17 มกราคม 2549 21:19 น.

เรื่องสั้นสั้น.. พระจันทร์กับบ่อน้ำ

หมอกจาง


.

บ่อน้ำเก่าแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่กลางลานโล่ง

มันคิดเสมอ ว่ามันเป็นแค่บ่อน้ำเก่าๆ ที่ไม่มีค่าอันใด

นานๆครั้งจึงจะมีคนแวะเวียนมาตักน้ำบ้าง แค่บางครั้งบางคราว

นอกจากนี้มันยังไม่สวยงามอีกด้วย

ใช่มันเป็นแค่บ่อน้ำเก่าๆบ่อหนึ่งเท่านั้น

เจ้าบ่อน้ำ ชอบพระจันทร์

ทุกครั้งที่พระจันทร์เคลื่อนข้ามผ่านมัน มันจะรู้สึกว่าพระจันทร์นั้นช่างสวยงาม

ทุกคืนมันรอคอยที่จะให้พระจันทร์มาเยือน

แต่บางครั้ง บางคืน จันทร์ก็ไม่มา

บางคืนที่มา บางทีก็แค่ซีก แค่เสี้ยว

แต่ถึงจะเป็นแค่ซีกเดียว เสี้ยวเดียว พระจันทร์ก็ยังคงงดงามอยู่ดี

ทุกๆอย่าง วนเวียน เป็นอย่างนี้มาเนิ่นนาน

เจ้าบ่อน้ำไม่เคยกล้าที่จะเอ่ยปากพูดคุยกับดวงจันทร์

จนวันหนึ่ง พระจันทร์เต็มดวง งดงาม

งามเสียจนเจ้าบ่อน้ำ อดใจไว้ไม่ไหว

ท่านงามเหลือเกิน ดวงจันทร์ รู้ไหมว่าข้าเฝ้ารอที่จะได้ชมการมาเยือนของท่านทุกๆค่ำคืน

ดวงจันทร์ยิ้มและเอ่ยตอบ

ท่านก็งดงามเช่นกัน บ่อน้ำ

บ่อน้ำแปลกใจ

ข้าไม่มีสิ่งใดงดงามเลยดวงจันทร์

งั้นข้ามีสิ่งใดงดงามเล่าบ่อน้ำ ดวงจันทร์ถาม

ท่านมีแสงอันสวยงามเย็นตานั่นอย่างไรล่ะ อีกทั้งรูปทรงที่งดงามไม่ว่ากลมหรือเสี้ยว ทั้งความอ่อนโยนที่ข้ารับรู้ได้ในแสงสวยนั้น

ถ้าเจ้าเรียกว่านั่นคือความสวยงาม สิ่งเหล่านั้น เจ้าก็มีอยู่เช่นกันบ่อน้ำ ข้ามองเห็นมันในทุกครั้งที่ข้าเคลื่อนลอยผ่านเจ้า

ดวงจันทร์ บ่อน้ำครวญ ข้าเป็นเพียงบ่อน้ำที่ไม่มีความงดงามใดๆ ที่ท่านเห็นเป็นเพียงแสงสะท้อนจากความงดงามของท่านเพียงเท่านั้น

ก็เจ้าเรียกสิ่งนั้นว่าความงดงามมิใช่หรือ บ่อน้ำ

ใช่ แต่ความงดงามนั้นคือความงดงามแห่งท่านที่สะท้อนผ่านผิวของข้า หาใช่ความงดงามแห่งตัวข้าเองไม่

บ่อน้ำ ดวงจันทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 มิใช่ทุกอย่างหรอกนะ ที่จักสะท้อนเงาของข้าได้

.....................................

บ่อน้ำนิ่ง เงียบงัน ครุ่นคิด

แสงจันทร์ที่ส่องจ้ากลางบ่อน้ำ ค่อยๆเคลื่อนผ่านไป

ไม่มีใครรู้ ว่าเจ้าบ่อน้ำนั้นคิดอะไร

เจ้าบ่อน้ำ ยังคงรอคอยการมาเยือนของพระจันทร์เช่นเดิม ทุกๆคืน

และมันก็ยังจำคำพูดนั้นของพระจันทร์ได้เสมอ ไม่เคยลืม

....................................


