30 มกราคม 2548 01:29 น.

นวนิยาย:ดาวประดับรัก ( ตอนที่ 33 )

สุชาดา โมรา

การเขียน หมายถึง การถ่ายทอดความรู้ ความรู้สึกนึกคิด เรื่องราว ตลอดจนประสบการณ์ต่างๆไปสู้ผู้อื่นโดยใช้ตัวอักษษเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอด 

การเขียนเป็นวิธีการสื่อสารที่สำคัญในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด และประสบการณ์ เพื่อสื่อไปยังผู้รับได้อย่างกว้างไกล นอกจากนั้นการเขียนยังมีคุณค่าในการบันทึกเป็นข้อมูลหลักฐานให้ศึกษาได้ยาวนาน 
จุดประสงค์ของการเขียน 

การเขียนทั่วไปมีจุดประสงค์ดังนี้
01. เพื่อบอกเล่าเรื่องราว เช่น เหตุการณ์ ประสบการณ์ ประวัติ ฯลฯ 

02. เพื่ออธิบายความหรือคำ เช่น การออกกำลังกาย การทำอาหาร คำนิยามต่างๆ ฯลฯ 

03. เพื่อโฆษณาจูงใจ เช่น โฆษณาสินค้า ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ ฯลฯ 

04. เพื่อปลุกใจ เช่น บทความ สารคดี เพลงปลุกใจ ฯลฯ 

05. เพื่อแสดงความคิดเห็น 

06. เพื่อสร้างจินตนาการ เช่น เรื่องสั้น นิยาย นวนิยาย ฯลฯ 

07. เพื่อล้อเลียน เช่น บทความการเมือง เศรษฐกิจ ฯลฯ 

08. เพื่อประกาศแจ้งให้ทราบ เช่น ประกาศของทางราชการ ประกาศรับสมัครงาน ฯลฯ 

09. เพื่อวิเคราะห์ เช่น การเขียนวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมือง วิเคราะห์วรรณกรรม ฯลฯ 

10. เพื่อวิจารณ์ เช่น วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล วิจารณ์ภาพยนตร์ วิจารณ์หนังสือ ฯลฯ 

11. เพื่อเสนอข่าวสารและเหตุการณ์ที่น่าสนใจ 

12. เพื่อกิจธุระต่างๆ เช่น จดหมาย ธนาณัติ การกรอกแบบรายการ ฯลฯ 

จุดประสงค์ของการเขียนคือสิ่งที่ผู้เขียนต้องคำนึงว่า ในการเขียนงานเขียนแต่ละครั้งนั้นต้องการเขียนเพื่อสื่อเรื่องใด โดยผู้เขียนต้องใช้ความรู้และประสบการณ์ รวมทั้งหลักการเขียนประกอบการเขียน เพื่อให้การเขียนเพื่อการสื่อสารนั้นๆบรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ 

. 

หลักการเขียน 

เนื่องจากหลักการเขียนเป็นทักษะที่ต้องเอาใจใส่ฝึกฝนอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดความรู้ความชำนาญ และป้องกันความผิดพลาด ดังนั้น ผู้เขียนจึงจำเป็นต้องใช้หลักในการเขียน ดังต่อไปนี้ 

1. มีความถูกต้อง คือ ข้อมูลถูกต้อง ใช้ภาษาได้ถูกต้องเหมาะสมตามกาลเทศะ 

2. มีความชัดเจน คือ ใช้คำที่มีความหมายชัดเจน รวมถึงประโยคและถ้อยคำสำนวน เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ตรงตามจุดประสงค์ 

3. มีความกระชับและเรียบง่าย คือ รู้จักเลือกใช้ถ้อยคำธรรมดาเข้าใจง่าย ไม่ฟุ่มเฟือย เพื่อให้ได้ใจความชัดเจน กระชับ ไม่ทำให้ผู้อ่านเกิดความเบื่อหน่าย 

4. มีความประทับใจ โดยการใช้คำให้เกิดภาพพจน์ อารมณ์และความรู้สึกประทับใจ มีความหมายลึกซึ้งกินใจ ชวนติดตามให้อ่าน 

5. มีความไพเราะทางภาษา คือ ใช้ภาษาสุภาพ มีความประณีตทั้งสำนวนภาษาและลักษณะเนื้อหา อ่านแล้วไม่รู้สึกขัดเขิน 

6. มีความรับผิดชอบ คือ ต้องแสดงความคิดเห็นอย่างสมเหตุสมผล มุ่งให้เกิดความรู้และทัศนคติอันเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
นอกจากหลักการเขียนที่จำเป็นต่อการเขียนแล้ว สิ่งที่มีความจำเป็นอีกประการหนึ่งคือกระบวกการคิดกับกระบวนการเขียนที่จะต้องดำเนินควบคู่ไปกับหลักการเขียน เพื่อที่จะทำให้สามารถเขียนได้ดียิ่งขึ้น 

. 

กระบวนการคิดกับกระบวนการเขียน 

กระบวนการเคิดกับกระบวนการเขียนนั้นมีความสัมพันธ์กัน เนื่องจากการเขียนงานเขียนทุกประเภทต้องใช้ความคิด ต้องสร้างสรรค์ วิเคราะห์ กลั่นกรอง เรียบเรียงให้ดีเสียก่อน แล้วจึงลงมือเขียน อันจะทำให้การเขียนนั้นๆสำเร็จลงด้วยดี 

กระบวนการคิด 

1. คิดให้ตรงจุด หมายถึง คิดถึงจุดประสงค์ที่สำคัญเพียงจุดเดียว โดยการคิดให้อยู่ในวงจำกัด การคิดให้ตรงจุดมีดังนี้
..........1) คิดในหัวข้อที่จำกัด ไม่กว้างเกินไป จำกัดขอบเขตของเนื้อหาให้ชัดเจน
..........2) คิดเฉพาะสิ่งที่รู้ เพราะจะทำให้คิดได้ดี คิดอย่างชำนาญ มีประสิทธิภาพ 

2. คิดให้เป็นระเบียบ หมายถึง การจัดลำดับความคิด มีดังนี้
..........1) จัดลำดับเรื่องราว คือ การจัดลำดับว่าเหตุการณ์ใดเกิดก่อนเกิดหลัง
..........2) จัดลำดับสถานที่ คือ เขียนรายละเอียดของสถานที่ให้ตรงตามความเป็นจริง ไม่วกไปวนมา
..........3) จัดลำดับตามเหตุผล คือ มีเหตุแล้วต้องมีผลตามมา หรือการกล่าวว่าผลที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุใด 

3. คิดให้กระชับและชัดเจน คือ ต้องมีความคิดหลักเพียงอย่างเดียว เพื่อให้ผู้อ่านสามารถจับประเด็นได้ และความคิดนั้นต้องสามารถทำให้ผู้อ่านสื่อได้ตรงกับความคิดของผู้เขียน โดยไม่สับสน เช่น ผู้เขียนต้องการเสนอความคิดเกี่ยวกับคุณค่าของการประหยัด ต้องทำให้ผู้อ่านอ่านแล้วเห็นคุณค่าของการประหยัดอย่างแท้จริง โดยไม่เห็นแตกต่างออกไป 

นอกจากนี้ สิ่งที่ผู้เขียนต้องคำนึงถึงเสมอก่อนจะลงมือเขียนเรื่องใด ก็คือ มารยาทในการเขียน เนื่องจากงานเขียนบางประเภท หรือบางเรื่องอาจก่อให้เกิดความเสียหายในอนาคตได้ ฉะน้น เพื่อป้องกันความเนียหายที่จะเกิดขึ้น ผู้เขียนจึงจำเป็นต้องเขียนอย่างมีมารยาท ดังนี้ 

มารยาทในการเขียน 

1. ไม่ควรเขียนโดยปราศจากความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ เพราะอาจเกิดความผิดพลาด หากจะเขียนก็ควรศึกษาค้นคว้าให้เกิดความพร้อมเสียก่อน 

2. ไม่เขียนเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติหรือสถาบันเบื้องสูง 

3. ไม่เขียนเพื่อมุ่งเน้นทำลายผู้อื่น หรือเพื่อสร้างผลประโยชน์ให้แก่ตน พวกพ้องตน 

4. ไม่เขียนโดยใช้อารมณ์ส่วนตัวเป็นบรรทัดฐาน 

5. ต้องบอกแหล่งที่มาของข้อมูลเดิมเสมอ เพื่อให้เกียรติเจ้าของข้อมูลนั้นๆ 

6. ไม่คัดลอกบทความหรือเนื้อหาตอนใดตอนหนึ่งมาโดยเจ้าของเรื่องไม่อนุญาต				
16 มกราคม 2548 22:23 น.

นวนิยาย:ปางอดีต (ตอนที่2)

สุชาดา โมรา

เจ้าคุณแม่ของลูกไปไหนทำไมเจ้าคุณพ่อถึงทำแบบนี้
	น้าเขาอยากจะมาดูลูกน่ะพ่อก็เลย
	น้ำผึ้งแก้วไม่ยอมตอบอะไรทั้งนั้น  หล่อนนั่งนิ่งจนพิธีตัดจุกเป็นอันว่าเสร็จสิ้น  หล่อนเดินกลับไปยังห้องของหล่อนจากนั้นก็ไม่ยอมออกมาเลย  หล่อนนอฟุบอยู่ที่เตียงแล้วก็ร้องไห้  ไม่มีใครตอบได้ว่าหล่อนเป็นอะไร  ไม่ว่าเจ้าคุณพ่อของหล่อนจะถามบ่าวไพร่กี่คนก็ไม่มีใครรู้ว่าหล่อนทำไมถึงไม่ยอมออกมาจากห้อง  เจ้าคุณพ่อรู้สึกผิดหวังมากที่ลูกสาวทำอะไรไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย
	..
	เจ้าคุณย่าเจ้าคะ  หลานอยากจะไปอยู่ในวังกับเจ้าคุณแม่เสียวันนี้เลย
	ทำไมมารบย่าแต่เจ้าล่ะลูกทุกทีเจ้าบอกเองไม่ใช่รึว่าไม่อยากไปอยู่ในวัง  เจ้ากลัวว่าจะไม่มีเพื่อนไม่ใช่รึ
	หลานโตแล้วนะเจ้าคะ  ไม่ต้องมีเพื่อนก็ได้เพียงแต่หลานไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีกแล้ว  หลานอยากจะไปเป็นข้าหลวงของสมเด็จฯ ท่าน  เจ้าคุณย่าจะให้หลานไปไหมเจ้าคะ
	เอาก็เอา  รีบไปเปลี่ยนผ้านุ่งแล้วตามย่ามา
	เจ้าคุณย่านั่งกรองดอกไม้ใส่พานพร้อมธูปเทียนแพ  เมื่อน้ำผึ้งแก้วแต่งตัวเสร็จ  เจ้าคุณย่าก็นำสังวาลเส้นโตมาคล้อง  จากนั้นก็ส่งพานให้หล่อนและเดินนำไปยังท่าน้ำเพื่อลงเรือเก๋งที่จอดเทียบท่าอยู่
	เจ้าคิดดีแล้วรึ
	เจ้าค่ะ
	รู้จักโตสักทีถ้าไปถึงก็อย่าร้องโยเยกลับบ้านล่ะ
	นี่เป็นครั้งแรกที่น้ำผึ้งแก้วจะได้เข้าวังไปถวายตัวเพื่อเป็นข้ารองบาทสมเด็จฯ ท่าน  หล่อนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ชั่วข้ามคืนหลังจากที่หล่อนรู้สึกได้ว่าเหตุใดเจ้าคุณแม่ของหล่อนจึงไม่ยอมกลับมาใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าคุณพ่ออีก
	น้ำผึ้งแก้วลงจากเรือที่ท่าขุนนาง  หล่อนเดินตามหลังเจ้าคุณย่าไปติด ๆ พร้อมทั้งนางม้วน  นางไลบ่าวรับใช้คอยติดตามเดินถือสัมภาระตามไปด้วย
	น้ำผึ้งแก้วเดินเลาะกำแพงวังตามเจ้าคุณย่าไป  หล่อนมองซ้ายมองขวาก็เห็นผู้คนเรียงรายจับจ่ายซื้อของกันให้จ้าละหวั่น  หล่อนเดินข้ามประตูที่สองมาก็เห็นมีแต่ผู้หญิงร่างใหญ่ยืนเฝ้าประตูดูท่าทางขึงขังหล่อนรู้สึกหวาดหวั่นใจอย่างไรบอกไม่ถูก  แต่หล่อนก็ต้องเดินต่อไปเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ ๆ กับเจ้าคุณแม่ที่กำลังรออยู่ข้างในนั้น
	แม่นิ่ม
	เสียงเจ้าคุณย่าเรียกผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังนั่งหันหลังกรองมาลัยอยู่ภายในห้องโถงขนาดใหญ่  ผู้หญิงคนนั้นค่อย ๆ หันมาแล้วก็ยิ้มละไมจากนั้นก็กราบเจ้าคุณย่าด้วยท่าทางที่อ่อนน้อม
	ทายสิใครมาด้วย
	ฉันเดินออกจากข้างหลังของเจ้าคุณย่า  เจ้าคุณแม่ถึงกับยิ้มด้วยความดีใจ  น้ำผึ้งแก้วจึงเดินเข้าไปกอดด้วยความคิดถึงหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานานเกือบ 2 ปี
	เอาละอย่ามัวดีใจอยู่เลยข้าหลวงตัวน้อยกำลังจะเข้าเฝ้าถวายตัวไปน้ำผึ้งแก้วเอาพานนั่นถือตามมาและอย่าลืมทำตามที่ย่าบอกล่ะ
	น้ำผึ้งแก้วเดินตามไปยังพระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาทหล่อนค่อย ๆ หมอบคลานมายังหน้าพระที่นั่งท่ามกลางขุนนางใหญ่น้อยที่มาเข้าเฝ้ายามออกว่าราชการ
	นั่นคุณท้าวนางเยาวลักษณ์ใช่หรือไม่
	เพคะหม่อมฉันพาข้าหลวงคนใหม่เข้าเฝ้าถวายการรับใช้เพคะ
	เด็กนั่นน่ะหรือบะ!!!ยังเด็กอยู่เลยจะใช้การได้รึ
	ได้เพคะ  หม่อมฉันสั่งสอนมาเป็นอย่างดี
	หลานสาวเจ้ารึ
	เพคะ
	ดีมาใกล้ ๆ ข้า ส่งพานนั่นมา
	เสียงสมเด็จฯ พระองค์ทรงสรวญดังลั่น  น้ำผึ้งแก้วค่อย ๆ คลานเข่าพร้อมทั้งยกพานขึ้นไว้เหนือหัวใบหน้าก้มมองพื้นตลอดเวลา  หล่อนชำเลืองไปเห็นคุณหลวงบดินทร์นฤนาถซึ่งนั่งมองมายังหล่อนพร้อมกับยิ้มหวาน ๆ ให้  หล่อนหันกลับมายังพระที่นั่งและยกพานยื่นให้มหาดเล็กรักษาพระองค์  มหาดเล็กนำพานนั้นทูลเกล้าถวายให้กับสมเด็จฯ ท่าน  พระองค์ทรงสรวญดังเข้าไปอีกแล้วก็ตรัสรับสั่งถามต่าง ๆ นานา
	มาลัยนี่กรองเองหรือไม่
	เจ้าคุณย่าท่านกรองเพคะ
	รู้จักพูดเพคะเพขา  หัดจากใครเล่าเจ้า
	ไม่ได้หัดจากใครเพคะ  หม่อมฉันฟังจากเจ้าคุณย่าท่านพูดเจ้าค่า
	ทำอะไรเป็นบ้านเล่าเจ้า
	ทำเป็นหลายอย่างเพคะ
	หลายอย่างน่ะอะไรบ้าง
	ก็สุดแล้วแต่จะรับสั่งเพคะ  หากทำไม่ได้ก็หัดทำได้เพคะ
	อืมหลานเจ้าคนนี้ช่างพูดช่างจาผิดกับแม่ของมัน
	เจ้าคุณย่ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อเห็นสมเด็จฯ ท่านทรงพอพระทัยจากนั้นก็คลานหลบไปทางอื่นปล่อยให้หลานสาวนั่งหมอบกราบอยู่ที่หน้าท้องพระโรงจนกว่าสมเด็จฯ ท่านจะตรัสสั่งให้ไป
	ชื่ออะไรเล่าเจ้า
	น้ำผึ้งแก้วเพคะ
	อายุเท่าไรกัน  นี่เพิ่งตัดจุกใช่ไหมเจ้า
	เพคะ
	น้ำผึ้งแก้วข้าหลวงที่อายุน้อยที่สุดของข้า  ข้าจะให้เจ้ามีหน้าที่ล้างบาทข้าตามตื่นนอน  และก่อนนอนจะได้หรือไม่  ทำเป็นหรือไม่เจ้า
	เป็นเพคะ
	น้ำผึ้งแก้วรับคำพร้อมทั้งยกปลายมือกระดกขึ้น
	เอาอย่างนี้เจ้าตามคุณเท้านางเยาวลักษณ์ไปแล้วไปฝึกซ้อมมา  ข้าจะให้เจ้าทำงานวันนี้แหละ  หวังว่าเจ้าคงไม่ทำข้าวของเสียหายอย่างนางรื่นข้ารองบาทคนก่อนของข้าหรอกนะ
	น้ำผึ้งแก้วค่อย ๆ คลานกลับมาหาเจ้าคุณย่าของหล่อน  จากนั้นก็เดินออกจากท้องพระโรงไปท่ามกลางขุนนางใหญ่น้อยที่แอบอมยิ้มอยู่  หล่อนหันกลับมามองคุณหลวงบดินทร์นฤนาถแล้วก็อมยิ้มจากนั้นก็หันกลับไป
	
	ผึ้งผึ้งผึ้งมือขยับแล้ว!!!!
	เสียงผู้คนมากมายคุยกันจอกแจกหญิงคนหนึ่งเรียกชื่อของฉัน  ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับเสียงนี้เหลือเกิน
	ฟื้นแล้วค่ะไปตามหมอมาเร็ว!!!!
	ฉันรู้สึกสะลึมสะลือ  มึนงงไปหมด  นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่  เมื่อกี้ฉันยังอยู่ที่วังกำลังเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่พระที่นั่งจันทรพิศาลอยู่เลยแล้วทำไมฉันถึงมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้หรือว่าเราฝันไปกันแน่
	เป็นอย่างไรบ้างพวกเราตกใจแทบแย่จู่ ๆ เธอก็ฟุบล้มลงพวกเราคิดว่าเธอเป็นลมแต่ก็เปล่า  เธอหลับไปถึงสองวันเชียวนะ
	จริงเหรอมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เธอเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมส้ม
	ก็ตอนที่เธอกำลังบรรยายเรื่องเขตพระราชฐานในวังให้กับผู้หมวดณรงค์และเพื่อน ๆ ของตำรวจของเขาที่มาจากกรุงเทพฯ ฟัง  พอเธอเดินมาที่พระที่นั่งจันทรพิศาล  เธอกำลังพูดถึงเรื่องการส่งพระราชสารที่ชาวฝรั่งเศสชื่ออะไรนะ
	เชอวาเลียร์  เดอ  โชมองค์
	เออใช่!!!นั่นแหละเธอหันไปเห็นตาผู้หมวดหล่อ ๆ นั่นแล้วเธอก็หยุดพูดทันที  จู่ ๆ เธอก็เดินเข้าไปหาเขา  เธอจ้องเขาเหมือนกับคนรู้จักแล้วจู่ ๆ เธอก็เป็นลมฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเธอเป็นอะไร  นี่พวกเรายังงง ๆ อยู่เลยว่าเธอทำไมถึงได้หลับไปนานถึงสองวัน
	เธอเชื่อไหมว่าฉันไปอดีตมา
	หมายความว่าไงอย่าบอกนะว่าเธอปิ้งรักกับตาผู้หมวดหล่อนั่นแล้วก็เก็บไปฝันถึงสองวันแบบนี้โธ่เพื่อนเราไม่น่าเลย
	บ้าเหรอส้ม!!!  ฉันรู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้าตาผู้หมวดคนนั้นที่ไหนสักแห่ง  ฉันก็เลยจ้องมอง  แต่ฉันคิดไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหนแล้วจู่ ๆ มันก็วูบไปอย่างนั้นแหละแต่ฉันกลับเห็นจุดที่ฉันยืนอยู่เป็นภาพที่แตกต่างจากปัจจุบันเหลือเกิน  ฉันเห็นเขา  เห็นครอบครัวของฉันทุกคน  เห็นสมเด็จพระนารายณ์มหาราชฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่ฉันคิดว่าฉันไม่ได้ฝันเพราะมันดูจริงจังเหลือเกิน
	ฉันว่าเธอคงเรียนหนักไป  เพราะเธอทำปริญญาโทโบราณคดีใช่ไหมเธอถึงได้คลั่งขนาดนี้ฉันว่าเธอน่าจะไปพบจิตแพทย์นะ
	นี่ฉันไม่ได้บ้านะ
	ฉันก็ไม่ได้ว่าเธอบ้านี่เพียงแต่ฉันคิดว่าเธอเครียดมากไปก็เท่านั้นเอง
	น้ำผึ้งนิ่งเงียบ  ไม่ยอมพูดอะไรเธอมองจ้องหน้าส้มเพื่อนรักของเธอ  แล้วก็มองไปที่ต่าย  โอ  แป้ง  และหนูนา
	ฉันเชื่อเธอ
	เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น  ทุกคนหันไปมองกันหมด  ฉันยิ้มทันทีเมื่อเห็นยาหยีเดินมา
	จริงเหรอ
	จริงเพราะว่าอดีตกับปัจจุบันมันขนานกันอยู่  ฉันก็คนหนึ่งละที่ครั้งหนึ่งไม่เคยเชื่อเรื่องนี้  แต่พอฉันได้ไปอยู่วัดและได้ตัดกรรมในครั้งนั้น  มันทำให้ฉันเห็นภาพในอดีตชาติ  และฉันก็เชื่อว่านั่นคือเรื่องจริงฉันคิดว่าเธอคงเป็นเหมือนที่ฉันเคยเป็น
	ใช่ฉันเห็นภาพเมื่อสองร้อยกว่าปี  ฉันเห็นเรื่องราวในอดีตชาติ
	อย่าบอกนะว่าที่ยายผึ้งหลับไปสองวันนี่เธอถอดจิตไป
	เสียงส้มพูดดังขึ้น  น้ำเสียงของเธอพูดเหมือนกับไม่เชื่อว่าเป็นแบบนั้น
	ใช่นี่เขาเรียกว่าการถอดดวงจิต  บางทีเราก็ถอดดวงจิตไปโดยไม่รู้ตัว  เพราะบางทีในขณะที่เรากำลังยืนอยู่ในจุดที่อดีตชาติกำลังดำเนินอยู่นั้น  เกิดการทับรอยระหว่างเส้นลิขิต  จึงทำให้ดวงจิตในชาตินี้หลุดลอยไปหาอดีต  ทำให้เกิดนิมิตภาพเรื่องราวต่าง ๆ และดวงจิตของเรานั้นก็ได้ไปรวมกันมันจึงทำให้ภาพที่เห็นนั้นเป็นจริง
	เชื่อเขาเลยว่าทั้งคู่น่าจะไปหาจิตแพทย์
	ส้มยิ้มเยาะแล้วก็เดินไปนั่งรวมกับเพื่อน ๆ ที่นั่งอยู่ที่โซฟา
	แอ๊ด..
	เสียงประตูห้องพยาบาลเปิด  ผู้หมวดณรงค์เดินมาพร้อมกับผู้หมวดอีกหลายคนเพื่อมาเยี่ยมน้ำผึ้ง  ทุกคนดูยิ้มแย้มแจ่มใส  น้ำผึ้งพยายามมองหาผู้หมวดคนนั้น  คนที่เธอเห็น  คนที่เธอสงสัยว่าจะเป็นคนในอดีตชาติเป็นญาติผู้ใหญ่ที่เธอเคยเห็น
	มองหาใครอยู่เหรอครับ!!!
	ผู้หมวดณรงค์ถามน้ำผึ้งขึ้นมาทันทีด้วยความสงสัย
	จะมองหาใครล่ะ  ก็มองหาพระเอกคนที่อุ้มเธอมาส่งโรงพยาบาลน่ะสิ
	อ๋อผู้หมวดสุเมธน่ะเหรอวันนี้เขาไปหาแฟนน่ะชอบเหรอผมติดต่อให้ได้นะ
	นี่ผู้หมวดณรงค์เพื่อนฉันไม่ชอบสามีของชาวบ้านหรอกนะ
	ผมก็ไม่ได้ว่าเขามีเมียซะหน่อย  แค่แฟนเท่านั้นเองผมติดต่อได้นะ
	ฉันไม่ได้ชอบเขาหรอกค่ะ  คือฉันจะขอบคุณเขาเท่านั้นเอง
	น้ำผึ้งตอบด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล  ครู่หนึ่งแพทย์ก็มาขอตรวจอาการของเธอ
	อาการของคุณไม่เป็นอะไรครับ  กลับบ้านได้เลย  แต่ผมสงสัยอยู่ว่าทำไมคุณถึงหลับไปนานขนาดนั้นถ้าคุณมีอาการไม่ค่อยดีให้โทรติดต่อผมได้เลยนะนี่นามบัตรของผม
	ขอบคุณค่ะ
	น้ำผึ้งออกจากโรงพยาบาลมาพร้อมเพื่อน ๆ และตำรวจอีกหลายนาย  ทุกคนคุยกันอย่างสนุกสนาน  นาจับคู่กับผู้หมวดทิน  ส้มคุยกับผู้หมวดณรงค์  ยาหยีคุยกับผู้หมวดเปรม  ต่ายคุยกับโอแฟนของเขา  ส่วนน้ำผึ้งนั้นไม่ยอมพูดจาอะไร  เธอก้มหน้าก้มตาไปตลอดทางจนกระทั่งเธอเดินออกมาพ้นประตูโรงพยาบาลไปแล้ว  เธอได้กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยที่สุด  เธอรู้สึกว่าน้ำหอมกลิ่นนี้เหมือนกับกลิ่นของคุณหลวงบดินทร์นฤนาถ  เธอจึงหยุดเดินและหันกลับมาหากลิ่นน้ำหอมกลิ่นนั้น  เธอเดินเข้าไปจับแขนผู้ชายคนนั้นทันที
	คุณ.
	อ้าว!!! ผมกำลังจะไปเยี่ยมคุณอยู่พอดีเลย  จะกลับบ้านเหรอครับ
	ค่ะ
	น้ำผึ้งแก้วยิ้มแล้วก็ยืนคุยกับผู้หมวดหนุ่มคนนี้ด้วยสีหน้าที่สดชื่นราวกับได้คุยกับแฟนเพื่อน ๆ และผู้หมวดหลายคนจึงหันกลับมามองแล้วก็ยิ้ม
	คุณรู้ได้อย่างไรว่าเป็นผม
	ฉันได้กลิ่นน้ำหอมค่ะ
	จำได้ขนาดนั้นเลยเหรอ!!!!
..2..
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ติดตามผลงานมาอย่างไม่ขาดสายนะคะ...หากใครยังประทับใจในนวนิยายแนวอิงประวัติศาสตร์อยู่ก็ลองอ่านเรื่องนี้ดูนะคะเผื่อจะถูกใจใครบ้าง...				
16 มกราคม 2548 22:14 น.

นวนิยาย:ปางอดีต ( ขอเสนอเป็นตอนแรกค่ะ )

สุชาดา โมรา

เป็นกระไรไปเจ้าทุกทีพี่ก็จูงแขนเจ้าได้วันนี้เป็นอะไรไป
	มันไม่งามเจ้าค่ะอิฉันเดินเองได้
	แก่แดดนักนะเราคุณแม่ของพี่ก็มาด้วย
	เด็กน้อยหันไปไหว้คุณหญิงแล้วก็ไหว้ชายหนุ่ม  จากนั้นก็เดินขึ้นเรือนไปอย่างระมัดระวังกิริยา  หล่อนนั่งลงใกล้ ๆ เจ้าคุณย่าแล้วก็กระซิบกระซาบอะไรบางอย่างก่อนที่ชายหนุ่มและแม่ของเธอจะขึ้นเรือนมา
	เด็กน้อยคลานห่างออกไปจากนั้นก็ยกน้ำลอยดอกมะลิมายื่นให้ชายหนุ่มแล้วก็คลานห่างออกไปอีก  ผู้ใหญ่คุยกันจนออกรสเด็กน้อยนั่งพับเพียบทำหน้าเบ้เพราะไม่อยากจะนั่งอยู่ตรงนี้  หล่อนรู้สึกเบื่อมากที่ต้องมานั่งฟังผู้ใหญ่เขาคุยกัน
น้ำผึ้งแก้วเอ๊ยมานี่สิลูก
	เจ้าค่ะคุณย่า
	เสียงคุณย่าซึ่งเป็นคุณท้าวนางในตำหนักของสมเด็จฯ เรียกตัวหลานสาวให้คลานเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อรับหมากพลูตรงหน้าระเบียงจากคุณหลวงบดินทร์นฤนาถทหารราชองครักษ์ซึ่งมีหน้าที่ติดตามรับใข้ใกล้ชิดสมเด็จฯ
	อุ๊บ๊ะ!!!!  ไอ้หลานสาวคนนี้ของคุณท้าวช่างงามเหลือเกิน  เมื่อไรจะตัดจุกล่ะเจ้า
	นี่ลูกคุณหญิงท่านถามทำไมไม่ตอบเล่า
	คุณย่าทักท้วงน้ำผึ้งแก้วขึ้น  หล่อนจึงตอบด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆ เพราะไม่อยากจะตอบเนื่องจากหล่อนไม่ค่อยชอบคุณหลวงกับแม่ของเธอเพราะทั้งคู่ชอบมาเยี่ยมเยียนบ่อย ๆ ซึ่งตามประสาเด็กแล้วก็ไม่อยากจะมาอยู่ตรงที่ผู้ใหญ่เขาคุยกันหรอกใคร ๆ ก็อยากจะไปวิ่งเล่นทั้งนั้น
	อีก 3 เดือนเจ้าค่ะ
	อืมโตไวจริงเจ้าเห็นทีพี่คงพาเจ้าขี่คอเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้วสิ
	เมื่อก่อนก็ไม่เห็นจะได้ขี่เลย
	น้ำผึ้งแก้วบ่นอุบอิบจนคุณย่าค้อนหล่อนจึงค่อย ๆ คลานออกมาห่าง ๆ ผู้ใหญ่  และนำหมากพลูที่คุณหลวงบดินทร์นฤนาถนำมาฝากนั้นวางไว้ใกล้ ๆ เจ้าคุณย่า
	กระผมขออนุญาตพาน้องไปเที่ยวตลาดได้ไหมขอรับ
	เอาสินี่คงเบื่อแย่เลยเพราะวันนี้เจ้าพวกเพื่อนเล่นก็ตัดจุกกันหมดแล้ว  ไม่มีใครจะเล่นด้วยป้าก็ฝากน้องด้วยก็แล้วกันนะพ่อเมธ
	น้ำผึ้งแก้วได้ยินแล้วก็ดีใจถึงกับแสดงสีหน้าที่เบิกบานทันที  หล่อนเดินลงจากเรือนของคุณย่าแล้วรีบวิ่งกลับเรือนของตัวเองทันที
	รอก่อนนะเจ้าคะคุณหลวง
	คุณหลวงรอน้ำผึ้งแก้วอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ต้องตกตะลึงที่เห็นหล่อนแต่งตัวราวกับสาวแรกรุ่น  หล่อนดูโตเร็วมากทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ตัดจุด  ถึงแม้ว่าหล่อนยังคงสวมใส่โจงกระเบนและเสื้อถักคอกระเช้าก็ตามเถอะ  แต่ก็ดูหล่อนเป็นสาวเหลือเกิน
	กลิ่นดอกมะลิและกลิ่นอบร่ำที่มากับน้ำมันจันทร์ที่ใส่ผมของหล่อนหอมกรุ่นไปหมด  หล่อนเดินมาจูงมือคุณหลวงแล้วก็ลงเรือไปด้วยกัน  คุณหลวงไม่ให้นายมิ่งบ่าวเชื้อสายบางขันหมากตามไปด้วย
	เดี๋ยวก็ให้จูงแขนเดี๋ยวก็ไม่ให้จูงแขน  หลายอารมณ์จริงเลยเจ้า
	ก็คนมันดีใจนี่เจ้าคะเบื่อจะตายอยู่กับเจ้าคุณย่าทั้งวัน  เพื่อนก็ไม่มีสักคน  ไม่รู้จะรีบตัดจุกไปถึงไหน  พอตัดจุกแล้วก็เข้าวังไปเป็นข้าสนองพระบาทท่านฯ  น่าเบื่อจะตายไป
	น้ำผึ้งแก้วตอบด้วยน้ำเสียงที่หดหู่  พร้อมกับแสดงท่าทางดีใจและเขินอายออกมาเป็นบางครั้งจนทำให้คุณหลวงที่นั่งพายเรืออยู่นั้นอมยิ้มอยู่บ่อย ๆ
	เจ้านี่ช่างพูดจังเลยนะ
	ไม่พูดก็ได้น้ำผึ้งแก้วนึก  ตลอดทางที่คุณหลวงพายเรือไปเขาได้ชี้ให้ดูนั่นดูนี่หลายอย่าง  แต่หล่อนไม่ปลิปากพูดเลยสักนิด
	อ้าวทำไมไม่พูดเล่าเจ้า
	ก็คุณหลวงว่าอิฉัน  หาว่าพูดมากไม่ใช่รึอิฉันก็เลยไม่พูดไงเจ้าคะ
	เหอะแก่แดดจริงนะเรา  รู้จักประชดประชันพี่
	คุณหลวงถึงกับหลุดขำขึ้นมาทันที  น้ำผึ้งแก้วก็เลยนั่งหันหน้าออกไปทางอื่นเพราะไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับคุณหลวงซึ่งชอบวางมาดขุนนางข่มขู่เด็ก
	อะไรอีกเล่าเจ้านี่ขี้งอนจริงเชียว
	คุณหลวงพายเรือไปอมยิ้มไป  แสงแดดที่แผดเผาอยู่ดี ๆ ฝนฟ้าก็ตกขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งตัว  คุณหลวงรีบพายเรือพาน้ำผึ้งแก้วเข้ามาหลบฝนที่เพิงหาปลาของชาวบ้านที่อยู่ระแวกนั้น
	หนาวไหมเจ้าเนื้อตัวเปียกหมดแล้ว
	หนาวสิถามได้
	น้ำผึ้งแก้วยืนกอดอกเนื้อตัวสั่น  คุณหลวงไม่รู้จะทำอย่างไรดีก็เลยดึงผ้าคาดเอวออกมาแล้วบิดน้ำจนเกือบจะแห้งยื่นให้หล่อนทันที
	เปียก ๆ แบบนี้ให้มาทำไมเจ้าคะ
	เอาไปเช็ดตัวก่อนเถอะเจ้า  ดูสิยืนสั่นเป็นลูกหมาเลย
	น้ำผึ้งแก้วหยิบผ้าคาดเอวไปเช็ดตัวจนแห้ง  จากนั้นก็พยายามบิดผ้าแต่ก็ทำไม่สำเร็จคุณหลวงจึงบิดให้แล้วก็ส่งให้หล่อน  หล่อนจึงเอาผ้าคาดเอวนั้นไปเช็ดที่หน้าของคุณหลวงทันที
	คุณหลวงก็เปียกเหมือนกันนะเจ้าคะ
	คุณหลวงยิ้มแล้วก็นั่งลง  น้ำผึ้งแก้วจึงต้องนั่งลงบ้าง  ทั้งคู่รอจนฝนหยุดตกจากนั้นจึงกลับบ้าน  หล่อนจามตลอดทางคุณหลวงก็เช่นกัน  เมื่อมาถึงเรือนเจ้าคุณย่าหล่อนจึงขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกมานั่งกับเจ้าคุณย่าทันที
	พ่อทิวไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าหรือเจ้า  เดี๋ยวป้าให้บ่าวจัดเสื้อผ้าให้
	คุณหลวงเดินตามแม่อิ่มบ่าวในบ้านไปเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องเก่าของเจ้าคุณพ่อ  น้ำผึ้งแก้วนั่งจามอยู่หลายครั้งเจ้าคุณย่าจึงให้บ่าวไปหยิบยาฝรั่งที่ได้มาจากคนติดตามขิงเชอวาเลียร์  เดอ  โชมองค์  ผู้ที่ถวายพระราชสารให้กับองค์สมเด็จฯ ที่กรุงศรี  ซึ่งเขาได้มาแวะผ่านมาที่ละโว้  เจ้าคุณย่าจึงได้ขอยาดี ๆ จากเขามาหลายอย่างจึงทำให้ที่เรือนของเจ้าคุณย่ามีแต่ยาวิเศษของฝรั่งเต็มไปหมด
	ไปเล่นน้ำฝนที่ไหนกันมาเจ้าคราวหน้าต้องให้นั่งเรือเก๋งไปแล้วมั้งจะได้ไม่เปียกมอมแมมเป็นลูกหมาตกน้ำมาแบบนี้อีก
	เจ้าคุณย่าพูดแล้วก็ยิ้ม ๆ จนกระทั่งคุณหลวงเดินออกมาจากห้อง  เขาเข้ามานั่งใกล้ ๆ กับน้ำผึ้งแก้วแล้วก็หยิบปิ่นปักผมออกมาส่งให้หล่อน
	นี่คงยังไม่สายไปดอกนะเจ้า  อีกแค่สามเดือนก็จะตัดจุก  นี่พี่ให้นะ
	น้ำผึ้งแก้วก้มลงกราบที่ตักของคุณหลวงจากนั้นก็ยื่นมือไปรับปิ่นปักผมทันที
	อย่างอนพี่อีกล่ะ
	คุณหลวงพูดเบา ๆ จากนั้นก็ลาเจ้าคุณย่ากลับไป
..1
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...สำหรับคนชอบนวนิยายรักอิงประวัติศาสตร์				
16 มกราคม 2548 22:08 น.

นวนิยาย:คิดจะรัก...ต้องพักรบ ( ตอนที่8 )

สุชาดา โมรา

ร้องออกมาเสียให้หมดเถอะอย่าเก็บเอาไว้อีกเลย  แนนซี่พูดขึ้น
คุณภูริแอบยืนมองอยู่ห่าง ๆ ที่ตรงริมหน้าต่าง  เขาเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับหยิบรูปที่หล่นอยู่ที่พื้นใบเดียวมาให้  ภาพนั้นยิ่งทำให้กิ๊กรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าคนในภาพนอนเคียงข้างอยู่บนเตียงด้วยท่าทางที่มีความสุข
นี่คุณไม่รู้เรื่องเลยหรือไงเพื่อฉันยิ่งเสียใจอยู่  คุณมาทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร
ผมขอโทษเพียงแต่ผมคิดว่าผมอยากให้คุณกิ๊กตัดใจให้ขาดเสียเถอะก่อนที่จะสายจนเกินไป
หมายความว่าอย่างไรคุณพูดให้มันดี ๆ นะ
กัญญาจูงแขนคุณภูริออกไปข้างนอกเพื่อคุยกัน  คุณภูริจึงเล่าเรื่องที่ไปเห็นคุณเอกนายตำรวจหนุ่มสามีของกื๊กพาคุณรัชนีตำรวจหญิงไปฝากท้องที่โรงพักในวันที่กิ๊กคลอดลูกพอดีกัญญารู้สึกตกใจมาก  เธอคิดมาตลอดว่าทำไมนายตำรวจหนุ่มจึงมีสีหน้าไม่ยินดียินร้ายที่ได้เป็นพ่อคนแบบนั้น
ฉันคิดอยู่แล้วเชียว
กัญญาพูดขึ้นพร้อมกับแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด  เธอกำหมัดแน่นแล้วก็หันไปมองกิ๊ก  สายตาของเธอเริ่มอ่อนโยนลงจากนั้นก็หันมามองคุณภูริด้วยสายตาที่เหมือนกับจะบอกว่าขอบคุณที่ทำให้เธอรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับกิ๊กได้กระจ่างมากยิ่งขึ้น
กิ๊กเลิกฟูมฟายเสียอกเสียใจ  เธอเริ่มเปลี่ยนเป็นคนใหม่หลังจากที่มีที่ปรึกษาดีอย่างแนนซี่แนนซี่แปลงโฉมให้กิ๊กใหม่ทำให้เธอดูสาวสวย  และสวยกว่าที่เป็นอยู่เสียด้วยซ้ำจนคุณภูริถึงกับตกตะลึงทีเดียว
นี่คุณเพื่อนฉันย่ะห้ามมอง
หึงละสิจะให้ผมมองแต่คุณคนเดียวใช่ไหมล่ะ
คุณภูริพูดขึ้นพร้อมกับทำสายตาหวานเยิ้มใส่  กัญญารู้สึกเขิน ๆ เธอหันไปตีไหล่คุณภูริเบา ๆ ทันที
อย่ามาทำตาหวานเยิ้มใส่ฉันนะ
คุณภูริจึงหันมาตีไหล่ตอบบ้าง  แต่ด้วยความที่เป็นผู้ชายทำให้เผลอทิ้งแรงออกไปมากกัญญาจึงหันมาตีตอบ  หนักเข้า ๆ ก็เริ่มแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มทะเลาะกัน  แนนซี่จึงต้องมาห้ามศึกทั้งคู่เพื่อไม่ให้ทะเลาะกันไปมากกว่านี้
นี่หยุดหยุดหยุดได้แล้ว
แนนซี่ตะเบงเสียงดังลั่นจนทั้งคู่ต้องหยุด  กิ๊กถึงกับหลุดขำออกมาทันที
เออยายกัญญาไปแต่งตัวซะ  ฉันมีอะไรจะบอกละ  กิ๊กพูดขึ้น
อะไรเหรอมีอะไรก็พูด ๆ ออกมาสิ
ก็ยายหนูนาติดไปสัมภาษณ์สดที่ระยองน่ะเขาเพิ่งโทรมาบอกเมื่อสักพักได้มั้ง
กิ๊กและแนนซี่พูดไปเดินไปจนถึงห้องแต่งตัว
แล้วอย่างนี้ใครจะไปเป็นเพื่อนเจ๊ล่ะ โดนเจ๊อีกสองคนเบี้ยวแล้วใช่ไหม เพราะมองหาไม่เห็นทั้งหนูนาและก็ยายแป้งส่วนยายต่ายก็คงจะมาเพราะขานี้ไม่มีทางพลาดหรอก
ก็ฉันไงล่ะ
กิ๊กพูดขึ้นพร้อมกับยิ้ม  สีหน้าที่โศกเศร้านั้นเหือดหายไปภายในพริบตา  ทั้งกัญญาและแนนซี่ถึงกับฉีกยิ้มดีใจที่เห็นกิ๊กกลับมาสดใสเหมือนเดิมอีกครั้ง
เดี๋ยวนะคืนนี้ยายหนูนาเขาจะออกทีวีว้าย...ใช่...ใช่เลย...แล้วนี่แนนซี่ลืมได้ยังไงเนี่ย...ว้า...เสียดาย
เสียดายอะไรย๊ะหล่อน
เสียดายที่ไม่ได้ไปด้วยน่ะสิย๊ะถ้าไปด้วยฉันคงได้เห็นคุณภูวดล  เพราะเขาคงจะต้องตามยายหนูนาไปทำข่าวแน่ ๆ เลย
หล่อนรู้ได้ไงใครบอกหล่อน  วันนี้คุณภูวดลมาที่นี่ย่ะเธอน่ะพลาดข่าวแล้ว
จริงเหรอจริงเหรอ!!!!
แนนซี่ทำท่าดีอกดีใจมากเป็นพิเศษ  เธอลุกขึ้นยืนพร้อมกับบิดซ้ายบิดขวา  สายตาของเธอเหม่อมองไปข้างนอกราวกับจะสร้างวิมานในอากาศอย่างนั้นแหละกิ๊กจึงต้องสะกิดให้แนนซี่นั่งลงมาช่วยแต่งตัวให้กับกัญญาซึ่งเป็นเจ้าของงาน
คืนนี้เธอต้องสวยที่สุด  นางฟ้าสีขาวของฉัน
ของเธอที่ไหนของผู้ชายที่นั่งรออยู่ข้างล่างต่างหากล่ะ
เออใช่
แนนซี่พูดและหันไปค้อนควับกับกิ๊ก  ทั้งคู่ช่วยกันแต่งองค์ทรงเครื่องให้กับกัญญาราวกับเจ้าหญิง  จากนั้นแนนซี่ก็พากัญญาไปเก็บตัวในห้องและเดินลงไปเรียกให้คุณภูริมาแต่งตัว  แต่คุณภูริไม่ยอมเพราะกลัวว่าแนนซี่สาวประเภทสองจะทำมิดีมิร้าย
อย่าดึงราวบันไดสิคะตามฉันมา  ฉันไม่ทำอะไรหรอก
แนนซี่ฉุดกระชากลากถูคุณภูริจนมาถึงห้องแต่งตัว  แนนซี่จึงให้คุณภูริแต่งตัวใหม่เพื่อให้เข้ากับกัญญาเจ้าของงาน
ใส่นี่ซะ  ฉันจะไปรอข้างนอก
ทำไมต้องใส่
ไม่อยากเป็นคู่ควงกับเจ้าหญิงของเราหรือไง
คุณภูริถอนใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นแนนซี่ออกไปนอกห้อง  เขาแต่งตัวด้วยความระมัดระวัง  สายตาของเขาจ้องมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความหวาดระแวงเพราะกลัวว่าแนนซี่จะแอบมองเขาขณะที่เขากำลังใส่กางเกงอยู่นั้นแนนซี่ก็เปิดประตูพรวดเข้ามา  เขาถึงกับตำใจดึงผ้าผ่อนที่วางระเกะระกะอยู่มาปิดช่วงล่างของเขาทันที
ลืมของค่ะ
แนนซี่พูดขึ้นพร้อมกับจ้องมองไปที่คุณภูริแบบขำ ๆ เมื่อแนนซี่ออกไปนอกห้องแล้วคุณภูริจึงวิ่งไปล็อกประตูทันที  เขาสวมเสื้อผ้าจนเสร็จแล้วก็เดินไปเปิดล็อกประตูเขาถึงกับถอนใจเฮือกใหญ่ทีเดียว
นึกว่าจะเสร็จกระเทยซะแล้วสิคุณภูรินึก
แนนซี่เดินมาเคาะประตูสามครั้ง  คุณภูริยังไม่ทันได้ตอบอะไรแนนซี่ก็เดินตรงเข้ามาโปะแป้งให้กับเขาทันที
ผู้ชายน่ะไม่ต้องแต่งตัวอะไรมากหรอก  ยังไง ๆ ก็หล่ออยู่ดีนั่นแหละ
แนนซี่พูดขึ้นพร้อมกับพาคุณภูริเดินออกมาจากห้องแต่งตัวและพามาที่ลานกลางงานในตอนหัวค่ำผู้คนเข้ามาในงานมากมาย  คุณภูริหันไปมองหลายคนที่สวมหน้ากาก  เขาพยายามมองหากัญญาแต่ก็ไม่พบ
พี่ภูริ
ไงดลหล่อเชียวนะแก
ไม่ได้หรอกวันเกิดหวานใจผมทั้งทีผมก็ต้องมาสิ
เดี๋ยวแกได้หวานใจแน่นั่นไง
คุณภูริพูดแล้วก็อมยิ้มพร้อมกับหันไปมองแนนซี่ซึ่งเดินมาพร้อมกับกิ๊กในชุดเจ้าหญิงสีขาว  แต่แนนซี่สวมชุดซูสีไทเฮาเดินตรงมายังคุณภูวดลซึ่งบังเอิญสวมชุดฮ่องเต้ตามคำบอกเล่าของหนูนาซึ่งก็เป็นไปตามแผนที่แนนซี่วางไว้ให้หนูนาไปปล่อยข่าวว่างานนี้สวมชุดแฟนซีและกัญญาจะสวมชุดจีนให้คุณภูวดลแต่ตาม
คุณภูริถึงกับหลุดขำออกมาทันที  เขาไม่ยอมบอกสิ่งที่เขารู้ให้กับน้องชายทราบเขาเก็บเรื่องนี้ไว้ขำเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง  กิ๊กพาคุณภูริเดินมาใกล้ ๆ กับต้นพิกุลจากนั้นก็ชี้ให้คุณภูริเห็นผู้หญิงชุดขาวที่สวมหน้ากากขนนกยืนอยู่ทางด้านหน้าของเขา
นั่นไงคะไปสิ
คุณภูริเดินเข้าไปคุยกับกัญญา  แต่เธอไม่ยอมตอบอะไรเพราะยังไม่ถึงเวลาเปิดหน้ากากคุณภูริพากัญญาเดินเข้าไปเต้นรำที่กลางลานที่จัดเตรียมเอาไว้ในขณะที่คุณภูวดลกำลังเต้นรำเพลิดเพลินอยู่กับแนนซี่กระต่ายเต้นรำกับพี่โอสามีของเธอแป้งเต้นรำกับพี่นันต์สามีของเธอส่วนกิ๊กนั้นก็มีชายหนุ่มแต่งกายชุดสีขาวเดินมาโค้งขอเต้นรำกับเธอ  เธอจึงเดินออกไปเต้นรำกับเขาที่กลางลาน
เพื่อน ๆ ทุกคนมากันพร้อมหน้า  ขาดเพียงหนูนาคนเดียวที่มาร่วมงานไม่ได้  ช่างภาพจับภาพผู้คนในงาน  กล้องหลายตัวจับจ้องไปยังกัญญาและคุณภูริ  ทั้งคู่เต้นรำกันอย่างสนุกสนานโดยที่ไม่รู้ตัวว่ามีนักข่าวแอบปะปนเข้ามาในงานด้วย
..8..
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ...ขอขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ...				
15 มกราคม 2548 14:53 น.

นวนิยาย:บันทึกรักสีชมพู (ขอเสนอเป็นตอนแรกค่ะ)

สุชาดา โมรา

ก๊อกก๊อกก๊อกเสียงเคาะประตูดังขึ้น  อัปสรสวรรค์ปาดหยาดน้ำตาที่ค่อย ๆ ไหลลงมาอาบสองแก้มให้เหือดหายไปจากใบหน้า  เธอตะโกนถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
	มีอะไรคะ
	สรเดี๋ยวแต่งตัวให้เสร็จนะจะได้ไปทานข้าวกับคุณอู๋
	ค่ะ
	อัปสรสวรรค์รับคำ  เธอรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีชุดที่เธอสวมใส่นั้นเรียบง่ายดูคล่องตัวและรัดกุมเธอแต่งตัวดูดีที่สุดเท่าที่เคยสวมใส่  เพราะปกติแล้วเธอเป็นสาวมั่นใจในตัวเองสูงและแต่งกายออกจะเปรี้ยวหวือหวาเป็นพิเศษ  แต่วันนี้เธอกลับสวมใส่เพียงเสื้อยืดกางเกงยีนส์เท่านั้น
	อัปสรสวรรค์เดินออกมาจากห้อง  เธอถือกระเป๋าสะพายใบเล็กสีดำเดินตรงมายังคุณอู๋คู่หมั้นของเธอซึ่งนั่งอยู่ที่โซฟาเขายิ้มแล้วก็ลุกขึ้นพาเธอไปขึ้นรถ
	อีกแค่ปีเดียวก็จะจบแล้วนะพี่จะให้เวลาสรใช้ชีวิตวัยรุ่นให้เต็มที่เพื่อที่จะได้เตรียมพร้อมกับการเริ่มครอบครัวใหม่
	ค่ะสรจะใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดค่ะ  ขอเวลาสรเรียนให้จบปริญญาโทก่อนนะคะ  เพราะตอนนี้สรมีโครงการเรียนต่อหลายสาขาเลยค่ะ  จะได้กลับมาทำงานได้เต็มที่
	พี่คิดว่าหลังจากแต่งงานไปแล้วพี่จะให้สรอยู่กับบ้านคอยเป็นแม่บ้านแม่เรือนให้กับพี่
	แล้วสรจะเรียนไปเพื่ออะไรคะ  อัปสรสวรรค์รู้สึกเคืองในใจอยู่นิด ๆ แต่เธอกลับแสดงสีหน้าอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก
	ก็เอาปริญญาไปแขวนไว้ที่ข้างฝาบ้านเล่น ๆ ไงอยู่กับพี่ไม่ต้องคิดอะไรมากแค่เป็นแม่บ้านคอยดูแลพี่ก็พอแล้ว  จะมานั่งทำงานให้มันเหนื่อยไปทำไม  คุณอู๋ตอบอย่างไม่สนใจอะไร  เขานั่งขับรถไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ถามคู่หมั้นของตัวเองสักนิดว่ากำลังคิดอะไรอยู่
	คุณอู๋และอัปสรสวรรค์เดินเข้ามายังร้านอาหาร  เขาเดินมานั่งที่โต๊ะตรงมุมสุดของร้านอัปสรสวรรค์เดินสวนกับผู้ชายคนหนึ่ง  เธอรู้สึกเจ็บแปลบที่ในหัวใจขึ้นมาทันที  แขนขวาที่เดินสวนกับเขานั้นร้อนผ่าวราวกับไฟที่กำลังลุกท่วมแขน  เธอหันกลับไปมองชายคนนั้นทันทีชายคนนั้นมากับแฟนสาวหน้าหวาน  ตัวเขาเองก็ดูหล่อและมีเสน่ห์  ผิวขาวสูงโปร่ง  เดินหลังตรงราวกับทหารแต่ขอบเสื้อยืดที่เขาใส่นั้นเป็นสีแดงเลือดหมู  อัปสรสวรรค์รู้ได้ทันทีเลยว่าเขาต้องเป็นนายตำรวจแน่ ๆ
	มองอะไรเหรอนั่งสิ
	คุณอู๋ถามเธอด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวด  เขาดึงแขนเธอให้เธอนั่งลงมือนั้นจับที่แขนของเธอแรงมากจนอัปสรสวรรค์รู้สึกกลัว  เธอนั่งลงสั่งอาหารทันทีเธอรีบทานและรีบที่จะกลับเพราะไม่อยากนั่งอยู่กับคู่หมั้นของเธอเพราะเขาเป็นคนเจ้าระเบียบ  เจ้าอารมณ์  และเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองเขาไม่ค่อยคิดถึงจิตใจของผู้อื่น  แม้แต่คู่หมั้นของเขาเองเขายังไม่คิดที่จะพูดดี ๆ เลยถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่หล่อและรวยเพียงใดก็ตาม
	อัปสรสวรรค์เดินออกมาจากร้านอาหารคุณอู๋รีบด่วนไปที่รถก่อน  เธอหันกลับมามองผู้ชายคนนั้นแต่ก็ไม่เห็นจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงใครบางคนที่กำลังทะเลาะกันอยู่  เมื่อเธอเดินพ้นประตูร้านออกไปแล้วกระเป๋าสตางค์ใบสีดำก็ลอยมากระแทกที่หน้าเธอชายคนนั้นกับแฟนสาวกำลังทะเลาะกันหนักมาก  ทั้งคู่ต่างไม่ยอมกัน  ดูท่าทางพวกเขาคงจะเป็นสามีภรรยากันมากกว่าเพราะไม่อย่างนั้นคงจะไม่ทะเลาะกันรุนแรงขนาดนี้อัปสรวรรค์เก็บกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา  เธอเห็นรูปที่อยู่ในกระเป๋าคือรูปของผู้ชายคนนั้น  เธอพยายามจะนำกระเป๋าไปคืนเขาแต่ก็ไม่ทันเพราะเขาขับรถออกไปแล้ว  เธอจึงต้องเก็บกระเป๋าใบนั้นเอาไว้เพื่อที่จะได้นำไปคืนเขา
	ทำอะไรอยู่จะกลับหรือเปล่า
	เสียงตะโกนของคู่หมั้นเธอดังขึ้น  เธอรีบเก็บกระเป๋าใบนั้นและรีบเดินมาขึ้นรถทันทีเขามาส่งเธอที่บ้านและก็พยายามจะลวนลามเธอในรถแต่เธอก็ขัดขืนและตบหน้าเขาทันที
	นี่เธอ!!!!  ขอแค่นี้ไม่ได้เหรอ  จะเล่นตัวไปทำไม  อีกหน่อยก็จะแต่งงานกันแล้ว  ยังมีอะไรที่ต้องอายด้วยเหรอ  เขากระชากแขนเธอและพูดเสียงดังลั่นรถ
	ฉันเป็นแค่คู่หมั้นคุณนะฉันไม่ใช่เมียคุณ  คุณจะได้มาทำอะไรตามใจชอบแบบนี้ฉันไม่ชอบเลย
	อย่ามาเถียงนะพี่คุณติดการพนันผมเท่าไรวันนั้นผมจะเอาคุณไปเป็นนางบำเรอก็ได้แต่ผมไม่ทำทั้ง ๆ ที่พี่คุณขายคุณให้ผมในบ่อนเสียด้วยซ้ำนี่ผมยังเห็นแก่หน้าของพ่อแม่คุณหรอกนะ  ไม่อย่างนั้นคุณคงจะไม่ได้มานั่งลอยหน้าลอยตาแบบนี้ได้หรอก
	ที่จริงพี่ชายฉันก็ไม่ใช่พี่ชายแท้ ๆ จริง ๆ แล้วฉันไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบเรื่องนี้ก็ได้  แต่เพราะคุณไม่ใช่เหรอที่บอกว่าถ้าไม่อยากให้พี่ชายตายก็ให้หมั้นกับคุณพ่อแม่ฉันมีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าหนี้เพียงไม่กี่ล้านด้วยซ้ำ  แต่คุณทำไม!!!!
	ก็เพราะว่าผมอยากได้คุณไปเป็นแม่บ้านของผมไงคุณไม่เข้าใจเหรอผมไม่ต้องการเงินอีกต่อไปแล้วเพราะผมเองก็มีเหมือนกัน
	เขาตวาดใส่เธอจนเธอรู้สึกกลัว  เธอสลัดแขนออกและรีบเปิดประตูรถและวิ่งเข้าบ้านทันที
	เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเจออะไรแบบนี้ไอ้ผู้ชายเฮงซวยเดี๋ยวก็ขู่ว่าจะฆ่า  เดี๋ยวก็ขู่ว่าจะบอกพ่อกับแม่  ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าคุณแม่ของเรากำลังป่วยหนัก  ไม่ต้องการให้อะไรมากระทบกระเทือนจิตใจผู้ชายเลวอัปสรสวรรค์คิด  เธอนอนร้องไห้อยู่ในห้องเพียงคนเดียว  จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นพรวดเพราะนึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างที่เธอควรที่จะทำมากกว่านี้
	อัปสรสวรรค์เปิดกระเป๋าสะพายและหยิบกระเป๋าสตางค์ใบนั้นขึ้นมา  เธอเปิดดูรูปและบัตรประจำตัวของเขา  เธอเห็นรูปเขากับผู้หญิงคนนั้น  และมีรูปตัวเขาเองเดี่ยว ๆ เธอจึงเดินไปเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ในห้องและแสกนรูปของเขาเก็บไว้ทันทีเธอเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่  แต่ที่รู้ ๆ คือเธอรู้สึกแปลก ๆ ที่ได้เจอเขาทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่ได้ชายสายตามองเธอเลยสักนิด
	ในกระเป๋าใบนั้นมีเงินติดอยู่เพียงสองพันบาทเท่านั้น  บัตรและเอกสารที่พบก็มีแต่บัตรข้าราชการ  บัตรประจำตัวของตำรวจ  บัตรเอทีเอ็มและเครดิตการ์ดอีกสองใบ  เธอคิดว่าเธอจะนำกระเป๋าใบนั้นไปคืนที่ไหนดี  แต่ก็คิดไม่ออก  เธอจึงเก็บกระเป๋าใบนั้นเอาไว้ใต้หมอนและก็รีบอาบน้ำนอนทันที
..1


โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสุชาดา โมรา