29 กรกฎาคม 2547 00:34 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 7 )

สุชาดา โมรา

หลังจากที่เป็นข่าวอื้อฉาวในวงการกีฬา  ฉันมีความรู้สึกว่าฉันกลายเป็นจุดสนใจของคนทั่วไป  ข่าวทุกฉบับต้องพาดหัวเรื่องของฉันตลอดจนฉันไม่อยากจะเดินไปไหนอีกแล้ว  เพราะเดินไปทางไหนก็มีแต่คนถาม...ฉันรู้สึกเบื่อจริง ๆ  เวลาไปโรงเรียนเพื่อน ๆ รวมทั้งอาจารย์ก็ฮือฮากัน  มีแต่คนถามจนฉันไม่รู้จะตอบคำถามยังไงดี...
	"แววดาว...ครูถามหน่อยเถอะมันเกิดอะไรขึ้นเหรอ  เธอไปเป็นนักกีฬาระดับนี้ตั้งแต่เมื่อไรทำไมไม่บอกครู"
	ฉันไม่รู้ว่าจะตอบปัญหายังไงดีเลย  อาจารย์คนนั้นก็ถามคนนี้ก็ถามจนฉันรู้สึกไม่อยากจะเรียนอีกแล้ว...ฉันไม่รู้ว่าคนพวกนี้ทำไมถึงชอบยุ่งกับฉันนักนะ  ทำไมไม่เอาเวลาเพ้อเจ้อแบบนี้ไปทำอะไรให้มีประโยชน์บ้าง  ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ 
	"แหม...ดังนักนี่ได้ออกทีวีทุกช่อง  ได้ลงหนังสือพิมพ์...นึกว่าเธอแน่นักเหรอไงหา..."
	แก๊ง 7 ห้าวนี่ช่างสอดจริง ๆ เลย  นี่คงยังไม่เข็ดที่โดนไปวันนั้นสิท่า...
	"ระวังตัวเองไว้ให้ดีเถอะ  ฉันจะเอาพวกมารุมโทรมแก...!!!"
	"เอามาเลย...ฉันไม่กลัวหรอกนังต้อม  ถ้าแน่จริงเรียกพวกมาเลยฉันจะได้ไปแจ้งความไว้ก่อน  ถ้าฉันเป็นอะไรแกคนแรกนั่นแหละที่จะโดน  รวมทั้งคนในกลุ่มแกด้วย"
	ฉันยืดอกพูดอย่างเต็มปากเต็มคำทันที  ตอนนั้นถึงแม้ว่าฉันจะหวั่นใจนิด ๆ แต่ฉันก็ต้องข่มใจพูดไปว่าไม่กลัว  อีกอย่างฉันพูดด้วยความโมโหด้วยมันจึงทำให้ฉันพลั้งปากพูดไปแบบนั้น
	ตกเย็นหลังจากเลิกเรียนฉันมีความรู้สึกว่าฉันหดหู่ยังไงชอบกล  ไม่สนุกอย่างที่คิด  วันนี้ดู ๆ แล้วเรียนอะไรก็ไม่รู้เรื่องแถมยังโดนพวกปากไม่อยู่สุขพร่ำทั้งวันจนอารมณ์แทบจะระเบิดออกมา  เนี่ยถ้ายั้งไม่อยู่นะฉันอาจจะเป็นฆาตกรเลยก็ได้...  แต่ดีนะที่แม่สอนว่าต้องมีสติยั้งคิด  รู้จักระงับอารมณ์ของตัวเอง  วันนี้ฉันเลยนั่งนับเลขในใจจนกระทั่งลืมไปว่าพวกนั้นด่าอย่างไรบ้าง  ฉันนะเบื่อพวกเดนสังคมจริง ๆ เชียว...
	ฉันเดินมาถึงหน้าประตูโรงเรียนทางฝั่งตะวันออกซึ่งไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมากนัก  ฉันก็ต้องหยุดชะงักเพราะกลุ่ม 7 ห้าวนี้
	"ไง...แกแน่นักเหรอ...นี่ฉันเอาพวกมาลงแขกแกแล้วไง"
	ฉันรู้สึกขวัญเสียมาก ๆ ที่ยายพวกนี้คิดปองร้ายฉันได้ถึงเพียงนี้  ฉันรู้สึกได้เลยว่าผู้ชายสามคนนี้ต้องเป็นพวกหื่นกาม  เพราะท่าทางมันบ่งบอกว่าต้องใช่แน่ ๆ แต่ถึงฉันจะรู้สึกกลัวแต่ฉันก็ทำเป็นไม่กลัว  ฉันเดินหลบออกไปอีกทางเพื่อที่จะไปออกประตูกลางแต่ผู้ชายคนหนึ่งก็วิ่งมาถลักหน้าเอาไว้
	"ไงน้อง...กลัวเหรอจ๊ะ  ไม่ต้องกลัว ๆ มีพี่อยู่ทั้งคนรับรองไม่เหงา...เดี๋ยวสิจะไปไหน"
	ฉันเบี่ยงตัวหนีออกมาอีกแต่คนพวกนั้นยังตามมาราวีฉันอีก  เห็นทีว่าถ้าฉันไม่สู้ก็คงไม่ได้ซะแล้ว  ฉันจึงหันกลับไปมองด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างโกรธ
	"สวย ๆ แบบนี้ตอนโกรธนี่ก็น่ารักดีนะ  ใช่ไหมพวกเรา"
	"จะทำอะไรก็ทำ ๆๆๆเถอะเดี๋ยวฉันจะไปดูต้นทางให้ว่าจะมีใครผ่านมาเส้นนี้หรือเปล่า"
	ฉันรู้สึกเกลียดคำพูดของนังต้อมเพื่อนเลวคนนี้จริง ๆ เลย  พูดตามตรงนะว่าตั้งแต่เรียนมาฉันไม่เคยถูกชะตามันเลย  ให้ตายสิ...ฉันก็ไม่เคยคิดเลยว่าคนแบบนังต้อมนี่มันจะเลวได้ถึงขนาดนี้
	"ไงน้องยืนมองอะไรอยู่  ไปหาความสุขกันดีกว่านะ  หรือว่าอาย  ไม่ต้องอายเดี๋ยวพี่ให้พวกผู้หญิงที่เหลืออีก 6 คนนี่ออกไปดูต้นทางก่อน  ก็จะเหลือแต่พี่ 3 คน  แฟไหม"
	"ไอ้เลว...!!!!"
	ฉันตอบด้วยเสียงที่โกรธจนถึงขีดสุด  ฉันแทบจะคลั่งจึงเดินหนีออกมาอีก  ฉันย่ำเท้าด้วยความเร็วแต่ชายคนนี้มันมาคว้าแขนฉันไว้  โชคดีที่วันนี้ใส่ชุดกีฬามันจึงทำให้ฉันเตะได้สูง  ฉันกระโดดกลับหลังเตะก้านคอทันที  ชายคนนั้นถึงกับมึนลงไปกองอยู่กับพื้น  และฉันก็เดินหนีออกมา  แต่ชายอีก 2 คนก็ยังคงตามฉันมา  ถ้าฉันไม่สู้เห็นทีคนพวกนี้ก็จะต้องทำร้ายฉันแน่ ๆ ฉันจึงหันกลับไปสู้อย่างคนที่เลือดร้อน
	"หันมาทำไมจ๊ะ  อยากอยู่กับพี่ใช่ไหม...!!!"
	"แกอย่ามาทำเป็นตะคอกใส่ฉันนะ...ไอ้เลว...!!!"
	เมื่อชายคนหนึ่งเข้ามาล็อกคอฉันไว้  ส่วนอีกคนหนึ่งหวังที่จะเข้ามาต่อยลิ้นปี่ฉัน  ฉันจึงเนี่ยวคอชายคนที่จับฉันและก็ถีบทันที  ทำให้ชายคนที่จะมาต่อยนั้นถึงกับหงายท้องทีเดียว  จากนั้นฉันก็ย่อตัวพร้อมกับเหนี่ยวคอชายคนที่ล็อกคอฉันไว้ด้วยท่าทุ่มโคชิ-กูโรม่าทันที  ชายคนนั้นลอยอยู่กลางอากาศประมาณ 3 วินาทีแล้วก็หล่นลงมาด้วยความเร็วทำให้หลังไปกระแทกกับเหล็กที่กั้นขอบถนน  เพราะช่วงนี้เขากำลังทำถนนกันอยู่  ทำให้ชายคนนั้นลุกไม่ขึ้น  ส่วนชายที่ถูกเตะก้านคอไปคนแรกกลับลุกขึ้นได้  เดินกลับมาตบหน้าฉันจนเกือบล้มแต่ฉันก็หันกลับไปเอาคืนด้วยการหักแขนแล้วก็ต่อยที่เบ้าตา  จากนั้นฉันก็ใช้สันมือตบที่ทัดดอกไม้โดยการกระโดดขึ้นไปตบทำให้ชายคนนั้นหูแดงกล่ำและฟุบตัวลง  ส่วนชายที่ถูกถีบนั้นลุกขึ้นมา
	"มึงแน่นักเหรอ...หา...!!!"
	พอฉันเงื้อหมัดขึ้นมาตั้งท่าว่าจะต่อยชายคนนั้นจึงหันไปคว้าคอของแนนแล้ววิ่งหายไปทันที  ส่วนชายที่เหลืออีก 2 คนก็วิ่งตามไปด้วย  ฉันจึงรีบไปที่สมาคมฯเพื่อไปขอคำปรึกษาจากพี่ดอน  ฉันทั้งกลัวและตกใจเป็นอย่างมาก  ฉันเดินไปนึกไปตลอดทางจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก
	"หา...จริงเหรอดาว"
	"จริงสิถ้าไม่จริงจะเล่าทำไม...เนี่ยดาวไม่รู้จะทำยังไงดีเลย  พี่ดอนช่วยคิดหน่อยได้ไหม  ดาวกลัว..."
	"จะกลัวอะไรเก่งขนาดนี้"
	"ต่อให้เก่งแค่ไหนสักวันก็คงจะพลาด...หรือว่าไม่จริง"
	ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่ลนลานจนใคร ๆ ที่เล่นยูโดต่างก็มานั่งฟังและลงมติว่าต้องไปแจ้งความ  ฉันจึงไปกับพวกพี่ ๆ และอาจารย์  ตำรวจซักซะหมดเปลือก  ตำรวจบอกว่าข้อหานี้มันไม่ใช่เล็ก ๆ นี่มันเป็นการขู่พยายามฆ่า  และยังเป็นการทำร้ายร่างกายอีก  ตำรวจจึงบอกว่าจะตามจับมาให้ได้  ฉันจึงบอกรูปพรรณสันฐานไป  รวมทั้งบอกรายชื่อเพื่อน 7 คนนั้นด้วย
	วันนี้ฉันจึงมีความรู้สึกที่โล่งใจมากเมื่อได้แจ้งความไปแล้ว  ฉันจึงกลับไปที่สมาคมฯอีกครั้งและเก็บข้าวของกลับบ้าน
	"พี่ไปส่งนะดาว..."
	"ไม่เป็นไรหรอกดาวกลับเองได้...ขอบคุณนะพี่ดอน"
	ตอนนี้ฉันรู้สึกคิดถึงพี่นัทมากทีเดียว  เมื่อไรนะที่พี่นัทจะกลับมา  ถึงแม้ว่าปากฉันจะบอกว่าเลิกกับเขาแต่ภายในใจลึก ๆ แล้วฉันหวั่นไหวเหลือเกิน  ฉันจะทำอย่างไรดีนะ  แววดาวเอ๊ย...ทำไมถึงไม่ลืมพี่นัทอีกนะ  เนี่ยถ้าพี่นัทอยู่เขาคงให้คำปรึกษาได้มากกว่านี้ทีเดียว  โถ่เอ๊ย...
	พี่ดอนมาส่งฉันที่บ้าน  คุณแม่ทำท่าไม่ค่อยพอใจเพราะท่านคงดูออกว่าพี่ดอนเป็นคนอย่างไร  คุณแม่บอกให้เลิกกันซะเพราะถ้าคบกันต่อไปมันจะทำให้เกียรติเราต่ำลงสักวันหนึ่ง...ฉันก็คิดว่าฉันไม่เหมาะกับพี่ดอนเหมือนกัน  แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะในเมื่อฉันคบกับพี่ดอนเพื่อให้ลืมพี่นัท  ถ้าไม่มีพี่ดอน  ชีวิตฉันคงหักเหมากไปกว่านี้  เพราะพี่ดอนคอยเป็นเพื่อนเวลาฉันท้อแท้  ถึงแม้ว่าพี่ดอนจะเป็นคนก้าวร้าวในสายตาผู้ใหญ่ก็ตามแต่ความดีของเขาก็คือการเทคแคร์เรา  เขาดูแลเราถึงแม้ว่าจะทำได้ไม่ดีเท่าพี่นัทก็ตามเถอะ...
	เช้าวันใหม่ที่อากาศสดใส  ฉันมาเข้าแถวเคารพธงชาติทันเป็นวันแรก  อาจารย์ประจำชั้นเรียกฉันไปพบพร้อมกับกลุ่ม 7 ห้าว  แต่ว่าวันนี้กลุ่ม 7 ห้าวขาดแนนไปคนหนึ่ง  ฉันก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าแนนหายไปไหนจนกระทั่งมาถึงห้องพักครู
	"มากันแล้วเหรอ  นี่ตำรวจมาขอพบพวกเธอ  และนี่ก็ผู้ปกครองของยายจุฑาทิพย์  ก็คุย ๆ กับตำรวจนะครูจะคอยเป็นคนกลาง"
	พออาจารย์ทองพูดเสร็จตำรวจก็ซักทันที  ตำรวจให้ข้อห้าเด็กทั้ง 6 คนว่าสมรู้ร่วมคิดและพยายามฆ่า  รวมทั้งทำร้ายร่างกายด้วย  นี่ก็เป็นข้อหาทางอาญาทั้งนั้น  ส่วนผู้ปกครองของแนนบอกว่าแนนหายไปตั้งแต่เมื่อวานยังไม่กลับเลยฉันจึงบอกกับผู้ปกครองของแนนไป
	"เมื่อวานตอนที่พวกนี้มาดักทำร้ายหนู  แนนก็อยู่ด้วย  แนนเป็นหนึ่งในนั้นที่ตามผู้ชาย 3 คนนั่นมา  และพอผู้ชายคนนั้นทำอะไรหนูไม่ได้เขาก็เลยคว้าคอแนนแล้ววิ่งไป"
	แม่ของแนนถึงกับเป็นลมทันที  ฉันไม่รู้ว่าฉันจะพูดตรงไปหรือเปล่า  แต่ฉันก็ได้บอกความจริงไปแล้ว  ก็สุดแล้วแต่ว่าผู้ปกครองเขาจะรับได้หรือเปล่า
	"ไม่จริงหรอก  เธอนี่คงจะแสบน่าดูเลยเพื่อน ๆ ถึงไม่ชอบขี้หน้า  เธอนี่มันเด็กกาลีบ้านกาลีเมืองจริง ๆ ลูกสาวกูไม่เป็นแบบนั้น"
	พ่อของแนนพูดแล้วก็ทำท่าเหมือนจะเข้ามาตบทำให้ตำรวจต้องเข้าไปดึงตัวไว้และแจ้งข้อหาพ่อของแนนว่าหมิ่นประมาทและประทุสร้าย...
	วันนี้พวกเราทุกคนจึงต้องขึ้นโรงพักพร้อมกับผู้ปกครอง  แม่ของฉันถึงกับปล่อยโฮทันทีเมื่อรู้ว่าฉันจะโดนทำร้ายร่างกาย  แต่ย่าของฉันกลับไม่เป็นเช่นนั้น  ย่าบอกว่าถ้าใครมันทำหลานให้ต้องเจ็บย่าจะไม่ยอม  ย่าจะเอาคืนให้สาสม...ถึงแม้ว่าย่าจะเป็นคนชอบด่าอยู่เสมอ  แต่ย่าก็รักหลานและก็ไม่ยอมยอมความง่าย ๆ ย่าบอกว่าต่อให้ตายก็ไม่ยอม  ทำยังไงก็ไม่ยอมให้ลูกหลานต้องเสียเกียรติเสียศักดิ์ศรี  และต้องถูกปองร้ายแบบนี้
	ตำรวจถามว่าจะยอมความไหม  แต่ย่าไม่ยอมย่าเรียกเงินถึงหัวละ 50,000 บาท แต่ผู้ปกครองพวกนั้นไม่ยอมจ่าย  เด็กทั้งหมด 6 คนจึงถูกขังให้ไปนอนมุ้งสายบัว  ฉันก็รู้สึกเห็นใจพวกนั้นเหมือนกันแต่จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อพวกนั้นทำกับฉันก่อน  ถึงจะให้อภัยแต่ถ้าเราให้อภัยพวกนี้ก็ไม่ยอมเลิกลา  ต้องให้มันรู้รสชาติของการกระทำที่ก่อเอาไว้บ้าง...แต่สักพักผู้ปกครองของสาก็มาขอประกันตัวและยอมความ  ตกลงยอมจ่ายเงินทันที  สาไม่ยอมพูดจากับเพื่อนที่อยู่ในคุกเพราะสาคงรู้สึกโกรธ  สาเป็นคนนิสัยดีที่สุดในกลุ่มนั้น  ที่จริงฉันก็รู้ว่าสาไม่อยากจะทำแบบนั้นแต่สาติดเพื่อน  นี่ก็เป็นโทษของการติดเพื่อนนะมันจึงทำให้สาต้องมารับผลกรรมโดยที่ไม่ได้อยากจะทำเลย
	"ขอโทษนะดาว...ยกโทษให้ฉันนะฉันไม่ได้ตั้งใจ"
	"อย่าไปยกโทษให้มันอีเพื่อนแบบนี้ย่ารับไม่ได้"
	คำพูดของย่าถึงกับทำให้สาร้องไห้โฮทีเดียวแล้วก็เดินไปกอดแม่ของเธอ  สาหันมามองหน้าฉันด้วยสายตาที่เหมือนอยากจะสารภาพผิดทั้งหมดแล้วก็เดินลงบันไดโรงพักไป  สายไปเสียแล้วละสา  เธอคบเพื่อนไม่ดีเองมันจึงทำให้ชีวิตต้องตกต่ำ...น่าสงสารเหมือนกันนะ
