29 ตุลาคม 2551 20:36 น.

อิโรติค2

สะพั่งสะท้านไมภพ

ในสมัยหนึ่งนานมาแล้ว ก็ยังไม่เคยมีใครเข้าใจความคิดลึกๆของผมอยู่ดี จนกระทั่งวันนี้ ก็ยังไม่ทราบอยู่ดี
   ในตอนนั้นผมได้พาลูกน้องไปกินเหล้าริมแพโต๊ะยาว มันคงไปประทับใจเด็กเสริฟเข้ากระมัง หลังจากจบงานเลี้ยง เธอเธอเธอ หมายถึงเพื่อนเธออีกสองคนก็ขอไปด้วย
   เอาละโว้ย สะพั่ง ๆ ในตอนนั้นเมามายแล้ว เป็นปีศาจสุรา และตอนนั้นยังไม่ใช่ปีศาจราคะ สะพั่งก็อยากรู้เหมือนกันว่า ชีวิตของตนเองแบบนี้จะเป็นเช่นใด ในแง่มุมของเพล์บอยแล้ว เรื่องค่าเหล้าค่ากับค่าเที่ยว เต็มที่ ผมก็พากันไปเต้นระบำ ดื่มกิน อย่างสนุกสนาน และก็จนถึงที่สุดคือข้าวต้มรอบดึก
   หลังจากที่ทุกคนจะได้รับความสุขจากการบริการของสะพั่งแล้วต่างคนก็ต่างแยกย้าย เว้นแต่เด็กเสริฟหัวหน้ากลุ่มเท่านั้น ที่ไม่ยอมจากไป
   อันนี้จะได้แม่นเลย ความพึงพอใจในกันและกัน ยี่สิบกว่าๆ กับ ยี่สิบนิดๆ ก็ย่อมจะพึงพอใจกันได้ง่าย 
   ในคืนนั้นเอง จนกระทั่งเช้า สะโหลสะเหลออกมาจากโรงแรม แล้วต่างคนก็ต่างแยกกัน
   ต่อมาในอีกค่ำคืนหนึ่ง ผมก็ไปนั่งทานสุรากับแกล้มที่ร้านเดิม เธอก็เดินเข้ามาที่ผมแล้วยื่นกระดาษให้หนึ่งแผ่น ในนั้นมีข้อความสั้นๆอยู่หนึ่งประโยค
   เป็นประโยคที่ผมได้รับมาจากภรรยาของผมและผมบอกเธอไปในตอนหนึ่งตอนใดในคืนนั้นเป็นแน่
   ผมอ่านดูแล้วก็หันไปยิ้มให้เธอ ดูเหมือนว่าเธอนอนกับผมด้วยความเต็มใจ และด้วยความพึงพอใจมากกว่าที่จะคิดมากกว่านั้น
   ผมสะพั่งยิ้มให้เธอ เราทั้งสองมองตากันในความมืด แต่ทว่าอย่างที่บอกละครับ วาสนาของคนเรามีจำกัด นับแต่นั้นก็ไม่ได้เจอเธออีกเลย
   ก็เพียงแค่เก็บความระลึกถึงไว้ ในความสุขต่อกัน
   สะพั่ง สะท้านไมภพ ก็ยังคงวาดลวดลายบนเวทีสีสรรค์อันโลดโผนโจนทะยานต่อไป 
    มีวันหนึ่ง นักร้องโรงแรมใหญ่นัดผมให้มารอตอนเลิกร้องเพลง สะพั่งหัวเราะในใจ วันนี้คงไปตามนัดไม่ได้เนื่องจากว่า ง่วงนอนมากเลย
    บางครั้งแม้ใจจะอยากไปเพียงแค่ไหน แต่ทว่า ร่างกายมันอ่อนเพลียมากจนไม่สามารถฝืนไหว ก็คงต้องปล่อยไปในลักษณะนี้
    เมื่อไม่มีวาสนาต่อกัน ยังไงก็ไม่มีทาง				
25 ตุลาคม 2551 19:30 น.

อีโรติค 1

สะพั่งสะท้านไมภพ

ผมนั่งมองสาวๆนักร้องนักเต้นบนเวทีเล็กๆในเท็คแห่งหนึ่ง เธอใส่ชุดบอดี้สูททำให้เห็นรูปร่างเอวองค์รูปทรงนมต้มจนเหล้าที่กินเข้าไปแทบกระฉอกออกมาจากรูจมูก ความมันของเพลงของวงวัยรุ่นวงนี้ มันครบสูตรเลยก็ว่าได้ แต่เอหรือว่าจะเมาไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้ ผมเคยพิสูจน์แล้วว่าหากไม่กินเหล้าเลย และเจอเพลงของไอ้พวกซุปเปอร์สตาร์เข้า นิ้วก้อยเล็กๆของผมมันก็จะกระดิกไปตามจังหวะเพลง แต่ อะแฮ่ม ถ้ากร๊วบน้ำเปลี่ยนนิสัยเข้าไปแล้วละก็ ร่างกายทุกส่วนจะกระดิกไปตามจังหวะทันทีโดยเฉพาะสะโพกจะโยกส่ายไปส่ายมาเหมือนเรดาร์ร่อนหาคู่
   ในค่ำคืนนั้น เพลงที่เขาเล่นอาจจะเป็นเพลงใหม่ล่าสุดของพวกรุ่นหลัง ในค่ำคืนนั้นก็เหมือนกับในค่ำคืนนี้ ไม่มีใดแตกต่างจากความเพลิดเพลินเจริญใจเมื่อคราวก่อนหน้านี้ไม่นาน ในมุมมืด นั่งเบียดกับสาวที่ก็ยังเป็นสาวเหมือนเมื่อก่อนไม่ผิด แล้วก็คุยโดยใช้วิชาจีบสาว เป้าหมายคือพาเธอไปเผด็จสวาทกระชากพรหมจรรย์ซะให้ได้ในคืนนั้นเท่าที่จะพอใจ
   แต่ในบางค่ำคืน ก็เศร้าสร้อยเหลือเกินที่จะบรรยายอยากที่จะกินเหล้าร้องเพลงเงียบและคิดถึงความหลังที่เศร้าๆสักเรื่องสองเรื่องเป็นกับแกล้มที่สอดรับกับบรรยากาศและความละไมของรสเหล้านอกชั้นดี
   ณ คาเฟต่างจังหวัดที่หนึ่ง ผมได้ถูกเชิญให้ขึ้นไปร้องเพลง เมื่อร้องเพลงดี นักร้องจึงขอร้องให้ไปช่วยร้องสลับกับเธอ คนละสองเพลง ก็เป็นอันว่าวันนั้น ได้เป็นนักร้องประจำคาเฟไปโดยปริยาย
   เมื่อร้านปิด นักร้องก็พาผมไปเข้าโรงแรม 
   จำไม่ได้จริงๆครับ ว่าทำอะไรกันบ้าง เนื่องจากมันนานมากแล้ว เมื่อสำเร็จกิจแล้ว ผมก็จ้างเหมารถสองแถวมาส่งเธอที่บ้าน ก่อนจากกันก็มีลูกจากบ้างเล็กน้อย และถึงทีสุดแล้วผมก็กระโดดขึ้นรถสองแถวกลับที่พัก
   ในแง่มุมของการเป็นเสือผู้หญิง ข้อแรกที่จะละเลยไม่ได้เป็นอันขาดก็คือ อย่าไปในที่เธอพาไป แต่ในค่ำคืนนี้ไม่ทันซะแล้ว เรียบร้อยไปแล้ว ดีนะว่าไม่มีอะไร
   เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้าผมเองยังนึกอยู่ว่าเมื่อคืนไปกะใคร ไปนอนที่ไหน ไปร้านชื่ออะไร จำไม่ได้เลยจริงๆ แม้แต่บทรักในตอนคืนนั้น เช้านั้นก็ยังนึกไม่ออก จนกระทั่งถึงบัดนี้ ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าได้ทำอะไรกับเธอไปบ้าง
   แต่ก็ได้วลีมาใช้อยู่ท่อนหนึ่ง... ชีวิตนี้ให้ผู้หญิงได้เจอกับผมเพียงคนละครั้งและครังละวันเท่านั้น...
   วลีดังกล่าวยังคงได้ใช้มาจนถึงปัจจุบัน...
   มีสาวแก่แม่ม่ายหญิงสาวหลายๆคนที่ได้พยายาม แต่ต้องเข้าใจว่า บางเวลาผมก็ต้องใช้คิดไปในอารมณ์ที่เศร้าๆและเร้นลับของผมเป็นการส่วนตัว จึงได้แค่คุยและกอดในช่วงเวลาที่ร้านยังไม่ปิดเท่านั้น และเมื่อร้านปิดแล้วก็ต้องเซย์กู๊ดบาย				
18 ตุลาคม 2551 08:04 น.

กบฏรัก

สะพั่งสะท้านไมภพ

ผมก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เคยต้องตรากตรำแสวงหา...ความรัก...ตอบ แต่ทว่าในห้วงหุบเหวของความคิดของมนุษย์มันลึกล้ำดำทะมึนมืดตื๊ดตื๋อ จนกระทั่งอาจเผลอไผลจินตนาการภิรมย์ไปคนละทิศทาง
   ในความคิดของเธอ...อาจจะมองไปได้หลากหลายทางดั่งนี้
...หล่อหน้าตาดี หรือเปล่า
...อยู่แล้วจะสบายหรือเปล่า
...หรือจำเป็นต้องคว้าไว้แล้วในตอนนี้
...ท่าทางจะเก่งในเรื่องบทรัก
...หรืออยากอยู่ใกล้ๆอย่างเดียว
เหตุผลดังกล่าวมาเป็นเหตุผลที่ผมเองคิดเองและลืมไปว่าเป็นการคิดแบบที่ผู้ชายคิด
   ไม่รู้หรือว่า พิษสงของความร่านราคะ จะหมดลงได้ก็ต้องใช้มือปราบที่ผ่านการอบรมและชำนาญการในเรื่องนี้โดยเฉพาะ บางครั้งภรรยาหรือสามี ก็ไม่สามารถบันเทาความหื่นให้มอดลงแม้สักชั่วคราวได้ 
   การแสวงหาไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
   ความต้องการความรักก็ไม่ใช่เรื่องยาก
   หลายๆคนในแผ่นดินนี้ต้องการหาความรัก เมื่อคนต้องการหาความรักมีจำนวนมากได้มาพบกัน แต่ทว่าเขากลับมองไม่เห็น
   การอยู่ใกล้ชิดมากๆจนเกินเลยขอบเขต จนถึงที่สุดอาจรู้ได้ว่าใช่หรือไม่
   บางครั้ง คนหนึ่งใช่ แต่อีกคนอาจไม่ใช่
   หากโชคดี ก็ใช่ทั้งคู่ หรืออาจจะเป็นโชคร้ายก็ได้
   ในหลายร้อยคน คนที่จะทำให้ต้องหันไปมองเป็นคำรบสอง บางวันยังไม่มีหรือบางทีนานเป็นเดือนจึงพบสักครั้ง
   หากแต่วันหนึ่งในชีวิต เมื่อสัญญาในอดีตมีผลบังคับใช้ การเจอกันของคนสองคนที่เคยมีพันธะลึกล้ำในอดีตได้มาเจอกัน
   เราสองคนมองตากัน
   เราสองคนเต้นระบำไปด้วยกัน
   และอดไม่ได้ที่จะจุมพิตเธอไว้สักครั้งหนึ่ง
   ทันทีที่หัวใจรับรู้ได้ว่าเธอเป็นผู้ที่มีความผูกพันธ์
   ค่ำคืนนั้นจึงมีความสุขใจ
   แต่ทว่าพระเจ้าหรือสวรรค์ย่อมลิขิตไว้ให้แล้ว
   การเจอกันวันนั้น เป็นแค่การเตือนเท่านั้นว่า
   ชาติหน้าจะได้เจอกันอีกครั้ง
   แม้รู้ว่าหนึ่งจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
   แต่ก็รู้ได้ว่าเธอจากไปอย่างเริงรื่นและมีความสุข
   ยามใดที่เจอ ผู้ผ่านมา ให้ต้องหันไปมองนานนาน
   ผมจะคิดทันทีว่าจะสะกดรอยติดตามเธอดีหรือไม่
   บางทีก็เจอริมน้ำก็มองจนเด็กเธอจะตามมากระทืบ
   ทั้งๆที่ไม่รู้จักมาก่อนแต่บอกได้ว่าคุ้นเคย
   เสน่ห์ในตัวผมไม่สามารถส่งผ่านออกไปได้กับทุกคน
   แต่ก็สามารถส่งผ่านไปถึงได้หลายคนนับตั้งแต่อดีต
   แต่ในปัจจุบัน
   ชีวิตที่ตกต่ำทางฐานะสังคม ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจส่วนตัว ไม่อาจแม้จะคิด
   แต่ทว่ายามใดที่ชะตาชีวิตเริ่มดีขึ้น
   การผิดศีลข้อที่สามก็มีแววจะแวะมาเยี่ยมเยือนอีก
   อดนึกฝันอย่างโน้นอย่างนี้ไว้ไม่ได้
   แต่ทว่าการคิดอย่างงี้ก็เป็นอย่างที่ผู้ชายคิด
   และก็ไม่ใช่เรื่องที่ผู้หญิงเขาจะคิด
   แม้ว่าจะมีคนเตือนเรื่องเธอว่าเธออยากจะซักซ้อมด้วย
   แต่ทว่าผม ก็ใช้เหตุผลของผมว่า เธออาจเป็นหนึ่งในคนที่คุ้นเคย
   ครั้งหนึ่งมือของผมเคยจับที่ประทุมถันของเธอภายนอก ในตอนที่เมาสุรา
   แต่ทว่าผมยับยั้งชั่งใจด้วยการให้เกียรติอย่างสูงสุด
   แต่นึกภาคภูมิใจจนกระทั่งวันนี้ 
   แต่ก็เป็นเหตุผลของผมเพียงฝ่ายเดียว
   สักวันคงจะพลาดพลั้ง หากเธอพยายามจะเข้ามา ผมคิดเองว่าเธอคงมีสิ่งผลักดันสักอย่างเป็นแน่
   อยากลองก็อยากลอง แต่ผิดศีล
   บางทีหากอยากรู้มากๆ ผมอาจจะถามเธอในคำถามที่ไม่มีใครจะกล้าถามตรงๆก็ได้ว่า
   ...เธอต้องการอะไร...
นัยน์ตาที่หรี่ปรือของเธอ
ร่างกายของเธอที่เอาอกมาเสียดสีผมอย่างออดอ้อนกวนน้ำขุ่น
ในคราวนั้น เป็นคำตอบในตอนนั้น
แต่ในตอนนี้ดูซิว่าเธอจะตอบอย่างไร				
8 ตุลาคม 2551 17:54 น.

คุกรุ่น

สะพั่งสะท้านไมภพ

ความใคร่ มันคุกรุ่นอยู่ในตัวผมตลอดเวลาเลยผมไม่สามารถจะทำอย่างไรได้ หรือว่าเอนี่คือเดือนตุลาคมเดือนแห่งสรรพสัตว์สมสู่ตามครรลองของธรรมชาติ ในสังคมของคนที่มีวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามที่กางกั้นการกระทำตามใจคนไว้ได้หรือไม่
   สิ่งนี้เองหรือคืออาวุธของธรรมชาติที่ทำให้คนต้องทุรนทุรายและแสวงหา บางคนก็ไม่รู้ตัวว่าตนเองต้องการอะไร และแสวงหาแม้ตายก็ยังไม่รู้เลยว่าจะแสวงหาอะไรที่ทำให้ไม่ต้องแสวงหาอีก
   ในยามค่ำคืนเงียบสงบในบ้านแบบโบราณในต่างจังหวัด เสียงหริ่งเรไรดังระงม เสียงฝนตกเปาะแปะ เสียงรถไฟนานๆมาสักที และก็เสียงบึ่งมอเตอร์ไซค์ลากยาวๆจนสุดถนน และเสียงรถหวอไปรับคนป่วยไปโรงพยาบาล ตาของผมลืมโพลงในความมืด และคิดอยากจะทำอะไรหลายๆอย่าง
   ผมลุกขึ้นแต่งตัวยามค่ำคืน และขับรถออกจากบ้านไป ที่ไหนก็ได้ที่จะทำให้ลืมความอ้างว้างเปลี่ยวปล่าวได้
   วิธีหนึ่งที่ผมชอบใช้เป็นประจำก็คือ เข้าเทค การฟังเพลงเสียงดังกระแทกหู กาดื่มของเหลวที่ชมชอบ และการเชิญชวนผู้แวดล้อม อาทิ เด็กเสริฟ นักร้อง คนดื่มข้างเคียง มาร่วมดื่ม และก็โยกไปด้วย หะแรกก็มัน พอเริ่มสั่งมากขึ้น ความมึนเมาเฮฮาบ้าบอก็เริ่มเกิด 
   ในความมืดย่อมทำให้สายตาของคนบ้าอย่างผมลืมไปสามอย่าง หนึ่ง ความมืดย่อมปกปิดความจริง สองเครื่องสำอางค์ในความมืดก็ปกปิดความจริง สามเครื่องแต่งกายในความมืดย่อมปกปิดความจริง
   แม้ผมจะรู้มานานแล้วก็ตาม แต่ทว่าในวันนี้ วิธีหาเหยื่อของเสือเฒ่าแบบเดิม คือ ฉายเดี่ยว ทำท่าทีไม่สนใจใคร และเฮฮา ซึ่งก็ได้ผลทุกทีไป ในอดีตบางครั้งก็เล่นตัวซะสาวต้องลากไปเสียว และในวันนี้ก็มีสาวติดเบ็ดจนได้
   แม้ความพยายามของคนจะออกไปแบบโค้งๆวนๆ แต่ที่จริงแล้วไม่มีอะไรหยุดความใคร่ได้นอกจากการได้ระบายความใคร่ตามที่ทางของมันควรจะเป็น
   อีกข้อหนึ่งของการเป็นเพล์บอย ก็คือ หนึ่ง ไม่ควรพาหญิงเข้าบ้านรวมทั้งเกย์ด้วย สองไม่ควรไปนอนในที่ผู้หญิงพาไป ต้องไปนอนในที่ๆเรารู้จัก 
   แต่ ณ วันนี้ เสือเฒ่าอย่างผมไม่ได้กลัว ไม่ได้กลัวว่าจะรัก เพราะไม่มีรักให้ใครได้ วันนี้มีแต่ความใคร่เต็มๆ
   และไม่กลัว ผมต้องบอกกับผู้หญิงที่ยอมมานอนว่า การที่จะรู้ว่ารักหรือไม่ ไม่ใช่มานอนกันแล้วถึงรัก แม้แต่คนที่เป็นคนรักกว่าจะรู้เนี่ยต้องนอนกันเป็นร้อยๆครั้ง
   แม้ว่าเธอจะทำงง แต่ผมก็สรุปให้ว่า แบบนี้เรียกว่า กิ๊ก เท่านั้น
   แท๊กซี่บางคนเมื่อได้ยินผมคุยในรถแท๊กซี่ ถึงกับดีใจใหญ่
   แต่ทว่า สิ่งที่ผ่านมา วันเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน เมื่อความใคร่ถูกระบายออกไปไม่ใช่หมด ปัญญาก็เริ่มเกิดขึ้นนิดๆ และก็ระลึกได้ถึงความจริงในอดีต
   ความรัก เป็นธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ มนุษย์ไม่สามารถสู้กับมันได้ สำหรับผมรู้แล้วและยอมแพ้ไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นใครก็ตามที่คิดสู้กับธรรมชาติเรื่องนี้ย่อมต้องได้รับความเจ็บปวด
   น้ำตาของเธอหลั่งไหล แต่ผมกลับคิดถึงบทเซ็กส์ที่ผ่านมา และปลอบเธอด้วยคำพูดว่า ผมไม่ได้รักเธอ แม้จะเจ็บปวดแต่ก็เหมือนยาขมที่ให้ได้ในเวลาที่เหมาะ และดีต่ออนาคตทางจิตใจของเธอ
   ไม่มีใครตอบได้ถึงความพึงพอใจอย่างที่สุด
   ดังนั้นในโลกใบนี้จึงต้องมีการแสวงหา
   ความพิสดารพันลึกประดาแม้จนกระทั่งไม่คาดคิดว่าจะมีคิดแบบต่างๆขึ้นมาได้
   นี่ก็สี่สิบแปดแล้ว
   ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหมดความใคร่ที่คุกรุ่นสักที อาจบางทีเมื่อสิ้นลมกระมัง
   ก็ว่ากันไปเรื่อยๆละกัน				
4 ตุลาคม 2551 13:46 น.

ข้าวสวยร้อนราดแกงร้อน

สะพั่งสะท้านไมภพ

ความเข้าใจในปัจจุบัน เป็นคำตอบที่เพิ่งจะได้รับ จากปัญหาที่ขบไม่ออกมานานแต่อดีต แต่ก็คงมิใช่คำตอบที่ถูกต้องจริงๆอีกเมื่อเป็นวันเวลาในอนาคต
   ผมตักข้าวสวยร้อนๆใส่ชามตาไก่ แล้วราดแกงกระทิแบบเจ ที่อุ่นด้วยเตาไมโครเวฟ เมื่อค่อยๆเล็มตักข้าวใส่ปาก ก็ต้องหวลคิดย้อนไปในอดีต
   ปัจจุบัน ตรงหน้าคือ รายการทีวี พิธีกร กับ นักการเมือง หนึ่งต่อหนึ่ง ต่างคนต่างก็มีเป้าหมาย ในบริบทของยุคปัจจุบัน เป็นไปได้ทุกสาเหตุ เป็นก็เป็นไปตามที่คาดการณ์
   ผมนึกย้อนกลับไปเมื่อปี 2514 ถึง 2516 ข้าวราดแกงร้อนๆตอนเช้ามืดที่โรงเรียนวัดราชาธิวาส ช่างเอร็ดอร่อยเสียเต็มประดาสำหรับนักเรียนวัดอย่างผม และในตอนเที่ยงก็จะมีไอติม โก๋เหลว คือไอติมกระทิเหลวๆและใส่ปาท่องโก๋ ซึ่งเด็กนักเรียนโรงเรียนวัดจะต้องลิ้มรสทุกวัน ในตอนหลังผมได้ไปเจอตาแป๊ะขายโก๋เหลว แกก็มีอายุมากขึ้นแต่ก็ยังแข็งแรงอยู่และแกก็ไปขายแถวเซ็นคาเบรียล
   ในกาลต่อมา ความร้อนของข้าวและแกงร้อนๆ ไม่ใช่องค์ประกอบหลักของความอร่อยอีกต่อไป กลับกลายเป็นความหรูหรา ความแปลกพิสดาร ความแพงระยับ หรือ ต้องแต่งกายด้วยแบรนด์เนม จึงจะประสมให้เป็นความอร่อยได้
   ในท้องที่อิ่มและเต็มไปด้วยข้าวกับแกง มันแตกต่างจากในท้องที่อิ่มและเต็มไปด้วยอาหารราคาแพงๆกระนั้นหรือ
   ผมก็หัวเราะให้กับตนเองที่ช่างคิดนัก ผมมองดูรถเมล์ฟรี ที่จะแน่นเสมอ แต่รถเมล์ที่เสียตังค์กลับไม่ค่อยแน่น ผมมองดูแล้วพิจารณาว่าคนที่นั่งรถเมล์ฟรีเนี่ยส่วนมากจะเป็นคนที่มีกะตังค์เป็นส่วนมาก และก็มีคนที่เป็นคนจนจริงๆ แต่ทว่ารถเมล์ที่เสียตังค์เนี่ยนะ ทำท่าว่าจะมีแต่คนจนแต่เพียงอย่างเดียว
   ความพึงพอใจในระดับข้าวราดแกง ที่เพียงพอต่อการดำเนินชีวิตในยุคเศรษฐกิจปัจจุบัน ก็ไม่เห็นจะไม่เพียงพอสักอย่างแต่ทว่า ในอดีตซิครับ การใช้ชีวิตของผมในอดีตกำลังผุดขึ้นมาเป็นเรื่องๆ
   การกินเล่นเที่ยว ทุกอย่างได้กระทำไปแล้วทั้งนั้นโดยไม่มีความกลัวภัยในอนาคต เมื่อมาถึงเวลานี้แล้ว สายไปแล้วหรือยัง ผมนั่งคิด น่าจะยังไม่สายที่จะทำตัวใหม่ ให้เป็นไปแบบคนที่มีเงินมีทองจริงๆ และแล้วการเริ่มต้นใหม่ที่เกือบจะสายก็ได้เริ่มออกสตาร์ทแล้ว
   เมื่อมีความหวังใหม่ และได้เริ่มต้นใหม่ไปแล้ว ความตื่นเต้นรูปแบบใหม่ก็กำลังเริ่มขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร 
   เพียงแต่ว่า หากในปัจจุบันมีความพึงพอใจต่อการเสพข้าวราดแกง อนาคตก็น่าจะสดใสกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็ได้
   ที่ผ่านมา ผมได้มองคนอื่นเขาทำ เขามี เขาเป็น และเราก็เกิดอยากทำ อยากมี อยากเป็นแบบเขา แต่สิ่งที่ได้ก็คือได้ แต่สิ่งที่เป็นผลเสียกลับมากมายเนิ่นนานยาวเกินไป
   ความอร่อยของข้าวราดแกง น่าจะทำให้ผมประสบสิ่งที่ผมต้องการจริงๆในชีวิตได้จริง เป็นแนวทางตามธรรมชาติเรื่อยๆตามเหตุและผล และเลิกกระทำในเรื่องที่ไม่ได้คิดพิจารณาและเป็นเรื่องไร้เหตุผล
   วันหนึ่งผมไปธุระที่เขตสาธร ตอนเที่ยงก็หิวข้าวและเดินผ่านร้านอาหารในตึกใหญ่ตึกหนึ่ง ผมเดินเข้าไปดู อยากทาน และสามารถทานได้ อยากทานกาแฟ หรูในร้านหรู ราคาแพง ผมก็ทานได้ มีตังค์จ่ายแน่ แต่ทว่า ผมเดินไปอีกนิดดีกว่า ที่หน้าสนามมวยลุมพินี ผมเดินผ่านร้านเนื้อตุ๋น แต่ทว่าในตอนนั้นเป็นห้วงกินเจ ผมจึงเดินหาร้านขายกับข้าวเจ ก็มีหลายร้านแต่ไม่มีที่นั่งทาน ผมจึงย้อนกลับมา สั่งเกาเหลาเนื้อเปื่อย ข้าวเปล่า และโอเลี้ยง พอซดเข้าคำแรก ก็ค่อยๆทานจนเกลี้ยง ผมสงสัยว่าการแหกการกินเจของผมในมือนี้จะทำให้อร่อยเกินเหตุหรือไม่ จึงสั่งเกาเหลาและข้าวเปล่ามาอีกหนึ่ง เรียบร้อยครับ เกลี้ยง เก้าสิบบาท
   ขาออกจากร้านผมเดินซู๊ดปากออกจากร้าน เจ้าของร้านซึ่งเป็นสาววัยกลางคนถามเลยว่า เฮียเผ็ดหรือเฮีย
   ผมยิ้มออกไป แล้วตอบว่า เปล่าครับ อร่อยต่างหาก
   แม่ค้าคงไม่รู้หรอกว่าคำว่าอร่อยของผมนั้นมันลึกซึ้งในระดับโลคอลเพียงใด				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสะพั่งสะท้านไมภพ
Lovings  สะพั่งสะท้านไมภพ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสะพั่งสะท้านไมภพ
Lovings  สะพั่งสะท้านไมภพ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสะพั่งสะท้านไมภพ
Lovings  สะพั่งสะท้านไมภพ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสะพั่งสะท้านไมภพ