4 สิงหาคม 2547 16:33 น.

ตาบอด(ตอนที่2เสนอเป็นตอนสุดท้ายค่ะ)

สุชาดา โมรา

เขารู้ได้ในทันใดว่าทั้งคู่จะต้องเป็นคู่รักหรือไม่ก็เป็นสามี-ภรรยากันเป็นแน่ เธอเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา สัญชาตญาณคงบอกให้เธอรู้ว่าตรงนี้มีคนยืนอยู่ เธอหันหน้ามาทางเขาแต่ก็ไม่ถูกทิศดีนัก เธอบอกขออภัยที่ต้องรบกวนเขา เธออยากให้เขาช่วยดูรถเมล์สายที่เธอกำลังรอให้ด้วย เขาตอบไปว่าได้ถ้ามาแล้วเดี๋ยวจะบอกให้รู้ เธอกล่าวขอบคุณ เขาบอกไม่เป็นไร เธอจึงหันกลับไปพูดคุยกับคนที่มาด้วยกัน เขาจึงได้รู้ว่าทั้งคู่ตาบอดสนิท... 
แวบแรกที่เธอหันมาพูดกับเขา เขารู้สึกตกใจนิดหน่อยเมื่อได้เห็นรอยแผลเป็นขนาดใหญ่บนใบหน้าข องเธอ เหมือนแผลเป็นที่เกิดจากของมีคม มันพาดผ่านจากใต้ตาด้านซ้ายยาวลงมาผ่านริมฝีปากบนและล่างจนถึงป ลายคาง รอยฝีเข็มที่เกิดจากการเย็บแผลไม่ประณีตอย่างที่ควรจะเป็น ริมฝีปากของเธอจึงเว้าแหว่งบิดเบี้ยวผิดไปจากรูปเดิมอย่างเห็นไ ด้ชัด ประกอบกับสีเนื้อบริเวณที่เป็นแผลเป็น ออกจะเข้มกว่าผิวหน้าสีเหลืองซีดของเธอ ดูเผินๆ จึงคล้ายกับมีตะขาบวางพาดอยู่บนใบหน้า ดูน่ากลัว เขาเห็นหลายคนที่อยู่ตรงป้ายรถเมล์นั้นเบือนหน้าไปทางอื่น...
น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกสนใจเรื่องราวของคนทั้งคู่มากขึ้นไปอีก ตลอดเวลาที่ทั้งสองยืนอยู่ที่ป้าย เขาจ้องมองทั้งคู่เหมือนดั่งหลงใหลในผลงานของประติมากรเอกฝีมือ ก้องโลก ที่ตั้งอยู่กลางห้องโถงในพิพิธภัณฑ์ เขาเก็บทุกๆ รายละเอียดที่ตามองเห็น ทั้งเสื้อผ้าที่ทั้งคู่สวมใส่ รองเท้า ทรงผม กิริยาอาการที่ทั้งคู่แสดงออกยามสนทนากัน น้ำเสียงที่พูดคุย เสียงหัวเราะ เขาละลาบละล้วงกระทั่งแอบตั้งใจฟังบทสนทนาที่ก็ไม่มีอะไรมากไปก ว่าชีวิตประจำวันทั่วๆ ไป การทำมาหากิน ล็อตเตอรี่ขายไม่ค่อยดีเพราะคนนิยมเล่นหวยใต้ดินมากกว่า...อะไร ทำนองนั้น 
เขาเริ่มหันมาสังเกตฝ่ายชายบ้าง ถ้าไม่นับตาที่บอดคู่นั้นแล้ว คิ้วเข้มหนา จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเรียวบางได้รูปและวงหน้ารูปไข่ เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้วจัดว่าชายผู้นี้เป็นคนหน้าตาดีทีเดียว ร่างสูงโปร่ง ผิวก็ขาวนวลเหมือนคนจากทางเหนือ ตัดกันอย่างเห็นได้ชัดกับผิวดำคล้ำดูเกรียมแดดของฝ่ายหญิง จะว่าไปแล้วทั้งคู่ดูไม่เหมาะสมกันเอาเสียเลยในความคิดของเขา แต่ให้ตายเถอะ...พวกเขาช่างดูมีความสุขเหลือเกิน ตลอดเวลาที่คอยอยู่นั้นทั้งคู่ยืนกุมมือกันไม่ยอมห่างเหมือนกลั วว่าอีกฝ่ายจะหนีหายไปไหน เขาแทบจะรู้สึกได้เลยถึงความรักจากลมหายใจที่สูดเข้าไป เหมือนดั่งมีอณูความรักล่องลอยปะปนอยู่ในอากาศบริเวณนั้น
แวบหนึ่ง...เขาคิดถึงคนรักของเขา นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่เคยเดินจูงมือเธอ พักหลังๆ นี้เราเริ่มห่างเหินกันมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะเธอหรอก ก็เขาเองนั่นแหละที่พยายามตีตัวออกห่าง ทั้งที่ก็ไม่ได้มีเรื่องทะเลาะอะไรกันหรือเป็นเพราะคบกันมานานเกินไป เขาจึงเบื่อเธออย่างไม่มีเหตุผล เมื่อไหร่ที่มีโอกาสเขามักจะพยายามเข้าไปทำความรู้จักกับผู้หญิ งคนใหม่ๆ อยู่เสมอ อย่างเช่นคู่นัดของเขาในวันนี้ เธอมีอะไรบกพร่องหรือก็เปล่า เธอออกจะเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างด้วยซ้ำและที่ส ำคัญเธอรักเขามาก และเขาก็รักเธอเช่นกัน แต่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเขาจึงไม่เคยพอใจในสิ่งที่เขามีอยู่ เขากำลังจะไปเที่ยวกับผู้หญิงอื่น เขาจงใจจะนอกใจเธอ เขาโกหกเธอ...ทำไม...ทำไม...
เสียงแตรรถฉุดเขาออกจากภวังค์ อ้าว นั่นรถเมล์สายที่ชายหญิงตาบอดคู่นั้นกำลังรออยู่นี่ คันที่ขับตามหลังมาติดๆ นั่นก็สายที่เขารออยู่ เขาเดินเข้าไปสะกิดบอกเธอ เธอกล่าวขอบคุณ เขารอจนรถจอดเทียบท่าดีแล้วจึงอาสาพาทั้งคู่ไปส่งที่ประตูรถ เธอหันมาขอบคุณอีกครั้งก่อนจะก้าวขึ้นบันไดไป เขาเดินตรงไปยังรถเมล์คันที่จอดต่ออยู่ข้างหลัง เขาก้าวขึ้นบันได แต่แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจเดินกลับลงมา ที่ป้ายรถคนเริ่มบางตา เขาเลือกนั่งตรงเก้าอี้ตัวริมซ้ายสุด เขาคิด เขาต้องการหาคำตอบให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ภาพชายหญิงตาบอดคู่นั้นยังคงวนเวียนอยู่ในมโนนึกตัดสลับกันกับภ าพของคนรักเขาเสี้ยวหนึ่งในความคิด เขารู้สึกว่าเขาอยาก
จะตาบอดบ้าง
ดวงตาซึ่งทำให้เราสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่สวยงามในโลก บางครั้งมันก็กลับทำให้เรามืดบอดจากบางสิ่งบางอย่างได้โดยที่เร าไม่รู้สึกตัว บางครั้งดวงตากลับกลายเป็นเหมือนสิ่งที่บดบังไม่ให้เรามองเห็นส ิ่งที่สวยงามอย่างแท้จริง เช่นความดีงามที่ต้องใช้ใจมองเท่านั้นจึงเห็นอย่างที่ชายตาบอดคนนั้นมองเห็นในใจของหญิงตาบอด อย่างที่เขามองไม่เห็นในตัวคนรักของเขา 
นี่ถ้าฉันตาบอด ฉันก็คงจะไม่ตัดสินคนแค่จากเปลือกนอกจากสิ่งที่ฉันมองเห็นเท่าน ั้น แต่จะว่าไปมันก็ไม่ใช่ความผิดของดวงตาเสียทีเดียวหรอก มันเป็นเรื่องของความเขลา เรื่องของความเป็นคนที่ยังคงมีกิเลส ตัณหา ราคะ ซึ่งยังหลงบูชาในเปลือกอยู่มาก และดวงตาเป็นเพียงเครื่องมือของมันที่ใช้เสพในเปลือกในวัตถุ โดยนัยนี้การมีดวงตากลับเหมือนทำให้เรามืดบอด มองไม่เห็นในสิ่งซึ่งงดงามอย่างแท้จริงได้ ฉันอยากจะตาบอดก็เพื่อที่จะขจัดความมืดบอดแห่งดวงตา หากแต่เป็นไปเพื่อเปิดดวงตาที่แท้จริง ดวงตาแห่งใจ-ดวงตาแห่งปัญญา สิ่งนี้เท่านั้นที่จะช่วยให้เราได้มองเห็นความงามที่แท้จริงซึ่ งปราศจากการปรุงแต่งแห่งรูปลักษณ์ภายนอก วัตถุ และสิ่งอื่นๆ ที่ไม่จีรังยั่งยืน 
ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันควรจะทำอะไร ฉันจะไปหาเธอ ไปหาคนรักของฉัน ฉันจะพาเธอไปดูหนัง เราจะเดินจูงมือกัน
นั่นล่ะครับเรื่องราวของไอ้ต้น คุณว่ามันฟังดูเพี้ยนๆ ไหมอืมม์ ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละ เขาออกจะดูเป็นคนประหลาดๆ อยู่สักหน่อยโอ้โหว้าว ! คุณเห็นไหมนั่นนั่นไง ทางซ้ายมือผู้หญิงเสื้อสีชมพูที่กำลังเดินมานั่นไง น่ารักจังเลย คุณว่าผมเข้าไปคุยกับเธอดีไหม.....วะ ! โทรศัพท์ดังอีกแล้ว ใครนะดันโทรเข้ามาตอนนี้
ฮัลโหล
ไอ้ต้นมึงอยู่ไหน ทำไมยังไม่มาอีก
....
เก็บไว้คิดต่อนะคะ...(ให้คิดเอง)				
4 สิงหาคม 2547 16:31 น.