	วันนี้ฉันไม่ได้เรียนทั้งวัน  นั่งอยู่ที่โรงพักกับผู้ปกครอง  ตำรวจสอบปากคำต้อมจนรู้ว่าผู้ชาย 3 คนนั้นต้อมรู้จักเป็นอย่างดีและก็เคยมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งด้วย  ผู้ปกครองของต้อมถึงกับรับไม่ได้  การให้การของต้อมทำให้ต้อมต้องโดนข้อหาหลายคดี  เพราะต้อมเป็นหัวหน้าเด็กแม็ทหรือแม่เล้านั่นแหละ  นอกจากนั้นตำรวจยังให้ต้อมสาวไปถึงขบวนการใหญ่ที่ต้อมต้องส่งส่วยให้เสี่ยยุทธนาอีกด้วย  ต้อมหมดหนทางจึงต้องบอกกับตำรวจทั้งหมด  อนาคตต้อมจึงดับลงในตอนนั้น  ถึงแม้ว่าแม่ของต้อมจะยอมความจ่ายเงินให้ฉันแต่ว่าต้อมต้องติดคุกยาวเพราะข้อหาค้าประเวณีมันร้ายแรงนัก  แม่ของต้อมต้องมาลาออกให้ต้อมที่โรงเรียน  ส่วนอ้อมนั้นพ่อของอ้อมมาประกันตัวและยอมความในที่สุด  ที่เหลือก็ยังคงอยู่ในคุกเพราะไม่มีผู้ปกครองมายอมความ
	สาแม่พาย้ายไปอยู่ลำปาง  อ้อมพ่อบอกให้เลิกเรียนเพราะถึงเรียนก็ดีแต่จะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน  ฉันรู้สึกสงสารเพื่อนจริง ๆ แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อพวกเขาเลือกที่จะทำแบบนั้น...
	วันนี้ฉันไปซ้อมยูโดแต่วัน  พี่ ๆ หลายคนในเบาะไม่ว่าจะเป็นพี่เอก  พี่แท็ก  พี่โจ  พี่โก้  พี่โอม  พี่ป๋อง  พี่ทิพย์  พี่ขวัญ  พี่ตูน  พี่แทน  พี่จง  พี่ออฟ  พี่ตั้น  พี่ไก่  พี่อั๋น    พี่ตา  พี่ทิพย์  พี่เต้  พี่ดอนและอาจารย์ก็มานั่งฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโรงพักวันนี้  ฉันเล่าไปนั่งซึมไปจนอาจารย์ยอร์ท
พูดขึ้น
	"อย่าคิดมาเลยมันเป็นเวรกรรมของคนที่ทำมาไม่เท่ากัน  ชาติที่แล้วเราไม่ได้ทำอะไรเขาแต่เขากลับมาทำเราในชาตินี้เขาก็ควรรับกรรม  อย่าเศร้าเลยมันไม่ใช่เรื่องของเราซะหน่อย"
	ฉันรู้สึกว่าการปลอบใจของอาจารย์ไม่เป็นผลกับฉันเลย  กลับทำให้เครียดหนักกว่าเก่า  วันนี้ฉันจึงซ้อมยูโดเหมือนคนที่ไม่มีหัวใจรักที่จะเล่นเลย
	"แววดาวมานี่หน่อย"
	อาจารย์ดนัยพูดขึ้น  ฉันจึงลงจากเบาะและไปหาอาจารย์
	"ทำไมวันนี้เล่นไม่ดีเลย  อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องเรียน  เราจะต้องไปแข่งอีกไกลเข้าใจไหม  เราจะหยุดอยู่ตรงนี้ไม่ได้  เอาวิญญาณของนักกีฬาที่ดีออกมาสำแดงให้รู้ว่าเราไม่เคยแพ้ใคร  เข้าใจไหม..."
	อาจารย์ดนัยพูดด้วยเสียงที่เข้มงวดจนฉันรู้สึกกลัว  แต่แววตาของอาจารย์ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย  ที่จริงอาจารย์ดูจะเอ็นดูฉันเป็นพิเศษเพราะฉันเป็นคนหัวเร็ว  สอนอะไรก็เป็นเลยจึงทำให้อาจารย์ไม่ต้องมาบ่นฉันหรือสอนมาหลาย ๆ รอบ  แค่ฉันดูครั้งเดียวฉันก็เล่นได้ฉันจึงเป็นที่รักของอาจารย์ในเบาะยูโด...
	เย็นวันนี้พี่ดอนมาส่งฉัน  แต่ฉันให้เขามาส่งแค่หน้าปากซอยเพราะแม่ไม่ชอบพี่ดอน  พี่ดอนจึงทำหน้าเศร้า ๆ ฉันก็รู้สึกว่าพี่ดอนเสียใจแต่จะให้ฉันทำยังไงได้ล่ะในเมื่อผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วย  นับวันเราก็ยิ่งจะไม่ค่อยลงลอยกันเพราะพี่ดอนอยากไปส่งที่บ้านแต่ฉันไม่ให้ไปเพราะฉันก็มีเหตุผลของฉันเหมือนกัน
	ฉันดูข่าวโทรทัศน์พบว่าแนนตายแล้ว  ถูกรุมโทรมแล้วก็ฆ่า  ชาย 3 คนนั้นคงแค้นที่ไม่ได้ฉันในวันนั้นมันจึงเอาแนนไป  ฉันรู้สึกสงสารเพื่อนมากเลย  พ่อแม่ของแนนคงอกสั่นและเสียใจมากทีเดียวเพราะแนนเป็นลูกคนเดียวของท่านเสียด้วย  เนี่ยแหละหนาเขาถึงได้บอกว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว  ฉันถึงได้รู้ซึ้งวันนี้นี่เอง...  แต่ก็ยังดีที่ตำรวจจับชาย 3 คนนั้นได้  พวกนั้นเลยต้องเข้าไปอยู่มุ้งสายบัวด้วย...
	เย็นวันนี้ตำรวจโทรมาบอกว่าผู้ปกครองของฝ้าย  เก๋และก็ฟ้ายอมความแล้ว  ฉันก็ดีใจมาก  แต่ 3 คนนี้ไม่ได้เรียนที่นี่แล้ว  ผู้ปกครองให้ย้ายไปเรียนที่อื่น  เพราะสร้างความอับอายให้ครอบครัวจนแทบจะซุกแผ่นดินหนี  ที่จริงฉันไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นเลยจริง ๆ นะ  ฉันต้องขอโทษด้วยละกันนะ...  ต่อไปนี้ก็คงไม่มีแก๊ง 7 ห้าวในห้องเรียนอีกต่อไปแล้ว  คนในห้องก็จะเหลือแค่ผู้หญิง 9 คนนอกนั้นก็ผู้ชายอีก 15 คน  แต่ถ้าคิดกลับมุมมันก็ดีไปอย่างนะที่ในห้องจะไม่มีอันธพาลขูดรีดเพื่อนและทำร้ายเพื่อน...  แต่มันก็ยังมีเสี้ยนที่ตำหัวใจฉันมาตลอดก็คือเหมี่ยว  ฉันละสงสันจริง ๆ เลยว่าคนท้องอะไรไปเล่นยูโดได้  แล้วทำไมฉันถึงไม่สืบความจริงให้มันรู้แน่นะ...
	บทเรียนในวันนี้มันมีความหมายกับฉันเหลือเกิน  ฉันรู้สึกว่าการคบเพื่อนมันต้องดูให้แน่ชัด  การทำอะไรไปโดยไม่ไตร่ตรองแบบกลุ่ม 7 ห้าวนั้นมันถึงกับทำให้อนาคตดับวูบทีเดียว...  
	เวลาผ่านไปได้เพียงข้ามคืนฉันก็รู้ข่าวของต้อม  ต้อมถูกชายนิรนามฆ่าตายหลังจากที่ชายคนหนึ่งเข้าไปในโรงพักและเอาอาหารให้ต้อมกิน  ทำให้ตำรวจไม่มีพยานที่จะจับเสียคนหนึ่งได้ในข้อหาค้าประเวณี
	ชีวิตของคนเรานี่น่าหดหู่เหลือเกิน  ฉันรู้สึกว่าการใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต้องอาศัยการทำดี  ถ้าหากว่าเราไม่ทำดีแล้วชีวิตเราก็อาจจะเป็นอย่างคนพวกนี้ก็ได้  ฉันเชื่อว่าฉันจะต้องทำให้คนทุกคนเห็นว่าฉันเป็นคนดีคนเก่งให้ได้  ฉันจะไม่ทำให้พ่อแม่เสียใจ  ฉันจะตั้งใจเรียนและตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล....!!! นัดต่อไปจะเป็นการแข่งยูโดรุ่นไม่จำกัดน้ำหนัก  ฉันจะไม่ยอมแพ้พวกอ้วน ๆ นั่นหรอก  ฉันจะเอาเหรียญทองมาฝากครอบครัวให้ได้  การแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานนี้ฉันต้องทำให้ได้....แววดาวสู้ตายค่ะ...

           อย่าพลาดตอนต่อไปนะคะ  แววดาวจะทำอย่างไร  เธอจะตัดสินใจอย่างไรกับชีวิต  ช่วยลุ้นและเป็นกำลังใจให้สาวน้อยมหัศจรรย์ของเราด้วยนะคะ  โปรดติดตามตอนต่อไป
           ขอขอบคุณที่เพื่อน ๆ ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ...				
27 กรกฎาคม 2547 18:58 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 6 )

สุชาดา โมรา

ตู๊ด....ตู๊ด....ตู๊ด....  เสียงนาฬิกาปลุกดังแต่เช้า  ฉันกดนาฬิกาแล้วนอนหลับต่อ  จนกระทั่งฉันผวาตื่นขึ้นมา
	"เฮ้ย...!!!วันนี้ต้องไปคัดสายที่กรุงเทพฯนี่หว่า  ตายแล้ว...!!!"
	ฉันรีบอาบน้ำแต่งตัวทันที  พ่อฉันมาส่งที่ บ.ข.ส. แต่ฉันมาไม่ทันเพื่อน ๆ และพี่ ๆ  ฉันจึงโทรไปหาพี่ดอน
	"ฮัลโหล  พี่ดอนเหรอคะ  อยู่ไหนคะ  หา...ค่ะ ๆ ๆ เดี๋ยวจะตามไปนะคะ  พี่นั่งรถ ป.2 เหรอเดี๋ยวดาวไป ป.1  งั้นเจอกันที่อนุเสาวรีย์ชัยนะคะ"
	"พ่อคะไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ  เดี๋ยวหนูไปเองได้สบายมาก  แค่จรัญสนิทวงศ์เอง...ไปนะคะ"
	พ่อยิ้มแล้วก็ขับรถกลับไป  ฉันนั่งรถ ป.1ไปกรุงเทพฯ คนเดียวทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเดินทางไปกรุงเทพฯ คนเดียวซะที  เด็กต่างจังหวัดที่ไม่เคยรู้เรื่องกรุงเทพฯ เลยต้องมานั่งเหงาอยู่คนเดียวบนรถ  มองไปทางไหนก็รู้สึกว่ามีแต่คนแปลกหน้า...  ฉันรู้สึกอ้างว้างเดียวดายหาที่พึ่งไม่ได้เลย  ฉันนั่งมาเรื่อย ๆ มองไปข้างทางจนรถจอกที่ป้ายหินกองเพื่อรอเวลา
	"ขอโทษนะคะ  ขอโทษนะคะ..."
	เสียงผู้หญิงคนหนึ่งที่คุ้นเหลือเกินดังขึ้น  และดังอยู่เรื่อย ๆ จนใกล้เข้ามาถึงฉัน  ฉันจึงเหลือบไปมองผู้หญิงคนนั้น
	"ย่า...!!!!"
	ฉันตกใจมาก  ย่ามาได้ยังไงกันเนี่ย!!!
	"ดาว...แกมาคนเดียวได้ยังไงรู้ไหมย่าเป็นห่วง  พ่อแกก็เหมือนกันปล่อยแกมาได้ไง  เดี๋ยวก็ถูกหลอกไปขาย  เฮ้อ...!!!"
	ย่าตามฉันมาด้วยความเป็นห่วง  ย่ายืนบ่นอยู่นานจนผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ ฉันลุกขึ้นให้ย่านั่ง  ย่าก็บ่น ๆๆๆๆๆ จนฉันหูชาทีเดียว  ไม่เพียงบ่นแต่ฉันยังหันไปบ่นให้คนอื่นฟังอีก  ทำให้กระเป๋ารถถึงกับหัวเราะออกมาทีเดียว...จากที่นั่งเหงา ๆ อยู่คนเดียวบนรถ  ก็เหมือนกับฟ้าสั่งให้ย่าตามฉันมาด้วยทำให้ฉันไม่เหงาและเดินทางอย่างไม่รู้สึกเคว้งคว้าง
	"พอย่ารู้ว่าพ่อแกให้แกมาคนเดียวย่าก็เลยสั่งให้ขับรถตามมา  โชคดีนะพ่อแกมันช่างสังเกตจำทะเบียนรถได้เลยขับตามมาทันพอดี  ไม่งั้นย่าต้องช็อกตายแน่ ๆ เพราะย่าก็มีหลานสาวอยู่แค่คนเดียวย่าก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา  ส่วนแม่แกน่ะเหรอไปส่งตาแกที่สุราษฎร์ยังมาไม่ถึงเลย  ถ้ารู้นะว่าแกมาคนเดียวสงสัยแกจะโดนหยิกแขนเขียวแหง ๆ ละ"
	คำพูดของย่าทำให้ฉันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่  ฉันรู้สึกได้ว่าที่บ้านทุกคนเป็นห่วงฉันจริง ๆ ฉันรู้สึกอบอุ่น  ไม่เหงาไม่เดียวดายกลับมีความสุขมากที่ได้รู้จากปากย่าซึ่งบอกเป็นนัย ๆ ว่าท่านรักฉันมากกว่าใคร ๆ ฉันจึงโผกอดย่าด้วยความรัก...
	รถมาถึงสถานีหมอชิดใหม่  ฉันพาย่าเดินไปตามทางถนนคอนกรีตผ่านหน้าเซเว่นแล้วเดินไปหารถ  ข.ส.ม.ก. ทันที  แต่ว่ารถสาย 38 ออกไปแล้วคงอีกนานที่จะได้ขึ้น
	ติ๊ดตี่ตีติ๊....!!!! เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น  ฉันรับโทรศัพท์ทันที
	"ฮัลโหล...จ่ะ ๆ ๆ ๆ มาถึงแล้ว จ่ะ ๆ ๆ ๆ..."
	"ใครโทรมาเหรอดาว"
	"พี่ดอนพี่ที่เบาะน่ะแหละค่ะ  เขาเป็นห่วงกลัวจะมาไม่ทันแข่ง"
	ฉันไม่กล้าบอกหรอกว่าพี่ดอนเป็นแฟนฉัน  เพราะที่บ้านค่อนข้างเข้มงวดเรื่องการคบผู้ชาย  ฉันจึงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อนกะว่าถ้าถึงเวลาเมื่อไรแล้วจะบอกกับทุกคน  เพราะฉันต้องการความแน่ใจว่าพี่ดอนจะไม่เป็นแบบพี่นัท...  ที่จริงใจจริงลึก ๆ แล้วฉันยังอาลัยอาวรพี่นัทอยู่  เพราะถ้าให้ฉันเทียบระหว่างพี่นัทกับพี่ดอนแล้ว  พี่ดอนไม่มีอะไรเทียบได้กับพี่นัทเลยสักนิด  แต่พี่ดอนเป็นคนที่จริงใจและมั่นคงจึงทำให้ฉันคบกับพี่ดอนได้...
	"ดาวสายแล้ว  ไปคันนี้ก็ได้ผ่านอนุเสาวรีย์เหมือนกัน"
	"แต่หนูว่าไปแท็กซี่ดีกว่าเพราะมันเร็วดี"
	ฉันพาย่าเดินมาขึ้นรถแท็กซี่
	"ไปไหนครับ"
	"ซอยจรัญสนิทวงศ์  โรงเรียนบูรณวิทย์"
	ฉันนั่งรถมาเรื่อย ๆ คนขับก็คุยกับย่ามาตลอด  ย่าก็เล่าเรื่องของฉันให้ฟัง  คนขับรถหัวเราะไม่หยุดทีเดียว  ทำให้ฉันรู้สึกแย่มาก ๆ เหมือนกลายเป็นตัวตลกในสายตาพวกคนกรุง!  ที่จริงย่าก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นหรอกแต่ท่านพูดไปตามประสาคนแก่ขี้บ่นนิด ๆ ละ
	"อ้าวทำไมไม่เลี้ยวขวาเข้าซอยจรัญล่ะ  ทำไมเลี้ยวมาทางนี้  จอด ๆ ๆ ๆเดี๋ยวนี้นะ"
	ฉันร้องตะโกนลั่นรถ  คนขับแท็กซี่จอดรถจนหน้าทิ่ม
	"ก็น้องบอกว่าไปโรงเรียนบวรวิทย์ไม่ใช่เหรอ"
	"ไม่ใช่  บอกว่าไปบูรณวิทย์...เห็นเป็นคนบ้านนอกแล้วไม่รู้เรื่องในกรุงเทพฯ หรือไง  มักง่ายที่สุด  ฉันจะลงแล้ว  จะไปขึ้นคันอื่น"
	ฉันพูดด้วยความโมโห  เลือดในตัวสูบฉีดขึ้นหน้าจนร้อนผ่าว  ดวงตาฉันจับจ้องไปที่คนขับแท็กซี่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อทีเดียว
	"ใจเย็น ๆ ลูก"
	ย่าเตือนฉัน
	"นั่งคันนี้ก็ได้  แต่ต้องปรับมิเตอร์ใหม่ก่อนเพราะฉันรู้ว่าถนนสายนี้ต้องกลับไปที่สะพานพระปิ่นเกล้าก่อนถึงจะมาได้"
	คนขับรถขอโทษขอโพยแล้วก็เก็บเงินในมิเตอร์ตอนแรกก่อนแล้วสัญญาว่าจะพาไปส่งที่โรงเรียนนั้น  และจะไม่เก็บเงินส่วนที่เหลือนี้ ...คนขับแท็กซี่พามาจอดที่ในโรงเรียน  ฉันเจอหน้าเพื่อน ๆ และพี่ ๆ ฉันถึงกับโผกอดพี่ขวัญทันที
	"นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว...กินข้าวมาหรือยัง...ไปกรอกใบสมัครก่อนไหม"
	ฉันรีบจนลืมแนะนำย่ากับพวกพี่ ๆ เพื่อน ๆ เลย...ฉันกรอกใบสมัครและชั่งน้ำหนักทันที  น้ำหนักของฉันลดไปอีก 2 กิโล  ฉันแข่งในรุ่นเล็กลงไปอีก...  ฉันเริ่มหิวก็เลยไปทานข้าวแถว ๆ นั้นซึ่งเป็นร้านประจำที่เรามาทานกันบ่อย ๆ
	"นี่...ทุกคนนี่ย่าของดาวเอง"
	ทุกคนสวัสดีย่า  แต่พี่ดอนเริ่มเข้ามาตีสนิทย่าจนฉันดูออกว่าย่ารำคาญพี่ดอนมาก ๆ  ฉันจึงต้องสะกิดเตือนอยู่บ่อย ๆ แต่พี่ดอนก็ไม่รู้ตัวหรอกยังคิดว่าฉันแอบแตะอั๋งเสียอีก...เมื่อหนักเข้าย่าก็เริ่มยิ้มแบบชักสีหน้า  ฉันรู้ทันทีว่าย่าโกรธ  ฉันจึงต้องออกปากพูดเองก่อนที่ย่าจะระเบิดออกมา
	"พี่ดอน  ว่างนักเหรอไปนั่งที่ของตัวเองแล้วทานข้าวซะ...!!!"
	พี่ดอนทำท่าเหมือนไม่พอใจมาก ๆ ทำจมูกฟุตฟิต  ตาแดงจนฉันสงสาร  แต่ฉันก็ต้องวางตัวเฉย ๆ เพราะฉันกลัวว่าย่าจะไม่พอใจไปมากกว่านี้...  ปกติแล้วย่าไม่ค				
27 กรกฎาคม 2547 18:29 น.

เยียวยา...รัก

สุชาดา โมรา

คลืด....คลืด....
	เสียงรถเข็นในโรงพยาบาลกำลังเข็นเตียงวิ่งเข้าออกในห้องฉุกเฉินอยู่หลายคัน
	"เร็ว ๆ ผู้ป่วยเกิดอาการช็อก...!!!!"
	เสียงพยาบาลตะโกนโหวกเหวกเสียงดังอยู่หลายคน  มีทั้งเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจที่ดังอยู่ตลอดเวลาของโรงพยาบาลและเสียงของผู้ป่วยที่เอะอะโวยวายดังอยู่ตลอดเวลา
	การที่เราแอบรักใครสักคน  ก็เหมือนกับการไล่ตามความฝัน   บางครั้งผมก็พบกับรอยยิ้มที่ได้จากเธอ  เมื่อเจอะเจอกันคราใดหัวใจมันก็เต้นรัวราวกับกลอง   เมื่อได้อยู่ใกล้ ๆ เวลาที่เราเขยิบเข้าไปใกล้ขยับเข้าไปอีกนิดหนึ่งเพื่อให้อยู่ใกล้ ๆ เขามันก็ยิ่งทำให้จิตใจไหวสั่น   แต่บางครั้งก็รู้สึกเหมือนกันว่าเรานั้นบ้าไปคนเดียวเพราะดูเธอไม่ได้สนใจเราเลยสักนิด  ทำให้บางทีก็มีน้ำตาแห่งความทดท้อหลั่งไหลอยู่ภายใน  หนทางแห่งรักนี้ทำไมมันจึงเดินทางได้ไกลถึงเพียงนี้ไม่ได้เรียบง่ายสวยงามเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่เราคาดหวังเอาไว้ต่อไปนี้ผมจะต้องเดินทางใช้ชีวิตยังไงดีถึงจะได้เธอมา...
	ผมเป็นคนที่วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ในโรงพยาบาลบ่อย ๆ เพราะผมมีโรคประจำตัวจึงต้องมารักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นประจำ  และโรงพยาบาลแห่งนี้ทำให้ผมได้พบกับนางฟ้าในชุดสีขาวคนนั้นเป็นประจำ
	"สวัสดีค่ะคุณสัณหศิษฐ์วันนี้มาทำอะไรคะ"
	"ก็เหมือน ๆ เดิมแหละครับ"
	"ขอตรวจหน่อยนะคะ"
	มือของเธอมาสัมผัสที่แขนผม  นิ้วที่เรียวยาวอุ้งมือที่แสนจะนุ่มนิ่มของเธอ  แววตาที่เธอมองมันช่างละมุนละไมเหลือเกิน  ยิ่งอยู่ใกล้ ๆ เธอจิตใจผมก็หวั่นไหว  ผมอยากอยู่ใกล้ ๆ เธอที่สุดเลยนะ  คุณพยาบาลนางฟ้าชุดขาวของผม
	"เสร็จแล้วค่ะเชิญห้องหมายเลข 274 เลยนะคะ"
	ก่อนผมออกมาผมก็เหลือบไปมองเธอตลอด  ผมอยากอยู่ใกล้ ๆ เธอจริง ๆ ทำไมเธอถึงน่ารักขนาดนี้นะ
	ผมคอยไล่ตามความฝันของตัวเองอยู่ตลอด  ผมไม่เคยคิดว่าจะได้รักจากเธอถึงร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ผมก็แค่อยากให้เธอสนใจผมอยู่ใกล้ ๆ ผมถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยคิดอะไรกับผมเลยก็ตาม   ผมไม่ต้องการให้รักนั้นประสบความสำเร็จแต่ผมแค่อยากจะให้เธอเหลียวแลสนใจผมมากกว่านี้  แต่ยังไง ๆ ผมก็จะพยายามวิ่งไล่ตามฝันของผมที่มันเหลือเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น
	การให้อย่างหมดใจกับคนที่เรารักหรือแอบรักนั้นไม่มีใครบอกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า เขาจะเป็นผู้ให้กลับมา แต่ขอเพียงอย่างน้อยที่สุด แค่เรารู้ว่าเขาได้รับไว้อย่างเต็มใจและเราเองก็เป็นสุขกับการให้เพียงแค่นั้นก็ไม่เสียดายแล้วกับหัวใจที่ให้เขาไป
	"คุณสัณหศิษฐ์คะ  ตรวจเรียบร้อยแล้วเหรอ  โชคดีนะคะ"
	เธออ่อนโยนกับทุกคนโดยเฉพาะกับผม  ผมว่าเธอเริ่มมีความรู้สึกที่ดี ๆ กับผมบ้างละเพราะแววตาของเธอมันฟ้อง  เมื่อเธอพูดจาหวาน ๆ ใส่ผมถึงกับตัวลอยทีเดียว  หัวใจผมมันตึก ๆ จนแทบจะทะลักออกมาแล้ว  ผมดีใจจริง ๆ...
	ผมทำงานอยู่ที่บริษัทความฝัน  เพราะที่นี่มีแต่ฝันที่จะให้บ่าวสาวได้สมหวังกัน  บริษัทที่ผมอยู่นั้นทำเกี่ยวกับเรื่องการจัดหาคู่และการจัดงานวิวาห์  ผมอยู่แผนกเจ้าคารมมีหน้าที่เขียนกลอนรักหวาน ๆ เอาไว้ให้บ่าวสาวในงานและมีหน้าที่เครียหัวใจให้คู่แต่งงาน  ผมมีความสุขมากที่ได้ทำงานที่นี่แต่ผมก็อยากที่จะให้คนที่อยู่เคียงข้างผมคือนางฟ้าชุดขาวคนนั้น
	"อ้าว...คุณสัณหศิษฐ์วันนี้มาทำอะไรคะ  ไม่มีคิวนัดไม่ใช่เหรอ"
	"คือผม  ผม  ผม"
	"อาการกำเริบเหรอ"
	"เปล่าครับ  ผมมาหาคุณทิพย์นั่นแหละ"
	"มาหาฉันเรื่องอะไรคะ  ไม่เห็นว่า...."
	"ผมอยากจะชวนคุณไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันครับ"
	"อืม....."
	เธอลังเลอยู่นานจนเธอหันไปมองหน้าเพื่อน ๆ ของเธอที่นั่งอยู่หลังเค้าเตอร์  เพื่อนของเธอพยักหน้าเธอจึงตอบตกลงกับผม  ผมดีใจที่สุดเลยที่เธอยินดีไปกับผม
	ทุก ๆ วันผมก็จะมารับเธอไปทานข้าวเที่ยง  เธอก็ไปกับผมทุกวัน  ผมมีความรู้สึกว่าเหมือนเธอมีใจให้กับผมแล้วละ  หรือว่าผมฝันไปเองกันแน่นะ...  รู้สึกว่าความรักกับความฝันนี้มันช่างสวยงามจริง ๆ โลกใบนี้มันแสนจะสดใส  อะไร ๆ ก็ดูดีไปซะทุกอย่าง  ผมอยากให้ทุก ๆ วันมีสองเราเท่านั้นก็พอใจที่สุดแล้ว...
	หนทางแห่งรักที่แสนจะยาวไกลผมได้เพียงฝันไปวัน ๆ ว่าจะต้องมีสักวันที่ผมจะได้ใช้ชีวิตร่วมกับเธอ  ก็ไม่ต่างจากคนที่มีฝันอันเลือนลางที่ได้แต่เพ้อไปวัน ๆ หนึ่งว่าเธอจะต้องรักเราความรู้สึกของคนที่เราแอบรักแม้เราจะใกล้ชิดกับความฝัน  แต่เราก็ยังไม่มีโอกาสเก็บมันไว้ในมือของเราถึงแม้ว่าเราจะได้อยู่ใกล้ชิดกับนางฟ้าชุดขาว   แต่เราก็ยังไม่สามารถให้เขาเก็บเราไว้กับเราได้ตลอดเวลาหรือตลอดไปผมรู้ตัวดี...แต่ถึงยังไงผมก็ตั้งใจไว้ว่าความจริงใจกับความฝันที่ผมได้มอบให้กับเธอไปในวันนี้มันคงพอจะทำให้เธอมีความสุขได้ถึงแม้ว่าทดท้อแท้บ้างในบางครา แต่ก็เชื่อว่าผมจะก้าวต่อไปจะไม่ย่อท้อเพราะผมเชื่อในรักถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้อะไรตอบแทนมาก็ตาม
	วันแล้ววันเล่า  ผมมีความสุขที่สุขกับนางฟ้าชุดขาวของผมจนกระทั่งผมรู้สึกตัวว่าผมจะอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว  ผมรู้สึกเจ็บที่หัวใจ  ผมรู้สึกหัวหมุน  ร่างมันลอย ๆ ชอบกล  ผมรู้สึกว่าผมปวดมากปวดจนแทบจะทนไม่ไหว  โอ๊ย....!!!!
	ความรู้สึกของผมในตอนนี้มันคือความรัก  ความฝัน  ความหวังที่ต้องการมีเธอมาเยียวยาหัวใจ  ผมขอเพียงวาระสุดท้ายที่ผมจะมอบให้แก่เธอ
	"ผมอยากเจอคุณพยาบาล"
	"คนไหนคะ"
	"คุณทิพย์"
	พยาบาลวิ่งกันขวักไขว่  เสียงพูดคุยกันซอกแซก  ผมรู้สึกสังหรณ์ใจว่าเธอจะไม่ได้อยู่ที่นี่  ผมได้ยินคนคุยกันราวกับว่าจะคุยผ่านโทรศัพท์
	"ทิพย์เหรอ  จำคนไข้รายนั้นได้ไหมคุณสัณหศิษฐ์ไง  มาด่วนเลยนะเขาต้องการกำลังใจจากเธอ  เธออยู่กับคุณหมอภัทรใช่ไหม  เลิกสวีทกันก่อน...กลับมาดูคนไข้ทีพาคุณหมอมาด้วยก็ได้"
	ผมรู้แล้วละ  สิ่งที่ผมพยายามบอกเธอแต่เธอก็ไม่เคยสนใจ...มันเป็นเพราะหัวใจของเธอไม่เคยมีผมเหลืออยู่แล้ว  เธอเป็นแฟนของคุณหมอภัทรซึ่งเป็นหมอประจำตัวของผม  ถึงตอนนี้ผมจะรู้สึกผิดหวังยังไงผมก็ยังรักเธอเสมอ
	"เป็นยังไงบ้าง"
	"ผมไม่เป็นอะไรแล้วละ  ผมสบายดี  คุณหมอ..."
	"ว่ายังไง  อาการเจ็บที่อกเป็นยังไงบ้าง"
	"ผมไม่สนใจเรื่องนั้นแล้วละ  ผมอยากจะให้คุณหมอช่วยผม  ผมอยากให้คุณหมอรักเธอนาน ๆ ได้ไหม  สิ่งที่ผมเหลืออยู่ในตอนนี้คือสิ่งที่ผมไม่อาจจะเยียวยามันต่อไปได้แล้ว"
	"นายพูดแปลก ๆ นะ..."
	"คุณทิพย์ผมอยากให้คุณสัญญาว่าคุณจะมีความสุขตลอดไปได้ไหม"
	เธอพยักหน้ารับผมก็ดีใจ
	"ผมขอให้คุณหมอและคุณทิพย์ครองรักกันตลอดไป  ผมได้เอาเงินทั้งหมดในบัญชีฝากไว้เป็นชื่อคุณทิพย์แล้วผมอยากให้คุณเซ็นรับเอกสารนี้"
	"ฉัน...."
	"อย่าปฏิเสธความรักของผมอีกเลย  ผมต้องการให้คุณด้วยหัวใจที่ไม่อาจจะเยียวยาด้วยรักต่อไปได้อีกแล้ว  นางฟ้าชุดขาวของผม..."
	สิ่งนี้แหละที่ผมจะทำให้เธอในวาระสุดท้ายได้  นางฟ้าชุดขาวของผม  ถึงแม้ว่าวันนี้ผมจะต้องหมดลมหายใจไปแต่ผมก็ยังคงตั้งมั่นไว้เสมอว่าก่อนจากไปผมต้องทำให้คุณมีความสุขที่สุด  และตลอดไป...
	ผมรู้สึกตัวลอยเบาสบาย  ชายชุดขาวเดินมาจับข้อมือผมไว้  ผมได้มีโอกาสมองหน้าเธอและคนรักของเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากลา  ลาก่อนนะประตูหัวใจ  ลาก่อนนะเส้นทางแห่งความรักความฝันและความหวังของผม  โลกต่อไปที่ผมจะไปก็คือโลกแห่งนิรันดร์  ผมขอให้คุณเชื่อในรักและมีความสุขตลอดไป				
26 กรกฎาคม 2547 17:53 น.

ใบไม้ในใจเธอ

สุชาดา โมรา

ครั้งหนึ่งในชีวิตอันงดงาม  ฉันอยู่ท่ามกลางความรักความอบอุ่นของผู้คนมากมาย  ฉันมีความสุขเหลือเกิน  ฉันได้สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าอ่อนละมุนและอบอุ่นของแม่และญาติพี่น้องที่ไม่เคยลืมว่าฉันเกิดมาจากไหน  อยู่เพื่ออะไรกับครอบครัวนี้
	บ้านที่ฉันอยู่ไม่ใหญ่โตสวยงาม  แต่มันก็เป็นบ้านที่อบอุ่นและยังมีความรักที่ฉันได้จากผู้ชายคนนี้อีกด้วย  ผู้ชายที่ใครต่อใครก็หวงแหน  และใครหลาย ๆ คนก็อยากอยู่ใกล้ ๆ เขา
	ฉันเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างอ่อนโยน  น่ารัก  (แหมชมตัวเองมากไปหรือเปล่าเนี่ย ) กิริยามารยาทก็อ่อนช้อยงดงาม  สีหน้านั้นเบิกบานอยู่เสมอโดยเฉพาะเวลาที่เขาอยู่ใกล้ ๆ ฉันแบบนี้
ฉันรู้สึกอิ่มเอมกับความรักมันทำให้ฉันมีความสุขสดชื่น...ไปหมด
	ฉันรู้สึกอบอุ่นเสมอเวลาที่มีเขาอยู่ใกล้ ๆ เอาใจใส่ฉัน  ฉันจึงรักและหวงแหนเขามาก  และรู้สึกว่าจะมากกว่าใคร ๆ เสียด้วย
	จิ๊บ  จิ๊บ  จิ๊บ....เช้าสดใส  ฝูงนกกาออกหาอาหารแต่เช้า  ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าที่มีแต่ความแจ่มใส  ผู้ชายในฝันของฉันตื่นแต่เช้า  เขามากวาดเศษใบไม้ใบหญ้า  ฉันแอบดูเขาทุกวันฉันรู้สึกว่าเขาขยันดีจริง ๆ ถ้าใครได้เขาไปก็คงจะมีความสุขมากทีเดียว  เขาก็รู้นะว่าฉันแอบมองเขาทุกวัน  แต่เขาก็กล้าที่จะมาพูดกับฉัน  ร้องเพลงให้ฉันฟังเป็นประจำ  ฉันมีความสุขมากทีเดียว
	"ผมคิดถึงคุณจังเลยชมพู่  เธอช่างสวยสง่าเหลือเกิน  เมื่คืนหลับสบายไหม...เธอทำงานทั้งวันเลยนี่  เธอคงเหนื่อยสินะเพราะช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นแล้วมันก็คงใกล้เวลาของเธอแล้วสิ...  อ้อ...รักษาสุขภาพด้วยนะ  แล้วก็มีลูกเร็ว ๆ"
	เขามาพูดแบบนี้กับฉันทุกวัน  ฉันเองก็ได้แต่เขินอายไม่กล้าแม้แต่จะบอกหรือถามว่าเขาชื่ออะไร  ถ้าจะถามตัวเองว่ารักเขาไหม...ฉันรู้แต่เพียงว่าเขาห่วงใยฉัน  ฉันคงขาดเขาไม่ได้แน่ ๆ
	ผู้ชายคนนี้เป็นคนหล่อมาก  ใบหน้าขาวสวย  สวยจนผู้หญิงอายเลยทีเดียว  ไม่มีริ้วรอยใด ๆ   ริมฝีปากสวย  สูงยาว  คงประมาณ 190 ซ.ม.ได้ละมั้ง  เขาเป็นผู้ชายที่หลาย ๆ คนหมายปองเพราะเขาเป็นคนปากหวาน
	เขาชอบมายุ่งกับทรงผมของฉัน  เขาชอบตัดผมทรงต่าง ๆ ให้ฉัน  หลายรูปแบบ...ฉันเองก็รู้สึกว่ามันเทห์ดีนะ  เพราะสิ่งที่เขาทำให้ฉันก็เหมือนการที่เขาตอบรับรักจากฉันไปครึ่งหนึ่งแล้ว
	เขารู้จักชื่อของฉันดี  แต่น่าอายที่สุดที่ฉันกลับไม่รู้จักชื่อของเขาจนกระทั่งวันนี้
	"ผมคิดถึงคุณจังเลย..."
	"ศักดิ์....มาตัดแต่งกิ่งไม้ต้นนี้ให้แม่หน่อยนะลูก  รู้สึกว่ากิ่งมันจะยาวเกินไปแล้ว  มันจะดูไม่สวย  อ้อ...ทำพุ่มสวย ๆ ด้วยล่ะบางอย่างจะได้ขายได้"
	"ครับแม่...ไปก่อนนะชมพู่แล้วจะมาคุยด้วยอีก"
	ฉันรู้สึกดีใจทุกครั้งที่เขามาอยู่ใกล้ ๆ พูดหวาน ๆ กับฉันทุกวัน  เขาเป็นคนน่ารักจริง ๆ  รูปก็งามนามก็ไพเราะ  ดูเขาเป็นแมนดีจริง ๆ เลย
	เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว  ฤดูหนาวปีนี้ใบไม้ร่วงเต็มพื้น  เขาก็มากวาดเศษใบไม้เช่นเดิม
	.....................................
	ฉันรู้สึกเกิดอาการใจสั่น ๆ หา...ฉันท้องเหรอนี่  เป็นไปได้ยังไงกันที่จู่ ๆ ฉันจะท้องได้...  ฉันรู้ตัวดีว่าฉันต้องทำหน้าที่รักษาเผ่าพันธ์  ฉันจึงต้องสละชายคนนี้ไว้ข้างหลังเพราะยังไง ๆ ฉันกับเขาก็คงรักกันไม่ได้  เพื่ออนาคตที่ดีของฉัน  ฉันจึงต้องทำหน้าที่สืบสันติวงศ์  เพื่อลูก ๆ ของฉัน  หลาน ๆ ตัวน้อย ๆ ของฉันที่กำลังจะถือกำเนิดมาในไม่ช้านี้....
	ไม่นานนักฉันก็ได้ถือกำเนิดลูกหลานขึ้นมา  ฉันดีใจมากที่ลูกหลานฉันมีมากมาย  ฉันดีใจเหลือเกินที่ลูก ๆ หลาน ๆ มีความสุขอยู่กับฉันตลอดเวลา...
	ฉันดีใจนะที่เขาไม่รังเกียจฉัน  ฉันรู้สึกยินดีเหลือเกินที่ฉันได้ทำประโยชน์ให้แก่เขา  ลูก ๆ หลาน ๆ ของฉันถูกสอยลงเข่งหลายใบทำให้เป็นที่พอใจแก่เขา  ฉันคิดไว้เสมอว่าต้นชมพู่อย่างฉันก็สามารถที่จะทำประโยชน์ให้แก่เขาได้  ฉันรักศักดิ์เจ้านายของฉันเหลือเกิน  ฉันขอสัญญาว่าจะให้ผลผลิตแก่เขาให้มากที่สุด...				
25 กรกฎาคม 2547 20:04 น.

ฅนสองเงา ( ตอน 5 )

สุชาดา โมรา

"คุณพล ๆ ตอนที่คุณไม่อยู่มีคนมาขอทำข่าวถึง 6 รายการเชียวค่ะ" ผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาพูดกับคุณพลราวกับสนิทกันมาก  แต่ก็ดูท่าทางเขายำเกรงคุณพลไม่ใช่น้อย
"พล...เด็กคนนี้ใช่ไหมที่คุณเดย์บอกว่าจะต้องพาตัวมาให้ได้...เออน่ารักดีนะ  ชื่อไรน่ะ"
"อย่าเพิ่มถามน่า...เดี๋ยวคุณเดย์ก็บอกเองนั่นแหละ"
คุณพลตอบชายคนนั้นด้วยท่าทางที่ขึงขัง  ดู ๆ ทุกคนที่นี่จะยำเกรงคุณพลเหมือนกัน
"....เอ๊ะ...!!!  ทำไมทุกคนจึงมองเราเหมือนเราเป็นตัวประหลาด..." จิรมลนึก
..........แอ๊ด..........คุณพลเปิดประตูให้ลงไปในทางแคบ ๆ มีเพียงแสงไฟที่เป็นสีแดงดูน่ากลัวมาก  ทางตรงนี้เป็นทางห้องใต้ดินบรรยากาศตามทางก็วังเวงดูน่ากลัวทำให้จิรมลรู้สึกกลัว ๆ เกร็ง ๆ จนพูดไม่ออก
"....รู้สึกกลัว ๆ ยังไงบอกไม่ถูก  หนาว ๆ ด้วยแฮะ...สงสัยจังว่าคุณพลพามาที่นี่ทำไม  ฉันรู้สึกตื่นเต้นและก็หวาดกลัวเป็นพิเศษ...มันน่ากลัวกว่าทุกครั้งที่ฉันเจอมาซะอีก"จิรมลนึก
เมื่อคุณพลเปิดประตูอีกบานและพาจิรมลเข้าไปข้างใน  แอร์ที่เปิดเย็นเฉียบ  มีแสงและลานเวทีที่ดูเหมือนจริง  ทั้งฉากและผู้คนที่แต่งกายทำให้จิรมลรู้ทันที่ว่านี่มันคือโรงซ้อมละคร
"เอ๊ะ....!!!คุณพลนี่มันโรงซ้อมละครนี่คะ"
"ครับ"  คุณพลตอบด้วยท่าทางขึงขัง
"ยังไม่ได้!!!....แสดงให้ดีกว่านี้เป็นหรือเปล่า!!!.......?"  เสียงชายคนหนึ่งดังเกรี้ยวกราดขึ้นมาทำให้จิรมลยิ่งรู้สึกกลัวเข้าไปใหญ่
"คุณต้องพบพ่อที่เคยเกลียดใช่ไหม  คุณเป็นคนทำให้พ่อต้องสูญเสียอนาคตไปใช่ไหม  และคุณต้องโผเข้ากอดเขาด้วยความรู้สึกที่ผิด  จำได้หรือเปล่า...!!!....ไม่ใช่ว่ามายืนแข็งเป็นตอไม้....โถ่...ไม่ได้เรื่องเลย....ซ้อมใหม่...!!!!"
เสียงชายคนนั้เกลี้ยวกราดจนจิรมลรู้สึกกลัวเข้าไปใหญ่  แต่จิรมลก็อยากที่จะเห็นหน้าชายคนนั้นว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร  ทำไมจึงดุดันได้ขนาดนี้
"ทำไมยังไม่ดีขึ้นอีก..ใบ้กินหรือไง...!!!ตอบมาเร็ว  หลับอยู่หรือไง...หา....!!!...โถ่โว้ย...นี่ผมจะบ้าตายเพราะพวกคุณอยู่แล้วนะ" ชายคนนั้เกรี้ยวกราดอีกครั้ง  แล้วก็ค่อย ๆ สบัดผมและหันมาช้า ๆ
"....ผู้หญิงคนนั้นเขาแสดงดีแล้วนี่นา  ทำไมถึง...อ๊ะ...!!!คุณเดย์นี่...ทำไมดูน่ากลัวจัง...ฉันกลัวไปหมดแล้วนะ..." จิรมลยืนดูอยู่กับกลุ่มนักแสดงข้างล่างพร้อมกับคิดเรื่องที่เห็นคุณอาสาฬห์เกรี้ยวกราดกับนักแสดงด้วยความกลัว
"คุณพล...ฉันว่าเราควรออกไปก่อนดีกว่านะวันนี้อย่าเพิ่งมาพบเขาเลยเขาอารมณ์ไม่ดี  กำลังโมโหโกธาอยู่อย่าไปยุ่งดีกว่านะนะ..." จิรมลค่อย ๆ กระซิบ
"เปล่า...เขาปกติไม่ได้โมโหหรืออะไรหรอก  แต่เขาเป็นคนที่จริงจังเกินไป  นี่เขาแค่พูดตรง ๆ เท่านั้นนะเนี่ย  กลัวเหรอ"
จิรมลถึงกับอึ้งทีเดียวที่ได้ยินคุณพลพูดแบบนั้น
".....เนี่ยเหรอที่บอกว่าปกติ  น่ากลัวจริง ๆ เลย  ไม่อยากอยู่แล้ว..." จิรมลนึกและค่อย ๆ แทรกตัวออกจากที่นั่นทันที
ผู้หญิงคนนั้นยังคงแสดงต่อ
"พ่อคะ..."
พรวด...ซ่า...คุณอาสาฬห์ถึงกับเอาน้ำมาสาดหน้าผู้หญิงคนนั้นทันที  ยิ่งสร้างความน่ากลัวจิรมลเป็นอย่างมาก  จิรมลถึงกับยืนตัวเกร็งอยู่ที่มุมห้องทีเดียว
"ตาสว่างหรือยัง...!!!  ผมจะซ้อมให้เองหันมานี่...!!!" คุณอาสาฬหืกระชากบทออกจากมือผู้หญิงคนนั้นแล้วก็โยนเอาไว้ที่ข้างเวที  แล้วก็พูดขึ้น  "ในเรื่องพ่อของคุณตามใจคุณมาก  คุณอยากได้อะไรก็จะหามาให้  วันหนึ่งพ่อขับรถออกไปซี้อของตามที่คุณต้องการ  จึงขับรถออกไปด้วยความเร็วสูงจนกระทั่งรถเบรคไม่อยู่ชนคนตาย  พ่อของคุณจึงมีชีวิตที่เปลี่ยนไป  ต้องติดคุกหลายปี  พอออกมาจากคุกผู้คนก็เฉยเมยกับเขา  เขาตกงาน  ครอบครัวก็ขับไล่  เขาจึงต้องทิ้งครอบครัวและหนีจากสังคมไปอยู่ในป่า  มีชีวิตที่โดดเดี่ยวเดียวดาย  เหมือนคนที่อยู่แล้วตายทั้งเป็น..."
เมื่อจิรมลได้ยินก็ทำให้เธอคิดถึงพ่อทันที
"ตอนแรกคุณก็โกรธพ่อและเฉยเมยต่อเขา  ต่อมาเมื่อคุณโตขึ้นมีความคิดมากขึ้น  คุณอยากพบพ่ออีกครั้ง...ในตอนนี้เองพอคุณได้พบพ่อคุณจะเรียกเขาว่าอะไร  ต้องใช้อารมณ์ไหน...!!!"คุณอาสาฬห์พูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
"พ่อคะ...." ผู้หญิงคนนั้พูดขึ้น
จิรมลคิดว่าถ้าเธอได้พบพ่ออีกครั้งตอนที่ท่านยังอยู่เมืองไทย  เธอจะขอโทษพ่อเพราะเธอรู้สึกผิดและโทษตัวเองมาโดยตลอดว่าเพราะเธอพ่อจึงต้องป่วยหนัก  เธออยากเจอและทำดีกับพ่อของเธอให้มากกว่านั้น...  "...คุณพ่อคะ..."  จิรมลนึกและก็น้ำตาคลอเบ้า
"พอก่อน...!!! เมื่อกี้คุณใช้อารมณ์ไหน...ลืมบทหรือไง...!!!  ถ้าคุณคิดว่าคนที่แสดงเป็นพ่อได้แค่ลมปาก  คุณมองเห็นเขาเป็นเพศตรงข้าม  เป็นคู่รักหรือคนที่คุณสนใจมันก็จบ...ผมไม่เข้าใจคุณเลยจริง ๆ ....คุณถูกปลดแล้ว..." คุณอาสาฬทำท่ากุมขมับเดินออกไปที่ขอบเวทีจากนั้นก็หันกลับมาชี้หน้าผู้หญิงคนนั้นพร้อมกับขว้างบททิ้ง  "โถ่โว้ย...!!!!"
ผู้หญิงคนนั้นถึงกับร้องไห้โฮทีเดียว  ทำให้จิรมลทั้งสงสารผู้หยิงคนนั้นและก็อินกับบทที่คุณอาสาฬห์พูดให้ฟัง  เธอถึงกับร้องไห้โฮเสียงดังเพราะสงสารผู้หญิงคนนั้นและคิดถึงพ่อของเธอมาก
"ใครร้องไห้น่ะ...ผมถามว่าใคร...!!! ขึ้นมานี่ซิ" คุณอาสาฬห์พูดขึ้นพร้อมกับเสียงที่เกรี้ยวกราด  ท่าทางขึงขังเหมือนคนบ้าเลือดทำให้จิรมลรู้สึกกลัวมากขึ้น  ผู้คนที่อยู่ในนั้นต่างก็จ้องมองมาที่มุมห้องตรงที่จิรมลนั่งกองอยุ่กับพื้นและร้องไห้อยู่...
"คุณจิรมล...คุณเดย์เรียกแล้วครับ"  คุณพลเดินเข้ามาหาแล้วเอื้อมมือไปฉุดให้จิรมลลุกขึ้น
"ฮือ.....ไม่เอา...ไม่  ไม่  ฉันไม่ขึ้นไป...." จิรมลร้องไห้เสียงดัง
"คุณมลครับขึ้นไปเถอะ...คุณเดย์ไม่ทำอะไรหรอก"
"ไม่จริง.....คุณพลโกหก"
จิรมลท่าทางจะไม่ยอมขึ้นไปบนเวทีง่าย ๆ คุณอาสาฬห์จึงลงมาคว้าข้อมือเดินขึ้นไปบนเวทีทันที  ทุกคนถึงกับเงียบและมองเป็นตาเดียว
"ผมขอแนะนำสมาชิกใหม่  นี่จิรมล  สุวรรณพฤกษ์  เธออายุ 17 ปี  เธอจะมารับบทนางเอกเรื่องคนความเงียบ..."
"ฉะ...ฉันต้องมาเรียนการแสดงไม่ใช่มาเล่นละคร...!!!" จิรมลพูดเสียงดังขึ้น
ผวัะ....คุณอาสาฬห์ถึงกับระงับอารมณ์ไม่อยู่ตบหน้าจิรมลทันที  ทำให้จิรมลงงทำอะไรไม่ถูก  "...นี่มันอะไรกันเนี่ย..." จิรมลนึก
"พล...นายทำไมมาช้าจัง  ฉันรอตั้งนานแล้วนะ...!!!" คุณอาสาฬห์ทำเสียงเกี้ยวกราดใส่คุณพลจนทำให้คุณพลหน้าเสีย
"คือผมมานานแล้วครับ  แต่เห็นคุณยุ่ง ๆ อยู่ผมจึงยืนดูคุณซ้อมบทให้แพรทองอยู่ข้าง ๆ น่ะครับ" คุณพลพูดขึ้น
"...ฉันต้องเป็นนักแสดงเหรอ  ที่ตกลงกันมันไม่ใช่แบบนี้นี่...ทำไมคน ๆ นี้มีสิทธิ์อะไร...ทำไมถึงมาตบหน้าเรา  ตบต่อหน้าคนอื่นด้วย  ฉันรู้สึกเสียหน้าเหลือเกิน  ทำไมนะ..." จิรมลนึกพร้อมกับนั่งกองอยู่กับพื้นเวที  ตัวเธอรู้สึกหน้าชาทำอะไรไม่ถูก...เธอไม่รู้ว่าเธอจะต้องทำอย่างไรดี  ทุกคนที่นี่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเธอเลย
"ฉันจะกลับบ้าน...!!!"  จิรมลวิ่งลงจากเวที  คุณอาสาฬห์จึงเข้ามาฉุดแขนไว้
"ปล่อย...ปล่อยฉันนะ...ปล่อย!!!!"  จิรมลร้องจนสุดเสียง
ผวัะ...จิรมลหันไปตบหน้าคุณอาสาฬห์  
"ฉัน...ฉันไม่ได้ตั้งใจ"  จิรมลตกใจมากที่ตนเองตบหน้าคุณอาสาฬห์  ทุกคนในห้องต่างมองกันเป็นตาเดียวและก็ซุบซิบนินทาซอกแซก ๆ กันยกใหญ่
"...พ่อแม่ยังไม่เคยทำกับเราอย่างนี้เลย...ทำไมนะ...โหดร้ายที่สุด..."  จิรมลนึก
"คุณเดย์ครับ  คุณเดย์...!!!ผมว่าเธอเพิ่งมานะครับ  เราควรจะให้เธอพักผ่อน"
"อย่ามายุ่งนะ...นายพล...!!!"  คุณอาสาฬห์พูดเสียงดังพร้อมกับทำหน้าตาขึงขัง  "เธออยากเรียนการแสดงไปทำไมถ้าเธอคิดว่าจะไม่เป็นนักแสดง  เธอรู้ตัวไหม...ว่าฉันเหนื่อยขนาดไหนกว่าจะเอาตัวเธอมาได้  เธอรู้ตัวเองหรือเปล่าว่าเธอทำให้พ่อเธอต้องป่วย  เธอคิดจะกลับบ้านง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอ...มันจะไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือไง"  คุณอาสาฬห์พูดด้วยน้ำเสียงดุดันทำให้จิรมลกลัวจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่  เธอฟุบตัวลงกับพื้นต่อหน้าผู้คนมากมาย...เธอรู้สึกอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
"คุณเดย์ครับ...เธอสลบไปแล้วครับ" คุณพลพูดขึ้น
"เธอแค่ทำสำออยเท่านั้นแหละ"  คุณอาสาฬห์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"ผมจะพาเธอไปส่งที่ห้องพัก..." คุณพลอุ้มจิรมลเดินออกมาจากในห้องซ้อมละครทันที  พวกนักแสดงหลายคนยืนดูด้วยความสนใจ  และซุบซิบนินทากัน

โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ
ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ
ตอนต่อไปจะเข้มข้นขึ้นอีก  โปรดติดตามตอนต่อไปของเรื่องนะคะ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสุชาดา โมรา