บ่อน้ำ... มิใช่ทุกอย่างหรอกนะ ที่จักสะท้อนเงาของข้าได้


....................................

คำตาม.. ( ญาติห่างๆของคำนำ : )

เคยไหม..เวลาที่ได้อ่านหนังสือสักเล่ม แล้วรู้สึกซาบซึ้งไปกับสิ่งที่ถูกเขียนไว้เป็นตัวหนังสือ

เคยไหม..เวลาที่อ่านบทกวีสักบท แล้วรู้สึกได้ถึงความงดงามในบทกวี

เคยไหม..ที่ฟังเพลง แล้วรู้สึกสะเทือนใจไปกับบทเพลงนั้น

รักในหนังสือ รักในบทกวี รักในบทเพลง

ทึ่ง กับผู้ที่สร้างสรรค์งานเหล่านั้นขึ้นมา ว่าสร้างเหล่านั้นขึ้น..จากหัวใจที่งดงามเพียงใด

แต่รู้ไหม ว่าขณะเดียวกัน มันย่อมแสดงถึงความงดงามในใจคุณ

เพราะตัวหนังสือที่ลึกซึ้ง ก็ย่อมต้องการสมองที่ลึกซึ้งช่างตรอง จึงจะเข้าใจได้ในความลึกซึ้ง

บทกวีที่อ่อนไหว ก็ย่อมต้องใช้หัวใจที่อ่อนไหวในการอ่าน ในการการซึมซับรับรู้

และบทเพลงที่สะเทือนใจย่อมไม่อาจถูกดื่มด่ำด้วยอารมณ์ที่หยาบกระด้าง

หากผู้สร้างสรรค์เป็นพระจันทร์ ผู้เสพอย่างน้อยก็ย่อมเป็นบ่อน้ำใสสะอาด

ด้วยว่ามิใช่ทุกอย่าง ที่อาจสะท้อนเงาแห่งพระจันทร์

มิว่างานใดที่เสพแล้วรู้สึกได้ถึงความงดงาม จงรู้ไว้เถิดว่า ก็เนื่องเพราะหัวใจคุณนั้น มีความงดงามเฉกเช่นกัน
				
8 มกราคม 2549 10:53 น.

วันวุ่นๆ กับโจ๊กไหม้หนึ่งหม้อ

หมอกจาง


ผมเรียนอยู่ต่างประเทศ..
ดูจะเป็นเรื่องปกติที่นักเรียนไทยในต่างประเทศมักจะหางานพิเศษทำ
และก็ยิ่งเป็นเรื่องปกติ ถ้างานพิเศษที่จะทำกันนั้นคืองานในร้านอาหารไทย
ครับ ผมก็เป็นคนปกติๆคนนึงนี่แหละ

หลายคนที่ภาษาอังกฤษดีๆมักทำอยู่ข้างหน้าเป็น Waiter หรือ Waitress ก็ว่ากันไป
ส่วนคนไหนที่ใจรัก หรือภาษาไม่ค่อยจะเอาอ่าวก็จะเข้ามาช่วยงานอยู่ในครัว ซึ่งงานจะค่อนข้างหนักกว่า
ผมเลือกทำอยู่ในครัว..
อยากจะบอกอยู่เหมือนกัน ว่าเพราะใจรัก แต่ก็กระดากปากที่จะต้องโกหกคำโต..
เอาเป็นว่าผมเข้ามาอยู่ในครัวด้วยเหตุผลที่รู้ๆกันอยู่ละกัน..

