขอรับ ประเภทที่ว่าตัวหนังสือมีอยู่ และก็เห็นตัวหนังสือ แต่ยังปฏิเสธว่าตัวหนังสือไม่มีในโลก กระผมไม่เคยคิดว่าจะเจอคนประเภทนี้ขอรับ 

คนบนโลกที่ขาดจักษุปัญญา มักหลงว่า ขี้เป็นทอง และพบทองนึกว่า ขี้ ทิ้งไป พระก็เหมือนกัน แบ่งได้ สี่ อย่าง คือ พระเปล่าปิด พระเปล่าเปิด พระเต็มปิด พระเต็มเปิด ที่ว่าพระเปล่าเปิด คือ ไม่ได้อะไร แต่เปิดเผยให้คนเห็นว่าตนชั่ว พระเปล่าปิด คือ ไม่ได้อะไร แต่ทำเป็นขรึม ๆ เคร่ง ๆ ให้คนศรัทธา พระเต็มเปิด เป็นของแท้ แต่ไม่กลัวคนเสื่อมศรัทธา เขาอวดดีกัน ท่านเอาความเลวมากลบไว้ พระเต็มปิด เป็นพระแท้ แต่ไม่แสดงอะไรว่าฉันยังงั้น ยังงี้ เงียบ ปกปิดความดีไว้ นอกจาก นักเลงตาทิพย์นั่นแหละจะมากระชากหน้ากากออกให้โลกรู้ ที่ฉันพูดเรื่องนี้ ฉันต้องการให้เธอรู้ว่า จงอย่าได้ทำตนเป็นคนที่พบทองแล้วเห็นเป็นขี้ ฉันรวมไปถึงว่า หากเราไม่รู้ว่าท่านอยู่ระดับไหน หรือ แม้จะรู้ว่าอยู่ระดับไหน ก็ไม่ควรที่จะไปวิจารณ์ การสอนของท่าน การปฏิบัติของท่าน ว่าดีหรือไม่ดี ไม่ควรเอาอาจารย์ของตนเองยกเปรียบเทียบกับอาจารย์ของผู้อื่น ว่า อาจารย์ฉันดีกว่านะ เพราะมันไม่ใช่วิสัยของพระ 

คำว่าพระ ฉันไม่ได้หมายถึงคนที่นุ่งเหลืองห่มเหลือง โกนหัว เธอจงเข้าใจ ว่า พระ ของฉันหมายถึง ใครก็ตามที่เขามีระดับจิตอย่างต่ำสุด คือ พระโสดาบันขึ้นไป อย่างนี้ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกว่า พระ หากระดับจิตต่ำกว่านี้ แต่นุ่งเหลือง ห่มเหลือง โกนหัว ทรงเรียกว่า สมมติสงฆ์เท่านั้น จำไว้นะเธอจะได้ตอบให้เขาเข้าใจเมื่อมีคนมาถาม  

และที่สำคัญที่อยากให้เธอทราบไว้คือ ความเชื่อในพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าเธอไปเจอพวกคัดค้านคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วปฏิเสธว่า นรก สวรรค์ พรหม พระนิพพาน ชาตินี้ ชาติหน้า ไม่มีจริง หากเธอได้ชี้แจงและยกพระไตรปิฏกมาให้เขาแล้ว เขายังไม่เชื่อ ก็จงวางเฉยเสีย ถือว่าเป็นกรรมของเขา 

ถ้าพูดถึงเชื่อไม่เชื่อ พระพุทธศาสนาไม่ขึ้นอยู่กับการเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่พระพุทธศาสนา ขึ้นอยู่กับการเห็น เพราะ พระตถาคตเห็น วันที่พระองค์ทรงตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ พระองค์ทรงเห็นด้วยอำนาจแห่งพระญาณ เห็นทุกอย่างในภพทั้งสาม และพระนิพพาน ใครจะเชื่อไม่เชื่อพระองค์ไม่ทรงง้อ 

คนเชื่อนั้นมี 3 พวก เป็น เวไนย สอนได้ คนไม่เชื่อ เป็น อเวไนย สอนไม่ได้ แม้พระทศพลก็ไม่สอน คำว่า ปท คือ บทบาท ปรม คือ บรม หมายถึงอย่างยิ่ง ผู้ที่มีบทบาทอย่างยิ่งในการคัดค้าน ก็จงปล่อยเขาไปตามยถากรรม เป็นเป็นเหยื่อเต่า เหยื่อปลา (บัวใต้ตม) แต่การเชื่อ จะต้องประกอบไปด้วย อินทรีย์ 5 พละ 5 คือ 

หนึ่ง ศรัทธา ความเชื่อในพระปัญญาองค์พระตถาคต ไว้ใจธรรม ไม่มีสังโยชน์ ข้อ 2 คือ วิจิกิจฉา 

สอง ความเพียร ปฏิบัติพยายามค้นคว้าให้เกิดปัญญาจากการปฏิบัติที่เรียกว่า ปฏิบัติ ปริยัติเป็น 2 
ปฏิบัติ เป็น 1 
ปริยัติ เป็นบรรทัด 
ปริยัติ เป็นเส้นสมุด เส้นบรรทัด ป้องกันโย้เย้ ลาดเอียง ให้ตรงทาง ตัวหนังสือ คือ ความรู้ ที่บอกไว้เป็นตำรา ถ้าไม่เขียน ไม่เกิดทักษะ สมัยนี้ คนจึงมีแต่สมุดเปล่า เพราะไม่เขียน จึงเรียกว่า เสือ กระดาษเปล่า พูดไปมันไม่จบ สู้ปฏิบัติไม่ได้ 

สามสมาธิ สี่ สติ ห้า ปัญญา ทั้ง 5 อย่างนี้เป็นตัวเดียวกัน แต่ซ้อนให้หนักแน่นยิ่งขึ้น คนที่ไม่มีอินทรีย์แก่กล้า คือ เด็ก ที่ยังไม่พร้อม จะเรียนรู้ไม่ได้ เพราะไม่บรรลุนิติภาวะ 

วันนี้ฉันสอนเธอแค่นี้นะ เพราะเธอต้องอยู่กับฉันอีกนาน.. 

หลวงพ่อยืนมองน้ำตกที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย พระภิกษุหนุ่มรู้สึกจิตใจสงบลงอย่างประหลาด ยามนั้น ท้องฟ้าเบื้องบนปรากฏแสงสีทองสาดส่องลงมาต้องร่างหลวงพ่อไว้ ร่างของท่านทั้ง 
ร่างดูเหมือนกับถูกห่อหุ้มด้วยทองคำ เปล่งประกายสีเหลืองนวลละออตา งามจับจิตจับใจยิ่ง พระภิกษุหนุ่ม คล้ายได้ยินเสียตะโกนก้องดังมาจากฟากฟ้าราวกับบอกให้ตนว่า 

ดวงแก้วตรัยรัตนะ จงรักษาให้ดีเถิด พระพุทธเจ้าดุจแม่ผู้ให้กำเนิด พระธรรมบังเกิดเปรียบองค์บิดร พระอริยะมาโปรดสั่งสอน..ดั่งญาติร่วมอุทร.ท่านจงรีบเร่งตัดรอนถอนจิตจากวัฏฏะเทอญ  

นิพพานนังปรมัง สุขขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง 

....................จบ..............................				
12 พฤษภาคม 2547 12:22 น.

ฤทธิ์อภิญญา.............ตอนที่ 8

วสุนทรา

หลวงปู่จากไปหลายวันแล้ว พวกเด็กเงียบเหงาไปถนัดตา แต่ก็ไม่ยอมละเมิดคำสอนของหลวงปู่ 

เด็กน้อยทั้งสามนั่งบนหน้าผาหน้าถ้ำ เหม่อมองท้องฟ้าอดที่จะรู้สึกอ้างว้างไม่ได้ คำถามหลายคำถามประดัง 

เราเกิดมาทำไมกันหนอ เพื่ออะไร 

ทำไมพอคนที่เราเคารพรักจากไป เราถึงรู้สึกทุกข์ใจอย่างนี้ 

ขณะนั้น ท้องฟ้าสีครามสดใสคล้ายถูกมือมหึมาแหวกออก ปรากฏฉัพพรรณรังสีรัศมี 6ประการ ฉายออกมา พร้อมกับ พระพุทธรูปแก้วในองค์ใหญ่ ทรงจีวรสีฟ้า ฐานพระพุทธรูปแก้ว นั่งอยู่บนดอกบัวแก้วสีขาวอมชมพู เปล่งประกายสวยงามระยิบระยับ พระพุทธรูปแก้ว ยิ้มประโอษฐ์สวย ดวงเนตรมีแววเมตตาเอ็นดูต่อทุกสรรพสิ่ง หากไม่กระพริบ พระพุทธรูปแก้ว ตรัสว่า 

จำคำพ่อไว้นะลูก คนเราเกิดมาเพื่อให้รู้ทุกข์ เมื่อรู้ทุกข์เห็นทุกข์แล้ว และจงดับทุกข์นั่นเสีย แล้วลูกจะพบคำตอบที่ลูกต้องการ 

สิ้นพระกระแสรับสั่ง องค์พระพุทธรูปแก้ว ได้หายไปแล้ว ทั้งสามตกตะลึงจนลืมกราบนมัสการ 

จำคำที่พระท่านสอนไว้นะลูก 

กวิน เวคิน ทินกร หันขวับไปด้านหลัง ท่านพ่อ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ทั้งสามจึงก้มลงกราบ 