ตาบอด(ตอนที่1)

สุชาดา โมรา

ผู้คนมากมายเดินสวนกันผ่านหน้าผมไปหลายร้อยคนแล้ว ทุกคนดูเร่งรีบเหมือนมดงานก้มหน้าก้มตาแบกอาหารกลับรวงรังก่อนท ี่ฝนจะตก ตรงป้ายที่ผมนั่งมีผู้ร่วมชะตากรรมอยู่ประมาณยี่สิบกว่าคนเห็นจ ะได้ บางคนนั่ง บางคนยืน ทุกครั้งที่มีรถเมล์วิ่งเข้ามาจอดเทียบที่ป้าย ทุกคนจะชะเง้อคอสอดส่ายสายตามองดูหมายเลขรถ ว่าจะใช่สายที่นำพวกเขาไปสู่จุดหมายปลายทางหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะเดินไปยืนรออยู่บริเวณริมฟุตบาท การเดาใจคนขับว่าจะหยุดรถรอรับ-ส่งผู้โดยสารที่ตรงไหนถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนกรุงเทพฯ เพราะนั่นหมายถึงลำดับที่คุณจะได้ก้าวขึ้นรถก่อนหรือหลัง ก่อนหมายถึงคุณมีโอกาสได้เลือกตำแหน่งที่นั่งที่ดีที่สุดก่อน หลังอาจหมายถึงคุณจะต้องยืนโหนรถเมล์ฝ่าควันพิษและการจราจรอันแ สนสาหัสไปจนถึงปลายทาง นั่นอาจใช้เวลาร่วมชั่วโมงหรือนานกว่านั้น เชื่อผมเถอะมันไม่ใช่เรื่องสนุกหรอก บางคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า คุณสามารถรู้ได้ว่าใครเป็นคนกรุงเทพฯ หรืออยู่กรุงเทพฯ มานานด้วยการสังเกตพฤติกรรมการใช้รถเมล์...คุณล่ะว่าไง... ชีวิตเมืองเต็มไปด้วยการแก่งแย่ง แข่งขัน เอารัดเอาเปรียบและความเร่งรีบ บางครั้งเราก็รีบกันเสียจนหลงลืมบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญในชีวิ ต มองข้ามสิ่งดีๆ ไปอย่างน่าเสียดาย...
นั่นไง มาอีกคันหนึ่งแล้ว...รถสายที่ผมรออยู่ เป็นคันที่แปดแล้วในรอบสองชั่วโมง ผมตัดสินใจไม่ไปทั้งที่จริงนี่ก็เลยเวลานัดมาชั่วโมงกว่าแล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอกเพื่อนๆ คงเข้าใจ ผมยังอยากนั่งมอง นั่งคิด นั่งคุยกับตัวเองอีกสักพัก ไม่บ่อยนักหรอกที่ผมได้ทำแบบนี้ คุณว่ามันแปลกไหมที่เราต่างก็รู้กันดีอยู่ว่าทุกคนต้องการบางเว ลาอยู่กับตัวเอง พูดคุยกับตัวเอง ทบทวนถึงสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา แต่เรากลับไม่ค่อยจะทำกันนัก ผมนึกถึงเนื้อร้องท่อนหนึ่งในเพลง November Rain ที่วง Guns N Roses ร้องเอาไว้เมื่อหลายปีที่แล้ว Everybody needs some time on their own - Dont you know you need some timeall alone เป็นไปได้ไหมว่า เพราะเราต่างละเลยที่จะสำรวจตรวจสอบสิ่งที่ตัวเองคิด พูด และทำ เราต่างเคยชินกับการมองไปรอบตัวแล้วตัดสินประเมินค่า พิพากษาสิ่งต่างๆ แต่ลืมที่จะหันมามองดูตัวเอง พิพากษาตัวเองและกล้าพอที่จะเป็นผู้รับผิด...โลกถึงได้เป็นอย่า งเช่นทุกวันนี้ 
คุณอย่าเพิ่งหาว่าผมบ้านะ ปกติผมก็ไม่ได้เป็นแบบนี้หรอก แต่บังเอิญว่ามันมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่ป้ายรถเมล์เมื่ อเช้านี้บางสิ่งบางอย่างมันกระทบจิตใจ ผมยังจำภาพสุดท้ายนั้นได้ติดตาและมันคงยังอยู่ติดใจผมไปอีกนาน คุณอยากรู้ไหมว่าอะไรที่ทำให้ผมมานั่งเหม่อลอยอยู่ที่นี่เกือบส องชั่วโมงแล้ว มา...ผมจะเล่าเรื่องของไอ้ต้นให้คุณฟัง เขาคงไม่ว่าอะไรหรอก เราทั้งสองสนิทกันมาก
เมื่อเช้านี้เขาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นจิตใจร่าเริงแจ่ มใส ออกจะเบิกบานเกินเหตุเล็กน้อยจนคนที่บ้านทักว่าทำไมอารมณ์ดีจัง เขาได้แต่ยิ้มๆ แทนคำตอบ ทั้งที่จริงเมื่อคืนเขานอนดึกมากเพราะมัวแต่คุยโทรศัพท์จนเกือบ ตีสาม เขาบอกผมว่าครั้งสุดท้ายที่เขาเคยคุยโทรศัพท์นานๆ อย่างนี้คือสมัยที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยม แน่นอน เขาคุยกับผู้หญิง แต่ไม่ใช่คนที่เป็นแฟนเขาอยู่หรอกนะ เป็นผู้หญิงซึ่งเขาเพิ่งรู้จักในผับเมื่อเสาร์ที่แล้ว ตอนเราไปเที่ยวด้วยกัน อาจเป็นเพราะบทสนทนาทางโทรศัพท์ก็ได้ที่ทำให้เขาอารมณ์ดี วันนี้เขานัดเจอเธอที่สยามสแควร์พร้อมเพื่อนๆ อีก 2-3 คน 
เขาอาบน้ำและแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน เลือกเสื้อและกางเกงตัวที่ชอบที่สุดออกมาใส่ พ่นน้ำหอมกลิ่นโปรดก่อนออกจากห้อง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตอนที่เขาก้มลงใส่รองเท้าก่อนออกจากบ้าน.. .แฟนของเขานั่นเอง ทั้งคู่คบกันมาตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ม.3แล้ว เธอชวนเขาไปดูหนังที่สยามสแควร์ เขาบอกเธอไปว่าวันนี้จะต้องไปทำธุระกับเพื่อนเรื่องงาน การต้องโกหกทำให้เขารู้สึกผิดเล็กน้อยแต่ก็ลืมมันไปได้อย่างรวด เร็ว เขาเดินทอดน่องสูบบุหรี่อย่างสบายอารมณ์ ไม่มีอะไรต้องรีบร้อนยังมีเวลาเหลือเฟือ อนุสาวรีย์ฯ-สยามสแควร์ใกล้แค่นี้เอง เขามั่นใจว่าจะต้องไปถึงที่นัดหมาย-ร้านมิสเตอร์โดนัทก่อนเธออย่างแน่นอน มีเวลาเข้าห้องน้ำไปใส่เยลหวีผม เสริมหล่อได้อีกตั้งสองสามรอบเพื่อให้ตัวเองดูดีที่สุด เขาอยากให้เธอประทับใจตั้งแต่นัดครั้งแรก เขาคิดอย่างนั้น
ไม่นานเขาก็เดินมาถึงป้ายรถเมล์ มีคนรอรถอยู่ก่อนหน้าเขา 7-8 คน ไม่ถือว่าเยอะแต่มากพอที่จะทำให้ที่นั่งเต็มได้ เขาเลือกยืนตรงใกล้ๆ เสาด้านซ้ายของป้ายรถเมล์ ลองชะเง้อดูรถสายที่รอแต่ก็ยังไม่มีวี่แวว ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าได้ยินเสียงดังก๊อกแก๊กๆ มาจากทางซ้ายมือ เป็นจังหวะสม่ำเสมอเหมือนเสียงโลหะกระทบกับของแข็งบางอย่าง ดังขึ้นๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาจึงหันไปดู... ภาพที่ปรากฏต่อสายตาในระยะห่างไม่เกินสิบเมตร คือชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งกำลังเดินเข้ามาที่ป้ายรถ ที่หัวไหล่ด้านซ้ายของทั้งคู่มีผ้าสีขาวๆ คล้องอยู่ มันผูกต่อกับกล่องไม้บางๆ ที่พวกเขาหนีบไว้ใต้วงแขน ข้างในต้องเป็นล็อตเตอรี่แน่ๆ...เขาคิดในใจ ฝ่ายหญิงยกแขนซ้ายขึ้นมาด้านหน้าเล็กน้อยเพื่อให้ฝ่ายชายยึดเกา ะแขนของตน ในมือขวาของผู้หญิงมีด้ามโลหะขนาดเล็ก ยาวไม่เกินสามฟุต เธอใช้มันเคาะพื้นคลำทาง นี่เองที่ส่งเสียงดังก๊อกแก๊ก...เขาคิด 
ทั้งคู่เดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่ก็เป็นไปอย่างเชื่องช้าดูทุลักทุเลพอควร ฝ่ายหญิงคอยร้องเตือนบอกฝ่ายชายให้ระมัดระวังจุดที่อาจจะเดินสะ ดุดได้ เขาพอจะได้ยิน มันช่างเป็นภาพที่งดงามและน่ารักเหลือเกินในความรู้สึกของเขามนุษย์สองคนถ้อยทีถ้อยอาศัยช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน แต่ละก้าวที่ย่างผ่านเต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใยและเอื้ออาทรระหว่างกัน...ชั่ววินาทีนั้นเขารู้สึกเห มือนกับว่าร่างทั้งสองได้หลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นคนๆ เดียวกัน คล้ายมีรังสีอะไรบางอย่างส่องประกายเรืองรองออกจากร่างนั้นวูบว าบวิบไหว				
4 สิงหาคม 2547 16:29 น.

ตอบแทน(ตอนที่3เสนอเป็นตอนจบแล้วค่ะ)

สุชาดา โมรา

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นช่างรวดเร็ว สับสน กดดันและบีบคั้น คลื่นความคิดนับร้อยพันจากสมองของนายถาโถมเข้าสู่กระแสการรับรู ้ของผม ราวน้ำที่พุ่งออกจากเขื่อนแตก มันช่างเป็นความคิดที่ว้าวุ่น สับสน ประหลาดพิสดาร ไม่ปะติดปะต่อ วิปริต วกวนเหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง ไร้ระเบียบและมากมายมหาศาลเสียจนผมจดจำไม่หวาดไม่ไหว แล้วก็ไม่รู้จะทำยังไงถึงจะบรรยายออกมาได้หมด เท่าที่ผมพอจะจำได้จึงเป็นไปดังนี้
..- เฮมมิ่งเวย์ เป็นโรคประสาท ฆ่าตัวตาย - เฮสเส วิกลจริต เป็นซิฟิลิส ? - นิทซ์เช่ เป็นโรคจิต ? ใครๆ ก็หาว่าบ้า - ตอลสตอย สถานีรถไฟ ตาย สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าแสวงหาคือสัจจะ - ตายดี ๆ กันทั้งนั้น ไม่มีนักคิดนักเขียนคนไหนตายปกติธรรมดาเหมือนชาวบ้านเขาบ้างหรื อไงวะ - แก่นเรื่องอะไรดี คิดไม่ออก ซ้ำซากจำเจ - พล็อต มุมมองผ่านสายตาสัตว์ - Sex เรื่องตลกของพระเจ้า - นิวเคลียร์ ผู้ปลดปล่อย - อยากเกิดเป็นกะหรี่ - ไม่มีใครกล้าพิมพ์หรอก - ตัวละคร อะไรดีวะ -**จริงๆ แล้วมนุษย์เราสามารถเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบใดก็ได้ตามที่เราต้อง การ แต่ที่เรายังไม่กล้าเดินไปตามความคิดนั้นเป็นเพราะว่าเรากลัว กลัวสังคมรอบข้างจะไม่ยอมรับ กลัวจะไม่ประสบความสำเร็จทางการงาน กลัวลำบาก กลัวจน และกลัวล้มเหลว - ความกล้าหาญที่จะเริ่มต้นใช้ชีวิตไปในแนวทางที่ตัวเองต้องการ - อืมม์ ฟังดูดีจัง ทำตามแล้วน่ะ แต่ใกล้จะแห้งตายแล้ว - มาทำบ้าอะไรอยู่นี่ ! - แกยังอดทนไม่พอ แค่ไม่กี่เดือนเอง - ใครที่ไหนมันจะกล้าพิมพ์ - ตั้งคำถามที่สงสัย หาคำตอบที่เป็นไปได้ กำหนด theme ตัวละคร Plot - คนก็คือปัญหาในตัวมันเองอยู่แล้ว - วินทร์ เลียววาริณ ผมไม่รู้ผมจึงเขียน - ตกผลึกทางความคิด - คิดให้จบเสียก่อนแล้วจึงเขียน - ซีไรท์ - ชาติ กอบจิตติ - ไปทำมาหากินอย่างอื่นดีกว่ามั้ง แน่ใจแล้วหรือกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ - แล้วจะต้องมาทบทวนจุดยืนทางความคิดกันทุกวันหรือยังไงนะ - อีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็นยังไง จะอยู่ตรงไหน เร่ร่อนไปเรื่อยๆ งั้นหรือ - ออกไปจากหัวกูเดี๋ยวนี้นะ ! - เจตจำนงเสรี - คุณค่าในงานเขียน - ต่อให้เขียนจนได้โนเบล มันก็ว่างเปล่า ไร้สาระทั้งนั้นล่ะวะ โลกมันไม่มีทางดีขึ้นไปกว่านี้หรอก - มึงไม่ต้องยุ่งเลย - เขียนเพื่อแสวงหาความหมายของชีวิต - ก็ไหนว่าชีวิตคือสิ่งไร้สาระยังไงล่ะ แล้วจะเขียนไปทำไมกัน นักเขียนไม่ใช่พระเจ้านะโว้ย - ออกไป ! - กินเหล้าดีกว่าน่า... - ออกไป อย่ามายุ่งกับกู ! - .. - สมาธิ สมาธิ - พุธ...โธ - พุธ...โธ - theme เอาไว้ก่อน คิด Plot ก่อนดีกว่า - มุมมองผ่านสายตาสัตว์ - มุมมองผ่านสายตาสัตว์ เอาตัวอะไรดี...หมู ? - ม้า ไม้หลา ตอลสตอย - หมา ? ไก่ ? หนอน ? - เมาดีกว่าน่า... - ออกไป ! - ตัวละคร - ตัวละคร - ตัวละคร..
และนั่นล่ะครับคือสัญญาณความคิดทั้งหมดของนายเท่าที่ผมพอจะจำได ้ อันที่จริงยังมีอีกมากเหลือเกินแต่สมองของผมมันรับไม่ไหว แค่นี้ก็เล่นเอาผมเกือบจะจำทางกลับไม่ได้อยู่แล้ว หลังจากนั้นผมจึงรีบหันหลังแบกหัวสมองอันหนักอึ้ง ไต่กำแพงกลับหมู่บ้านด้วยความทุลักทุเล พอกลับไปถึง ผมก็ตวัดแมลงหวี่เข้าปากเสียสิบตัวจึงค่อยรู้สึกดีขึ้นบ้าง ผมพยายามนั่งลำดับสัญญาณความคิดของนายให้เป็นหมวดหมู่เพื่อง่าย ต่อความเข้าใจ ในที่สุดก็พบว่า ปัญหาของนายในตอนนี้แบ่งออกเป็นสองเรื่องใหญ่ๆ ด้วยกัน เรื่องแรกเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสับสนในเรื่องของจุดยืนทางความ คิด นายกำลังไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะเขียนหนังสือต่อไปดีหรือว่าจะหั นไปทำมาหากิน เก็บเงินเก็บทองสร้างเนื้อสร้างตัวเหมือนอย่างคนอื่นเขา ซึ่งในเรื่องนี้ผมว่ามันออกจะเกินความสามารถของผมไปหน่อย คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนายคิดตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตเ อาเอง เท่าที่ผมอาจจะพอช่วยได้บ้าง เห็นจะเป็นเรื่องที่สองซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวกับงานเขียน นายกำลังจนมุมกับพล็อตเรื่องที่จะใช้มุมมองของตัวละครผ่านสายตา สัตว์ นายยังคิดไม่ออกว่าจะเลือกใช้สัตว์อะไรดี... 
ถึงตอนนี้ผมพอจะรู้บ้างแล้วว่าจะหาทางช่วยนายได้ยังไง รอให้ถึงพรุ่งนี้ก่อนเถอะ ผมจะไต่กำแพงลงไปหานาย แล้วเดินวนเวียนผ่านหน้านายไปมาอยู่อย่างนั้น รอจนกว่านายจะหันมามอง พอนายหันมามองแล้ว ผมก็จะเดินวนเวียนไปมาต่อไปอีก เผื่อนายจะคิดได้บ้างว่าน่าจะใช้ จิ้งจก เป็นตัวละคร คิดได้ดังนั้นผมถึงกับอมยิ้มให้กับความเฉลียวฉลาดของตัวเอง ก่อนจะผล็อยหลับไปอย่างอารมณ์ดีด้วยความอ่อนเพลีย...ในฝัน...ผมเห็นนายนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ กำลังลงมือแต่งเรื่องสั้นที่ใช้จิ้งจกเป็นตัวละคร นายค่อยๆ บรรจงจั่วหัวชื่อเรื่องลงไป อ่านได้ใจความว่า...ตอบแทน.

หมายเหตุ : วินาที/นาที/วัน ในที่นี้ เป็นหน่วยเวลาของจิ้งจก
* มาลา คำจันทร์
** ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา นิตยสาร Ope				
4 สิงหาคม 2547 16:28 น.

ตอบแทน(ตอนที่2)

สุชาดา โมรา

ใช่สิ...ผลลัพธ์ย่อมไม่สำคัญเท่ากับความพยายามหรอก ผมจะสามารถช่วย "นาย" ได้สำเร็จหรือไม่นั้น คงไม่สำคัญเท่ากับว่าผมได้พยายามช่วยเหลือนายอย่างสุดความสามาร ถแล้วหรือยังหรอก...จริงด้วย...ดังนั้นผมจึงไม่ควรกังวลมากเกิน ไป ผมจะไม่กังวลมากเกินไป ใช่...ผมจะไม่กังวล...ไม่กังวล
ในที่สุดความพยายามของพ่อก็สัมฤทธิ์ผล สามวันผ่านไปพวกเราก็เดินทางมาถึงดินแดนต้องห้าม ถึงแม้ระยะทางจากเขตแดนของเราจนถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จ ะไม่ได้ใกล้แค่เพียงเอื้อม แต่มันก็ไม่ได้อยู่ไกลโพ้นจนเกินกว่าที่เราจะเดินถึงเหมือนอย่า งที่ว่าไว้ในตำนาน และความจริงอีกหลายอย่างที่เราค้นพบ ก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับหลายสิ่งที่เราเคยเชื่อถือต่อๆ กันมา สองข้างทางที่เราเดินผ่านนั้นหาได้มีขวากหนามและภยันตรายซุกซ่อ นไว้แต่อย่างใดไม่ อีกทั้งปีศาจร่างยักษ์ที่ร่ำลือก็ไม่ได้โหดร้ายน่ากลัวอย่างที่ เข้าใจกัน แท้จริงแล้วเขาก็คือ "นาย" นั่นเอง มีเพียงสิ่งเดียวที่ตำนานกล่าวไว้แล้วเป็นจริงตามนั้น ก็คือความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารการกินของแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์แ ห่งนั้น 
ผมยังจำได้ดีถึงเหตุการณ์ตอนที่เราสามตัวพ่อแม่ลูกเดินผ่านหน้า นายเป็นครั้งแรก ในตอนนั้นสำหรับผมแล้ว เขาเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเ คยเห็นมา วินาทีนั้นความกลัวที่ห่างหายไปจากจิตใจผมตั้งแต่ตอนต้นที่เริ่ มเดินทาง ได้หวนกลับคืนมาจับอยู่ที่ขั้วหัวใจของผมอีกครั้ง กล้ามเนื้อและประสาททุกส่วนเขม็งเกร็ง ผมกลัวแม้กระทั่งว่าเขาจะได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเราด้วยซ้ำไป วินาทีนั้นไม่มีใครบอกได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากเราต้องเผชิญกับสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่อยู่ตรงหน้า และโดยไม่ได้นัดหมายแต่เราต่างรู้ดีว่าวินาทีนั้นไม่ควรที่จะพู ดคุยกัน ต่างคนจึงต่างปิดปากเงียบก้มหน้าก้มตาเดินให้เร็วแต่แผ่วเบาที่ สุด 
ในตอนนั้นภาพที่ผมเห็นตรงหน้า คือชายหนุ่มผมยาวรุงรังหนวดเครารกครึ้มกำลังก้มหน้าก้มตาทำอะไร บางอย่างอย่างขะมักเขม้น เบื้องหน้าของเขามีโคมไฟดวงเล็กเปิดสว่างอยู่ ในมือถือดินสอแท่งเล็กกำลังขีดๆ เขียนๆ บางอย่างลงบนหน้ากระดาษที่ว่างเปล่า พ่ออธิบายให้ฟังในภายหลังว่าตอนนั้นนายกำลังเขียนเรื่องสั้นอยู ่ เราสามตัวอาศัยช่วงจังหวะที่นายกำลังเผลอจ้ำจนสุดฝีเท้าไต่ไปบน กำแพงด้านที่อยู่ตรงหน้านาย แต่ไม่ว่าจะเร็วแค่ไหน มันก็ยังไม่ไวพอที่จะทันหลบพ้นสายตาของนายไปได้... 
ทันใดนั้นเองนายก็เงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหัน มองจ้องตรงมายังพวกเราทั้งสามตัว ถึงแม้ดวงตาคู่นั้นของนายจะมีแววที่อ่อนโยนและปนเศร้าเล็กน้อย แต่มันก็มีพลังมากพอที่จะตรึงขาทั้งหกคู่ของพวกเราให้หยุดนิ่งอ ยู่กับที่ได้ แสงจากโคมไฟที่สาดทับลงบนกำแพงยิ่งช่วยขับเงาร่างของเราทั้งสาม ตัวให้เด่นมากขึ้นไปอีก ผมไม่รู้ว่าวินาทีนั้นพ่อกับแม่นึกอะไรอยู่ในใจ แต่สำหรับผมแล้วรู้แต่ว่าตื่นเต้นจนลืมหายใจ รู้สึกเหมือนหัวใจมันตกไปอยู่ที่ปลายหาง นึกภาวนาอยู่อย่างเดียวว่าขอให้การตายครั้งนี้เจ็บปวดน้อยที่สุ ด 
แต่แล้วสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น นายยิ้ม ! ถึงแม้มันจะเป็นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ แต่ผมก็ยังจดจำรอยยิ้มนั้นได้ดี มันไม่ใช่แค่เพียงรอยยิ้มบนริมฝีปาก แต่มันเป็นยิ้มที่ทอประกายออกมาจากดวงตาคู่นั้น ชั่วสั้นๆ - เพียงเสี้ยววินาที... แล้วนายก็ก้มหน้าขีดๆ เขียนๆ อะไรต่อไป และอีกครั้งโดยที่มิได้นัดหมาย เราสามตัวจ้ำอ้าวอย่างไม่คิดชีวิตไปหลบอยู่หลังผ้าม่าน อีกนานหลายอึดใจกว่าที่ชีพจรของเราทั้งสามตัวจะกลับมาเต้นเป็นป กติเหมือนดังเดิมอีกครั้ง นายยังคงนั่งเขียนหนังสือต่อไป พ่อยังคงนิ่งเงียบ แม่ยังคงนิ่งเงียบ เราสามตัวมองหน้าแต่ไม่พูดอะไรกัน แต่ผมรู้ว่าพ่อกลัว แต่ผมรู้ว่าแม่กลัว และผมก็รู้ดีว่าตัวเองก็กลัวเช่นกัน ไม่นานหลังจากนั้นผมก็ผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า...
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน มารู้สึกตัวอีกทีหนึ่งตอนที่พ่อปลุกให้ตื่น แสงสว่างก็ลดน้อยลงมากแล้ว เราสามตัวค่อยๆ เดินออกมาจากหลังผ้าม่าน ไต่ลงไปตามกรอบหน้าต่าง ผมลองหันไปมองดูข้างหลัง นายไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือแล้ว เรายังคงมุ่งหน้าเดินต่อไปตามทางเรื่อยๆ ไม่นานนักเราก็เริ่มได้กลิ่นหอมแปลกๆ มากมายหลายกลิ่นลอยมาปะทะจมูก สัญชาตญาณบอกให้ผมรู้ว่านั่นคือกลิ่นของอาหารแน่นอน แสดงว่าเรามาถูกทางแล้ว ! แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์คงอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้นัก เราจึงเริ่มเดินเร็วขึ้นและเร็วขึ้น ความหิวที่กดเก็บเอาไว้มานานหลายวันทำให้เราเคลื่อนไหวได้รวดเร ็วเหมือนติดปีก อีกไม่กี่อึดใจต่อมา เราก็พาตัวเองมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าดินแดนต้องห้ามอันศักดิ์สิทธ ิ์ ภาพที่ผมเห็นแตกต่างจากที่จินตนาการเอาไว้ในหัวสมองมากมายนัก 
มันเป็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่โตมโหฬารสูงเกือบเท่าหัวนาย สัณฐานรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีประตูทางเข้าออกอยู่สองทาง อันหนึ่งอยู่ชั้นบน อีกอันอยู่ชั้นล่าง เมื่อไต่ไปดูใกล้ๆ จะเห็นว่าวัสดุที่ใช้ปิดทับเป็นฝาของบานประตูแต่ละด้านนั้น มีลักษณะเหมือนตาข่ายตาถี่ๆ ร่องรูของมันแต่ละอันนั้นเล็กเสียจนแม้แต่แมลงวี่ก็ยังบินผ่านเ ข้าไปไม่ได้ โชคยังดีที่ประตูด้านบนนั้นแง้มเปิดอยู่นิดหน่อย มีช่อง
ว่างขนาดใหญ่พอให้พวกเราเดินผ่านเข้าไปได้ พ่อเดินนำเข้าไปก่อน ตามมาด้วยผมและแม่ เมื่อเข้าไปถึงข้างใน เราสามตัวถึงกับตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เพราะที่อยู่ตรงหน้าคือบ่ออาหารขนาดใหญ่ถึงสามบ่อ มันมากมายเสียจนเราไม่รู้ว่าจะเลือกกินอันไหนก่อนดี เราจึงตกลงกันว่าจะแยกย้ายกันไปกินคนละบ่อ ผมเพิ่งมารู้ในภายหลังว่า บ่อ หรือจะเรียกให้ถูกว่า จาน ที่ตัวเองเลือกกินในวันนั้น คือข้าวคลุกปลากระป๋องที่นายกินเหลือทิ้งเอาไว้จากมื้อเที่ยงนั ่นเอง...
สามวันต่อมาครอบครัวของเราก็เดินทางกลับถึงหมู่บ้าน ท่ามกลางการต้อนรับอย่างเอิกเกริก เสียงโห่ร้องสรรเสริญความกล้าหาญของพ่อดังระงมไปทั่วทั้งหมู่บ้ าน ชั่วระยะเวลาเพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ จากจิ้งจกที่เคยถูกมองว่าบ้า พ่อกลายเป็นวีรบุรุษผู้หาญกล้าไขปริศนาทั้งมวลแห่งดินแดนศักดิ์ สิทธิ์ วีรกรรมของพ่อถูกเล่าขานต่อๆ กันไปจากปากต่อปาก ฉากการเผชิญหน้ากับปีศาจร่างยักษ์กลายเป็นตำนานที่ผู้เฒ่าผู้แก ่ใช้เล่าให้ลูกหลานฟังก่อนนอน... 
พ่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะฑูตเดินทางไปเจรจากับหัว หน้าเผ่าไอ้เบิ้ม การเจรจาผ่านพ้นไปด้วยดี ไอ้เบิ้มหน้าโง่ตัวนั้นล่าถอยออกไปจากเขตแดนของพวกเราในที่สุด ความอุดมสมบูรณ์กลับคืนมาสู่เผ่าของเราอีกครั้ง ความนิยมในตัวพ่อมาถึงขีดสุดเมื่อพ่อได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง หัวหน้าเผ่าในเวลาต่อมา แต่พ่อก็หาได้สนใจในลาภยศสรรเสริญใดๆ ไม่ วันๆ พ่อขลุกอยู่แต่ในห้องสมุด ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ความจริงหลายอย่างที่พ่อค้นพบจากการเดินทาง สั่นคลอนระบบความเชื่อเดิมๆ ของเผ่าพันธุ์เราทั้งหมด พ่อบอกผมในคืนหนึ่งว่าดินแดนต้องห้ามอันศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคยเ ข้าใจกันนั้น แท้จริงแล้วมันคือ ตู้กับข้าว ของสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์หนึ่งที่เรียกตัวเองว่า มนุษย์
ในขณะที่ผมกำลังสำมะเลเทเมากินเหล้าเคล้านารีในฐานะลูกชายของหั วหน้าเผ่านั้น พ่อกลับใช้เวลาช่วงสุดท้ายในชีวิต ทุ่มเทค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ พ่อว่า...พ่อรู้สึกผูกพันกับนายแบบแปลกๆ เหมือนว่าพ่อกับนายจะเคยรู้จักกันที่ไหนมาก่อน พ่อว่านายคือผู้มีพระคุณ จริงๆ แล้วนายจะฆ่าพวกเราเสียตั้งแต่ตอนนั้นก็ได้ถ้านายต้องการ แต่นายก็ไม่ทำ ทั้งๆ ที่หลายครั้งพวกเราบางตัวก็ถ่ายเรี่ยราดไม่ระมัดระวัง บางทีหล่นลงไปบนหน้ากระดาษที่นายกำลังเขียนอยู่ก็เคยมี แต่เท่าที่นายทำก็เพียงแค่เงยหน้าขึ้นมาแล้วทำปากขมุบขมิบเท่าน ั้นเอง พ่อว่านายเป็นมนุษย์ที่แปลกต่างจากมนุษย์คนอื่นๆ ที่เคยรับรู้มา วันๆ ไม่เห็นนายทำอะไรนอกจากตื่นมาตอนเช้า - เขียนหนังสือ - กินข้าว - เขียนหนังสือ - กินข้าว - นอน วนเวียนอยู่แค่นี้ น้อยครั้งที่จะเห็นนายออกไปจากบ้าน พ่อศึกษาจนรู้ว่านายเป็นนักเขียนไส้แห้ง สันนิษฐานจากจำนวนหน้ากระดาษ พ่อเดาว่านายน่าจะกำลังเขียนเรื่องสั้นอยู่ บางครั้งพ่อยอมเสี่ยงขนาดเอาชีวิตของตัวเองเข้าเป็นเดิมพัน หลายหนที่พ่อหายหน้าไปจากหมู่บ้านคราวละหลายๆ วัน แต่ทุกครั้งที่กลับมาพ่อก็จะมีสีหน้าสุขใจ ยิ้มแก้มแทบปริเหมือนกับว่าจับได้แมลงตัวใหญ่อย่างนั้นแหละ ผมไม่เคยเข้าใจในความหมายของรอยยิ้มนั้นแต่มั่นใจว่าพ่อจะต้องไ ปเผชิญหน้ากับนายมาแน่ๆ พ่อเองก็ไม่เคยปริปากบอกใครจนกระทั่งถึงวันที่พ่อตาย...
วันนั้นพ่อเรียกผมให้เข้าไปหาใกล้ๆ พ่อมีสีหน้าอิดโรยดูอ่อนล้า ผมรู้เลยว่าเวลาของพ่อใกล้จะหมดลงแล้ว พ่อกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งขณะที่พ่อกำลังเผชิญหน้ากับนายอยู่นั้น พ่อก็ได้ค้นพบวิธีการสื่อสารกับนายเข้าโดยบังเอิญ อันที่จริงจะเรียกว่าสื่อสารก็คงไม่ถูกต้องนัก เพราะมันเป็นเพียงการดักจับเอาสัญญาณความคิดของนายที่ล่องลอยอย ู่ในอากาศ หมายความว่าจิ้งจกอย่างเราสามารถเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของนายแ ต่ไม่สามารถพูดกับนายได้ วิธีการก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่เข้าไปอยู่ใกล้ๆ นายในระยะที่ใกล้พอ แล้วหาโอกาสสบสายตากับนายให้ได้นานเกินสองวินาที เพียงเท่านี้ก็จะเป็นการปรับคลื่นความถี่ให้ตรงกัน แล้วเราก็จะสามารถเข้าใจความคิดของนายได้ 
พ่อย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามไม่ให้ผมเอาเรื่องนี้ไปบอกต่อกับใคร แม้กระทั่งแม่ พ่อเกรงว่ามันอาจจะเป็นภัยต่อนายได้ ผมถามพ่อว่าแล้วพ่อบอกวิธีนี้กับผมทำไม พ่อตอบว่า...เพราะไม่แน่ในวันหนึ่งข้างหน้า เจ้าอาจจะมีโอกาสได้ทำความฝันของพ่อให้กลายเป็นจริง... ผมยังจำคำพูดสุดท้ายก่อนที่พ่อจะสิ้นลมได้ดี จงตอบแทนพระคุณนายเมื่อเจ้ามีโอกาส ผมรับปากพ่อไปอย่างนั้นเอง เพราะมั่นใจว่าวันนั้นคงไม่มีทางมาถึง จิ้งจกตัวเล็กๆ อย่างผมน่ะหรือจะมีโอกาสได้ตอบแทนพระคุณสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดให ญ่กว่าผมนับล้านเท่าอย่างนาย 
จนเมื่อสามสี่วันที่ผ่านมานี้ ผมจึงเพิ่งตระหนักรู้ว่า หรือมันอาจจะเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิต เป็นชะตากรรมที่ถูกกำหนดมาแล้ว เหมือนกับชะตากรรมของพ่อที่ถูกกำหนดให้เกิดมาเพื่อเป็นวีรบุรุษ ...หน้าที่ในการ ตอบแทน นี้อาจเป็นชะตากรรมของผมที่ถูกกำหนดมาแล้วก็เป็นได้...
สามสี่วันที่แล้วผมเริ่มสังเกตเห็นพฤติกรรมของนายเปลี่ยนแปลงไป นายดูไม่เหมือนคนเดิมที่ผมเคยรู้จัก บางครั้งผมเห็นนายลุกขึ้นมากลางดึก นั่งสูบบุหรี่อยู่คนเดียวในความมืด พอหมดมวนนายก็กลับไปล้มตัวลงนอนใหม่ เอามือก่ายหน้าผาก บ่นพึมพำอะไรอยู่คนเดียว พลิกซ้ายป่ายขวากลิ้งไปมาอยู่บนเตียงอีกนาน ก่อนจะลุกขึ้นมาจุดบุหรี่สูบมวนใหม่ บางทีนายก็ลุกขึ้นมาเปิดไฟจนสว่างโร่ไปทั้งบ้าน แล้วลงมือค้นหนังสือบนชั้น หยิบเล่มโน้น เปิดเล่มนี้ ปิดเล่มนั้น วนเวียนอยู่อย่างนี้ หนักเข้านายก็เอามือกวาดหนังสือบนชั้นหล่นลงมากองอยู่กับพื้นทั ้งหมด หนังสือนับร้อยเล่มวางระเกะระกะอยู่ล้อมรอบตัวนาย นายยืนนิ่งจ้องมองหนังสือเหล่านั้นอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนล้มตัวลงนอนบนกองหนังสือเหล่านั้น แล้วเริ่มร้องไห้สลับกับการพูดคนเดียวแล้วก็ร้องไห้อีก แต่แล้วจู่ๆ นายก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างไม่เกรงใจใครราวกับคน วิกลจริต พอถึงเวลาที่ปกติแล้วนายจะต้องเขียนหนังสือ ผมก็เห็นนายเอาแต่นั่งจ้องกำแพงตรงหน้า ในมือถือแก้วมีน้ำสีเหลืองๆ อยู่ในนั้น บางทีนายนั่งจ้องอยู่อย่างนั้นนานเป็นชั่วโมง ถึงแม้ว่าผมจะเป็นเพียงจิ้งจกตัวเล็กๆ แต่ผมก็ยังไม่โง่พอที่จะหลอกตัวเองได้ว่านายกำลังมีความสุข มันทำให้ผมนึกถึงคำพูดของพ่อ หรือว่ามันจะถึงเวลาแล้ว...
เมื่ออดรนทนเก็บความสงสัยเอาไว้กับตัวไม่ไหวจริงๆ เมื่อเช้านี้ผมจึงตัดสินใจทำตามคำแนะนำของพ่อ เผื่อว่าผมอาจจะช่วยอะไรนายได้บ้าง ไม่มีอะไรจะต้องเสียอยู่แล้วนี่ ใครจะรู้ถ้าหากหนูยังช่วยราชสีห์ได้ แล้วทำไมจิ้งจกตัวเล็กๆ อย่างผมจะช่วยนายบ้างไม่ได้...ผมจึงค่อยๆ ไต่กำแพงด้านที่อยู่ตรงหน้านายลงไปเรื่อยๆ นายนั่งอยู่ตรงนั้น ที่เดิม ตรงโต๊ะเขียนหนังสือ เปิดโคมไฟดวงเล็กส่องสว่างมาทางกำแพงครึ่งหนึ่ง นายกำลังพลิกหนังสือสามสี่เล่มที่วางอยู่บนโต๊ะออกอ่านด้วยสีหน ้าเคร่งเครียด ผมไต่ลงไปเรื่อยๆ จนเห็นว่าได้ระยะที่ใกล้พอแล้วจึงหยุด ช่างเป็นเรื่องบังเอิญยิ่งนัก เมื่อตำแหน่งที่ผมหยุดยืนอยู่ต่อหน้านายตอนนั้น อยู่ภายใต้แสงของโคมไฟ และองค์ประกอบต่างๆ โดยรอบก็ช่างอยู่ในลักษณาการที่คล้ายคลึงกัน กับวันที่ผมได้เผชิญหน้ากับนายเป็นครั้งแรกมิมีผิดเพี้ยน นายยังคงนั่งก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่อย่างนั้น ผมก็ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่มองจ้องตรงมายังนาย รอแค่เพียงโอกาสที่นายจะเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับผม แล้วทันใดนั้น ทุกอย่างก็เกิดขึ้นด้วยความรวดเร็ว...นายเงยหน้าขึ้นมาเราสบตากัน...1...2...3...				
4 สิงหาคม 2547 16:26 น.

ตอบแทน(ตอนที่1)

สุชาดา โมรา

มันเป็นช่วงที่อาณาจักรของเราถูกรุกรานโดยไอ้เบิ้ม พ่อบอกว่าเขตแดนของพวกมันอยู่ที่ห้องว่างข้างๆ ติดกันกับห้องที่นายเช่าอยู่นี้ นายเป็นคนเอาไม้กวาดเขี่ยไล่พวกมันไปเอง พ่อว่าพวกมนุษย์ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยชอบพวกมันนัก คงเป็นเพราะรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์และเสียงร้องรบกวนโสตประสาทน ั่น อย่าว่าแต่นายเลยผมเองตอนที่ได้ยินเสียงไอ้เบิ้มครั้งแรกยังถึง กับแข้งขาอ่อน "ต๊อกแกๆ ๆ..." ไม่รู้มันจะร้องทำไม ผมไม่เห็นว่ามันจะสร้างสรรค์ตรงไหนเลย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหัวหน้าเผ่าของพวกเราจึงตกลงทำสนธิสัญญาร่ วมกันกับหัวหน้าเผ่าของพวกมัน ในการกำหนดเขตแดนที่แน่ชัดของแต่ละฝ่าย ต่างคนต่างอยู่ ต่างหากินในเขตแดนของตัวเองไม่รุกล้ำกัน 
พ่อสันนิษฐานว่าไอ้เบิ้มหน้าโง่ตัวนั้นคงหลงเดินตามกลิ่นแมลงเข ้ามาในอาณาเขตของเราจนหลงทาง ด้วยขนาดที่ใหญ่กว่านับสิบเท่าและลิ้นที่ยาวกว่าของมัน ทำให้ไม่มีใครหาญกล้าพอที่จะต่อกรด้วยได้ มันจึงเที่ยวใช้ลิ้นตวัดเอาแมลงที่มาเล่นไฟตรงหน้าบ้าน ซึ่งเป็นแหล่งอาหารหลักของพวกเราเข้าปากอย่างไม่เกรงใจใคร สร้างความเดือดร้อนให้กับเผ่าพันธุ์ของพวกเราเป็นอย่างมาก...หล ายวันผ่านไปในที่สุดสถานการณ์ขาดแคลนอาหารเพื่อบริโภคก็ทวีความ รุนแรงมากยิ่งขึ้นจนกลายเป็นวิกฤตการณ์ พวกเราบางตัวในเผ่าเริ่มป่วยเป็นโรคขาดสารอาหาร พ่อตัดสินใจว่าอย่างไรครอบครัวเราก็ควรออกเดินทางไปตายเอาดาบหน ้าเสียยังดีกว่าอยู่เฉยๆ รอความตายที่กำลังจะมาเยือน แล้วการผจญภัยครั้งสำคัญของผมก็เริ่มต้นขึ้น...
จะว่าไปแล้วมันก็ออกจะเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสเอาการทีเดียว สำหรับจิ้งจกที่เพิ่งจะลืมตาดูโลกได้ไม่กี่วันอย่างผม ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเดินทางไกลหรอก เอาแค่การฝึกทรงตัวเกาะเพดานให้แน่น ต่อต้านกับแรงดึงดูดของโลกนั่นก็ยากพอดูอยู่แล้ว หลังจากที่ผมฝึกหัดวิธีพรางตัวอยู่หลังผ้าม่านได้ไม่กี่วัน ครอบครัวของเราก็เริ่มออกเดินทางท่ามกลางเสียงคัดค้านของหลายๆ ฝ่าย บางตัวก็บอกว่ามันคือการฆ่าตัวตายชัดๆ บางตัวก็เอาไปซุบซิบนินทาลับหลังว่าพ่อของผมเป็นบ้าไปแล้วที่ทำ อย่างนั้น มันก็น่าอยู่หรอก ในเมื่อแม้แต่ตัวพ่อเองก็ยังไม่รู้แน่ชัดถึงจุดหมายปลายทางของก ารเดินทางในครั้งนี้ 
สิ่งเดียวที่พ่อมีเหลืออยู่คือความศรัทธา ศรัทธาในสิ่งที่พ่อเองก็ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า ศรัทธาในสิ่งที่อาจจะเป็นเพียงเรื่องเล่าสืบต่อกันมาที่ใครสักค นกุขึ้น ศรัทธาในสิ่งที่อาจจะไม่มีตัวตน เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่าในเผ่าพันธุ์จิ้งจกของเรา มีตำนานอยู่ตำนานหนึ่งที่เล่าสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุจิ้งจก จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง เป็นตำนานที่กล่าวถึงดินแดนต้องห้ามอันศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง ว่ากันว่าดินแดนแห่งนั้นอยู่ห่างออกไปจากเขตแดนของพวกเราไกลโพ้ นจนสุดคณานับ สองข้างทางที่จะต้องเดินผ่านฝ่าฟันเพื่อไปให้ถึง เต็มไปด้วยขวากหนามและภยันตรายที่ซุกซ่อนไว้มากมายเกินกว่าที่ภ ูมิปัญญาของเผ่าพันธุ์เราจะหยั่งถึง รำลือกันว่าที่ดินแดนนั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากร อาหารการกินมีอยู่มากมายจนกินเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด แต่ที่ถูกเรียกว่าเป็นดินแดนต้องห้ามนั้น เป็นเพราะเหล่าผู้กล้าของเผ่าเราทุกตัวที่ออกเดินทางแสวงหาแผ่น ดินศักดิ์สิทธิ์นี้ ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดรอดชีวิตกลับมาเลย ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงตำนานโบราณที่เล่าสืบทอดต่อกันมายาวนาน นับวันรอเวลาจะถูกลืมเลือน จิ้งจกรุ่นผมน้อยตัวนักที่จะเคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อผมเองก็คงไม่มีโอกาสได้รู้ถึงตำนานโบราณนี้ 
ใครสักคนว่าไว้ "สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ" เห็นจะจริงดังว่า เพราะถ้าไม่มีไอ้เบิ้มหน้าโง่ที่หลงเดินเข้ามาในอาณาจักรของพวก เราในวันนั้น เรื่องราวของพ่อผมก็คงจะไม่เป็นไปอย่างเช่นทุกวันนี้ ใครเล่าจะล่วงรู้ได้ว่าจิ้งจกหัวรุนแรงช่างฝันอย่างพ่อผม จะกลายเป็นวีรบุรุษผู้ไขปริศนาทั้งมวลของตำนานดินแดนต้องห้ามอั นศักดิ์สิทธิ์ และช่วยให้เผ่าพันธุ์ของพวกเรารอดพ้นจากการสูญพันธุ์ อย่าว่าแต่จิ้งจกตัวอื่นเลย กระทั่งผมเองซึ่งเป็นลูกของพ่อแท้ๆ ยังไม่มีความเชื่อมั่นเลย ผมยังจำความรู้สึกในเช้าวันนั้นได้ดี... 
ย่างแรกที่ผมก้าวออกเดินตามหลังพ่อ เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นในสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า ความกลัวในสิ่งที่จะต้องเผชิญ เสียงร่ำลือถึงปีศาจร่างยักษ์ของผู้เฒ่าผู้แก่ในเผ่ายังดังแว่ว อยู่ในกระแสสำนึก ผสานกับจินตนาการเพ้อฝันไร้ขอบเขตของผมยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวใน จิตใจให้ทับทวีคูณ ผมเชื่อว่าแม่เองก็คงรู้สึกไม่ต่างไปจากผมสักเท่าไหร่ แต่พ่อ...พ่อยังคงก้าวเดินต่อไปด้วยความมุ่งมั่น แต่ละก้าวที่ย่ำลงไปช่างหนักแน่นเด็ดเดี่ยว ประกายที่ฉายฉานอยู่ในแววตาของพ่อช่างเปี่ยมไปด้วยแรงศรัทธาและ กล้าหาญ เหมือนกับพ่อจะไม่เคยรู้สึกกลัวอะไรเลยอย่างนั้นแหละในชีวิตนี้ ผมสงสัยยิ่งนักว่าอะไรกันหนอที่ทำให้พ่อเข้มแข็งได้ถึงเพียงนี้ จนเมื่อเราหยุดพักครั้งแรกผมจึงตัดสินใจเอ่ยถามออกไป 
ยังจำได้ดีถึงแววตาอ่อนโยนคู่นั้นและสิ่งที่พ่อตอบกลับมา พ่อบอกว่า ศรัทธาอย่างไรเล่าลูกเอ๋ยที่ทำให้พ่อเข้มแข็ง เราทุกตัวต่างก็ต้องศรัทธาต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสมอ สิ่งที่เราศรัทธานั้นอาจจะแตกต่างกัน แต่ไม่มีใครหรอกจะอยู่ได้โดยไม่มีศรัทธา กระทั่งผู้ที่ไม่ศรัทธาอะไรเลยก็ยังต้องมีศรัทธาในสิ่งใดสิ่งหน ึ่งอยู่ดี และสิ่งนี้นั่นแหละที่ทำให้เราเข้มแข็ง ผมถามพ่อต่อไปว่าแล้วพ่อศรัทธาอะไร พ่อยิ้มหัวให้นิดนึงก่อนตอบว่า ศรัทธาในความจริงไงลูก พ่อเชื่อว่ามีความจริงอยู่เบื้องหน้ารอให้เราไปพิสูจน์และพ่อเช ื่อมั่นว่าพ่อทำได้ ความกลัวน่ะเหรอ กลัวสิลูก ทำไมพ่อจะไม่กลัว *ความกลัวความกล้า มันมีเหมือนกันทุกคน คนกลัวที่รับว่ากลัวคือคนกล้า แต่คนกลัวอวดตัวว่ากล้าคือคนโง่ จำเอาไว้ให้ดีนะลูก เรามักจะกลัวก็แต่ในสิ่งที่เราไม่รู้หรือมองไม่เห็นเท่านั้นแหล ะ สิ่งไหนที่เรารู้แล้วเราก็จะหมดความกลัวในสิ่งนั้น และนี่คือวัตถุประสงค์สำคัญอีกข้อหนึ่งของการเดินทางของพวกเราใ นครั้งนี้ นอกจากจะเพื่อแสวงหาแหล่งอาหารใหม่ให้กับเผ่าพันธุ์ของพวกเราแล ้ว พ่อยังต้องการที่จะแสวงหาความรู้เพื่อขจัดความกลัวในจิตใจของพว กเราทุกตัวด้วย พ่อต้องการพิสูจน์ให้พวกเราได้รู้ว่าความจริงคืออะไร 
ผมไม่แน่ใจว่าพ่อจะรู้ตัวไหมว่าสิ่งที่พ่อพูดนั้นช่วยให้ผมกับแ ม่มีกำลังใจขึ้นมาก เมื่อผมได้รู้ว่าพ่อเองก็กลัวไม่ต่างไปจากผม มันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากว่าตัวเองไม่ได้ขี้ขลาด ไม่ได้ผิดปกติ แต่ทั้งๆ ที่กลัวพ่อก็ยังคงเข้มแข็งและไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้พวกเราไ ด้เห็น นั่นยิ่งทำให้ผมมีความฮึกเหิม แต่ละก้าวที่ย่างลงไปเปี่ยมด้วยความเด็ดเดี่ยวที่เพิ่มมากขึ้นเ รื่อยๆ เรายังคงเดินคุยกันต่อไป ครั้งหนึ่งผมถามพ่อว่า พ่อไม่กลัวความล้มเหลวหรือ ไม่กลัวหรือว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่เป็นไปอย่างที่ใจคิด พ่อนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยตอบทั้งๆ ที่ไม่หันมามองหน้าผม แต่ผมยังคงจำประโยคสั้นๆ ประโยคนั้นได้ดี "ผลลัพธ์ไม่สำคัญเท่าความพยายาม"...				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสุชาดา โมรา