ตำแหน่งในครัวผมเนี่ย เค้าเรียกว่าเป็นภาษาอังกฤษว่า Kitchen Hand ซึ่งผมก็มักจะบอกใครๆว่าผมทำงานเป็น Kitchen Hand เพราะดูโก้ดี ซึ่งจริงๆมันก็คือลูกมือหรือเบ๊ในครัวนั่นแหละ

ว่าไปแล้วก็ไม่เลวร้ายอะไรนักกับตำแหน่งนี้ เพราะในครัวมีอยู่เพียงสองคนที่ออกคำสั่งเอากับผมได้ คือพี่อรัญ ที่เป็นทั้งพ่อครัวและเจ้าของร้านในคนๆเดียวกันซึ่งนับความสามารถพิเศษ อีกคนคือพี่เอ๋ น้องเมียพี่อรัญชื่อเหมือนจะสวยหวาน แต่อันที่จริงแล้วแกเป็นผู้ชาย ร่างใหญ่ ดำ ล่ำสัน หน้าตาคล้ายๆพี่ออฟ พงษ์พัฒน์ เวลาที่ไม่หล่อที่สุด แกทำหน้าที่ผู้ช่วยพ่อครัว จากนั้นตำแหน่งถัดมาก็เป็นผมนี่แหละ

ครับ ในครัวเราทำกันสามคนเท่านั้นแหละ..

ส่วนเด็กเสิร์ฟข้างหน้าก็จะหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไป อย่างวันนี้ที่มาทำงานก็มีเจ้าโอ๋ เจ้าหน่อยแล้วพี่ไก่
พี่ไก่เป็นผู้อาวุโสสุด มีความเป็นผู้นำสูง เป็นตัวต้นเสียงเวลานินทาเจ้าของร้าน เจ้าหน่อยนี่ลีลาไม่แพ้กันเป็นลูกคู่ที่ฮามาก แต่ละคำไม่รู้คิดมาได้ยังไง ส่วนโอ๋นี่สาวสวยหวาน ออกแนวเงียบๆมากกว่า พอใจที่จะฟังคนอื่นนินทา นานๆถึงจะผสมโรงสักที

ร้านเปิดห้าโมงเย็น พี่อรัญแกจะเข้ามาที่ร้านตอนหกโมง แต่เด็กที่ทำงานทุกคนต้องเข้าร้านสี่โมงครึ่ง เตรียมของ จัดร้าน กินข้าวกินปลากันให้เรียบร้อย เพื่อให้ทุกอย่างพร้อมก่อนที่ลูกค้าจะเข้า

ไอ้ช่วงสี่โมงครึ่งถึงหกโมงนี่แหละครับ ช่วงนินทาเจ้าของร้าน

ข้างหน้าก็จะนินทากันเรื่องข้างหน้า คุยกันสไตล์ผู้หญิงน่ะ มีเสียงสูงต่ำเป็นระยะ
ข้างในผมกับพี่เอ๋คุยกันก็เป็นอีกแบบอีกมุมนึง แบบผู้ชายๆ

ผมไม่ได้แบ่งแยกเพศหญิงชายอะไรนะ แต่ถ้าใครที่เคยสังเกตุ เรื่องที่ผู้หญิงจับกลุ่มคุยกัน กับเรื่องที่ผู้ชายคุยกันถึงแม้จะเป็นเรื่องเดียวกัน มุมที่มอง วิธีที่คิดก็จะมีอะไรแตกต่างกันอยู่

ผมไม่ชอบคุยกับพวกสาวๆที่ร้านนักเวลาที่มีรายการนินทาเจ้าของร้าน เพราะบางครั้งผมก็รู้สึกมันก็เป็นเรื่องยิบย่อยเสียจนรู้สึกว่ามันไม่มีประเด็น ประมาณว่าลงฉันไม่ชอบขึ้นมาอะไรๆก็ผิดไปหมดประมาณนั้น เลยฟังผ่านๆเสียมากกว่า บางครั้งฟังๆไปก็อดเห็นใจพี่อรัญไม่ได้ ไม่ใช่ว่าแกเป็นคนดีเด่อะไรนัก แต่ผมว่าคนเราแต่ละคนก็มีเรื่องดีเรื่องไม่ดีปะปนกันอยู่ในตัว การไปสรุปเหมารวมว่าแกเป็นคนไม่ดี ไม่ว่าทำอะไรก็คงเพราะด้วยเจตนาที่ไม่ดีก็ดูออกจะไม่ยุติธรรมนัก