ต่อไปเป็นหน้าที่ของพ่อที่จะสอนลูก ในด้านของทิพจักขุญาณ ลูกจำภาพพระองค์แก้วเมื่อกี้ได้ไหมลูก 

จำได้เจ้าค่ะ ขัดเจนเหมือนมองด้วยตาเปล่า ทั้งสามตอบพร้อมเพรียงกัน 

ทีนี้เอาจิตจับองค์พระนะลูก มีความรู้สึกอย่างไรบ้างจ๊ะ 

รู้สึกสบายเจ้าค่ะ ไม่เหงาเหมือนเมื่อกี้ เวคินตอบ 

กวินและทินกรตอบพร้อมกันว่า 


เหมือนกันเจ้าค่ะ พระท่านยิ้มสวยจนลูกรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก 

ทีนี้พ่อจะแสดงอะไรให้ดู ลูกจับองค์พระและดูสิ่งที่พอจะแสดงและคิดใคร่ครวญไปด้วยนะลูก 

และแล้วกลางอากาศก็ปรากฏภาพประหนึ่ง จอซีนีม่าสโครป ขนาดใหญ่ บอกถึงเรื่องราวของชีวิตคน ตั้งแต่ เกิด ภาพเด็ก ๆค่อยเติบโตเป็นผู้ใหญ่ จากนั้นจากผู้ใหญ่ก็กลายเป็นวัยชรา และตายไปในที่สุด โครงกระดูก ขาวโพลนเกลื่อนกลาด สุดท้ายเมื่อกาลเวลาผ่านไป โครงกระดูกเหล่านั้นก็กลายเป็นเถ้าธุลีและสูญสลาบเป็นอากาศธาตุ 

ลูกรัก สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นวิถีชีวิตของสัตว์โลก ไม่ว่าคน สัตว์ ต้นไม้ สิ่งต่าง ๆ ไม่มีอะไรทนทานถาวร ร่างกายของลูกต่อไปก็จักเป็นเช่นนี้ สุดท้ายก็เหลือแต่ความว่างเปล่า มีเพียงแต่จิตเท่านั้นที่คงอยู่ ลูกคงสงสัยว่าจิตของลูกเป็นอย่างไร พ่อจะสอนให้ลูกเห็นเพื่อคลายความสงสัย 

ลูกจับพระองค์แก้วไว้ในออก ฟังเสียงพ่อและนึกในใจตามนะลูก ขอพระบารมีของพระแก้วใส โปรดแยกกายและจิตของลูกในฉับพลันทันทีเถิด 

กวิน เวคิน ทินกร คิดแบบที่ท่านพ่อบอก เมื่อคิดเสร็จ เขารู้สึกว่า มีตัวอีกตัวหนึ่ง ได้ออกมาจากร่างกายของเขา กวิน เวคิน ทินกร ตกตะลึง ที่เห็นร่างกายของเขานอนนั่งสมาธิอยู่บนพื้น หากตัวของเขาที่ยืนอยู่นี้คือ จิตอย่างนั้นหรือ 

กวิน เวคิน ทินกร มองไปที่ร่างเดิม รู้สึกรังเกียจสะอิดสะเอียนอย่างบอกไม่ถูก เพราะร่างนั้นหาได้สดใสไม่กลับมีสีดำคล้ายซากต้นไม้แห้ง ๆก็มิปาน ส่วนตัวที่ยืนอยู่นี้ไม่ต่างกับท่านพ่อเลย ทั้งความสูง เพียงแต่ แสงที่ออกมาจากกายของท่านพ่อสว่างกว่ามากนัก มิหนำซ้ำตัวนี้ยังเบาตัว ทินกร มองดู กวินและเวคิน ทั้งสองมีหน้าตาเหมือนกันเลย แต่แปลก ที่เขาแยกได้ว่าใครเป็นใคร 

เอาละ ลูกทุกคนเก่งมาก ที่นี้เราจะไปเที่ยวกัน  

ท่านพ่อจับมือเวคิน และกวิน กับทินกร พริบตาทั้งสี่ก็มายืนอยู่ในสถานที่แปลกตา สถานที่แห่งนี้ คล้ายวิมานของท่านพ่อ แต่สวยกว่ามาก หากแต่มีกำแพงแก้วล้อมรอบ เลยกำแพงเป็นบันไดแก้วรูปพญานาคทอดไปถึงองค์เจดีย์องค์ใหญ่ที่อยู่กึ่งกลาง องค์เจดีย์บนยอดปลายแหลม มีดวงแก้วคล้ายดาวประกายพรึกและมีฉัตรแก้วเป็นธงปะตากปลายแหลมอยู่บนยอดสองแฉก และมีองค์เจดีย์เล็กอีก สี่องค์ สถานที่แห่งนี้ดูคล้ายมีสี 7 สีเปล่งประกายระยิยระยับ 

กวินคิด 

มีทางขึ้นทางเดียวหรือ แต่แล้วเขาก็อดประหลาดใจไม่ได้ที่ เห็นบันไดทุกด้านทันที โดยที่ไม่ต้องอ้อมไปดู 

ท่านพ่อพูดขึ้น 

ลูกไม่ต้องแปลกใจ กวิน จิตมีสภาพไวมาก ไม่ได้ใช้การมองเหมือนคนในโลกมนุษย์ ถ้าพูดง่าย ๆ คือ เห็นได้ทุกด้าน ทุกส่วน โดยไม่ต้องเห็นซ้าย เหลียวขวา ไม่ต้องเงยหน้า ไม่ต้องเหลียวหลังไปดู ถ้าจิตคิดจะเห็น ภาพที่จะดูมันจะบังเกิดให้จิตเห็นทันที 

ทั้งสี่ได้มาหยุดทางปากประตูเข้าไปในองค์เจดีย์ ซึ่งมีคนตัวใสเช่นเดียวกับท่านพ่อและพวกเขา ยืนเฝ้าอยู่ ท่านดูสวยงาม สง่ามาก 

กราบท่านเสียลูก 

เด็กทั้งสามก้มลงกราบ 

คนตัวใสที่เฝ้าประตูยิ้ม และพูดว่า 

ขึ้นมาเที่ยวบ่อย ๆนะลูก ลุงเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอด ใครที่ทำผิดศีล เข้ามายังที่แห่งนี้ไม่ได้ รักษาความดีไว้นะ 

ลุงชื่ออะไรหรือเจ้าค่ะ 

มเหสักขา แต่ชื่อเต็มของลุงคือ มเหสักขาราชาวดี 

ทั้งสามกราบลาท่านลุงมเหสักขาก่อนตามท่านพ่อเข้าไปด้านใน เมื่อเห็นสภาพด้านใน 

ทั้งสามอุทานในใจ 

โอ้โห.คนตัวใสอย่างท่านพ่อเพียบเลย และก็มีองค์ประธานนั่งอยู่บนพระแท่นสูง องค์ประทานนี้สวยกว่าทุกท่านในที่นี้ แปลกที่แสงสว่างแต่ละท่านไม่เท่ากัน 

เสียงท่านพ่อดังขึ้น 

แสงสว่างที่ลูกเห็น เรียกว่า รัศมีกาย ซึ่งจะแตกต่างไปตามบุญบารมี และระดับจิต พระอริยเจ้าขั้นสูง จะมีรัศมีกายสว่างกว่าพระอริยเจ้าขั้นต่ำ และการนั่งก็จะนั่งเรียงกันตามลำดับของมรรคผล คือ แถวที่นั่งใกล้องค์ประธานมากที่สุด คือ พระอรหันต์ รองลงมาก็เป็น พระอนาคามี สกิทาคามี โสดาบัน ท้ายสุดคือ พวกที่ได้ฌานโลกีย์ เห็นไหมว่า จะมีรัศมีกายน้อยกว่าพระอริยเจ้ามาก 

ทั้งสี่เดินผ่านช่องว่างที่เว้นไว้เพื่อไปกราบองค์ประธาน เมื่อถึงหน้าพระพักตร์องค์ประธาน ท่านพ่อและเด็กทั้งสามก้มลงกราบด้วยความเคารพ 

องค์ประทานยิ้มสวย ท่านนั่งอยู่บนบัลลังก์หรือแท่นแก้ว สูงแพราวพราวสว่างไสว ฉัพพรรณรังสี แผ่มาครอบคลุมกายของทั้งสาม ดอกบัวแก้วสวยงามอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน รองรับพระบาทปลายงอนขององค์ประท่าน ทรงสวมชฏาแหลมเปี๊ยบ เครื่องประดับแก้ว แพรวพร่าวระยิบระยับ ทั้งสามมองเพลิน องค์ประธานยิ้มอย่างเมตตา ตรัสว่า 

เข้ามาใกล้พ่อซิลูก 

เด็กทั้งสามเข้าไปใกล้องค์ประธาน รู้สึกมีความสุขใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งสามก้มลงกราบแทบพระบาทขององค์ประธาน พระองค์ทรงรดน้ำทิพย์ ความรู้สึกเย็น สงบ ซาบซ่านเข้าไปถึงจิตใจ 

อยู่ดีมีสุขนะลูก พรใดที่ลูกขอ พ่อขอให้พรนั้นแก่ลูก 

ทั้งสามปิติสุขจนสุดพรรณนา ท่านพ่อบอกว่า 

ถวายดอกไม้ทิพย์พระองค์ท่านซิลูก 

กวิน เวคิน ทินกร นึกถวายดอกไม้ทิพย์ ฉับพลันปรากฏพานทองรองดอกไม้แก้ว ลอยไปตรงหน้าพระพักตร์ขององค์ประธาน องค์ประทานยิ้มอย่างเมตตา 

ท่านพ่อ กล่าวขึ้นอีก 

ลูกคิดตามที่พ่อบอก ลูกขอกราบประทานอนุญาต ยกกายทิพย์ของลูกเข้าไปนั่งสมาธิอยู่ในท้องของพระองค์ ขอฐานบัวแก้วรองรับด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า 

สิ้นคำอธิษฐาน กายทิพย์ของกวิน เวคิน ทินกร เข้าไปอยู่ในกายทิพย์ขององค์ประทานทันที องค์ประทานตรัสว่า 

ต่อไปไม่ว่าจะไปที่ไหน ทำอะไร ขอให้ลูกทั้งสามอยู่ในกายทิพย์ของพ่อ ไม่ว่าจะลืมตา หลับตา ให้ระลึกถึงสิ่งที่สัมผัส และจงทำเป็นนิมิตร ไว้อยู่กลางอกของลูก ไม่ว่าไปที่ไหน ขึ้นชื่อว่าพ่อไปด้วยกับลูกเสมอ 

ลูกยังสามารถแยกกายทิพย์ ออกได้หลายแสน หลายล้านกายทิพย์ตามใจปรารถนา ลองแยกไปอยู่ตรงหน้าพ่อสิลูก 

ทั้งสามใช้จิตคิดว่า 

ขอพระบารมีองค์ประธานแยกกายทิพย์ของลูกไปนั่งอยู่หน้าพระพักตร์แห่งองค์ประธานด้วยเถิดเจ้าค่ะ 

แล้วกายทิพย์ของทั้งสามก็ปรากฏอยู่ด้านหน้าองค์ประธาน ขณะเดียวกันกายทิพย์ในท้องขององค์ประธานก็ยังมีอยู่ องค์ประธานตรัสด้วยพระเมตตาว่า 

ต่อไปลูกแยกกายทิพย์อยู่ในท้องของพ่อ และแยกอีกกายหนึ่งไปท่องเที่ยวที่ไหน ๆก็ได้ตามใจปรารถนา เวลาลูกจะไปที่ไหน แค่นึกถึงพ่อ พ่อสามารถพาลูกไปได้ทุกๆแห่ง แต่เราไม่ได้เอากายขันธ์ 5 ไปนะลูก เราเอาจิตไปเที่ยว 

ท่านพ่อบอกต่อว่า 

กราบพระองค์ท่านเสียลูก เราจะกลับกันแล้ว 

ทั้งสามกราบองค์ประธานด้วยความเคารพนอบน้อม 

.. 

ลืมตาได้แล้วลูก 

กวิน เวคิน ทินกร ลืมตาขึ้นพบว่า ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว เวลาผ่านไปเร็วจัง ทั้ง ๆที่รู้สึกแค่แป๊บเดียวเอง 

เป็นยังไงบ้างจ๊ะ ท่านพ่อถาม ดูท่านอารมณ์ดีเป็นพิเศษ 

กวินรีบตอบว่า 

ง๊ามงามเจ้าคะ ลูกไม่เคยพบเคยเห็น องค์ประธาน ท่านยิ้มส๊วยสวยนะเจ้าค่ะ พระทัยดีด้วยเจ้าค่ะ 

เวคินกล่าวว่า 

ลูกมีความสุขมาก อิ่มใจอย่างบอกไม่ถูกเชี่ยวเจ้าคะ 

เจ้าทินกร พูดยิ้มๆ 

ว้าท่านพี่แย่งลูกตอบหมดเลยเจ้าคะ อย่างนี้ลูกเสียเปรีบยแย่ 

เอาละ ทีนี้ลูกกำหนดนิมิตองค์ประธานไว้ในออกนะลูก จิตเห็นองค์ประธานแล้วขยายองค์ประธานให้คลุมกายเราไว้นะลูก ทำได้ไหมลูก 

ได้เจ้าค่ะ 

ดีมากลูก ต่อไปอยากไปเที่ยวไหน ก็ให้กำหนดภาพองค์ประทาน อย่างที่พระองค์บอก ยิ่งเห็นพระองค์ชัด ลูกยิ่งจะมีความแจ่มใสมากในด้านทิพจักขุญาณ นี่เราไม่ได้ไปเองนะลูก ขอพระบารมีองค์ประธานช่วย ท่านพาเราไปได้ทุกแห่ง ที่พ่อสอนวันนี้ และพาไปเที่ยว ไม่ใช่การเริ่มต้น แต่พ่อแค่มารื้อฟื้นของเก่าของลูกเท่านั้น ถ้าคนไม่เคยได้มาก่อน เขาอาจจะต้องใช้เวลามาก หรืออาจจะไม่สามารถฝึกได้ในชาตินี้ หลวงปู่ท่านได้ฝากลูกแก้วมาให้ลูก ๆทั้งสาม  

ท่านพ่อส่งลูกแก้วสีขาวใสให้กวิน ส่วนเวคินได้ลูกแก้วสีฟ้าประกายเพชร ส่วนทินกรเป็นลูกแก้ว สีทอง พอทั้งสามรับลูกแก้ว ก็ปรากฏลำแสงเจิดจ้า ครอบคลุมร่างของทั้งสามไว้ 

(จบตอนที่ ..8)				
11 พฤษภาคม 2547 09:06 น.

ฤทธิ์อภิญญา.....7

วสุนทรา

ไกลออกไปจากกุฏิหลวงปู่หลายร้อยกิโลเมตร ณ ที่แห่งนั้น ยังเป็นผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ยากที่ชาวป่าชาวดอยจะเข้าถึง หากมีกระท่อมไม้ไผ่หลังน้อย ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว 

ด้านข้างกระท่อมไม้ไผ่ มีน้ำตกสายไม่ใหญ่นักทอดจากเขาเตี้ย ๆ ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ รอบกระท่อมมีดอกไม้หลากสีนานาพันธุ์ หน้ากระท่อมมีฮ้านไม้ไผ่(ลักษณะคล้ายตั่งแต่ทำจากไม้ไผ่ พบแถวบ้านคนภาคเหนือ) ตัวหนึ่ง กว้างและยาวพอให้คนนั่งได้หลายคน 

ตรงบันไดกระท่อมมีน้ำตุ่มน้อยวางอยู่สำหรับล้างเท้า เลยขึ้นไปบนกระท่อมมีฮ้านเล็ก ๆ ยื่นออกมาสำหรับวางน้ำหม้อ(เป็นที่ใส่น้ำของคนเหนือ ทำมาจากดินสีแดงๆ เมื่อใส่น้ำลงไปเวลาดื่มจะรู้สึกเย็นสดชื่น) สองหม้อสำหรับดื่มกิน 
มีน้ำบวยน้อยๆวางอยู่ด้านข้าง ลานหน้ากระท่อมไม้ไผ่สะอาดสะอ้าน 

บัดนี้หลวงปู่และพวกเด็ก ๆได้มายืนอยู่หน้ากระท่อมแล้ว ก่อนจะมาทินกรซักใหญ่ 

ปู่จะพาหลานไปเที่ยวไหนหรือเจ้าค่ะ 

พาเองไปเที่ยวทางเหนือนู้น 

เหนือนู้นหนะเหนือไหนหรือเจ้าค่ะ 

พะเยาโว้ยถามอยู่ได้ 

ไกลไหมหลวงปู่ 

ไกลซี เราอยู่ภาคอิสาน จะไปพะเยามันก็ไกล แต่พวกเราไปทางลัดไม่ไกลดอก 

ทางลัดหลวงปู่ไม่ไกลจริง ๆ เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว พะเยากับภาคอิสานมันช่างใกล้กันเสียจริ๊ง 

นา ข้าพาหลานๆ มาเยี่ยม 

เสียง กุ๊ก ๆ กั๊ก ๆ เสียงกระแอมไอ ดังออกมาจากกระท่อมไม้ไผ่ เมื่อประตูกระท่อมเปิดออก ก็ปรากฏพระภิกษุชรา วัยไล่เลี่ยกับหลวงปู่ แต่ผอมกว่า ผิวขาวกว่าหลวงปู่ ท่านใส่สบงผืนเดียวหลวม ๆ สีซีดเก่า ท่านเดินกระย่องกระแย่งออกมา ในปากท่านเคี้ยวหมาก ยิ้มทีเห็นแต่เหงือกสีแดงแจ๊ดเลย 

หลวงตานา เห็นหลวงปู่รีบยกมือไหว้ หลวงปู่ไหว้ตอบ เมื่อหลวงตาลงมาแล้ว ท่านกับหลวงปู่ก็จับไม้จับมือกันอย่างสนิทสนม หลวงปู่กับหลวงตานั่งที่ฮ้านไม้ไผ่ เมื่อทั้งสองท่านนั่งเสร็จ หลวงตานาก็กวักมือเรียกพวกเด็ก ๆ 

เด็กทั้งสามนั่งลงกับพื้นแล้วกราบหลวงตานา หลวงตาลูบหัวเด็กทั้ง สามด้วยความเมตตา เอ็นดู แล้วให้พร 

อยู่ดีมีสุขเด้อหลาน 

สำเหนียงที่หลวงตาพูดฟังแล้วกระหนุงกระหนิง ระรื่นหู เป็นสำเนียงเหนือแท้ หลวงตาใช้ตาใสแจ๋วมองดูเด็กทั้งสาม พร้อมกับหัวเราะ หึ หึ ในลำคอ หลวงปู่เปิดการสนทนาก่อน 

นี่ พาให้ดูตัว เห็นว่าอยากพบ มันดื้อมาก โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็ก นี่แหละที่เคยเล่าวีรกรรมให้ฟัง มันซน 

หลวงปู่บอกกับตาว่า พวกหลานฮ๊าย(ซน) แต่ใจ๋งามเป๋นแก้ว 

นี่..อย่าไปชม เดียวเหลิง หลวงปู่ค้อนหลวงตาไปทีหนึ่ง 

พวกเอ็งทำไมวันนี้เรียบ ๆ ร้อย ๆ นี่ปู่พามากราบพระสุปฏิปันโน รู้จักไว้หลวงตานา นี่ท่านเป็นสายสุขวิปัสสโก ไม่ได้มีฤทธิ์มีเดชอย่างพวกเอ็ง แต่จบแล้ว จบ ป.สี่ ใจท่านเป็นแก้วพรึบทั้งดวง เป็นพระทองคำจริงไหมนา 

หลวงตาไม่พูดได้แต่ยิ้มน้อยๆน่ารัก 

หลวงตาอยู่องค์เดียวหรือเจ้าค่ะ ทินกรเริ่มเจรจาพาที 

เออ.ตาอยู่คนเดียว บ่มีไผ(ไม่มีใคร)ดอก แถวนี้ คนบ่เข้ามากั๋น มันเป๋นป่าดงป่าดิบ 

หลวงตาไม่กลัว เสือ ช้าง หรือเจ้าค่ะ กวินถามขึ้นบ้าง 

กั๋วหยัง(กลัวอะไร) ความตายยังบ่กั๋วเลย อยู่ด้วยเมตตาธรรม สิงสาราสัตว์บ่ทำร้าย 

หลวงปู่ได้ขยายความด้วยเสียงนุ่มนวลระรื่นหูว่า 

หลวงตานา เมื่อก่อนท่านอยู่ในเมือง ที่ท่านมาอยู่ที่นี่ก็เพราะ หนีชาวบ้านเขามา ลูกเอ๋ย.รู้ไหมเวลาหลวงตาป่วยมันก็ใช้ หลวงตาจะพักผ่อนมันก็เรียก พวกนี้บาปหนักนะลูกจำไว้ ถ้าขึ้นชื่อว่าพระอริยเจ้า โดยเฉพาะพระอรหันต์ ท่านสงเคราะห์ดะ ท่านสงเคราะห์ด้วยความเมตตา คนพวกนั้นมันได้ใจ เห็นท่านเมตตาก็ใช่ใหญ่ หลวงตาเลยมาอยู่ที่นี่ คนจะได้ไม่เป็นบาป โทษของการรบกวนพระอรหันต์อเวจีนะลูก ถ้าท่านไม่สงเคราะห์ ก็จงอย่าไปรบกวนท่านนะลูก 

เจ้าค่ะ หลวงปู่ 

หลวงตาเคี้ยวอะไรเจ้าคะ หลานไม่เคยเห็น 

หลวงตาหัวเราะ หมากแทบหก 

หมากลูกหมาก แล้วหลวงตานาก็เล่าให้เด็ก ๆฟังว่า 

มีคนมาถามตาว่า ตากิ๋นหมากโตยกา(ด้วยหรือ)  ตาก่อตอบไปว่า กิ๋นเพราะต้องอาศัยตัวยาบางอย่างในหมากช่วยเสริมธาตุขันธ์ บ่ใจ่กินเพราะติดในรสน้อ 

หลวงปู่จึงพูดว่า 

ปู่จะบอกให้อีกอย่างนะลูก คนส่วนใหญ่คิดว่า พระอรหันต์ต้องนั่งนิ่ง ๆ หลับหู หลับตา ไม่กระดุกกระดิก ไม่กินหมาก ไม่สูบบุหรี่ ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ ปกตินะลูกพระที่ท่านจบกิจท่านจะเทมายาทิ้งไม่เหลือ ยกเว้นมีพิธีสำคัญ ๆ ท่านก็ต้องแต่งตัวแบบมีพิธีรีตอง แต่ยามธรรมดาท่านก็ทำตัวเป็นปกติ ดูอย่างหลวงตาท่านก็ใส่สบงตัวเดียวนี่แหละ ไม่รู้กี่ปีๆ ก็เห็นใส่อย่างนี้ จริงไหมนา 

ฮือๆ หลวงตาตอบเบ๊าเบา 

นาไม่มีอะไรจะสอนพวกเด็ก ๆหรือ 

บ่ต้องดอกปู่ ละอ่อน(เด็ก) หมู่นี้ มีครูบาอาจารย์อยู่แล้ว เฮาบ่ฮู้จะสอนหยัง 

ตะวา(เมื่อวาน) ท่านพ่อของละอ่อนนี้ก่อมาหาตา 

หลวงตารู้จักท่านพ่อด้วย ทินกรถามอย่างแปลกใจ 

อื่อ.ปู่พามาฮื้อ(ให้)ฮู้จักเหมือนหลานๆนั่นแหละ ดีแล้วลูกอยู่กับท่านที่มีธรรมก่อมีแต่ความเจริญ 

อาจารย์ของพวกเอ็ง อยู่ด้วยก็อย่าทะโมนนัก ท่านภูมิอรหันต์มรรคแล้วนะลูก แต่ไม่ไปต่อชั้นสูง ๆ อาจารย์เองบอกว่า อยู่ที่ไหน ๆก็ต่อได้ ข้าบอกพวกเอ็งไว้ก่อน อย่าได้ดูถูกเชียวนา ภูมิเทวดา รุกขเทวดา หรือเทวดาที่อยู่ชั้นไม่สูง เช่น จาตุมหาราชา บางท่านขี้เกียจย้ายที่อยู่ ก็เลยตัดกิเลสชัวะ ๆ อยู่ที่เดิม แต่จิตสูงขึ้น ถ้าเป็นอรหันต์ผลเมื่อไหร่ก็นู้น นิพพานเลย อย่างอาจารย์เอ็งอีกไม่นานก็จบกิจ รอแต่สงเคราะห์พวกเอ็งเท่านั้น 

เฮียน(เรียน)ไปถึงไหนแล้วกา หลวงตาถาม 

เวคินตอบแทนทุกคนว่า 

ตอนนี้ฝึกกสิณอยู่เจ้าค่ะ หลวงปู่ยังสอนไม่จบเจ้าค่ะ 

เออ.ดีลูกอายุยังน้อย แต่ใจ๋งามแท้ คนบะเดี่ยว(คนเดี๋ยวนี้) หลงมัวเมาแต่โลก บ่สนใจ๋ศึกษาธรรมปฏิบัติ เข้าใจ๋ว่า คนปฏิบัตินี่ต้องนะโมตัสสะอย่างเดียว เออก็เลยกั๋วกั๋น พอบอกว่าให้ภาวนาไป พิจารณาไป ไม่ว่างจากความดี แต่ว่างจากความชั่ว ก่อว่าหนัก ธรรมะบันเทิงลูกมันหนุกอยู่ที่ไหนก่เป๋นธรรมหมด อย่าได้เป๋นหยั่งคนบะเดี่ยว มันประมาทกั๋น จะเข้าวัดเข้าวาก็ตอนแก่ปู้น(นู้น) โทะ..ฮู้ได้จะใดว่าบ่ตายก่อน แก่แล้วลำบาก ลุกนั่งก่อลำบาก ตอนอายุน้อยๆนี่แหละดีแล้วลูก 

หลวงตาชี้มือไปที่น้ำตกแล้วถามเด็กทั้งสามว่า 

นั่นอะหยัง 

น้ำตกเจ้าค่ะ 

เป๋นอะหยัง 

ธรรมชาติเจ้าค่ะ 

ธรรมชาติน้ำตกมันอิดก่อ(เหนื่อยไหม) ที่มันตกตลอดเวลา 

ไม่เหนื่อยเจ้าคะ 

เออ..ธรรมนะลูก คือ ธรรมชาติบ่อิด(ไม่เหนื่อย) น้ำตกบ่อิด แต่ถ้าไปตักน้ำจากบ่อหาบมา แล้วเอามาทำเป๋นน้ำตก อิดก่อ(เหนื่อยไหม) 

เหนื่อยเจ้าคะ 

นั่นแหละ ของไม่ใช่ธรรมชาติ คือยังบ่เป๋นธรรม บ่เป๋นธรรมยังเข้าบ่ถึง ก่อพึ่งบ่ได้ แต่ถ้าเข้าถึงธรรม ทำธรรมเป็นแล้ว ธรรมเกิดเอง เหมือนหยั่
งน้ำตก เกิดจากธรรมชาติ ถ้าหลาน ๆ ทำธรรมชาติให้เกิดกับใจ๋ ปัญญาเกิดเอง เหมือนน้ำตก แล้วต่อไป หลาน ๆจะได้เป๋นดั่งน้ำตก คนจะได้อาบกิน 

เห็นหรือยังคุยกับหลวงตาคุยไปคุยมาก็เข้าธรรมทุกที หลวงปู่แซวหลวงตา หลวงตาหัวเราะใหญ่ 

เอ้า กราบลาหลวงตา ท่านจะได้พักผ่อน 

เด็กทั้งสามก้มลงกราบหลวงตาอย่างนอบน้อม 

เมื่อหลวงปู่ และเด็กทั้งสาม ร่ำลาหลวงตานาแล้ว หลวงปู่ก็บอกว่า พรุ่งนี้จะฝึกวิธีใช้กสิณกองที่เหลือ 


วันนี้หลวงปู่พาเด็กทั้งสาม มายังริมแม่น้ำโขง ไม่ไกลจากริมฝั่งโขงแท่นหินวางอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ขนาดมหึมา หลวงปู่นั่งบนแท่นหิน และเริ่มบอกวิธีใช้กสิณกองที่เหลือ 

"สำหรับกสิณกองที่เหลือปู่จะสอนรวบทั้งหมดและให้ฝึกบางกองก่อนที่เหลือให้พวกเอ็งทั้งสามไปฝึกเอง ปู่จะบอกอานุภาพกองกสิณกองที่เหลือก่อน" 

"ปฐวีกสิณ สามารถทำให้น้ำแข็งได้ อากาศแข็งได้ พูดง่าย ๆคือ สามารถเดินบนน้ำหรือบนอากาศได้ สามารถเนรมิตคนๆเดียวให้เป็นหลายคนได้ หรือแยกกายได้ 

นีลกสิณ สามารถทำให้สถานที่สว่างทำให้มืดได้ 

ปีตกกสิณ สามารถเนรมิตสีเหลืองหรือสีทองได้ 

โลหิตกสิณ สามรถเนรมิตสีแดงให้เกิดได้ตามความประสงค์ 

โอทากสิณ คล้ายกับ เตโชกสิณ คือ ทำให้เกิดแสงสว่างได้ และมีประโยชน์ในด้านทิพจักขุญาณ 

อาโลกสิณ เป็นกองที่สร้างทิพจักขุญาณโดยตรง 

อากาศกสิณ สามารถมองทะลุเข้าไปในที่ๆซ่อนเร้นได้ 

"ทุกกองล้วนมีประโยชน์ แต่ที่ปู่จะให้ทำวันนี้คือ ปฐวีกสิณ กองที่เหลือก็ฝึกเองนะ ไม่ยาก วิธีอธิษฐานฤทธิ์ก็เหมือนกันทุกอย่าง ทีนี้พวกเอ็งอธิษฐานให้บริเวณที่เหยียบในอากาศแข็งตัว" 

กวิน เวคิน ทินกร ปฎิบัติตามที่หลวงปู่บอก โดยใช้วิธีอธิษฐานฤทธิ์อย่างคราวก่อน ทั้งสามลองเดินขึ้นไปบนอากาศ พบว่า เดินได้จริงๆ ทินกรวิ่งไปมา กระโดดไปมาก็ไม่ยักจะตกลงมาบนพื้น 

"หลวงปู่พูดเสริมว่า เอ็งจะเหาะก็ได้แล้วแต่เอ็งต้องการ ทีนี้ลองไปยืนเล่นบนน้ำซิ" 

กวิน เวคิน ทินกร เดินลงมาจากอากาศราวกับเป็นบันได แต่ไร้รูปลักษณ์ จนถึงผิวน้ำ หากแต่เจ้าทินกรกลับ หล่นตูม หลวงปู่หัวเราะชอบใจ 

"อธิษฐานเฉพาะตรงเท้าที่เหยียบซีเจ้าทินกร เอ็งจะไปอธิษฐานให้น้ำทั้งหมดแข็งไม่ได้ เดี๋ยวปลาก็ตายพอดี เอ็งมันอวดฉลาดนัก" 

ทินกรเปียกมะลอกมะแลก แต่พอใช้เตโชกสิณเข้าช่วย ชั่วครู่ เสื้อผ้าเนื้อตัวก็แห้งสนิท 

"เอ้าเข้ามา ปู่มีเวลาไม่มาก พวกเอ็งไว้ฝึกเล่น ๆ แต่อย่าลืมที่ปู่เคยบอก ที่สอนไม่ให้ติดในสิ่งที่พวกเอ็งฝึกได้ อันนี้เป็นแค่ผลพลอยได้ ผลจริงๆของเราคือ เอาไว้ใช้ในการตัดกิเลส ถือว่าที่พวกเอ็งฝึกเป็นแต่กีฬาสมาธิ ตอนนี้พวกเอ็งยังคึก ยังไม่ถึงเวลา รอให้คลายตัวเสียก่อน วันนี้เป็นวันที่ปู่จะสอนเอ็งเป็นวันสุดท้ายแล้วนะ หมดหน้าที่ของปู่ แต่จะมีหลายๆท่านมาสอนพวกเอ็ง ถ้าปู่ไม่อยู่ จงอย่าดื้อ อย่าซนมากนัก และต้องเชื่อฟังอาจารย์ทุกท่านที่จะมาสอนพวกเอ็งแทนปู่" 

กวิน เวคิน ทินกร รู้สึกใจหาย อยู่กับหลวงปู่ตั้งแต่เล็ก ๆ อยู่ ๆ หลวงปู่ก็จะจากไป อดที่จะใจหายไม่ได้ ทั้งสามรู้สึกขอบตาร้อนผะผ่าว หยดน้ำใสๆร่วงลงเผาะๆ 

"ฮึ...จะมาบทโศกหรือไร ข้ายังไม่ตายโว้ย แต่เมื่อถึงเวลาปู่จะมาหาเอ็ง ตอนนั้นปู่จะบวชพวกเอ็ง จะได้เป็นบุตรพระตถาคตเต็มตัวซะที" 

เด็กทั้งสามถอนสะอื้นฮักๆ 

"จำไว้นะลูก ถ้าปู่ไม่อยู่ ไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไร อย่าท้อ อย่าขี้แย อายผีเขามั่ง คิดดูซิ เพื่อนปู่ก็เยอะ เดี๋ยวมันมาเยาะเย้ย ปู่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน" 

ลองหลวงปู่มาไม้นี้ เด็กทั้งสามต้องพยายามกล้ำกลืนน้ำตา ไม่ให้ไหลออกมา

"ปรับจิตเสีย สุดลมหายใจลึก ๆ ระงับความเศร้าโศก จิตเศร้าหมองเปล่า ๆ ไม่มีประโยชน์นะลูก" 

"เอาละ ปู่จะสอนวิธีเหาะอีกวิธีหนึ่งนะ" 

หลวงปู่เดินไปยังริมน้ำโขง ท่านเนรมิตบันไดแก้ว ยี่สิบเอ็ดขั้นทอดจากฝั่งไปเบื้องบนท้องฟ้า แต่ละขั้นสูงราว ๆหนึ่งเมตร 

" พวกเอ็งฝึกกระโดดทีละขั้น เวลาจะโดดให้ภาวนาว่า เมกะตัง เยนะกะตัง ว่างๆ พวกเอ็งมาฝึกที่นี้ ไม่มีใครมารบกวน และบันไดนี้จะหายไปก็ต่อเมื่อพวกเอ็งฝึกสำเร็จ" 

"ตอนนี้ขึ้นไปบนถ้ำก่อนพวกเอ็งค่อยหาเวลามาฝึกนะ " 
......................................................................................................... 

วันนี้เป็นวันที่หลวงปู่จะต้องจากไป ตามที่ท่านบอกไว้ หลวงปู่นั่งยังตำแหน่งเดิมทุกครั้งที่เข้ามาในถ้ำแห่งนี้ เด็กทั้งสามนั่งก้มหน้าเงียบ หลวงปู่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ท่านกล่าวด้วยเสียงกังวาลนุ่มนวลว่า 

"ก่อนปู่จะไป ปู่ขอย้ำอีกครั้งในเรื่องของศีล และสมาธิ นั้นเป็นขั้นพื้นฐานสำคัญ ลูกทำได้ครบสมบูรณ์ ศีลพวกลูกๆทำอยู่นั้นปู่ เรียกว่า อธิศีล อธิ แปลว่า ใหญ่ คือรักษาศีล สามรอบ คือ ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้บุคคลอื่นทำลายศีล ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีล นอกจากนี้ยังมีเรื่องของกรรมบท 10 ที่ปู่สอนไว้ ลูกปฏิบัติได้ไม่บกพร่อง โดยเฉพาะในจิตใจของลูกทุกคนมีอภัยทานและพรหมวิหารสี่เป็นปกติ สิ่งนี้ลูกมีมาตั้งแต่เกิด ลูกเองอาจจะไม่รู้ตัว แต่ปู่เลี้ยงมาทำไมจะไม่รู้ว่าใครเป็นยังไง "

"สำหรับศีลและกรรมบท 10 จะทรงตัวได้เพราะอาศัยพรหมวิหารสี่คอยหล่อเลี้ยง แม้จะซุกซน แต่ก็ไม่เคยไปรังแกข่มเหงสัตว์น้อยใหญ่ ดังนั้นปู่จึงอยากให้ลูกรักษาความดีนี้ไว้ เหมือนกับเกลือรักษาความเค็ม รับปากปู่ได้ไหมลูก" 

"เจ้าค่ะหลวงปู่" ทั้งสามตอบพร้อมเพรียง เวคินเงยหน้าขึ้น เขาคิดว่าตัวเองตาฝาด ที่ชั่วครู่ เขาไม่ได้เห็นหลวงปู่ ที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา หากแต่เป็นพระภิกษุหนุ่มผิวขาวอมชมพูสาวย มีประกายรัศมีเหลืองนวลออกมาจากร่าง พอเขากระพริบตา ที่นั่งอยู่กลับเป็นหลวงปู่ ไม่ใช่พระภิกษุหนุ่มรูปนั้น 

"เอาละ...ต่อไปเป็นหน้าที่ของท่านพอพวกเอ็งจะมาสอนในด้านทิพจักขุญาณ อยู่ดีมีสุขนะลูก" สิ้นเสียงหลวงปู่ คล้ายกับมีเสียงสวดมนต์เบาๆ ทำนองไพเราะดังเป็นจังหวะ หลวงปู่จากไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย เสียงสวดมนต์เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเพลงแว่วหวานปนโศก คล้ายใกล้ คล้ายไกล ดังขึ้นเบาๆ 

"อันเชิญดอกไม้ทองมารองรับ บุตรพระทรงสวัสดิ์ประภัสสร จงหักห้ามความอาลัยอาวรณ์ จงถอดถอนความเศร้าโศกในโลกา เร่งรีบเถิดเร่งรีบบำเพ็ญธรรม อย่าให้จิตชอกช้ำเลยหนา กิเลศมารมายั่วเย้าทุกเพลา หากพ่ายแพ้จอมยาน่าละอาย กิจอื่นใดไม่สำคัญเท่าตัดกิเลส เฝ้ามองเหตุแห่งจิตสะท้านไหว เมื่อรู้เหตุ ดับที่เหตุเถอะยาใจ ทุกข์ดับไซร้ย่อมพบทางนฤพาน" 

........จบตอนที่ 7...........				
10 พฤษภาคม 2547 09:16 น.

ฤทธิ์อภิญญา.....ตอนที่ 6

วสุนทรา

หม่อมฉันเห็นเด็กน้อยทั้งสาม น่ารักยิ่ง ไม่คิดว่าจะเป็นบุตรแห่งพระองค์ 

เอาล่ะ ท่านไปได้แล้ว คราวต่อไปถ้าลูก ๆของเรามาก็ให้เขาเล่นที่นี่ได้ บอกแก่สหายของท่านด้วย ช่วยดูแลรักษาเขาทั้งสาม อย่าได้มีอันตราย 

หม่อมฉันกราบทูลลาพระเจ้าข้า 

เมื่อพญาครุฑราชจากไปแล้ว เด็กน้อยสามก็ก้มกราบแทบเท้าของคนตัวใสด้วยความเคารพนอบน้อม 

ลูกทั้งสามขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาของท่านพ่อเจ้าค่ะ 

คนตัวใสคล้ายล่วงรู้ความในใจของเด็กทั้งสาม 

ลูกคงสงสัยซินะ ว่าพ่อเป็นใคร พ่อจะบอกให้ ขึ้นชื่อว่าป่าหิมพานต์ทั้งหมดนี้มีพ่อเป็นใหญ่ สิ่งมีชีวิตในนี้ไม่ว่า นาคะ คนธรรพ์ พญาครุฑ และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นบริวารของพ่อ 

เสือ สิงห์ เก้ง กวาง ในป่าแห่งนี้ เสมือนหนึ่งเป็นมิตรสหาย สถานที่แห่งนี้มีทรายเป็นทองคำ เสือ กวางเป็นเพื่อนกัน ว่าง ๆพ่อจะพาไปดู 

เสือที่ลูกเจอเมื่อครู่นี้เป็นเสือปลอมนะลูก จริง ๆแล้ว ตัวเขาสูงมาก สูงเสียดฟ้า คิ้วขาวยาวหลายวา วันหลังที่ลูกมาเล่นที่นี่บ่อย ๆ ก็จะเจอ เขาซุกซน ชมชอบล้อเล่นกับเด็ก ๆ โดยเฉพาะเด็กซุกซนเช่นลูก 

อยากไปเที่ยวบ้านพ่อรึ เวคิน 

เวคินยิ้มอย่างกระดาก เขาเพียงแค่คิดเท่านั้น 

งั้นพ่อจะพาไปแต่ลูกทั้งสามต้องหลับตาก่อน ถ้าพ่อบอกให้ลืมตาค่อยลืมตา 

ทั้งสามหลับตาลง ทุกอย่างมืดสนิท หากเพียงหนึ่งในเสี้ยววินาที ก็ได้ยินเสียงคนตัวใสดังข้างหู 

ลืมตาได้แล้วลูก 

เมื่อเด็กน้อยทั้งสามลืมตา ก็ถูกภาพเบื้องหน้าสะกดจนตะลึงลาน 

ปรากฎแก่คลองจักษุ ได้แก่ สวนดอกไม้แก้วแพรวพราวระยิบระยับ ส่งกลิ่นหอมรวยระริน ถัดจากสวนเป็นสระน้ำใสสะอาด ดอกบัวแก้วกลางสระสะท้อนประกายเจ็ดสีสวยงามจับตา 

ณ พื้นที่พวกเขายืนอยู่ หาใช่พื้นพิภพ หากแต่เป็นพื้นแก้วเจ็ดสีทอดไปยังมณฑปปราสาทที่ใหญ่โตมโหราฬ กึ่งกลางมณฑปมียอดหลายยอดเรียงลดหลั่นกันไปตามลำดับจากน้อยไปใหญ่ แต่ละยอดนอกจากมีประกายสีรุ้งแวววับ ยังมีประการสีทองคล้ายทองคำเปล่งรัศมีออกมาอย่างหน้าประหลาด แปลกที่ประกายเหล่านั้นแม้สว่างจ้าหากไม่แสบตา 

เข้าไปในบ้านพ่อก่อน แล้วพ่อจะตอบคำถามที่ลูกสงสัย 

สิ้นเสียงคนตัวใส ทั้งสามก็มาอยู่ในมณฑปปราสาทนี้แล้ว กึ่งกลางมีแท่นแก้ว ที่คนตัวใสนั่งอยู่ ภายในมีเสาขนาดใหญ่ ที่ประดับด้วยแก้วส่งประกายยิ่งกว่าเพชร ลายกนกงดงามอ่อนช้อยปราณีต จนยากจะพรรณาออกมาได้ 

ทั้งสามนั่งอยู่ต่อหน้าคนตัวใส หากแต่รู้สึกท่านพ่อตัวหย๊ายหยาย 

เจ้าทินกรจอมเจรจาก็พูดขึ้น 

ปราสาทของท่านพ่อส๊วยสวย ลูกเกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น 

บ้านพ่อไม่ได้เรียกว่า ปราสาทดอกลูก ที่นี่เขาเรียกกันว่า วิมานแก้วมณีรัตนเจ็ดประการ อย่างที่ลูกเห็นมีประการออกมาจากวิมานพ่ออยู่เจ็ดสี ที่นี่ไม่มีดวงอาทิตย์ ไม่มีอะไรที่โลกของลูกมี อยู่ไกลจากโลกของลูกมาก หากมองจากที่นี่พ่อเปรียบนะ โลกของลูกมีขนาดเท่าลูกมะนาว 

 ที่แห่งนี้ล้วนเกิดด้วยอำนาจแห่งผลบุญยามพ่อเป็นมนุษย์ และคงสภาวะอยู่ด้วยความเป็นทิพย์ แต่ว่า ลูกรัก สถานที่แห่งนี้หาใช่สิ่งที่พึงปรารถนา เพราะ ไม่ใช่สิ่งถาวรเที่ยงแท้ ยามใดที่พ่อหมดอายุขัยปีทิพย์ เมื่อนั้นสถานที่แห่งนี้ก็จะอันตราธานหายไป 

สิ่งที่ลูกเห็นอยู่นี้ สามารถเกล่วเป็นภาษาของลูกได้อย่างไรจึงจะเห็นภาพพจน์เจ้าค่ะ เวคินถามอย่างฉลาด 

 สิ่งนี้เรียกว่า รูปในนาม สภาวะรูปในนามได้แก่กายของพ่อที่ลูกเห็น กายสัตว์นรก กายอบายภูมิ ยกเว้น สัตว์เดรัจฉานที่จัดอยู่ในอบายภูมิภูมิ 4 อันมี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มีแต่เพียงสัตว์เดรัจฉานเท่านั้นที่มีธาตุขันธ์เฉกเช่นเดียวกับลูก 

แต่สภาวะกายของพ่อเป็นของจริง เป็นตัวตนแท้ที่เรียกว่า จิต หรืออทิสทิสมานากาย คือมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ที่ลูกยังเห็นรูปร่างของพ่อเพราะพ่อสามารถบังคับให้กายพ่อหยาบขึ้นลูกจึงเห็น แต่มนุษย์ทั่วไปมองไม่เห็น 
หากแต่เมื่อใดที่พ่อกำหนดให้ละเอียดที่สุด ลูกแทบจะมองไม่เห็นพ่อเลย นั่นไม่ได้หมายความว่า จิตพ่อสูญนะลูก ยังคงมีอยู่แต่ว่ามันละเอียด เพราะเกิดจากอณูพิเศษมารวมกัน ไม่มีผู้ใดสร้าง เกิดขึ้นมาเอง 

วิมานของท่านพ่อหญ๊ายหญาย ท่านพ่ออยู่คนเดียวหรือเจ้าค่ะ กวินถามบ้าง 

ไม่หรอกลูก พ่อมีบริวารมากมาย แต่พ่อไม่ได้ให้เขาปรากฏกายให้ลูกเห็น 

อย่างนี้วิมานของท่านพ่อจะมีที่พอหรือเจ้าค่ะ 

คนตัวใสยิ้มน้อยๆ หากแต่ประทับจิตประทับใจ 

ไม่ใช่อย่างที่ลูกคิดกวิน วิมานของพ่อย่อ ขยายได้ ตามใจปรารถนา คำว่าคับแคบจักไม่ปรากฏในที่แห่งนี้ 

งั้นท่านพ่อก็ต้องดูแลเลี้ยงดูอาหารการกินพวกเขามากโขซีเจ้าค่ะ ทินกรถามมั่ง 

พ่อบอกลูกแล้วว่า ที่แห่งนี้ไม่เหมือนกับโลกของลูก สภาวะทุกอย่างในที่แห่งนี้แตกต่างจากโลกของลูกโดยสิ้นเชิง พ่อไม่ต้องกิน ไม่ต้องอาบน้ำ ไม่ต้องถ่าย เพราะร่างพ่อเป็นกายละเอียด ร่างกายของคนในโลกลูกนั้นเป็นกายหยาบ ประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 ซึ่ง กายของพ่อไม่มี 

ลูกสงสัยอย่างหนึ่งว่า ทำไมเวลาท่านพ่อคุยกับลูกท่านพ่อไม่ขยับเขยื้อนปาก แต่ลูกรู้ทุกอย่างเข้าใจทุกอย่างที่พ่อพูด คล้ายกับเสียงนั้นดังข้างหู หรือผุดขึ้นมาเอง เวคินถามขึ้น 

ท่านที่อาศัยในที่นี้ย่อมไม่ได้ใช่ภาษาที่โลกลูกพูดกัน เรียกง่าย ๆคือ ใช้ภาษาจิต จิตคิดอะไรก็รู้ และโต้ตอบกันทันทีด้วยจิตที่เป็นทิพย์ 

เมื่อกี้ที่พ่อบอกว่า จิต หรืออทิสมานกาย นั้นมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น หลวงปู่ก็เคยบอกกับลูกอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นเวลาพ่อไปยังโลกของลูกก็ไม่มีใครเห็นกายของพ่อสิเจ้าค่ะ ทินกรน้องน้อยเจรจาบ้าง 

ไม่เสมอไปหรอกลูก คนที่มีจิตคลุกเคล้าไปด้วยกิเลสตัณหา ไม่มีศีลไม่มีธรรม ย่อมมองไม่เห็นกายของพ่อ แต่คนที่เขาฝึกอย่างลูก คนที่มีวิชชาสาม มีอภิญญา 5 อภิญญา 6 หรือ ท่านที่เป็นปฏิสัมภิทาญาณ ผู้มีญาณทัศนะ ย่อมมองเห็นกายของพ่อ สามารถคุยกับพ่อและสามารถเห็นสภาวะแห่งความเป็นทิพย์นี้ได้ 

แต่ท่านที่ไม่มีความสามารถในด้าน ญาณทัศนะ หากแต่เป็นบุคคลผู้ประพฤติดีงาม เป็นกัลยาชน เป้นผู้เคารพในพระรัตนตรัยเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่ประโสดาบันไปจนถึงพระอรหัตผล ในสายแห่งสุขวิปัสสโก ย่อมมองไม่เห็นพ่อ แต่ขณะใดก็ถามที่เขานึกถึงพ่อ หรือนึกถึง เทพ พรหม องค์สักกะเทวราช หรือ แม้แต่พระอรหันต์ที่ท่านนิพพานไปแล้วนั้น พ่อหรือท่านต่าง ๆ ย่อมจะมาหาลูก อยู่ข้าง ๆ กายเขา แต่เขามองไม่เห็น แต่ก็มีกรณีพิเศษลูกรัก หากเรามีกิจที่จะต้องสงเคราะห์เขาพ่อก็สามารถปรากฏกายให้เขาเห็นได้ 

แต่ว่าถ้าบุคคลใดเกิดความกลัวขึ้น พ่อรู้วาระจิตเขาทุกอย่าง ย่อมไม่ปรากฏกายให้เขาเห็นลูก 

แล้วลูกต้องทำอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ จึงจะมีวิมานสวย ๆ แบบท่านพ่อ กวินถามด้วยความอยากรู้ 

เรื่องเหล่านี้เป็นของไม่ยากลูกรัก คนทุกคนในโลกของลูกสามารถที่จะมีวิมานสวย ๆอย่างพ่อ ถ้าเขาตั้งใจทำความดี รักษาศีล มีกรรมบท 10 ครบถ้วย มีหิริและโอตตัปปะ ความละอายและเกรงกลัวผลของความชั่ว ถ้าเขาทุกคนทำได้อย่างนี้นะลูกรัก เขาจะมีวิมานสวย อย่างพ่อ 

และถ้าเขาต้องการมีวิมานที่สวยกว่าพ่อหลายร้อยเท่า พวกเขาจะต้องมีพรหมวิหาร 4 ประจำใจ มีอภัยทาน และทรงฌานสมาธิ ใคร่ครวญในวิปัสสนาญาณ อย่าง ๆที่ลูก ๆทำอยู่นี้ 

หากว่า คนใดก็ตาม ที่เบื่อหน่ายต่อการเกิด ต้องการพ้นทุกข์ สิ้นเชิงจากวัฏฏสงสาร ก็ต้องทำในด้านของบารมี 10 และสังโยชน์ 10 ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่เมาโลก ก็จะพ้นทุกข์อย่างถาวร 

เอาละ วันนี้พอแค่นี้ก่อน ลูกกลับไปก่อนที่โลกของลูกจะเช้าแล้ว ถ้าไม่ได้พักผ่อนกายขันธ์ของลูกจะเพลีย หลวงปู่ท่านรอลูกอยู่นะ 

เด็กน้อยทั้งสามก้มลงกราบคนตัวใส พอกราเสร็จก็พบว่ามาอยู่หน้ากุฏิแล้ว และเป็นเวลาใกล้เช้าพอดีอย่างที่คนตัวใสพูด 

หลวงปู่นั่งรออยู่บนชานของกฏิ พร้อมกับหัวเราะหึ ๆๆ 

เป็นไงว่ะ อาจารย์เอ็งพาไปทัวร์ หนุกไหม.พวกเองเข้าฌานหลับสักงีบจะได้สดชื่น แล้วไปหาข้าบนถ้ำนะ วันนี้ยังไม่สอนต่อ จะพาไปทัวร์.มีคนเขาบนอยากพบพวกเอ็ง 

หลวงปู่พูดจบก็เดินลงจากกุฏิ ทั้งสามกราบหลวงปู่งาม ๆ แล้วท่านก็เดินช้า ๆเข้าไปในป่าตามเดิม 


(จบตอนที่ 6 )				
9 พฤษภาคม 2547 09:44 น.

ฤทธิ์อภิญญา.......5

วสุนทรา

เสียงจั๊กจั่น เรไร ร้องเป็นจังหวะ รับกับเสียงซู่ซ่า ของกิ่งไม้ไหวยามต้องลม วันนี้แดดลงจัด ท้องฟ้าเปิดกว้างเป็นสีครามแทบไม่มีหมู่เมฆลอยผ่าน 

กสิณทั้ง 10 กองถูกเด็กน้อยทั้งสามฝึกจนเรียบไม่เหลือหรอ รอแต่หลวงปู่กลับมาเท่านั้นจะได้รู้ว่ากสิณกองที่เหลือใช้ทำอะไรได้มั่ง 

สามวันแล้วที่หลวงปู่ยังไม่กลับมา กวิน เวคิน ทินกร นอนเกลือกกลิ้งอยู่ที่ชานหน้ากุฏิ ฟังเสียงดนตรีจากป่า ทินกรน้องน้อยคล้ายเบื่อหน่ายยิ่งนัก เขาชันตัวลุกขึ้นนั่งท้าวค้างมองดูพี่ๆ ทั้งสอง ก่อนส่งเสียงสดใส 

น้องว่า พวกเราว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ น่าจะออกไปยืดเส้นยืดสายบ้าง 

พี่ก็ว่าหยั่งงั้น.แล้วพวกเราจะไปที่ไหนกันดี กวินเห็นด้วยกับความคิดเจ้าตัวน้อย 

น้องว่าพวกเราไปเที่ยวเล่นในป่านั่นดีไหม 

แต่ที่ป่านั่น หลวงปู่ห้ามเด็ดขาดน่ะ.มันอันตราย เวคินพูดขึ้นบ้าง 

โธ่..ท่านพี่ก็ ตอนนี้เราเหาะเป็นแล้ว เรียกฝน เรียกลม เรียกไฟก็เป็นแล้ว จะไปกลัวอาร๊าย ถ้าจะมีอันตรายพวกเราก็เผ่นนะซี 

ถ้าพวกพี่ ไม่ไปน้องไปคนเดียวก็ได้  กล่าวพลางปากน้อย ๆ ก็รั้นขึ้นด้วยความแง่งอน 

เวคินกับกวินได้แต่มองหน้ากันไปมา ต่างก็รู้อยู่ว่า 

เจ้านี่ถ้ามันจะดื้อก็ดื้อแบบฉุดไม่อยู่  ทั้งสองก็เลยต้องจำใจไปกับเจ้าตัวเล็ก 

ตกลงไปก็ได้ ใครให้พี่มีน้องอย่างเจ้าเล่า เวคินพูดขึ้น 

เจ้าทินกรก็เลยยิ้มออก รีบฉุดมือพี่ ๆ ทั้งสองให้ลุกขึ้น 

ไปกันเถอะ 

สิ้นเสียงเด็กทั้งสามก็ไปโผล่ในป่านั่นแล้ว 

กวิน เวคิน ทินกร หันไปมองบรรยากาศรอบ ๆ ต้นไม้ที่นี่ช่างสูงใหญ่มหึมาหรืออภิมหาก็ว่าได้ แต่ละต้นสูงสุดเสียดฟ้า แถมลำต้นก็ใหญ่ชนิดที่ว่า ให้ผู้ใหญ่ห้าหกคนมาโอบยังไม่รอบเลย 

เถาวัลย์ขนาดเท่าแขนหรือใหญ่กว่านั้น เกาะเกี่ยวเลี้ยวลดไปตามกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ใหญ่แต่ละต้น บรรยากาศเยือกเย็น ลี้ลับพิศดาร 

นอกจากนี้ยังมีเสียงแปลก ๆดังอยู่ไกล ๆ ขณะที่ทั้งสามถูกภาพเบื้องหน้าดึงดูดสายตาอยู่นั้น พลันมีเสียง 

โฮก !  ดังสนั่นหวั่นไหว เด็กน้อยทั้งสามสะดุ้งเฮือก รีบหันขวับไปด้านหลังทันที 

กวิน เวคิน และทินกร ยืนตัวแข็งทื่อ ไม่อยากจะเชื่อสายตา นี่พวกเขากำลังยืนอยู่ต่อหน้าเสือลายพาดกลอน สามตัว ไม่ไกลนัก มันจ้องทั้งสามด้วยตาเขียวปัด แต่ละตัวใหญ่กว่าเสือของหลวงปู่ตั้งหลายเท่า 

กวินสะกิดเวคิน 

ทะ..ทำไม มันใหญ่อย่างงี้ 

นี่พวกเราจะกลายเป็นอาหารกลางวันของพวกมันหรือเปล่าท่านพี่ ทินกรส่งเสียงแผ่ว 

กติกาห้ามเหาะ แต่ให้วิ่ง เวคินบอกเบา ๆ 

เจ้าทินกรเริ่มคึกคักเพราะวิสัยซุกซนที่ติดมาทุกชาติ เจ้านี่ก็เลยยกมือท้าวสะเอว กล่าววาจาอวดดีอย่างคนมีดีจะอวดว่า 

พี่เสือจ๊ะพี่เสือจ๋าถ้าพี่แน่จริงก็วิ่งให้ทันน้องนะจ๊ะ พี่เสืออย่ามาเอะอะ ส่งเสียง หง่าว หง่าว ไม่น่าฟัง 

เสือลายพลาดกลอนทั้งสามตัวดูเหมือนเข้าใจที่ทินกรพูด มันไม่พูดพล่ามทำเพลงก็กระโจนใส่ทันที 

ไปโลดเลย ท่านเพ่พ่พ่พ่พ่. เจ้าทินกรแหกปาก ทั้งสามก็เลยยิ่งด้วยความเร็วที่เรียกว่าเหนือเสียง 

พริบตาเดียวทั้งสามวิ่งมาหยุดในที่ใหม่ ที่แห่งนี้นอกจากจะแปลกตากว่าที่เคยเห็นแล้ว ยังมีความเย็นชัดจนทั้งสามสั่นสะท้าน ทั้งสามรีบใช่เตโชกสิณชั่วทันที มองดูรอบ ๆ เบื้องหาขาวสล้างที่ไกลตาออกไปมีภูเขาสีขาวสูงใหญ่ตั้งตระหง่าน 

น้องว่าเจ้าลูกเหมียวนั่นคงตามมาไม่ทันหร๊อก 

เวคินกับกวิน อยากจะเตะเจ้านี่สักป้าบ ทั้งสองช่วยกันหิ้วปีกเจ้าทินกรให้หันไปดูด้านหลัง 

เจ้าลูกเหมียวทั้งสามกำลังนั่งมองทั้งสามอยู่ แถมขยับหนวดไปมาราวกับจะบอกว่า 

นึกว่าจะหนีพ้นเหรอเจ้าลูกไก่ในมือเสือ เหอะๆๆๆ 

กวินส่งซิกโดยชี้นิ้วขึ้นข้างบนส่งเป็นสัญญาณว่า 

ถ้าไม่เหาะขึ้นข้างบนมีหวัง ตกไปอยู่ในท้องเสือแน่ ๆ 

ทั้งสามไม่รีรอเหาะขึ้นไปในอากาศทันที เจ้าเสือทั้งสามได้แต่แหงนหน้ามอง แต่ก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้ 

พวกเราจะไปที่ไหนต่อ ทินกรถามขึ้น 

จะไปอีกเหรอ ไม่เข็ดหรือไง กวินพูดปราม 

ก็ไหน ๆ มาแล้ว น้องก็อยากจะสำรวจให้ทั่วเลย ทินกรกล่าวพลางยักไหล่ ช่างน่าหมั่นไส้นักเชียว 

ขณะที่ทั้งสามปรึกษาหารือกันอยู่บนอากาศ พลันมีเสียงแหลมสูง ดังมาเป็นระยะ ๆ ที่ไกลตาออกไปมีจุดดำเล็ก ๆ จุดหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาหาพวกเขา แต่ด้วยอำนาจของกสินทำให้สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ได้ชัดเจน 

ตายละหว่า นี่มันพญาครุฑ นี่ เวคินพูดขึ้น 

หลวงปู่บอกว่า พวกเราจะเจอได้แต่ในป่าหิมพานต์ หรือว่า 

ใช่แล้ว นี่คือป่าหิมพานต์  ทั้งสามพูดพร้อมกันด้วยความรู้สึกที่ออกจะเหลือเชื่อ 

ไม่หนีตอนนี้ แล้วจะหนีตอนไหน ทั้งสามรีบเผ่น 

แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ เมื่อหันไปมองด้านหลัง พญาครุฑกลับไล่มาติด ๆ ทั้งที่ด้วยระดับความเร็วนี้คือมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแล้ว 

ทำไมพญาครุฑถึงบินเร็วอย่างนี้ น้องว่าเขาจะตามเราทันแล้ว พี่เวคินรีบหาวิธี 

พี่ว่า ลองเรียกท่านพ่อดีกว่า หลวงปู่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน เวคินออกความคิดเห็น 

คนตัวใสเป็นแก้วนั่นหนะหรือ กวินถามขึ้น 

แต่พวกเราพึ่งเคยเจอท่านพ่อแค่ครั้งเดียวเอง นะ ทินกรไม่ค่อยมั่นใจนักว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือเปล่า 

เวคิน เลยพูดตัดบท 

นี่ ถ้าไม่เรียก ก็จะกลายเป็นอาหารครุฑแทนเสือ พี่ไม่รับผิดชอบนะ 

เวคินพูดจบเขาหุบปากทันที นี่เป็นแบบฉบับของเวคินที่ ทินกร และกวินรู้ว่า เขาจะไม่พูดหรืออกความคิดเห็นใด ๆ อีก ทั้งสองคนไหนเลยจะมีเวลาคิดนู้นคิดนี่ ต่างพากันตะโกนเสียงก้อง 

ท่านพ่อเจ้าขาช่วยลูกด้วย 

ทั้งสามหายใจเข้ายังไม่ทันที่จะหายใจออก คนแก้วใสก็ปรากฎตัวอยู่ต่อหน้าพวกเขาทันที พร้อมกับเสียงดนตรีดังกระหึ่มเฉกเช่นตอนพบกันครั้งแรก 

ท่านพ่อช่วยลูกด้วยเถิดเจ้าข้า ทั้งสามพูดพร้อมกัน 

คนตัวใสร่างกายแพรวพราวมีรัศมีเหลืองนวลจับตาจับใจ มองดูเด็กน้อยทั้งสามด้วยความเอ็นดู พร้อมกับส่งเสียงสำเนียงหวานไพเราะ ซึ่งดังอยู่ที่ข้างหูพวกเขาว่า 

ไม่ต้องกลัวลูกรัก ขึ้นชื่อว่าอันตรายใด ๆ ที่จักพึงบังเกิดแก่ลูกในที่แห่งนี้นั้นย่อมไม่มี 

พญาครุฑ เมื่อมองเห็นคนตัวใส ก็หุบปีกลง พร้อมกับขุกเข่ากลางอากาศ และกราบคนตัวใจด้วยความเคารพยำเกรง ทั้งสามมองดูด้วยความประหลาดใจ 

ครุฑราช ท่านและสหายล้อเล่นกับลูกของเราทั้งสามจนตกใจ 

เมื่อครุฑราชเงยหน้าขึ้น ปรากฎเหตุประหลาดมหัศจรรย์ นั่นคือ รูปร่างพญาครุฑที่กึ่งคนกึ่งวิหก ได้กลับกลายเป็นชายหนุ่มรูปงามไปแล้ว 

(จบตอนที่ 5)				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวสุนทรา
Lovings  วสุนทรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวสุนทรา
Lovings  วสุนทรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวสุนทรา
Lovings  วสุนทรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงวสุนทรา