2 มิถุนายน 2558 13:39 น.

Home บ้านรักในรอยแค้น ตอนที่ 19

สมภพ แจ่มจันทร์

ตอนที่ 19

หญิงสาวหน้าสวยกึ่งวิ่งกึ่งเดินฝ่าเม็ดฝนที่กำลังเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ มาในร้าน มีบริกรหนุ่มหิ้วสัมภาระตามหลังมาติดๆ หล่อนง่วนอยู่กับการจัดการเสื้อผ้า หน้า ผม ให้กลับมาดูดีเหมือนเดิม หลังจากที่หล่อนวิ่งฝ่าฝนเข้ามาในร้าน

“โชคไปไหน?” พลางกวาดสายตาไปทั่วร้าน

พลันนั้นหญิงใบหน้าสวยกลับขมวดคิ้วเข้าหากัน จนทำให้เห็นรอยย่นบนหน้าผากอย่างชัดเจนชายหนุ่มกำลังสนทนากับหญิงสาวสองคนที่นั่งอยู่ริมระเบียง

ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกค้าก็ตาม แพรวพรรณมักจะไม่สบอารมณ์เสมอ หากพบว่าโชคคุยกับลูกค้าผู้หญิง ยิ่งด้วยภาษากายที่เธอสัมผัสได้ด้วยตาแล้ว ดูเหมือนพวกเขากำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะแววตาของชายหนุ่ม ที่เป็นประกายอย่างเห็นได้ชัด ประกายเช่นนี้ที่เธออยากได้รับจากชายหนุ่ม ประกายของตานี้เหตุใดจึงไม่ใช่เธอที่เป็นผู้ได้สัมผัส แต่หญิงสาวจะรู้ไหมว่าภาพที่กำลังมองเห็นอยู่ในขณะนี้ เป็นภาพที่รันชรีสร้างขึ้นมาเพื่อแก้แค้นนางมารร้ายอย่างแพรวพรรณเพราะในความเป็นจริงชายหนุ่มยืนคุยโทรศัพท์อยู่อีกมุมหนึ่งของร้าน

อารมณ์ของหญิงสาวเริ่มไม่สอดคล้องกับใบหน้าสะสวยนั้น

“โชค...คุยกับใครกัน?

“หญิงสาวผู้จุดประกายนัยตาของชายหนุ่มเป็นใครกัน?

หญิงใบหน้าสวยออกคำสั่งให้บริกรหนุ่มน้อยไปตามชายผู้เป็นเจ้าของร้าน เมื่อชายหนุ่มผละมาจากลูกค้าโต๊ะนั้น แพรวพรรณก็ยิ่งทวีความคุกรุ่นในอารมณ์ขึ้นอีกหลายเท่า

“ชโลธร” เธอจำหญิงสาวคนนี้ได้ ลูกน้องของกิตตินั่นเอง หลังจากครั้งแรกที่พบหน้ากัน และหญิงสาวผู้นี้มีคำพูดแปลกๆ หล่อนก็เริ่มจะไม่ชอบขี้หน้าอยู่เป็นทุน ยิ่งในวันนี้หญิงสาวได้สร้างประกายในตาให้ชายหนุ่มที่ตนหมายปองแล้วด้วย แพรวพรรณก็เริ่มแน่ใจหนักหนาว่า ความรู้สึกนี้คือความเกลียดชัง อย่างไม่ต้องสงสัย

“หรือกิตติจะใช้ให้ผู้หญิงคนนี้มาก่อกวน” เพียงแค่ความคิด ในดวงตาเหมือนไฟที่ถูกราดด้วยน้ำมัน เธอจ้องมองไปที่หญิงสาวผู้นั้นเหมือนดั่งจะให้ไฟในดวงตานั้นเผาไหม้หญิงสาวเบื้องหน้าให้แหลกเป็นจุน

“นี่เพิ่งเริ่มต้น...แพรว”

ใบหน้าขาวซีดนั้นยิ้มอย่างสะใจ ที่เห็นแพรวพรรณแสดงอาการหึงหวงโชคจนนั่งไม่ติด

                หลังจากลูกค้าโต๊ะสุดท้ายออกไปจากร้าน โชคนั่งริมระเบียงอยู่คนเดียว เขาหวนนึกเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นมาเพียงไม่กี่ชั่วโมง

คำพูดบางประโยค...

พฤติกรรมบางอย่าง...

ใบหน้าของหญิงสาวที่เขามองเห็นเป็นอดีตเพื่อนรัก...

ภาพวันเก่าๆ ในอดีตที่มีตัวเขา...เพื่อน...โดยเฉพาะเพื่อนอย่างรันชรี มันวกกลับมาให้หวนคิดอีกคราหนึ่ง

แต่อีกใจหนึ่งก็คิดถึงแต่ใบหน้าของหญิงสาวผู้เป็นลูกค้าเมื่อหัวค่ำ

เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่า...เขาคิดถึงเธอ...

อยากให้เธอมาที่ร้านอีก อยากเห็นหน้าทุกๆ วัน เหตุใดหนอความรู้สึกนี้มันช่างรุนแรง จนชายหนุ่มไม่สามารถยับยั้งความรู้สึกไปได้สิ่งที่ทำได้ในขณะนี้คือการปล่อยใจให้ล่องลอยตามติดหญิงสาวผู้นั้นไป

                แต่เธอจะอยู่ที่นี่อีกแค่เดือนกว่าเท่านั้น

“อย่าไปคิดถึงเขาเลย” กังวานที่ชายหนุ่มบอกตนเอง

เขานึกย้อนถึงบทสนทนากันเมื่อหัวค่ำ ทำให้เขาได้รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นใคร และมาทำอะไรที่เมืองนี้

                “หรือเราจะชอบเธอ?”

                คำถามที่เขาเองก็รู้คำตอบอยู่แล้วว่าเป็นเช่นไร

                “โชค ดื่มไวน์ไหม” แพรวพรรณเดินมาใกล้พร้อมกับถือแก้วใบใส ด้านในบรรจุของเหลวสีม่วงเข้มมองปราดเดียวก็พอจะรู้ว่าในขณะนี้หญิงสาวมีอาการมึนเมาอยู่บ้าง

เธอฝืนใจยิ้มให้กับชายหนุ่ม ทั้งๆ ที่ใจจริงแล้ว อยากจะตะโกนถามออกมาดังๆ ว่ากำลังคิดถึงผู้หญิงคนนั้นอยู่หรือ

                “เอาเถอะแพรว เราไม่อยากดื่ม”

                “งั้นเราออกไปนั่งฟังเพลงกันไหม” หญิงสาวเสนอความคิดเห็น

                “ไม่ล่ะ ชวนนนท์ไปสิ รายนั้นเขาไม่เคยขัดใจเธอเลยนี่” ชายหนุ่มตอบโดยที่ไม่มองหน้าหญิงสาวแม้แต่น้อย

อารมณ์ที่ขุ่นเคืองอยู่แล้วยิ่งเพิ่มระดับความเข้มข้นเข้าไปอีก เมื่อชายหนุ่มแสดงพฤติกรรมเฉยชาออกมา

“โชคคิดอะไรกับผู้หญิงคนนั้นหรือ?” หญิงสาวเปิดคำถามตามหัวใจตนเองทันที

ชายหนุ่มเงยหน้าเพิ่งพินิจหญิงสาว คงเป็นเพราะเหตุการณ์ในคืนนั้น เขารู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นเขาไม่น่าเผลอตัวทำสิ่งที่เลวร้ายเช่นนั้นไปเลย หากเขามีสติมากกว่านี้เหตุการณ์นั้นคงไม่เกิดขึ้น และพฤติกรรมของหญิงสาวคงไม่ก้าวร้าวเช่นนี้ เพราะนับตั้งแต่เล็กจนโต ที่คบหากันเป็นเพื่อน แพรวพรรณไม่เคยมองเขาด้วยสายตาเกรี้ยวกราด และใช้วาจาที่แข็งกร้าวเช่นนี้เลย

แม้ในคืนนั้นหญิงสาวจะบอกว่าสามารถทำทุกอย่างที่เขาต้องการได้ แต่พฤติกรรมทั้งหมดนับตั้งแต่วันนั้นมันเลวร้ายลง เขาอยากจะบอกเหลือเกินว่าอยากได้เพื่อนคนเดิมกลับมาเสียมากกว่า ไม่ใช่หญิงสาวที่คอยแต่จะจ้องจับผิดเขาเช่นนี้

“แพรวใจเย็นๆ นะ หายใจเข้าลึกๆ” ชายหนุ่มบอกหญิงสาว แล้วเลื่อนเก้าอี้ข้างๆ ตัวนัยว่าเชื้อเชิญให้หญิงสาวนั่งร่วมโต๊ะด้วย

ใบหน้าสวยที่บูดบึ้งเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา กลับยิ้มได้อีกครั้งหนึ่ง

“ฟังเรานะแพรว แพรวอย่าลืมว่าเราเป็นเพื่อนกันเท่านั้น เราขอโทษหากการกระทำของเราในคืนนั้นจะทำให้เพื่อนที่คบหากันมาตั้งแต่เล็ก ต้องมากลับกลายเป็นผู้หญิงที่ขี้ระแวงและคอยจับผิดเราตลอดเวลาอย่างนี้”

ชายหนุ่มเอ่ยด้วยวาจาหนักหน่วง ตาทั้งคู่ประสานกัน แต่ทว่าในแววตานั้นมันแฝงไปด้วยความอึดอัดของชายหนุ่มที่ยากจะเอื้อนเอ่ย หญิงสาวผู้อยู่เบื้องหน้ายังคงนั่งนิ่ง

“โชค...แพรวไม่ได้ตั้งใจจะจับผิดอะไรใคร แต่...โชคก็รู้ว่าแพรว...” หญิงสาวหยุดที่จะพูดต่อไป ดวงตากลมโตนั้นหลุบมองลงยังเบื้องต่ำ เพื่อหวังจะปกปิดของเหลวใสๆ ที่กำลังเอ่อล้นมาจากตาในขณะนี้

แม้จะใจอ่อนกับการเห็นน้ำตาของหญิงสาว แต่ชายหนุ่มกลับบอกตัวเองอย่างหนักแน่นว่า เขาต้องคุยกับแพรวพรรณให้จบ ไม่เช่นนั้นผลทางธุรกิจต้องตามมาอย่างแน่นอน เขาหวนคิดไปถึงเรื่องที่แพรวพรรณเทน้ำแกงใส่เท้าลูกค้า เพียงเพราะไม่ชอบขี้หน้าที่เข้ามาสนิทสนมกับเขา แม้เขาจะไม่ได้ประสพเหตุการณ์นั้นด้วยตนเอง แต่เขาก็มั่นใจว่าผู้เป็นมารดาจะไม่มีวันพูดจาใส่ร้ายใครเด็ดขาด

มาจนถึงวันนี้ แม้เขาจะยอมรับกับตัวเองว่าสนใจในตัวชโลธรไม่น้อย แต่อย่างไรเสียชโลธรก็คือลูกค้า หากมองอย่างไม่อคติ เขาเพียงเข้าไปพูดคุยกับลูกค้าตามปกติ แพรวพรรณในฐานะเจ้าของร้านคนหนึ่ง น่าจะเข้าใจว่านี่คือหัวใจของงานบริการ แต่ทว่าหญิงสาวกลับไม่เข้าใจ มิหนำซ้ำยังมีความรู้สึกหึงหวงพ่วงเข้ามาด้วย มันไม่เป็นผลดีเลยไม่ว่าจะมองในแง่ของธุรกิจหรือในแง่ของความรู้สึก

 “เราห่างกันสักพักดีไหม เผื่อมิตรภาพของเพื่อนมันจะกลับมาชัดเจนเหมือนเดิม”

“ไม่นะโชค แพรวจะไม่อยู่ห่างโชคอีกแล้ว นี่โชคเกลียดแพรวถึงเพียงนี้เชียวหรือ เพราะผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม โชคชอบมันใช่ไหม” หญิงสาวกล่าวทั้งน้ำตา

อีกครั้งที่หญิงสาวสะกิดความไม่พอใจให้กับชายหนุ่มมาอีกระลอก หากบุคคลที่สามที่แพรวพรรณกำลังกล่าวถึงนั้น ไม่ใช่หญิงสาวที่ชายหนุ่มกำลังรู้สึกหวั่นไหวอยู่จริงๆ

“เรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะความไม่มีสติของเราเอง เราขอโทษ หากคืนนั้นถ้าเรามีสติมากกว่าที่เป็นอยู่ เราคงไม่...” ชายหนุ่มกล่าวปนความรู้สึกผิด

“เพราะโชคชอบผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม ถึงได้เกลียดแพรว และอยากให้แพรวไปให้พ้นๆ อย่างนี้”

“เราไม่ได้เกลียดแพรว แต่เรารู้สึกว่าตอนนี้แพรวกำลังฟุ้งซ่าน ลองให้เวลากับตัวเองบ้างนะ เชื่อเราเถอะ”ชายหนุ่มกล่าวอย่างเชื่องช้าแต่แฝงด้วยความหนักแน่นของน้ำเสียง

หญิงสาวปล่อยโฮออกมาราวกับคนเสียสติ ชายหนุ่มแม้จะรู้สึกตกใจไม่น้อย แต่เขาก็บอกตัวเองว่าอย่าใจอ่อนเด็ดขาด หากเขาใจอ่อน ความรู้สึกของแพรวพรรณที่มีต่อเขาจะยิ่งเตลิดไปมากกว่านี้

“ไม่นะโชค แพรวรักโชค โชคอย่าไล่แพรวไปเลย”

หญิงสาวพูดอย่างใส่อารมณ์ แล้วโถมตัวเข้าไปกอดชายหนุ่มไว้แน่น ตรงกันข้ามกับชายหนุ่มที่ลุกพรวดขึ้นแล้วถอยไปจนชิดขอบระเบียง 

“แพรวตั้งสติหน่อยสิ เธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน” ชายหนุ่มใช้มือทั้งสองรวบมืออันอ่อนนุ่มนั้นไว้ เขากุมมือหญิงสาวไว้แน่น

“โชคบอกมาสิว่าอยากให้แพรวทำอะไร เป็นแบบไหน แพรวทำได้หมด แต่อย่าทำแบบนี้เลย” น้ำตาหนึ่งหยด ร่วงเผลาะที่หลังมือชายหนุ่ม ความรู้สึกสงสารมันกำลังคืบคลานเข้ามาในบัดนี้ หญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้านี้ เพื่อนวัยเยาว์ที่เขาคุ้นเคยดี แต่ทว่าบัดนี้เขากลับรู้สึกว่าเขาไม่เคยรู้จักหญิงสาวผู้นี้เลย

“เขาจะทำเช่นไร กับหญิงแปลกหน้าคนนี้?

ความยุ่งยากในหัวจิตหัวใจเช่นนี้ เขาไม่เคยประสพมาก่อน เสี้ยวหนึ่งของความคิด หากเป็นรันชรีเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นเด็ดขาด!

จริงอยู่ที่เขาและแพรวพรรณรู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก แต่ในด้านความใกล้ชิดแล้วหากเทียบกับรันชรี คะแนนทั้งหมดต้องเทไปทางเพื่อนรักอย่างรันชรี เขาย้อนนึกไปตั้งแต่ที่เขารู้จักกับรันชรีเมื่อวันปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ของคณะ ในวันที่ทำกิจกรรมกลุ่ม ในวันรับปริญญา ในวันที่เขาโอบกอดรันชรีเมื่อเธอต้องสูญเสียมารดาไป ภาพวันเก่าๆ มันก็ย้อนมาอย่างหยุดไม่อยู่

กลุ่มเพื่อนที่คลุกคลีตีโมงกันหลากหน้าหลายตา แวะเวียนเข้ามาเช่นกัน เหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่มีเขาและรันชรี เพื่อนรักที่หอบเงินไปให้ผู้ชาย “หรือมันจะไม่จริง” สำนึกหนึ่งในความคิด รันอาจจะเอาเงินไปใช้เองไม่ได้เอาไปให้ผู้ชายอย่างที่เขาเข้าใจ แต่จะเอาไปให้ใครก็ขึ้นชื่อว่าทำผิด รันชรีทำผิดต่อเขา อย่างไม่น่าให้อภัย

“พอเถอะโชค” เขาบอกตัวเอง

“เลิกคิดถึงเพื่อนคนนี้เสียทีเถิด” สมองสั่งการให้คิดเช่นนั้นอีกครั้ง

ในวันนี้ผู้หญิงที่ชื่อรันชรีไม่ได้อยู่ในชีวิตของเขาแล้ว ภาพและเรื่องราวทุกอย่างมันเป็นเพียงสิ่งในอดีต แม้มันจะสวยงามเพียงใด แต่มันก็เป็นได้แค่สิ่งที่ผ่านไปแล้วเท่านั้น ความจริงมากกว่าที่เขาต้องเผชิญ ความจริงที่วันนี้รันชรีทรยศเขา ความจริงที่รันชรีฉวยโอกาสตอนที่เขาต้องไปดูแลแม่ หอบเอาเงินไปให้ผู้ชาย มันเลวร้ายเกินกว่าคนอย่างเขาจะรับมันได้

สำหรับแพรวพรรณ ตั้งแต่เรียนจบและแยกย้ายกันไปทำงาน เขาก็จะเริ่มห่างเหินกันออกไป คงมีเพียงอานนท์เท่านั้นที่เป็นเสมือนเงาของแพรวพรรณ จนบางทีตัวเขาเองยังอดคิดไม่ได้ว่าอานนท์แอบชอบแพรวพรรณอยู่หรือไม่ แต่เมื่อเวลาผ่านมาถึงบัดนี้ เขาเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสองดี อานนท์คบหากับแพรวพรรณในฐานะเพื่อนจริงๆ เพื่อนที่สามารถรองมือรองเท้าได้ทุกอย่าง แต่เขาเชื่อมั่นว่ามันไม่ใช่เพราะความรักเหมือนอย่างที่เขาเคยมีให้รันชรี หากแต่มันเป็นเพราะอำนาจของสิ่งที่เรียกว่าเงินต่างหาก

อานนท์สามารถทำทุกอย่างที่แพรวพรรณต้องการได้ โดยแลกกับสิ่งที่ตนร้องขอ รวมไปถึงการเข้ามาร่วมหุ้นของแพรวพรรณในร้านนี้ ที่พักหลังแพรวพรรณมักจะให้อานนท์มาแทน จนกระทั่งประกาศให้พนักงานทั้งร้านรู้กันทั่วว่าอานนท์เป็นทั้งเพื่อนและเลขาของตน และที่สำคัญแพรวพรรณเสนอให้ตั้งอานนท์เป็นผู้จัดการสาขาใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวในห้างสรรพสินค้าในเร็ววันนี้

เขาพลาดเองที่อ่อนแอมากในวันที่รันชรีทำผิดต่อเขา จนทำให้แพรวพรรณเข้ามามีบทบาทในชีวิตอย่างง่ายดาย แต่ทว่าเมื่อนึกถึงพฤติกรรมของแพรวพรรณในวันแรกที่เข้ามาร่วมงานกับเขาจนถึงวันนี้มันต่างกันลิบลับ ทุกอย่างอยู่ที่ความบกพร่องของเขาเอง ที่ทำอะไรไปโดยไม่ปรึกษาใคร แต่ในขณะนั้นหากเขานำเรื่องรันชรีไปปรึกษามารดาแล้ว อาจจะทำให้ความเจ็บป่วยที่ท่านกำลังทุเลาขึ้น กลับกลายเป็นทรุดหนักกว่าเดิมก็เป็นได้ เพราะเขารู้ดีว่านางนั้นรักและเอ็นดูรันชรีมากมายเพียงใด

เมื่อฉุดความรู้สึกกลับมาอีกครา เขามองใบหน้าสวยของแพรวพรรณอีกครั้งหญิงสาวยังคงนั่งนิ่งปนด้วยเสียงสะอื้น

“ถ้าอย่างนั้น ช่วงนี้แพรวก็ดูแลร้านกับแม่เราไปก่อนนะ เราขอพักสักหน่อย” โชคตัดบทไปดื้อๆ เขาเดินผ่านหญิงสาวโดยไม่ชำเลืองตามองด้วยซ้ำว่าหลังจากที่ตนกล่าวไปแล้วนั้น แววตาที่โศกเศร้านั้น มันแปรเปลี่ยนไปมากมายเพียงใด

ชายหนุ่มคิดว่ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วในขณะนี้ หากแพรวพรรณอยู่กับมารดาของตนได้เหมือนที่รันชรีอยู่ได้ เขาเองอาจจะมีความรู้สึกดีขึ้นมาบ้างก็เป็นได้

………………………………………………………………………………………………………………..

 

 

2 มิถุนายน 2558 13:34 น.

Home บ้านรักในรอยแค้น ตอนที่่ 18

สมภพ แจ่มจันทร์

ตอน 18

กว่าสองสัปดาห์แล้วที่ชโลธรไม่สามารถติดต่อกับรันชรีอีกเลยนับตั้งแต่การนั่งสมาธิแล้วเห็นภาพเหตุการณ์ตอนที่หญิงสาวกำลังจะตาย มันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กิตติลางานและลาพักร้อนต่อ แต่นี่มันเลยกำหนดลาพักร้อนมาหลายวันแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่ากิตติจะปรากฏตัว หญิงสาวเริ่มกระวนกระวายใจกับเหตุการณ์ที่ตนเองกำลังคาดเดา ด้วยความเจ็บปวดที่รันชรีได้รับ และความอาฆาตที่อาจบ่มเพาะอยู่ในใจของเธอ กิตติอาจจะ...

หญิงสาวหยุดความคิดของตนเองไว้แต่เพียงเท่านี้ แล้วก็นั่งสมาธิและแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปให้รันชรีเผื่อว่าสิ่งที่เธอกำลังคิดนั้นเป็นจะเป็นจริง หากเป็นเช่นนั้นแล้วกิตติอาจจะตกอยู่ในอันตรายก็เป็นได้

แต่แล้วในค่ำคืนหนึ่งที่หญิงสาวกำลังทำสมาธิอยู่นั้น ภาพรันชรีก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า

ใบหน้านั้นยิ้มแย้ม พวงแก้มเปล่งปลั่งอาบไปด้วยความสุข รันชรีเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ พลางใช้มือทั้งสองข้างกุมมือเธอไว้ แววตานั้นช่างสดใสเหลือเกิน

“เธอเป็นคนจิตใจดี ฉันขอบใจเธอมาก เหลือเพียงอย่างเดียวที่ฉันจะขอความช่วยเหลือจากเธอเป็นครั้งสุดท้าย ไปหาโชค เพื่อนรักของฉัน”

เพียงเท่านั้นภาพของรันชรีก็หายไป

“ค่ะคุณรัน ชโลธรจะไปหาเพื่อนรักของคุณ” หญิงสาวพูดกึ่งรับคำสัญญา

...........................................................................................................

แดดเพิ่งลับไปไม่นาน แต่แสงแห่งวันยังคงหลงเหลือไว้ทาทับริ้วของสายน้ำ ที่บัดนี้เป็นดั่งแผ่นทองอันมหึมาที่ฉาบสายน้ำใหญ่ทั้งสายไว้จนสุดลูกหูลูกตา ชโลธรและชมพูนุชหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าภาพอันตระการตานั้น ทั้งสองเชิดหน้าสูดรับความบริสุทธิ์ของชั้นบรรยากาศเข้าไปจนชุ่มปอดลมยามเย็นโชยเอื่อยๆ อากาศของต่างจังหวัดเป็นสิ่งเดียวที่หาซื้อจากห้างสรรพสินค้าในเมืองกรุงไม่ได้

อีกไม่ถึงห้าสิบเมตรก็จะถึงที่หมายในคืนนี้

แม้จะเป็นยามเย็นย่ำของวันศุกร์ แต่ทว่าบรรยากาศในร้านอาหารกลับเงียบเหงา ไม่คึกคักเหมือนครั้งแรกที่หญิงสาวทั้งสองมาเยือนกับเพื่อนร่วมงานมีลูกค้าเพียงสองโต๊ะเท่านั้นที่นั่งอยู่ในมุมเงียบๆ หลังร้าน ชโลธรกวาดตามองไปทั่วร้าน

ผ้าพื้นเมืองทอลายแปลกตายังคงแขวนที่ฝาผนังทั้งสองข้าง แสงไฟสีนวลตาจากหลอดวอล์มไลท์ ช่วยขับเส้นด้ายสีทองให้โดดเด่นขึ้นมาอีกโข ริมระเบียงด้านนอกสุดที่ติดกับแม่น้ำ กุหลาบในกระถางนับสิบกำลังแข่งกันเบ่งบาน กลีบของมันหนาและแดงจัดจนเข้ม หยดน้ำเล็กๆ หลายหยดเกาะอยู่ที่กลีบหนานั้น เหมือนดังผ้ากำมะหยี่สีแดงที่กำลังเปียกปอนด้วยไอฝน

เพลงยังคงบรรเลงด้วยเปียโนเหมือนเช่นเดิม    

สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มแต่งกายด้วยผ้าซิ่นพื้นเมือง นำพาให้หญิงสาวทั้งสองเข้าไปในร้าน

สายตาหญิงสาวสอดส่ายมองหาใครคนหนึ่ง

เขาอยู่ไหนนะ?

ภาวนาในใจ เธอนั้นไม่อยากเจอแพรวพรรณอีกเลย หญิงคนนี้แม้หน้าตาจะสะสวยกว่ารันชรีมาก แต่ช่างเป็นคนที่น่ารังเกียจโดยเฉพาะแววตาอันร้ายกาจนั้น มันเหมือนดังเหยี่ยวที่กำลังมองหาเหยื่อ และพร้อมที่จะโฉบลงมาคร่าชีวิตได้ทุกเวลา

 ชโลธรเลือกนั่งโต๊ะที่ระเบียงติดกับต้นกุหลาบ นอกจากมันจะส่งกลิ่นหอมแล้ว เธอยังรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างดึงดูดให้เธอต้องเลือกที่นั่งตรงนี้

รันชรีเงยหน้าขึ้นมาจากเหล่าดอกไม้สีแดงสดเหล่านั้น เธอส่งยิ้มเย็นยะเยือกให้กับภาพที่เห็น

“ในเมื่อฉันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ใครก็อยู่ไม่ได้ โชค...เพื่อนรัก...อีกไม่นาน แกต้องไปอยู่กับฉัน”

ปนด้วยกังวานหัวเราะในลำคอ

ชโลธรโน้มตัวเข้าหาเหล่าดอกไม้นั้น แล้วสูดดมเอาความหอมของดอกไม้สีสด ราวกับว่าจะเก็บกลิ่นอันจรุงใจนั้นไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เป็นจังหวะเดียวกับที่โชคกำลังเดินออกมาจากห้องบัญชี แต่เขากลับมองเห็นเป็นหญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกขานว่าเป็นเพื่อนรัก

ภาพนั้น...รันชรี

ชายหนุ่มสลัดศีรษะไปมา

เขามองภาพเบื้องหน้าอีกครั้งหนึ่ง เพื่อความชัดเจนของความรู้สึก แน่นอนว่ามันไม่ใช่ภาพรันชรีเหมือนครั้งแรก หากแต่มันเป็นภาพของหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังโน้มตัวลงสูดกลิ่นของดอกไม้

มันคงไม่มีอะไรมากนักหรอก คงเพราะท่าทางนั้นเหมือนกิจวัตรที่รันชรีมักจะกระทำบ่อยๆ เมื่อครั้งยังอยู่ที่นี่ เพื่อนรักจะเดินมาสูดกลิ่นดอกไม้ทุกวัน จึงทำให้เขาตาฝาดไป

แต่ภาพหญิงเบื้องหน้าก็ทำให้เขาถึงกับหยุดชะงักอีกครั้งเหมือนกัน

เหมือนเขากำลังยืนอยู่สุดปลายของชะง่อนหินผา เพียงสายลมอันแผ่วเบาก็ทำให้เขาร่วงหล่นลงไปในหุบเหวนั้นทันทีที่ได้ประสพกับหญิงสาวผู้นี้

และในวินาทีนี้...หุบเหวแห่งความรัก...เขาได้ตกลงไปเสียแล้ว

 แม้ว่าชายหนุ่มจะครองตัวเป็นโสดมานาน แต่ใช่ว่าเขาจะไม่มองหาคนที่ถูกใจ ตามประสาชายทั่วไป แต่ที่ผ่านมาเขาไม่มองใครเลย เพราะต่างก็มุทำงานอย่างที่เคยให้คำมั่นกับเพื่อนรักไว้ ซึ่งเขาเองก็ยอมรับว่าตั้งแต่รันชรีไม่อยู่ ความรู้สึกว้าเหว่มักจะเข้ามาแวะเวียนเสมอ แม้จะมีแพรวพรรณและอานนท์มาแทนที่ก็ตาม แต่จากเหตุการณ์ที่บ้านแพรวพรรณคืนนั้น เขาก็ระวังเนื้อระวังตัว และตั้งสติทุกครั้งที่อยู่กับแพรวพรรณ ยังไม่นับถึงความเข้าอกเข้าใจที่แพรวพรรณต่างจากที่รันชรีทุกอย่างก็ว่าได้

ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวอยู่จนเธอผู้นั้นถอนใบหน้าจากสีแดงกำมะหยี่ของกลีบกุหลาบ หญิงสาวค่อยๆ หันหน้ามาทางเขา มิวายที่เขาจะส่งยิ้มให้หล่อนแล้วค้อมศีรษะเล็กน้อย ฝ่ายหญิงสาวเมื่อประจันหน้ากับชายหนุ่มถึงกับอึ้ง   ใบหน้าคมเข้มนั้นกำลังส่งยิ้มให้เธอ หญิงสาวก้มหน้าเล็กน้อย แฝงด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ที่ตั้งใจปิดบังเขาเอาไว้

 “นั่นไงชมพู่ อีตาโชค” หญิงสาวบอกให้เพื่อนมองตามชายผู้นั้นไป

“หล่อมากแก ไม่แปลกใจเลยที่ยัยแพรวนั่นจะหลงรัก” ชมพูนุชออกความคิดเห็น

“ว่าแต่ว่าฉันมาที่นี่แล้ว แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ คุณรันเขาอยากให้ฉันช่วยอะไรเกี่ยวกับนายคนนี้ หรือเธออยากให้ฉันบอกว่าเธอตายไปแล้ว”

“อย่าบอกเด็ดขาด” เสียงนั้นกังวานอยู่ในโสตประสาทของชโลธรเพียงผู้เดียว ทั้งๆ ที่รู้ว่าเสียงนั้นคือเสียงใคร แต่ก็ไม่วายที่หญิงสาวจะหันไปซ้ายทีขวาที

ขณะนั่งทานอาหารอยู่นั้น หญิงสาวจะรู้ไหมว่ามีสายตาหนึ่งที่กำลังลอบมองเธออยู่ โชคนั่นเอง เขานั่งอมยิ้มแล้วมองชโลธรด้วยแววตามีประกาย มันนานเหลือเกินที่เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับผู้หญิงคนไหน แต่วันนี้และขณะนี้ใจเขากำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ 

 “โชคเพื่อนรัก อีกไม่นานแกจะได้รู้ว่าความรักมันเป็นยังไง แกจะต้องสัมผัสกับความรักอย่างที่ฉันเคยรู้สึก” วิญญาณเพื่อนรักยืนจ้องมองชายหนุ่ม ด้วยรอยยิ้มอันปวดร้าว

“แหม่มๆ” ชมพูนุชเรียกเพื่อน เมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวกำลังอมยิ้มและใบหน้าเริ่มแดงระเรื่อ

“แกคิดอะไรอยู่เนี่ย อย่าบอกนะว่าชอบอีตาโชคนี่”

“จะบ้าเหรอแก ฉันจะไปชอบเขาได้ยังไง แกอย่าลืมว่าเขาเป็นคนทำให้คุณรันเสียใจนะ ไอ้คนใจร้าย” หญิงสาวเรียกสติกลับคืนมาจากภวังค์ เมื่อรู้สึกตัวว่าสิ่งที่ชมพูนุชกำลังทักอยู่นั้น มันอาจจะเป็นจริง

“เรามาที่นี่แล้ว ต่อไปจะเป็นอย่างไรต่อ คุณรันอยากให้แหม่มทำอะไรต่อค่ะเนี่ย” หญิงสาวเอ่ยขึ้น

เม็ดฝนบางๆ กำลังโปรยปรายอยู่ด้านนอก สายลมอ่อนๆ พัดพาเอาละอองเล็กๆ นั้นสัมผัสกับผิวกายของหญิงสาว มันสร้างความสดชื่นให้เธอไม่น้อย

“ฉันชอบฤดูฝน ชอบนั่งมองสายฝน และชอบกลิ่นของดินเวลาถูกน้ำฝน” หญิงสาวพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว

เป็นจังหวะเดียวกับบริกรหนุ่มยกอาหารมาเสิร์ฟ โดยมีชายหนุ่มเจ้าของร้านเดินมาสมทบ แต่ยังไม่ทันที่จะยกอาหารวางลงบนโต๊ะ เขาก็ต้องชะงักกับประโยคที่หลุดออกมาจากปากหญิงสาวเสียก่อน

“ช่างเหมือน...กับ...รันชรี...อะไรอย่างนั้น”

ไม่มีคำพูดใดจะเอื้อนเอ่ยต่อไป เขาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาวแล้วจ้องมองใบหน้านั้นอย่างฉงนกับคำพูด

เด็กหนุ่มยกอาหารวางบนโต๊ะ มันยิ่งสร้างความฉงนให้เขาอีกระลอกหนึ่ง อาหารทุกจานล้วนแล้วแต่เป็นอาหารที่รันชรีชอบทั้งนั้น

“รัน...”ชื่อของเพื่อนรักถูกเรียกขานอีกครั้งหนึ่ง

“ยังจำได้หรือโชค ว่าฉันชอบอะไร”

หญิงสาวถึงกับสะดุ้งในคำพูดของตนเอง เพราะจริงๆ แล้วในขณะนี้เธอเองรู้สึกราวกับว่าพฤติกรรมและคำพูดทุกอย่างของตนนั้น อยู่เหนือการควบคุมของตนเองอย่างสิ้นเชิง

ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น แม้ว่าเขาจะถูกตรึงใจไว้กับหญิงที่อยู่เบื้องหน้า แต่พฤติกรรมและวาจาต่างๆ ของหญิงสาว กลับทำให้เขาสับสนไม่น้อย

“อาหารที่คุณสั่งล้วนเป็นรายการอาหารแนะนำของทางร้านครับ” ชายหนุ่มตัดบทไปที่เรื่องอาหาร แทนการครุ่นคิดถึงคำพูดที่หลุดออกจากปากหญิงสาวที่เขาเองยังไม่รู้จักเสียด้วยซ้ำ

มันนานเหลือเกินที่ประกายในตาของชายหนุ่มไม่ได้เปล่งออกมาเช่นนี้ เขามองไปที่หญิงสาวอีกครั้งหนึ่ง จนทำให้อีกฝ่ายหลบสายตาไปด้วยความเขินอาย

“มาเที่ยวหรือครับ ผมเป็นเจ้าของร้าน มีอะไรติชมได้นะครับ”

ไม่ต้องมาแสดงตัวหรอกว่าเป็นเจ้าของร้าน ฉันรู้อะไรมากกว่าที่คุณคิดเยอะ อีตาโชค หญิงสาวคิดในใจก่อนจะพยักหน้าแล้วเสสายตามองไปยังจานอาหารที่วางอยู่เบื้องหน้า

19 มีนาคม 2558 20:31 น.

Home บ้านรักในรอยแค้น ตอนที่ 17

สมภพ แจ่มจันทร์

ตอนที่ 17

กิตติออกมาสูดอากาศที่หน้าบ้าน รันชรีดูแลต้นไม้และดอกไม้ได้ดี ต้นกุหลาบหลายต้นแข่งกันออกดอก และเบ่งบานอวดสีสันกัน ทั้งสีแดงสีขาวและสีเหลือง เขามองเลยไปที่รถยนต์ของเขาที่บัดนี้มันยังคงจอดอยู่หน้าบ้าน ใช่ เขาลืมไปเสียสนิท มัวแต่ดีใจที่ได้เจอกับรันชรี จนลืมเก็บรถมาจอดไว้ในบ้าน แต่ในขณะที่เขากำลังยืนมองดูรถตัวเองอยู่นั้น คนเก็บของเก่าสองคนก็ผ่านมา แล้วจ้องมองเขาแปลกๆ เขาคิดว่าคนทั้งสองคงอยากจะเข้ามาถามว่ามีของเก่าอะไรจะขายไหม

หญิงชายคู่นั้น หยุดมองเขาแล้วซุบซิบกัน

“ไอ้แก่ เอ็งว่าซอยนี้มันเงียบแปลกๆ ไหม”

“นั่นไง บ้านหลังนั้นมีคนอยู่ ลองเข้าไปถามสิว่าเขามีอะไรจะขายไหม”

“แต่ข้าว่ามันแปลกๆ นะ บ้านเก่าทรุดโทรมยังกะบ้านร้าง จะอยู่กันได้ยังไงวะ เอ็งลองดูสิ”

ว่าแล้วผู้เป็นสามีก็เห็นพ้องกับความเห็นของภรรยาตน เพราะดูจากสภาพบ้านแล้ว ไม่น่าจะเป็นที่อยู่อาศัยได้เลย รอบๆ บ้านต้นไม้พากันยืนต้นตายหมด สนามหญ้าก็แห้งกรอบ โดยเฉพาะสระว่ายน้ำเล็กๆ นั้น ที่ถูกใบไม้ทับถมไปเกือบครึ่งสระ กระจกประตูหน้าต่างถูกไม้ตีปิดตายทุกบาน แต่มันแปลกตรงที่ว่ามีผู้ชายคนนั้นและรถเก๋งคันหรูจอดอยู่

 “ข้าว่ารีบไปกันเถอะ ไม่ต้องไปถงไปถามอะไรหรอก ข้าบอกแล้วว่าอย่าเข้ามาในซอยนี้ก็ไม่เชื่อ เห็นไหมละ เจอดีเข้าแล้ว กลางวันแสกๆ” ฝ่ายหญิงพูดเชิงตำหนิ

คนทั้งสองเพิ่มแรงผลักรถเข็นซาเล้งคู่ใจ ให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้าเร็วขึ้น

แต่ทันใดนั้นฝ่ายชายกลับนิ่ง แล้วชี้ไปที่บ้านหลังดังกล่าว พร้อมกับอ้าปากค้าง

“ไอ้แก่ เอ็งเป็นอะไรไปวะ” ผู้เป็นภรรยาเขย่าตัวสามี

“ผะๆๆๆๆผีๆๆๆๆๆผู้ๆๆๆๆๆหญิงๆๆๆๆข้างๆๆๆๆ บนบ้าน” เพียงเท่านั้นคนทั้งคู่ก็ทิ้งพาหนะคู่ใจแล้ววิ่งหน้าตั้งออกมาจนถึงปากซอย

ภาพรันชรียืนหน้าซีดอยู่หน้าต่างชั้นบน กำลังจ้องมองคนทั้งสอง ทำเอาชายผู้มองเห็นอกสั่นขวัญแขวน

กิตติที่ยืนอยู่ระเบียงหน้าบ้านมองดูคนทั้งคู่ด้วยความสงสัย ว่าเหตุใดจึงแสดงอาการเหมือนหวาดกลัวอะไรอย่างสุดขีด แต่ป่วยการที่เขาจะคิดต่อ กิตติออกไปที่รถเพื่อจะขับเข้ามาจอดภายในบ้าน ก็ยังมองเห็นชายหญิงคู่นั้นอยู่ลิบๆ

วิ่งออกมาไกลเท่าใดก็ไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าบัดนี้คนทั้งคู่หยุดหอบ แฮ็กๆ อยู่ที่หน้าร้านขายของชำเล็กๆ ร้านหนึ่ง ทำเอาผู้คนภายในร้านแตกตื่น เรื่องที่ชายหญิงเก็บของเก่าเจอผีผู้หญิงกลางวันแสกๆ

“ร้อยวันพันปี ไม่เห็นมีใครเข้าไปในซอยนั้น ชาวบ้านเขาย้ายหนีกันไปหมด ลุงกับป้าคิดยังไงถึงเข้าไปเนี่ย” เด็กสาววัยรุ่นเอ่ยถาม

“พวกฉันสองคนเพิ่งถูกเผาไล่ที่ แล้วก็ย้ายมาอยู่แถวนี้ ยังไม่ค่อยรู้จักอะไรมากนัก”

“งั้นฉันจะบอกลุงกับป้าอีกรอบนะว่าไม่จำเป็นอย่าเข้าไปซอยนั้นเด็ดขาด มีผู้หญิงฆ่าตัวตาย แล้วก็เฮี้ยนมาก จนคนทั้งซอยเขาประกาศขายบ้านกันหมด ตอนนั้นพวกไฟฟ้าเข้าไปตัดกิ่งไม้ที่ระสายไฟ ก็กลางวันแสกๆ นี่แหละ เผ่นออกมาแทบไม่ทัน”

“แต่เมื่อตะกี้ป้าเห็นบ้านหลังนั้นมีคนอยู่นะ เป็นผู้ชายรถยังจอดอยู่หน้าบ้านเลย”

“หรือมีบ้านที่ขายได้แล้ว” ชายคนหนึ่งออกความคิดเห็น

“โอ้ย ลุง ใครจะบ้ามาซื้อ ถามหน่อยถ้าเป็นลุงๆ จะซื้อไหม บ้านที่ติดกับบ้านร้าง บ้านผีสิงน่ะ” เจ้าของร้านร่วมสนทนาบ้าง

แต่การที่ชายหญิงคู่นั้นบอกว่ามีคนมาอยู่อาศัย ก็ทำให้คนทั้งหมดที่อยู่ในร้าน ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่ามีคนขายบ้านได้ บ้างก็ว่าคนเก็บของเก่าแต่งเรื่อง บ้างก็ว่าเป็นผี ล้วนแล้วแต่เป็นข้อสันนิษฐานทั้งนั้น

สามวันที่กิตติอยู่กับรันชรี เขาไม่อาจโกหกตัวเองได้เลยว่า เขามีความสุขมากเพียงใด รสมือของรันชรีไม่เคยตก เธอทำอาหารทุกอย่างที่เขาชื่นชอบ...เธอยังจำได้...รันชรียังจำได้ว่าเขาชอบอะไรและไม่ชอบอะไร

โอ้...รันชรี...ยอดรัก กิตติมิอาจหยุดยั้งใจรักที่มีต่อหญิงสาวได้

เขาไม่อยากกลับไปทำงานอีก ในทุกๆ วินาทีเขาต้องการอยู่กับรันชรี ซึ่งเขาเองก็ไม่อาจเข้าใจตนเองเหมือนกันว่าเหตุใดความรู้สึกมันช่างรุนแรง จนเขาไม่อาจต้านทานอยู่

ในที่สุดเขาก็ฝืนความรู้สึกตนเองไม่ไหว เขาต่อสายโทรศัพท์ไปยังสำนักงานใหญ่ และทำเรื่องลาพักร้อนต่อ เขาทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้อยู่กับรันชรีให้นานที่สุด

เขาขลุกอยู่กับรันชรีทั้งวันทั้งคืน จนแทบจะไม่อยากออกไปไหน ความสุขที่เขาดื่มด่ำมันยากที่จะลืมเลือนไปได้ เขาได้แต่หวังว่า เมื่อกลับไปทำงานอีกครั้งจะเก็บเงินแล้วแต่งงานกับรันชรีทันที ที่เธอพร้อม แต่เมื่อคิดถึงเรื่องงานแล้ว ก็ทำให้เขาอดที่จะเป็นห่วงงานไม่ได้ และในค่ำคืนหนึ่งเขาก็กล่าวกับรันชรี

                “รัน เห็นทีผมคงจะต้องกลับไปทำงานก่อน วันพักร้อนของผมเหลืออีกแค่สองวันเท่านั้น”

                “ไม่ค่ะ รันไม่ให้คุณไปไหนทั้งนั้น”หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเว้าวอน

                “แต่ผมต้องทำงานนะ”กิตติพยายามชี้แจง เพราะจริงๆ แล้วเขาเองก็ไม่อยากจากเธอไปเช่นกัน

                “ผมไปไม่นานแล้วผมจะรีบกลับมาหาคุณ คุณรอผมอยู่ที่บ้านนะครับ คนดีของผม”

                “รันจะไม่รอคุณ เราจะไม่มีวันพรากจากกันอีก” รันชรีเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หนักขึ้น

                ฝ่ายกิตติเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็เกิดความรู้สึกแปลก จากความรู้สึกที่ว่ารันชรีเพียงต้องการออดอ้อนเขาเท่านั้น แต่เมื่อประโยคเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา น้ำเสียงแปลกๆ ของหญิงสาว เขาเริ่มจะอึดอัดในการสนทนาครั้งนี้

                “เชื่อใจผมนะที่รัก ผมต้องทำงาน เพื่อสร้างครอบครัวของเราไง หรือคุณจะไปกับผมก็ได้นะ”

                กิตติเสนอให้รันชรีกลับไปกับเขาที่เมืองนั้นอีกครั้ง และจะได้นำเช็คไปคืนโชคด้วย แต่ฝ่ายหญิงกลับปฏิเสธพร้อมกับบอกเขาว่าโชคกำลังจะมาที่นี่

                “รันจะไม่มีวันปล่อยให้คุณไปจากรันอีกเป็นครั้งที่สอง เราจะต้องอยู่ด้วยกันจนวันตาย” กิตติขนลุกซู่กับคำพูดของรันชรี บัดนี้แววตาอันอ่อนโยนของหญิงสาวกลับแปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่แข็งกระด้างและเย็นชาเหลือเกิน

                นี่เขาจะทำเช่นไร ใจหนึ่งก็ห่วงเรื่องงาน แต่อีกใจก็รู้สึกผิดกับรันชรี เขายอมเธอได้ทุกอย่าง และให้ได้ทุกอย่างที่เธอต้องการ แต่รันชรีน่าจะเข้าใจเรื่องงานมากกว่านี้

                “คุณคิดอะไรอยู่ คิดที่จะทิ้งรันอีกครั้งใช่ไหม” หญิงสาวตวาดลั่น

                แม้ว่าน้ำเสียงนั้นจะแสดงความไม่พอใจเป็นอันมาก หากแต่กิตติกลับโน้มใบหน้าลงจุมพิตหญิงสาวเพื่อปลอบโยน

                “ที่รัก ผมจะไม่มีวันทิ้งคุณไปไหนอีกแล้ว บอกแล้วไงว่าผมรักคุณ เราจะแต่งงานกันทันทีที่คุณต้องการ”

                “คุณก็ดีแต่พูด คำพูดของคุณทำร้ายรันมาครั้งหนึ่งแล้ว รันเจ็บปวดทรมานเหลือเกิน รันรอคุณทุกวัน แล้ววันนี้ที่คุณกลับมา คุณก็จะไปจากรันอีก รันไม่มีวันยอมให้คุณทำอย่างนั้นเด็ดขาด”

                น้ำเสียงที่อ่อนลงปนเสียงสะอื้น หยาดหยดน้ำใสๆ เอ่อล้นออกมาจากสองตา มิวายที่ชายหนุ่มจะเอื้อมมือไปซับน้ำตานั้น

                “คุณไม่รู้หรอกว่ารันเจ็บปวดแค่ไหน”

                “ผมรู้แล้วที่รัก ผมรู้แล้ว”

                “เพื่อนรันกำลังจะมาที่นี่ รันจะต้องเตรียมตัวเพื่อพบเพื่อน คุณนอนอยู่ที่นี่นะ แล้วอย่าคิดที่จะไปที่ไหนอีก” อีกครั้งกับถ้อยคำแปลกๆ ของหญิงสาว

                “แต่รัน...” ไม่ทันที่เขาจะเอื้อนเอ่ยต่อไป เขากลับรู้สึกชาไปหมดทั้งตัว ริมฝีปากที่กำลังจะขยับพูดต่อไป กลับขยับไม่ได้

                “เราเป็นอะไรไป”

                “รัน...คุณช่วยผมด้วย” กังวานของเขาที่ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยออกมาได้

                รันชรีกำลังผละออกจากอ้อมกอดของเขา หญิงสาวลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า พร้อมกับจัดแจงท่านอนของเขาให้อยู่ในท่าที่สบายที่สุด ก่อนจะก้มลงมาจุมพิตที่ริมฝีปากของเขาเบาๆ

                “รัน...คุณเป็นอะไรไป”

                “อย่าถามอะไรเลยสุดที่รักของรัน เดี๋ยวคุณก็จะได้รู้ว่ารันเป็นอะไร”

                หญิงสาวนั่งอยู่ข้างๆ กายอันหนักอึ้งของเขา เสียงสะอื้นร่ำไห้อันแผ่วเบา มันล่องลอยอยู่ในห้องนี้ จากนั้นก็ดังขึ้นจนเป็นเสียงคร่ำครวญ กิตตินอนตาค้างกับภาพที่เขากำลังสัมผัสอยู่ในวินาทีนี้ รันชรีร้องไห้หนักขึ้นๆ ตามด้วยเสียงกรีดร้องอันแสนเจ็บปวด น้ำตาหยดใสๆ กลับกลายเป็นสีแดง กลิ่นคาวของเลือดโชยมาเตะจมูกเขา มันทำให้เขาพะอืดพะอมไม่น้อยหากแต่ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ นอกจากการมองเพียงอย่างเดียว

                “ความรัก ที่ทำให้ฉันต้องเป็นแบบนี้ ความรักที่หลอกลวงของคนไม่จริงใจ ความรักของคนที่ใจร้าย คนใจดำ” สลับกับเสียงกรีดร้องอันโหยหวน

                “โอ้รันชรี” กับภาพที่เขาเห็นหรือมันเป็นเพียงความฝัน แต่เปล่าเลย เขายังรู้สึกตัวอยู่ทุกขณะ แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้หัวใจของเขาแทบหยุดเต้นคือบัดนี้ห้องนอนอันแสนสวยนั้นกลับกลายเป็นห้องที่ทรุดโทรม เต็มไปด้วยฝุ่นและหยากไย่ มีเพียงร่างเขาเท่านั้นที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงอันสกปรกนี้ และรันชรีที่เนื้อตัวเกรอะกรังไปด้วยเลือด

                “คุณ...เป็น...อะ...ไร” กิตติเอ่ยถามในใจ

                “เพราะคุณ คนใจร้าย หลอกลวงได้แม้กระทั่งผู้หญิงที่รักคุณหมดหัวใจ รันมอบกายและใจให้คุณไปหมดแล้ว แต่คุณกลับเหยียบย่ำความรักของรัน แล้วไปเสพสุขกับผู้หญิงอื่น หัวใจคุณมันร้ายกาจนัก วันนี้คุณกลับมาแล้ว รันจะไม่มีวันปล่อยคุณให้ไปอยู่กับใครอื่นอีก คุณต้องอยู่ที่นี่ อยู่กับรันคนเดียวเท่านั้น”

                “ไม่นะ...อย่าทำ...อะไรผมเลย” กิตติหวาดกลัวสุดขีด ดวงตาของเขาเบิกโพลง หัวใจเต้นแรงแทบจะทะลักออกมา

                “อีกไม่นานเพื่อนรักของรันกำลังจะมาที่นี่ แล้วเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”

                รันชรีหายไปต่อหน้าต่อตา คงเหลือแต่เพียงเขาเท่านั้น ในห้องสกปรกห้องนี้

                “ใครก็ได้ช่วยผมที ผมยังไม่อยากตาย” กิตติคร่ำครวญอยู่ในใจ

                เวลาจะผ่านไปนานสักเท่าใดกิตติไม่สามารถล่วงรู้ได้ เขารู้แต่เพียงว่าเขาถูกตรึงไว้ในห้องๆ นี้นานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ เมื่อเขาผล็อยหลับไป เขาอยากจะตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองเพิ่งก้าวออกมาจากฝันร้าย แต่มันช่างตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ทุกครั้งที่เขาลืมตาขึ้นมา สภาพทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม รันชรีที่เกรอะกรังไปด้วยคราบเลือด ก็ยังคงอยู่เคียงข้างเขาไม่ห่างกาย หญิงสาวพร่ำบอกแต่คำว่ารักกับเขาทุกครั้งที่เขารู้สึกตัวขึ้นมา

                หรือนี่คือผลกรรมที่เขาเคยกระทำไว้กับรันชรีและผู้หญิงเหล่านั้น ความสำนึกผิดอย่างนั้นหรือที่กลั่นกรองออกมาจากหัวจิตหัวใจของเขาในขณะนี้

                หากตัวเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้รันชรีต้องเป็นเช่นนี้ เขาก็พร้อมที่จะรับโทษทัณฑ์ทุกอย่างที่เธอตระเตรียมไว้ให้

 

19 มีนาคม 2558 20:23 น.

Home บ้านรักในรอยแค้น ตอนที่ 16

สมภพ แจ่มจันทร์

ตอน 16

                รุ่งเช้าแพรวพรรณและอานนท์ต่างก็ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดีกับเหตุการณ์ที่ประสพมาเมื่อคืน หากเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้โชคฟัง เขาจะเชื่อหรือเปล่า แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ของแพรวพรรณก็ดังขึ้น

                “กิตติ”

หญิงสาวยังคงไม่รับสายนั้น แต่ปล่อยให้เสียงโทรศัพท์ดังไปเรื่อยๆ หล่อนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ใช่แล้วหล่อนควรจะเร่งให้กิตติไปตามรันชรีโดยเร็ว เพื่อหล่อนจะได้รู้ว่าจริงๆ แล้วรันชรียังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่บัดนี้หล่อนอุ่นใจขึ้นมาก เพราะก่อนออกจากวัด พระชราเจ้าอาวาสได้มอบน้ำมนต์และด้ายสายสิญจน์ให้กับทั้งแพรวพรรณและอานนท์

                “คุณกิตติ คุณอยากเจอรันชรีไหม ตอนนี้รันอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ฉันเพิ่งคุยกับเขาเมื่อวานนี้ และบอกว่าคุณกำลังจะไปหาและเอาเงินไปคืน ฟังจากน้ำเสียงแล้วรันคงดีใจมากและบอกว่าจะรอคุณอยู่ที่บ้าน คุณรีบไปหารันสิ” แพรวพรรณสร้างเรื่องขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

เหมือนคนบนฟ้าต้องการอยากให้เขาไถ่บาปจากความผิดครั้งยิ่งใหญ่ ในที่สุดเขาก็จะได้พบกับรันชรีอีกครั้งหนึ่ง เขาไม่หวังที่จะให้รันชรียกโทษให้ เพียงแต่ยอมรับฟังคำขอโทษจากเขาก็เพียงพอแล้ว เขาพร้อมจะทำทุกอย่างที่รันชรีต้องการ หากมันจะทำให้ความผิดที่เขาทำกับเธอมันเบาบางลงได้

                หลังจากวางสาย กิตติจัดการเคลียร์เอกสารและงานทุกอย่าง ก่อนจะบอกทุกคนว่าจะไปธุระที่กรุงเทพฯ สักสามสี่วัน

                ..........................................................................................................................

แม้ว่าจะมาเป็นปี แต่กิตติก็จำทางไปบ้านหญิงอันเป็นที่รักได้อย่างแม่นยำ เลี้ยวตรงสามแยกข้างหน้าก็จะถึงแล้ว แต่เขาก็ต้องแปลกใจกับทัศนียภาพรายรอบ  หากนับจากปากซอยจนถึงบ้านหญิงสาวน่าจะมีบ้านที่ดูเหมือนมีผู้คนอยู่อาศัยเพียง 4-5 หลังเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นหน้าบ้าน ข้างบ้าน ล้วนแล้วแต่ติดประกาศขายบ้านกันทั้งนั้น คงมีเพียงบ้านของรันชรีเพียงหลังเดียวที่มีคนอาศัยอยู่ยิ่งท้องฟ้ามืดครึ้มเช่นนี้บรรยากาศมันช่างวังเวงจนขนหัวของเขาลุกชัน

แต่ก็ช่างเถอะใครจะอยู่หรือจะไปมันไม่เกี่ยวอะไรกับเขา สิ่งที่เกี่ยวกับเขามีเพียงรันชรีคนเดียวเท่านั้น

เขาก้าวขาลงจากรถ สายลมแรงๆ วูบใหญ่พัดผ่านกายเขาไป เขารู้สึกมึนๆ ในศีรษะ แต่ก็ได้แต่บอกตัวเองว่าคงเป็นเพราะเขาขับรถมาไกลจึงเกิดอาการเพลีย ประกอบกับความตื่นเต้นที่จะได้พบรันชรีอีกครั้งหนึ่ง

ดอกกุหลาบสีแดงยังคงแย้มบานเหมือนครั้งที่เขาเคยมาที่นี่กับรันชรี สนามหญ้าเขียวขจีราวกับถูกห่มคลุมด้วยผ้ากำมะหยี่ผืนใหญ่ แต่ก็เขาก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ว่าเหตุใดเพื่อนบ้านจึงหายไปหมด แล้วหญิงสาวอยู่อย่างไรท่ามกลางบ้านที่ไม่มีคนอยู่เช่นนี้ รันชรีอยู่บ้านคนเดียว หากเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวจะทำเช่นไร ความห่วงใยในตัวหญิงสาวเริ่มตีตื้นตามมา

ครืน...ครืน...

กัมปนาทจากฟากฟ้าส่งมาจากเบื้องบน เมฆดำลอยเลื่อนมาบดบังความสว่างไสวจากแสงอาทิตย์ เขาแหงนมองที่มาของเสียงจากเบื้องบน พลางกดกริ่งที่หน้าบ้าน

เหมือนจะหยุดลมหายใจของตนเอง ทันทีที่หญิงสาวเปิดประตูกระจกบานใส รอยยิ้มที่เขาคุ้นเคยถูกประทับลงไปในใจอีกครั้ง แม้จะซูบผอมลงไปอย่างเห็นได้ชัด แต่ใบหน้ารันชรียังคงน่ารักมีเสน่ห์เช่นเดิม หญิงสาววิ่งออกมาแล้วหยุดอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“รัน...” บุรุษผู้สำนึกผิดเอ่ยชื่อหญิงสาวอีกครั้ง

ไม่มีคำพูดใดๆ จากหญิงสาว เธอเปิดประตูรับชายที่ตนรักหมดหัวใจ มีเพียงรอยยิ้มและอ้อมกอดเท่านั้น ที่หญิงสาวทักทายเขาแทนคำพูด

 “รัน ผมกลับมาหาคุณแล้ว” เขาเอื้อนเอ่ยต่อหญิงสาว

“ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว ยกโทษให้ผมเถอะที่รัก ผมรักคุณ” ความรู้สึกผิดพรั่งพรูออกมาเป็นคำพูด

“ไม่เป็นไรค่ะที่รัก มันผ่านไปแล้วและมันก็จบไปแล้ว รันรักคุณค่ะ รันรอคุณทุกวันแล้ววันนี้คุณก็กลับมาหารัน” หญิงสาวพูดทั้งน้ำตา

“หยุดร้องไห้เถอะคนดีของผม ต่อไปนี้ผมจะไม่ทำให้คุณร้องไห้อีก” ฝ่ายชายใช้มือเช็ดน้ำตาให้หญิงสาวแล้วฝากรอยจุมพิตไปทั่วใบหน้าเล็กๆ นั้น

ครืน...ครืน...

ประหนึ่งใครสักคนบนฟากฟ้าจะเป็นพยานสำหรับการกลับมาขอโทษของกิตติในวันนี้ ในที่สุดฝนเม็ดเล็กๆ ก็โปรยปรายลงมา

“เข้าบ้านเถอะค่ะ” หญิงสาวจูงมือชายคนรักไปที่ประตูบ้าน

ทุกอย่างภายในบ้านยังคงเหมือนเมื่อครั้งที่เขาเคยอยู่ที่บ้านหลังนี้กับหญิงสาว ความสุขอย่างหาที่เปรียบไม่ได้มันเอ่อล้นเต็มหัวใจของชายผู้สำนึกผิด เขาจะไม่มีวันทำร้ายหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าอีกเด็ดขาด เขาจะทำทุกอย่างให้ผู้หญิงคนนี้มีความสุข เขาพร้อมจะจัดพิธีแต่งงานหากหญิงสาวต้องการ

หญิงสาวเดินนำหน้าฝ่ายชาย เมื่อถึงห้องโถงกลางบ้านฝ่ายชายสวมกอดหญิงสาวจากด้านหลัง หญิงสาวหันหน้ากลับมาหาเจ้าของไออุ่นนั้น หน้ากับหน้าแทบจะชิดกัน

“รัน...คุณยังไม่ตอบผมเลยว่า จะยกโทษให้ผมไหม”

“รันไม่โกรธคุณและยังรักคุณเสมอคะ”

ฝ่ายชายเมื่อได้ยินเช่นนั้น ความรู้สึกผิดที่คั่งค้างอยู่ในใจมาแรมปีก็มลายหายไปสิ้น

เขาเลื่อนมือทั้งสองจากเอวอันกลมกลึงขึ้นทาบทับไปที่ใบหน้าของหญิงสาวแทน ใบหน้านั้นช่างนิ่มนวลเหมือนครั้งก่อนเก่าที่เขาเคยสัมผัสมาก่อน รอยจุมพิตในครั้งนี้ที่ประทับไปบนหน้าผากของหญิงสาว มันมาจากความรักทั้งหมดของเขา มันออกมาจากใจ มิใช่การเสแสร้งเหมือนการกระทำอันเลวทรามที่เขาเคยทำลงไป

“แค่คุณกลับมารันก็ดีใจแล้วค่ะ อะไรที่มันเลวร้ายเราอย่าพูดถึงมันดีกว่า” หญิงสาวบอก

“ได้จ๊ะคนดีของผม ต่อไปนี้ผมจะรักคุณและเราจะสร้างครอบครัวด้วยกัน มีลูกด้วยกัน และจะไม่มีวันพรากจากกันอีก” กิตติบอกทุกอย่างตามที่ใจของเขาความจริงของหัวใจ

“ใช่ค่ะ เราจะไม่มีวันพรากจากกัน เราจะต้องอยู่ด้วยกันจนตาย” น้ำเสียงของหญิงสาวกลับเยือกเย็นลงในทันที แต่ผู้รับฟังไม่ได้คิดอะไร เขาคิดแต่เพียงว่าช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของเขานี้ จะมีผู้หญิงที่ชื่อรันชรีเคียงข้าง และมีลูกมีหลาน สร้างครอบครัวขึ้นมาให้มีความสุข

หญิงสาวรั้งร่างของฝ่ายชายเข้ามาในแนบชิดยิ่งขึ้น ริมฝีปากเล็กๆ นั้นประทับไปที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างจงใจ เนิ่นนานเท่าใดแล้วที่กิตติไม่ได้รับสัมผัสแห่งรอยจุมพิตที่ร้อนแรงและอ่อนโยนในทีเช่นนี้ เขาผละออกจากหญิงสาว สองมือกุมหัวไหล่ของเธอไว้

“ผมรักคุณ ผมรู้แล้วว่าผมรักคุณ”

 จากนั้นก็เป็นเขาเองที่ดึงร่างหญิงสาวนั้นมาประทับรอยจูบอีกครา แล้วค่อยๆ ช้อนร่างอันบอบบางนั้นหายลับเข้าไปในห้องนอน

ความอิ่มเอมจากรสสวาทที่หญิงสาวมอบให้ เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเธอทำให้เขามีความสุขมาก นับตั้งแต่ที่เขาทำผิดต่อเธอ เขาได้ลิ้มลองรสสวาทนั้นจากหญิงสาวนับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยเหมือนเธอคนนี้ อาจเป็นเพราะในรสสวาทนั้นมันถูกปรุงแต่งไปด้วยความรัก ความรักที่เธอมีต่อเขาและบัดนี้ในรสสวาทนั้นมันได้ผสมผสานความรักของเขาเข้าไปด้วย

“รันผมเอาเช็คมาคืนคุณ” ฝ่ายชายกำลังจะลุกจากเตียง แต่ถูกฝ่ายหญิงรั้งไว้เสียก่อน

“ไม่จำเป็นแล้วค่ะที่รัก ทุกอย่างมันจบไปแล้ว รันไม่ต้องการเงิน มีเพียงความรักจากคุณเท่านั้นที่รันต้องการ” หญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาขณะนี้ แนบใบหน้าลงไปกับแผงอกอันเปลือยเปล่า มือข้างหนึ่งก็กอดก่ายเขาราวกับกลัวว่าเขาจะหนีหายไปอีกครา

“ผมขอโทษนะรัน ที่ผมต้องทำอย่างนั้น ผม...” หญิงสาวใช้ริมฝีปากตนเองประกบจูบฝ่ายชายเพื่อหยุดยั้งการเอ่ยอ้างถึงเหตุผลกับเรื่องราวทุกอย่างที่ผ่านมา

เมื่อถอนรอยจูบนั้นออกมาแล้ว

“คุณไม่ต้องบอกเหตุผลอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างมันจบแล้ว รันไม่อยากฟังเรื่องเก่าๆ ต่อไปนี้จะมีแค่เรื่องของเราและความรักของเราเท่านั้นนะคะ คุณคือคนที่รันรักหมดหัวใจค่ะ”

โอ! รันชรี...

เขารำพึงชื่อหญิงสาวในลำคอ เหตุใดหนอตนจึงกล้าทำสิ่งที่เลวร้ายกับผู้หญิงที่จิตใจดีคนนี้ได้ เขาทำสิ่งที่ไม่ดีกับเธอ แต่เธอกลับไม่โกรธ ให้อภัยและยังให้โอกาสกับเขาอีกครั้งหนึ่ง ยิ่งคิดกิตติยิ่งรู้สึกผิด ความรักที่มีต่อหญิงสาวมันเอ่อล้นเต็มทุกห้องหัวใจจนไม่อยากจากเธอไปไหนอีกแล้ว

หลังฝนตก ท้องฟ้าย่อมแจ่มใสเสมอ กิตติรู้สึกเบาโล่งทั้งร่างกายและจิตใจ เขาไม่มีปมอะไรในใจที่ติดค้างอยู่อีกแล้ว หวนนึกถึงเช็คใบนั้นที่ยังคงนอนอยู่ในกระเป๋า เขาจะต้องคืนให้รันชรีให้ได้ แต่หากหล่อนยังปฏิเสธที่จะรับอีก เขากะว่าเอาไปคืนโชค เขาเหลือบตามองไปที่หญิงสาวที่กำลังหลับใหลอยู่ข้างๆ กาย แล้วค่อยๆ ลุกออกมาจากเตียงอย่างแผ่วเบาและเชื่องช้า เพราะเกรงว่าหล่อนจะตื่นจากการนิทราอันแสนสุขนั้น

19 มีนาคม 2558 20:18 น.

Home บ้านรักในรอยแค้น ตอนที่ 15

สมภพ แจ่มจันทร์

                ตอนที่ 15

แพรวพรรณเล่าถึงเรื่องที่กิตติกลับมาที่เมืองนี้อีกครั้ง เพราะอยากเอาเงินมาคืนรันชรี ให้อานนท์ฟัง แต่ตนได้บอกให้กิตติไปตามหารันชรีที่บ้าน เพื่อสกัดไม่ให้หล่อนกลับมาที่นี่อีก อานนท์เริ่มสงสัยในตัวกิตติว่าคิดจะมาไม้ไหน แต่ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ในห้องบัญชีนั้น จู่ก็มีเสียงเอะอะมาจากด้านนอก

                “กรี๊ดๆๆๆๆๆ”

                หุ้นส่วนทั้งสองรีบวิ่งออกไปดูเพื่อหาที่มาของเสียงนั้น

                หญิงสาวคนหนึ่งถูกพยุงร่างออกมาจากห้องน้ำ ใบหน้าของเธอแสดงถึงอาการขวัญเสียอย่างรุนแรง

                “มีผีอยู่ในห้องน้ำ มีแต่เลือดเต็มไปหมดเลย”

ตามด้วยเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัว มิหนำซ้ำหล่อนยังพูดเรื่องผีในห้องน้ำไม่หยุด จากนั้นก็ได้แต่เอามือปิดหน้าปิดตาตนเอง พนักงานเสิร์ฟช่วยกันพยุงร่างหญิงผู้นั้นไปนั่งที่โต๊ะ หญิงสาวกลับพูดไม่ได้ศัพท์ หล่อนบอกจุดประสงค์เพียงอย่างเดียว คือต้องการออกไปจากสถานที่แห่งนี้

                ลูกค้ากลุ่มนั้นเช็คบิลกลับไปแล้ว แต่สถานการณ์หาได้หยุดนิ่งเพียงนั้นไม่ เสียงพูดคุยกันเซ็งแซ่เกี่ยวกับเรื่องผีในห้องน้ำยังเป็นหัวข้อสนทนาของทุกคนที่ยังอยู่ภายในร้าน

                “มีอะไรกัน” อานนท์ถามพนักงานด้วยเสียงเข้ม

                “ผู้หญิงคนนั้นเขาเล่าว่า กำลังยืนรอที่จะเข้าห้องน้ำ พอคนในห้องน้ำเปิดประตูออกมา ใบหน้าของคนๆ นั้นกลับซีดเซียวเหมือนกับ....ผี.... แล้วเลือดสดๆ ก็ไหลออกมาจากข้อมือทั้งสองข้างจนนองเต็มพื้น” พนักงานสาวคนหนึ่งหันหน้ามาตอบอย่างตื่นตระหนก

                “เหลวไหลน่า ผีมีจริงที่ไหน” อานนท์ฝืนพูดไปทั้งที่ใจเต้นไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย

                “มันน่าจะเป็นแผนของร้านอื่นมากกว่าที่ส่งคนมาแกล้งร้านเรา ให้คนเข้าใจว่าร้านเรามีผี คนก็จะไม่เข้าร้านเรา แผนการตลาดโง่ๆ พวกมันคิดได้ยังไงกัน” อานนท์พูดอย่างใส่อารมณ์ เพราะในความจริงนี่อาจจะเป็นแผนของร้านคู่แข่งก็เป็นได้

                ชายหนุ่มได้แต่มองหน้ากับหญิงสาว แล้วหันไปบอกกับพนักงานทุกคนว่าเป็นการกลั่นแกล้งจากร้านคู่แข่ง แต่แม้ว่าเหตุผลจะดีสักเพียงใด ลูกค้ากลุ่มอื่นต่างก็มองไปรอบๆ ร้านด้วยสายตาแปลกๆ หลายโต๊ะเช็คบิลกลับ โดยที่ทานอาหารยังไม่หมด คงเหลือลูกค้าเพียงสองโต๊ะเท่านั้นที่ยังนั่งละเลียดไวน์กันอย่างไม่สนใจต่อเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น

                “พวกแกได้เจออะไรเยอะกว่านี้แน่”

รันชรีหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจในขณะที่ลูกค้ากำลังทยอยออกจากร้านไป

                เหตุการณ์ลูกค้าเจอผีในห้องน้ำกระจายไปรวดเร็ว แค่ข้ามคืนผู้คนต่างโจษจันทน์กันอย่างสนุกปาก บ้างก็ว่ามีผีจริง บ้างก็เห็นคล้อยตามกับคำบอกของอานนท์ว่าเป็นเพียงการกลั่นแกล้งของร้านคู่แข่ง

                ชายหนุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ในร้านอาหารแห่งนั้น กำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่กับจอคอมพิวเตอร์ขนาด 16 นิ้ว ตรงหน้า ยอดขายของเดือนนี้ตกไปมากกว่าครึ่ง การควบคุมวัตถุดิบไม่รัดกุมเหมือนเมื่อรันชรียังคงอยู่ รายรับลดแต่รายจ่ายยังคงเดิม แต่ดูเหมือนอาจจะเพิ่มกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไร มันก็ไม่ทำให้ชายหนุ่มสามารถละสายตาจากโปรแกรมบัญชีนั้นได้มันเป็นผลกระทบอย่างยิ่งโดยเฉพาะการวางแผนเปิดสาขาในห้างสรรพสินค้าใหม่ที่กำลังจะเปิดเร็วๆ นี้

แต่ยังไม่ทันที่ผู้ถือหุ้นใหญ่จะเรียกทุกคนเข้าประชุม ก็มีเรื่องผีเข้ามาอีกระลอกหนึ่ง ยิ่งทำให้ชายหนุ่มหัวเสียหนักไปใหญ่ ซึ่งตัวเขาเองก็ยังไม่ปักใจเชื่อเรื่องผีนั้น แต่ค่อนข้างโอนเอนไปทางความคิดของอานนท์ที่ว่าเป็นการกลั่นแกล้งจากร้านคู่แข่งมากกว่า

                เมื่อมารดาได้ทราบเรื่องราวนี้แล้ว ทำให้อดไม่ได้ที่จะเข้ามาช่วยบุตรชายดูแลร้าน เพราะตัวนางเองก็เชื่ออย่างที่บุตรชายเชื่อเช่นกันว่าเป็นการกลั่นแกล้งจากร้านคู่แข่ง ซึ่งหากจะพูดกันตรงๆ ก่อนที่จะปลดระวางตนเอง นางและสามีเป็นผู้บุกเบิกร้านอาหารจนมีชื่อเสียงถึงทุกวันนี้ เมื่อมีเรื่องนี้เข้ามาประกอบกับนางได้เห็นพฤติกรรมบางอย่างของแพรวพรรณ ทั้งด้านการทำงานและแววตาที่หญิงคนนี้มองบุตรชายตนเอง ทำให้นางรู้สึกหนักใจและคิดถึงรันชรีมากขึ้นทุกที

                “โชคโทรหารันหน่อยนะลูก บอกให้รันรีบกลับมา” นางบอกกับบุตรชาย

                “ถ้าแม่คิดถึงกันมาก ก็โทรหาเองสิ” โชคบอกมารดา

                จริงๆ แล้วโชคก็อยากจะทำตามที่มารดาบอก แต่ด้วยทิฐิที่ยังมีอยู่ เขาได้แต่บอกว่าเขาสามารถดูแลร้านนี้เองได้โดยไม่ต้องพึ่งคนอื่น แพรวพรรณได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโล่งใจที่โชคยังโกรธและเกลียดรันชรีอยู่

                หญิงสูงวัยเดินดูรอบๆ ร้านอาหารที่ตนและสามีร่วมกันสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตน ก่อนจะยกให้บุตรชายดูแล เรื่องการร่วมหุ้นของรันชรีนั้นเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว นางต้องการที่จะทำตัวเป็นแม่สื่อให้เด็กทั้งสองเสียมากกว่า นางจึงยินดีที่รันชรีมาช่วยบุตรชายดูแลร้าน แต่การเข้ามาของแพรวพรรณและอานนท์นั้น โชคตัดสินใจโดยที่ไม่ปรึกษานาง นอกจากจะทำให้นางไม่พอใจแล้วนั้น ยิ่งทำให้นางไม่สามารถปลดระวางได้อย่างแท้จริง

                รันชรีชอบดอกกุหลาบสีแดง หญิงสาวจึงเลือกดอกกุหลาบมาประดับตกแต่งร้าน ซึ่งมันเป็นอีกหนึ่งอย่างที่เด็กสาวคนนี้ชอบในสิ่งที่คล้ายๆ กับหญิงสูงวัย

                “แม่ค่ะ รันขอโทษ แม่ไม่ควรจะมาที่ร้านนี้อีก แม่กลับไปอยู่ที่บ้านเถอะค่ะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าเพราะผู้เป็นมารดาเข้ามาอยู่ดูแลร้าน ทำให้รันชรีไม่กล้าที่จะสำแดงฤทธิ์เดชอันใด ทำให้เมื่อทั้งโชคและมารดาเข้ามาที่ร้าน ก็ไม่มีเหตุการณ์ผีหลอกมาให้ได้รับรู้อีกเลย

                เพียงไม่กี่วันที่ผู้เป็นมารดามาช่วยบุตรชายดูแลร้าน แพรวพรรณสัมผัสได้ถึงความหนาแน่นของกำแพงที่แม่ของโชคก่อขึ้น เพราะนอกจากจะคอยกันท่าลูกชายแล้ว เมื่ออยู่ด้วยกันลำพัง นางมักจะกล่าวชมรันชรีทุกครั้งไป มันทำให้เธอดูไร้ค่าไปโดยสิ้นเชิงและเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเธอมีปากเสียงกับมารดาของโชค ในวันที่โชคไม่อยู่

                “เธอจะไปตะคอกใส่หน้าลูกค้าอย่างนั้นไม่ได้ จะอย่างไรเขาก็คือลูกค้า สิ่งที่เธอทำได้คือคำว่าขอโทษเท่านั้น ช่วงนี้ที่ร้านเรากำลังมีปัญหาเรื่องข่าวลือนั่น เธอต้องอดทนให้มากกว่านี้แพรว” หญิงผู้ผ่านร้อนหนาวมามากกว่า บอกกับหญิงสาวที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหุ้นส่วนของร้านอาหารแห่งนี้

                “คุณป้าจะรู้เรื่องอะไร คนพวกนี้มันต้องเจอแบบนี้ถึงจะสาสม มีอย่างที่ไหนทำน้ำแกงหกใส่รองเท้าตัวเอง แล้วจะให้เราเช็ดให้” หญิงสาวแย้ง

                “แต่ที่ป้าเห็น หนูตั้งใจเทน้ำแกงใส่เท้าผู้หญิงคนนั้นนะ”

                “ก็มันอยากจะมาให้ท่าโชคทำไม หนูยอมมันมาหลายครั้งแล้ว” หญิงสาวไม่พูดเปล่า ชี้ไม้ชี้มือไปทางกลุ่มลูกค้าที่เป็นคู่กรณี

                “เธออย่าลืมนะว่าเธอเป็นแค่เพื่อนของลูกชายฉัน ตอนหนูรันอยู่ไม่เคยมีปัญหาแบบนี้ ฟังฉันนะ ร้านนี้ฉันสร้างมากับมือ ฉันจะไม่มีวันให้เธอมาทำลายสิ่งที่ฉันทำเอาไว้มาอย่างดีหรอก บอกมาหุ้นส่วนของเธอมีเท่าไหร่ ฉันจะคืนให้แล้วเธอก็ไม่ต้องมาที่ร้านนี้อีก” สรรพนามระหว่างหญิงสูงวัยกับแพรวพรรณเปลี่ยนไปทันที คำพูดของหญิงสูงวัยเป็นเหมือนดั่งสายฟ้าฟาดลงมาต่อหน้าหญิงสาว

                “คุณป้าทำเกินไปแล้วนะ เรื่องนี้โชคคนเดียวที่จะตัดสินได้”ดวงตาทั้งคู่ของหญิงสาวฉายแววแห่งความเป็นศัตรูอย่างเปิดเผย

                “แต่ฉันเป็นแม่ ลูกชายฉันเขาต้องทำตามทุกอย่างที่ฉันบอก”ผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิกร้านเหลือจะทน

                แพรวพรรณสะบัดหน้าหนีด้วยความโกรธสุดชีวิต ถ้าหากหญิงคนนี้ไม่ใช่แม่ของชายที่รักแล้วละก็ เธอจะกระโดดตบให้สลบไปต่อหน้าต่อเสียในตอนนั้น

                ................................................................................................................................

                ข้าวของในบ้าน ตกระเกะระกะอยู่ตามพื้น แพรวพรรณยังไม่หยุดที่จะมองหาสิ่งของใกล้ตัวที่สามารถขว้างปาได้อีก สลับกับเสียงร้องกรี๊ดๆๆๆ จนคนรับใช้ในบ้านไม่กล้าจะเข้ามาเก็บกวาดสิ่งของที่ตกเกลื่อนกลาดอยู่นั้น

                “พวกแกออกไปเดี๋ยวนี้ จะมองหาอะไร”

หล่อนตวาดกร้าวเมื่อเห็นหญิงรับใช้แอบมองมาจากด้านหลังบ้าน หล่อนกระทืบเท้าลงกับพื้น แล้วเดินอย่างลงน้ำหนักก่อนจะหายเข้าไปในห้องนอน ปล่อยให้หญิงรับใช้ยืนมองตามด้วยความระอาใจ

                “อีแก่หนังเหนียว จะตายลงโลงอยู่แล้วยังมาทำเก่งอีก มันน่าจะเป็นอัมพาตให้นอนตายคาเตียงไปเลย คำก็รันสองคำก็รัน มันมีอะไรดีนักหนา ฉันเกลียดแกนังรัน ถ้าแกอยู่ที่นี่ฉันจะบีบคอแกให้ตายคามือฉันเลย” หล่อนยังก่นด่าไม่หยุด      

วินาทีนั้นเอง...

รันชรีก็มาปรากฏอยู่ต่อหน้า ปากก็พูดจาด้วยเสียงเว้าวอน

“แพรวเธออย่าทำอะไรฉันเลย ฉันกลัวเธอแล้ว”

แพรวพรรณตาค้างกับภาพที่ปรากฏ

จู่ๆ รันชรีเข้ามาในบ้านและในห้องตนเองได้อย่างไร ?

                หญิงสาวผู้มาเยือนยังคงยืนนิ่งที่หน้าประตูห้องด้วยรอยยิ้มที่มุมปากสายตาที่อ้อนวอนเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา กลับกลายเป็นสายตาที่น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก แพรวพรรณยอมรับว่าเธอไม่เคยเห็นรอยยิ้มและแววตาเช่นนี้จากรันชรีมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกและเป็นเหตุการณ์ที่เธอเองตกใจอย่างที่สุด

                “เธอเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง” หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านยังไม่วายสงสัย

                “ฉันไปได้ทุกที่ที่ฉันอยากไป และทำได้ทุกอย่างที่ฉันอยากทำ ว่าไงแพรวเธออยากจะบีบคอฉันไม่ใช่เหรอ ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว มาสิ มาบีบคอให้ฉันตายอย่างที่เธออยากทำ”

                ตามด้วยเสียงหัวเราะในลำคอของรันชรี

                “แกออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ” หญิงสาวยอมรับว่าในขณะนี้ความกลัวมันแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางกาย

                “ถ้าเธอไม่ทำ ฉันทำเองก็ได้” รันชรีลากเสียงเยือกเย็น

                หญิงผู้มาเยือนใช้มือทั้งสองข้างบีบที่ลำคอของตนเอง แต่ผู้ที่รู้สึกแน่นที่ลำคอกลับเป็นแพรวพรรณ ใจที่เต้นแรงอยู่แล้วยิ่งทวีจังหวะความแรงและความเร็ว ลมหายใจที่เคยสูดเข้าอย่างง่ายดายกลับกลายเป็นติดๆ ขัดๆ เหมือนมีอะไรมาอุดรูจมูกไว้ หญิงสาวทรุดตัวลงที่กลางห้อง เรี่ยวแรงที่เคยมีบัดนี้มันหดหายไปแห่งหนใดกันแล้วหนอ แพรวพรรณอยากจะเปิดประตูออกไปจากห้อง แต่ทว่าแม้แต่แขนขาในขณะนี้มันไม่สามารถที่จะเขยื้อนได้สักนิด

                “นี่เรากำลังเจอกับอะไรอยู่?

                “ทำไม...รันชรี...ถึงทำ...อะไรอย่างนี้...ได้?”

                “หรือว่าหล่อนจะตายไปแล้วจริงๆ?”

“อย่า...ทำ...อะ...ไร...ฉัน...เลย” แพรวพรรณพยายามเค้นเสียงออกมาจากลำคออย่างยากเย็น

ชั่วอึดใจเดียวกันนั้นรันชรีก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา พลางคลายมือออกจากคอของตนเอง แพรวพรรณเหมือนกับตายแล้วเกิดใหม่ หล่อนนอนแผ่หรา กระเสือกกระสนสูดอากาศที่เป็นเสมือนหนึ่งยาวิเศษเข้าไปเหมือนจะมีใครมาแย่งยาวิเศษนั้นไป หล่อนสูดลมหายใจอย่างหื่นกระหาย เมื่อร่างกายได้รับออกซิเจนจนเต็มแล้ว หญิงสาวมองไปรอบๆ ห้อง แต่ทว่ากลับไม่มีใคร

รันชรีหายไปแล้ว

แล้วสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเธอนั้นจะอธิบายได้อย่างไร

หล่อนกรีดร้องเสียงหลง หญิงรับใช้ทุบประตูห้องเสียงรัวเมื่อตั้งสติได้แพรวพรรณกดโทรศัพท์ไปหาอานนท์และเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง

เข็มนาฬิกาผ่านไปไม่นานรถเก๋งคันงามของอานนท์จอดนิ่งสนิทอยู่หน้าบ้าน เมื่อไปถึงเขาเห็นเพื่อนสาวยืนอยู่หน้าบ้านแต่ไม่ยอมเปิดประตูให้ เขาได้แต่ร้องเรียกแต่ทว่าหญิงสาวกลับยืนนิ่งเหมือนไม่ได้ยิน แต่เมื่อเข้าไปใกล้เกือบจวนประชิดตัวแพรวพรรณที่เขาพบเห็นอยู่นั้นก็กลับกลายเป็นรันชรีที่มีแต่เลือดอาบทั่วร่าง

“พวกแกต้องชดใช้สิ่งที่พวกแกทำกับฉันไว้” เสียงนั้นกังวานเยือกเย็น

อานนท์ถึงกับผงะและเสียหลักล้มลง รัชรีเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ใบหน้าของหญิงสาวค่อยๆ ซีดลงๆ ดวงตาที่แข็งกร้าวนั้นจ้องมองมาที่เขาอย่างจดจ่อ

“จะหนีฉันทำไม ฉันเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ฉันทำอะไรแกไม่ได้หรอก” ว่าแล้วรันชรีก็ยื่นหน้าเข้าไปเกือบชิดชายหนุ่ม น้ำสีแดงไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของหญิงสาว เธอยิ้มให้กับชายหนุ่มอีกครั้ง

อานนท์ร้องเสียงหลง จนแพรวพรรณที่อยู่ในตัวบ้านได้ยินจึงรีบวิ่งออกมาดู ก็พบเพื่อนนั่งตาเบิกโพลงอยู่ที่พื้นหน้าบ้าน ใช้มือทั้งสองข้างยันพื้นเพื่อพาร่างกายขยับเหมือนจะหนีอะไรบางอย่าง

หญิงสาวเข้าไปสัมผัสตัวอานนท์ แต่เขากลับผลักเธอออกสุดแรง จนเธอเซถลา

“ออกไป แกจะทำอะไรฉัน” อานนท์ยังถอยหลังต่อไป พร้อมกับตะเบ็งเสียงใส่หน้าแพรวพรรณ

“นนท์...นี่ฉันเองแกเป็นอะไรไป” หญิงสาวถามด้วยอาการตระหนก

แต่บัดนี้ภาพของแพรวพรรณกลับกลายเป็นใบหน้าของรันชรี ที่ขาวซีด เสื้อผ้าและเนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยเลือด กลิ่นคาวเข้าปะทะกับประสาทสัมผัส

 ชายหนุ่มรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ลุกขึ้น และผลักหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าจนล้มลง แล้ววิ่งออกไปนอกบ้านอย่างไม่คิดชีวิต เขาวิ่งออกมาแต่ก็ต้องสติแตกเมื่อพบร่างของรันชรียืนดักอยู่ด้านหน้า ชายหนุ่มร้องอย่างหวาดผวาได้แต่หันหลังวิ่งกลับไปทางบ้านของแพรวพรรณอีกครั้งหนึ่ง

ด้านแพรวพรรณเมื่อเห็นอานนท์วิ่งออกจากบ้านเช่นนั้น จึงรีบสตาร์ทรถและขับตามมากลางทาง เมื่ออานนท์เห็นว่าเป็นรถของตนเอง และแพรวพรรณเป็นผู้ขับ เขารีบโบกไม้โบกมือให้เมื่อรถจอดเขาก็รีบกระโจนขึ้นรถทันที

ทันทีที่อานนท์ปิดประตูรถ แพรวพรรณเหยียบคันเร่งจนเกือบมิดไมล์ เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะขับไปที่ใด รู้แต่เพียงว่าต้องออกไปจากสถานที่มืดๆ ให้เร่งด่วน

“แกวิ่งหนีอะไรนนท์” หญิงสาวเอ่ยก่อน

“แพรว ฉันเห็นรันอยู่ที่บ้านแก ตัวมีแต่เลือด พอฉันวิ่งหนีออกมารันก็มาดักหน้าฉันไว้ จนฉันต้องวิ่งกลับไปทางบ้านแก แล้วแกก็ขับรถมาเจอฉันนี่แหละ ฉันว่ารันต้องตายไปแล้วแน่นอน” อานนท์บอกด้วยเสียงสั่นเครือ

แพรวพรรณสนับสนุนความคิดนั้นของอานนท์ เพราะเธอเองก็เจอเหตุการณ์แปลกๆ เกี่ยวกับรันชรีมาถึงสองครั้งสองครา

“ที่แกเจอมันยังน้อยไป ฉันเกือบจะตายเพราะนังนี่” แพรวพรรณเล่าเรื่องที่ตนประสพมาทั้งหมดให้อานนท์ฟังซ้ำอีกครั้ง

“หรือว่านังรันมันตายไปแล้ว” คนทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

หญิงสาวตัดสินใจหักหัวรถเลี้ยวเข้าประตูวัดที่อยู่ระหว่างทาง แต่ทั้งสองจะรู้หรือไม่ว่าบนหลังคารถที่ตนกำลังโดยสารอยู่นั้นมีรันชรีนั่งติดตามไปด้วย

อานนท์ละล่ำละลักตะโกนเรียกพระในวัดจนแตกตื่น พอเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระฟัง เจ้าอาวาสจึงประพรมน้ำมนต์ และให้สายสิญจน์ไว้คล้องคอ เพื่อเรียกสติของคนทั้งสองกลับมา แล้วจัดแจงให้ทั้งสองนอนกับเด็กวัดส่วนผู้ทรงศีลก็แยกย้ายกันไปที่กุฏิของตน

“พวกแกคิดเหรอว่าอยู่ในวัดแล้วฉันจะทำอะไรไม่ได้” วิญญาณยังคงติดตามไม่ลดละ

“เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร อโหสิ ให้กับโยมทั้งสองเสียเถิด” พระชราบอกกับวิญญาณหญิงสาวที่ยืนประจันหน้าอยู่นั้น

                “ท่านไม่ต้องมายุ่ง พวกมันสองคนทำให้ฉันต้องทุกข์ทรมาน มันทั้งสองต้องได้รับกรรมที่มันได้ก่อไว้” วิญญาณหญิงสาวตอบกลับ

                “ท่านหลีกไปเสียเถอะ....”

                “โยมทุกข์เพราะจิตใจของโยมเอง อย่าไปโทษคนอื่นเลย ใครทำกรรมอย่างไรไว้ สักวันหนึ่งก็ต้องได้รับผลกรรมนั้น โยมควรจะกลับไปอยู่ในที่ของโยมเสีย เลิกอาฆาต เลิกจองเวร เผื่อกรรมของโยมเองก็จะได้เบาบางลงบ้าง” ผู้ทรงศีลกล่าวด้วยอาการสงบนิ่ง

                แต่ทว่าพระชรารูปนั้นสัมผัสได้อย่างรุนแรงถึงแรงอาฆาตของรันชรีนั้นว่ามากมาย จนไม่สามารถจะดึงรั้งกลับมาได้ สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแต่แผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลไปให้ เผื่อสักวันหนึ่งแรงอาฆาตนั้นจะเบาบางลง

                แต่จากการนั่งสมาธิดูแล้ว รันชรีคือเจ้ากรรมนายเวรของคนทั้งสอง มันยากที่จะบรรเทาผลกรรมที่คนทั้งคู่จะได้รับ แม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ก็ไม่สามารถป้องกันคนทั้งคู่จากเจ้ากรรมนายเวรนี้ไปได้

               

 

 

Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสมภพ แจ่มจันทร์
Lovings  สมภพ แจ่มจันทร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสมภพ แจ่มจันทร์
Lovings  สมภพ แจ่มจันทร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสมภพ แจ่มจันทร์
Lovings  สมภพ แจ่มจันทร์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสมภพ แจ่มจันทร์