การนินทา บางคนบอกว่าเป็นการระบายออกไม่ให้เครียดเกินไปนักกับที่ทำงาน แต่ผมว่าถ้ามันมากเกินไปก็น่าจะทำให้เครียดยิ่งขึ้น เพราะเหมือนว่าเจ้านายหรือไม่ก็ที่ทำงานมันดูไม่มีอะไรดีไปเสียทั้งนั้น ด้วยว่าแง่ดีๆมักจะถูกมองข้ามไปในการนินทา

ผมมักจะฟังพี่เอ๋แกบ่น เพราะพี่เอ๋แกก็เจออะไรๆเกี่ยวกับพี่อรัญเยอะ ก็ตามแบบเจ้าของร้านกับลูกน้องน่ะแหละ แต่แกเป็นคนปากหนัก ไม่ค่อยบ่นเรื่องจุกจิก แต่เห็นเงียบๆอย่างนั้นเถอะ เรื่องประชดเสียดสีนี่ทั้งร้านไม่มีใครสู้แกเลย 

วันนี้แกก็บ่นให้ผมฟัง

วันนี้ทำงานกันดีๆนะเว้ย หงุดหงิดๆเดี๋ยวมีอารมณ์เสีย แกก็พูดเสียงเล่นๆตามสไตล์แก ถ้าพี่อรัญไม่อยู่พี่เอ๋แกก็เป็นพี่ใหญ่สุดในร้าน
เป็นไรหงุดหงิดล่ะพี่
หงุดหงิดเจ้าของร้านน่ะสิ
มีไรล่ะ ผมแย๊บต่อ
เมื่อเช้าดันมาถามได้ ว่าเมื่อวานตอนก่อนแกมามัวทำอะไรกันอยู่หั่นเนื้อหั่นไก่ได้นิดเดียวเอง
ผมนึกทบทวนเมื่อวานเป็นวันที่ยุ่งชนิดมหากาฬวันหนึ่ง ลูกค้าเข้าตั้งแต่ยังไม่ทุ่ม จนเกือบปิดร้าน มาติดๆกันจนทำแทบไม่หวาดไม่ไหว แล้วก่อนหน้าที่ลูกค้าเข้าล่ะ..
มีคนเอาของมาส่งนี่พี่ ผมบอกตามที่จำได้ ตั้งสองเจ้า ข้าวสาร น้ำตาล น้ำปลา เครื่องกระป๋อง ผัก อะไรจิปาถะ แต่ละเจ้าก็ไม่มีลูกน้องมาช่วย มากันตัวคนเดียวทั้งนั้นผมกับพี่เอ๋ต้องสวมวิญญาณจับกัง ออกไปแบกข้าว แบกน้ำตาลกันเหยงๆ
ก็ใช่ไง ผมก็นึกตั้งนานว่า เอ๊ะ..กูทำไรอยู่ เบลอๆไปพักค่อยนึกได้ ว่ากูไม่ได้อู้อะไรนี่หว่า แบกข้าวสารเหยงๆ นี่ติ้วยังไม่ได้เอาไปขึ้นเงินเลยเนี่ย แล้วดันมาถามเหมือนว่าเราอู้กัน ฟังแล้วหงุดหงิดจี๊ดเลย แกบ่นไป เหน็บไปตามแบบแก 
แหม..ติ้วยังไม่ได้ขึ้นเงิน ยังกะแบกข้าวสารอยู่ท่าข้าว คิดได้ไงเนี่ย

บางทีกลุ่มข้างหน้าก็มีเหน็บกันเองให้ข้างไหนได้ฮากัน
เจ้าหน่อย ที่มาช่วยหั่นผักเตรียมของอยู่ในครัว ยืนดูพี่ไก่กับเจ้าโอ๋ซุบซิบกันอยู่ ซึ่งก็คงไม่พ้นเรื่องเจ้าของร้าน จู่ๆก็เปรยขึ้น
พวกข้างหน้าเนี่ย น่าไปทำราชการเนาะ
ครับ..งงกันไปหมดทั้งร้าน ทั้งข้างหน้า ข้างใน
ทำไมล่ะ ผมอดไม่ได้ต้องถาม
ขี้นินทากันทั้งนั้นเลย เราเคยดูทีวีพวกข้าราชการในทีวีวันๆก็เห็นเอาแต่นั่งนินทากันทั้งวัน ผมกับพี่เอ๋ที่กำลังหั่นเนื้อไก่อยู่ถึงกับฮาแตก พี่เอ๋เอามีดเคาะเขียงไปหัวเราะไป
เนี่ยดูซิ เจ้าหน่อยยังไม่เลิก เรานี่นะ เมื่อก่อนก็ไม่เคยได้เป็นคนชอบนินทาสักหน่อย อยู่ๆไปเลยติดนิสัยนินทาไปกับเค้าด้วยเลย น่าน..
โห..ไม่ช่างนินทาที่ไหนล่ะ เจ้าหน่อยนี่แหละตัวหัวโจกเลย พูดมาได้หน้าตาเฉย ว่าติดมาจากคนอื่น
ถ้าไอ้พวกข้างหน้าที่นินทาเป็นข้าราชการกันล่ะก็ ไอ้หน่อยนี่ซีแปด ระดับ ผอ. แน่นอน พี่เอ๋เหน็บเข้าให้ ซึ่งเจ้าหน่อยได้แต่ค้อน ไม่กล้าเถียงด้วยพยานหลักฐานนั้นทนโท่
แหมม..พี่เอ๋อ้ะ

และแล้วมันก็๋เป็นอีกวันหนึ่งที่ยุ่งวายร้าย
ตอนแรกๆก็เงียบๆดีอยู่ พอหลังจากทุ่มนึงผ่านไป แขกเริ่มเข้ามาแบบชนิดที่เรียกว่ากะเอาให้ตาย โหมระลอกแล้วระลอกเล่า วิ่งวุ่นกันเป็นมือระวิง เสร็จไปโต๊ะนึง มีอีกโต๊ะ อีกโต๊ะ ตามมาติดๆจนรายการสั่งอาหารถูกเหน็บเรียงไว้เป็นพรืดบนราว คำสั่งจากพี่อรัญก็มาเป็นชุด
หยิบผักมาเติมให้พี่หน่อย
หุงข้าวด้วย
สะเต๊ะสุกยัง
จัดจานๆ จัดสวยๆหน่อยสิ
จานจะหมดแล้ว ไปล้างเพิ่มมาเร็ว
เอ้า นั่นทอดมันไหม้หมดแล้ว เอาขึ้นสิ
ก็ได้แต่บ่นในใจ..พี่ครับ ผมคนนะครับ ไม่ใช่นารายณ์อวตาร มีแค่สองมือจะไปทำตามพี่สั่งทันที่ไหนล่ะ

และแล้วสามทุ่มกว่าๆพายุร้ายก็ผ่านไป ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ความสงบ ทิ้งแต่ร่องรอยกลาดเกลื่อน ผักหล่นตรงโน้นตรงเนื้อ เศษเนื้ออะไรต่อมิอะไรข้างเขียง น้ำแกงเปรอะเป็นด่างดวง แล้วก็จานอีกกองพะเนิน เหล่านี้คือเครื่องหมายที่บอกว่า งานของผม ยังไม่จบง่ายๆ

มองไปข้างหน้า งานเริ่มซาลง พนักงานเสิร์ฟสามคนเริ่มเคลื่อนเข้ามารวมตัวกันเป็นระยะ ไม่แขกก็เจ้าของร้านที่ต้องตกเป็นหัวข้อสนทนา
พี่เอ๋ๆ เรามาพนันกันดีกว่าว่าสามคนนั้นจะรวมตัวกันทุกกี่นาที ผมว่าสิบนาทีเอ้า
ผมว่าห้า เบียร์คนละขวด พี่เอ๋ยิ้มกริ่มแบบเล่นด้วย
โอเค ว่าแล้วผมก็ก้มหน้าก้มตาล้างจานต่อ

ทางด้านพี่อรัญแกก็แช่ข้าวหม้อใหญ่ไว้ ผมผ่านไปเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าแกจะทำอะไร
คืนนี้ได้กินโจ๊กกันแน่ๆพี่ ผมกระซิบบอกพี่ไก่ที่เก็บจานจากโต๊ะมาให้ล้าง วันไหนที่ขายดี ในฐานะเจ้าของร้าน พี่แกจะอารมณ์ดีทำกับข้าวเลี้ยงเสมอ โจ๊กนี่เป็นหนึ่งในเมนูเด็ดที่แกทำไม่บ่อย เพราะค่อนข้างยุ่งยากหลายขั้นตอน พี่อรัญแกทำโจ๊กได้สุดยอดมาก ชนิดที่เรียกว่าโจ๊กกองปราบที่ว่าดังๆถ้าเอามาเทียบยากที่จะบอกว่าใครเหนือกว่า ยิ่งมาอยู่ต่างประเทศ หาโจ๊กแบบบ้านเรากินไม่ได้ง่ายๆอย่างนี้ รสชาติมันก็ยิ่งเหมือนจะอร่อยกว่าที่มันเป็นอีกเท่าตัว

พี่อรัญแกร้องเพลงไป ปั่นไก่ไป จากนั้นก็ปั่นข้าว ผมถามว่าปั่นทำไม เพราะทุกทีเห็นแกค่อยๆเคี่ยวให้เละไปเอง แกก็บอก
วันนี้ต้องปั่น สี่ทุ่มแล้ว ขืนเคี่ยวให้เละพวกคุณไม่ได้กลับบ้านกันพอดี
ผมก็ล้างจานของผมต่อ พี่เอ๋แกก็เก็บของ พี่อรัญแกก็สาละวนกับโจ๊กของแก 

หลังจากสังเกตกันไปสักพัก เรื่องเบียร์ผมกับพี่เอ๋ก็ไม่มีใครได้กินใคร เพราะผิดทั้งคู่ เนื่องจากข้างหน้าจะรวมตัวจับกลุ่มกันทุก 2 นาที ซึ่งเป็นความถี่ที่เราไม่คาดฝัน

สักพักพี่อรัญแกก็โวยวาย
ว่าแล้ว ท่าทางหัวเสียใช่เล่น
เป็นไรพี่
โจ๊กไหม้น่ะ ไฟแรงไป
อ้าว ผมกับพี่เอ๋อ้าวพร้อมกัน แต่ก็เฉยๆไม่เดือดร้อนอะไร มีพี่อรัญคนเดียวที่ดูเครียด
จริงๆมันต้องเคี่ยวไฟอ่อนๆแต่ผมเผลอเร่งไปแรงไปหน่อย กลัวพวกคุณจะไม่ทันได้กินกัน เลยไหม้
ไม่เป็นไรมั้งพี่ คงไหม้ไม่มาก
พี่อรัญแกก็ไม่พูดอะไร ถ่ายหม้อเปลี่ยนหม้อ ต้มใหม่ใช้ไฟอ่อนกว่าเดิม แต่โจ๊กหม้อนั้นมันก็มีกลิ่นไหม้ไปเสียแล้ว แกวนเวียนมาคนแล้วก็ตักขึ้นดูอยู่หลายรอบ น้ำยังเหลว ไม่ข้น ยกดม กลิ่นก็ยังคงเหม็นไหม้
สงสัยคือนี้ได้กินข้าวไข่เจียวกันแทน แกพูดเสียงเล่นๆ แต่หน้าดูเจื่อนๆ คงผิดหวัง ผิดหวังที่ตั้งใจจะทำของอร่อยให้ลูกน้องกิน แล้วมันออกมาไม่ได้ดังหวัง

ผมมองดูพี่อรัญ ผมว่าผมเข้าใจความรู้สึกของแก

ผมว่ามันก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่เขียนหนังสือที่นี่หรอก เขียนโดยไม่ได้อะไรตอบแทน นอกจากการมีความสุขที่ได้เขียน และยิ่งกว่านั้นอยากได้รู้ ว่าคนอ่านมีความสุขเมื่อได้อ่าน

คนทำอาหารอย่างแก แค่ได้เห็นคนกิน กินฝีมือแกอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่มีเรื่องกำไรขาดทุนมาเกี่ยวข้อง นั่นแกก็ปลื้มใจแล้วนะผมว่า

นั่นคือรางวัลที่เพียงพอแล้ว

บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่แกอุตส่าห์เตรียมเครื่องปรุงทำโจ๊กหม้อนี้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ไฟอ่อนๆบนเตายังคงเคี่ยวโจ๊กไปเรื่อยๆ เข็มนาฬิกาก็ค่อยๆกระดิกไป จนเกือบสี่ทุ่มสี่สิบ
พี่อรัญ กลับแล้วค่ะ พี่ไก่ โอ๋ หน่อย ลากลับ
เผื่อจะทันรถเที่ยวสี่ทุ่มสี่สิบค่ะพี่ พี่ไก่เป็นต้นเสียง แกมักจะนำน้องๆกลับเร็วเสมอ เจ้าโอ๋เจ้าหน่อยจากที่เคยอยู่ช่วยจนปิดร้านแล้วกลับพร้อมๆกัน เดี๋ยวนี้จึงกลับเร็วตามอย่างพี่ไก่ 
พี่อรัญรับไหว้ ผมมองหน้าแก เข้าใจ 

โจ๊กยังคงใส ไม่ข้น กลิ่นไหม้คงไม่หายไปได้

สิบนาทีหลังจากนั้น ผมกับพี่เอ๋ก็ช่วยกันล้างครัว เก็บครัวจนเสร็จ
กินข้าวไข่เจียวไหมเรา พี่อรัญแกถามขึ้น โจ๊กท่าทางจะไม่ไหวแล้วหละ
ลองกินโจ๊กดีกว่าพี่ มีอะไรบางอย่างทำให้ผมพูดออกไปอย่างนั้น
มันเหม็นไหม้นะ
เอาน่า พี่ ไม่เท่าไหร่ ไม่เปรี้ยวเหมือนโจ๊กจ่าเป็นใช้ได้
พี่อรัญแกหัวเราะ

โจ๊กจ่าเป็นเรื่องที่ว่าจ่ากับพลทหารกินเหล้ากัน จนเมาหลับไปทั้งคู่ จ่าตื่นมาอ้วกใส่หม้อไว้ตอนดึก พลทหารตื่นมาหิว นึกว่าโจ๊กเลยซัดซะเรียบ พอจ่าตื่นขึ้น พลทหารก็บอก แหม..จ่า โจ๊กจ่าเมื่อคืนนี่อร่อยดีนะ แต่คงหนักน้ำส้มเลยเปรี้ยวไปหน่อย..
เป็นเรื่องตลกที่พี่อรัญแกชอบมาก เที่ยวเล่าให้ใครต่อใครฟังไปทั่ว

ล้างหน้าล้างตัวเสร็จ กลับเข้ามาในครัว มีโจ๊กสองชามใหญ่วางไว้เรียบร้อย ผมกับพี่เอ๋ยกออกไปนั่งกินด้วยกัน คุยกันไป กินกันไปจนเรียบหมดทั้งสองชาม
อร่อยดีพี่ ไม่เหม็นไหม้เท่าไหร่หรอก แต่ใสไปนิด ผมบอกพี่อรัญตอนเอาชามมาล้าง
รีบไง มันต้องเคี่ยวนานกว่านี้ แต่ไม่มีเวลา แกออกตัว สีหน้า ดูแช่มชื่นขึ้น

ผมกลับรถเที่ยวสุดท้าย
แทนที่จะถึงบ้านเร็วขึ้นชั่วโมงนึง กลายเป็นว่าผมถึงบ้านเอาเที่ยงคืน เพื่อโจ๊กไหม้ๆชามนึง
แต่เชื่อไหมว่ามันเป็นโจ๊กที่ผมกินแล้วรู้สึกดีที่สุด
รู้สึกดีที่เห็นหน้าพี่อรัญตอนที่มีคนอร่อยกับโจ๊กหม้อนั้น ที่แกตั้งใจทำถึงจะมีเหตุผิดพลาดไปบ้าง
รู้สึกดีกับตัวเอง ที่ไม่หลงลืมละเลยความรู้สึกของคนรอบข้าง

ผมไม่โทษเพื่อนร่วมงานทั้งสามคนที่กลับไปก่อน โดยที่ไม่รอกินโจ๊กเหม็นไหม้หม้อนั้น
พวกเขาอาจมีธุระ
พวกเขาอาจรีบร้อน
พวกเขาอาจเพียงแค่ไม่ทันนึกถึง ก็เมื่อโจ๊กมันไหม้แล้วจะกินไปทำไม
บางที พวกเขาอาจเพียงแค่คุ้นเคย คุ้นเคยกับการละเลยความรู้สึกคนรอบตัวซึ่งถูกตีความว่าเป็นแค่เรื่องปลีกย่อยในบางครั้ง
คุ้นที่จะคิดว่า เมื่อคนนึงกลับได้ ก็ไม่แปลกอะไรที่อีกสองคนจะกลับด้วย
คุ้นเคยจนชาชิน..
ชาชินที่จะละเลย

นึกถึงเพลงหนึ่งที่วง Oasis เคยร้องไว้และผมรักในเนื้อเพลง แม้จะไม่ตรงกับเรื่องที่เกิดครั้งนี้นัก แต่มันคือความเศร้าเดียวกันที่มองเห็นในสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเรา

And we cheat and we lie
Nobody says its wrong
So we dont ask why
Cause its all just the same at the end of the day
Were throwing it all away
Were throwing it all away
Were throwing it all away at the end of the day

เราต่างหลอกลวง ต่างโกหก จนชาชิน 
ในเมื่อไม่มีใครสักคนบอกว่ามันผิด เราก็ไม่ถามว่าทำไมมันจึงไม่ผิด 
เพราะสุดท้าย เมื่อผ่านพ้นวัน เราก็ต่างโยนมันทิ้งไป ลืมๆมันไป 

โดยไม่เคยคิดที่จะหวนมาทบทวนในสิ่งที่ได้ทำ

ใช่ เราต่างปล่อยตัวให้ถูกกลืน กลืนไปกับสิ่งที่ใครๆเขาก็ต่างทำกัน กลืนไปกันการอิงกับพฤติกรรมของคนอื่นๆ จนหลงลืมว่า กับบางเรื่องราวนั้น มันไม่เกี่ยวว่าใครต่อใครเขาทำเขาคิดกันอย่างไร มันเกี่ยวกับการที่เราสมควรทำอย่างไรต่างหาก

ผมเข้าใจความรู้สึกพี่อรัญ ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนดีหรือเป็นคนละเอียดอ่อนกว่าคนอื่น แต่เพราะผมก็เคยรับรู้ความรู้สึกเดียวกันนั้น ผมจึงรู้ถึงความเจ็บปวดของมัน..

ความรู้สึกของคนที่ถูกละเลยความรู้สึก


---------------------------------------------------------


กลับถึงบ้าน ผมโทรหาผู้หญิงคนหนึ่ง คนสำคัญของผม เล่าเรื่องโจ๊กหม้อนั้นให้เธอฟัง
เล่าได้แค่ถึงตอนโจ๊กไหม้ และพี่ไก่พร้อมน้องๆลากลับ.. เธอคนนั้นก็พูดแทรกขึ้นมาทันที
โห..ยังงี้พี่อรัญเค้าก็เสียใจแย่สิ
ผมยิ้ม
นี่..
หืมม..
รู้ไหม ทำไมเค้าเล่าเรื่องนี้ให้ตัวเองฟัง
ทำไมล่ะ
เพราะ เค้าจะบอกว่านี่แหละที่ทำให้เค้ารักตัวเอง
ไม่เข้าใจอ้ะ เสียงพูดกลั้วหัวเราะของเธอนั้นเขินๆ
เพราะตลอดมา ไม่เคยสักครั้งที่ตัวเองจะละเลยความรู้สึกของคนอื่น ไม่ว่าใครก็ตาม
อืมม
อืมม
ถ้าโทรศัพท์หน้าแดงได้ ตอนนี้มันคงแดงเข้มทีเดียว..



------------------------------------------------------


				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงหมอกจาง