15 กรกฎาคม 2551 10:20 น.

ขออนุญาติออกความเห็นหน่อยครับ

อมตะลักขณา

ครั้งแรกที่ได้เห็นชุดประจำชาติปีนี้ ชื่นชมกับการออกแบบมากๆ ครับ จริงเหมือนที่หลายๆ ท่านว่า ว่าเป็นชุดที่ได้แรงบันดาลใจจากจินตนาการ ไม่ใช่ชุดไทยแท้ๆ ที่ใส่กันในสมัยเก่าก่อน หรือพบได้ตามประวัติศาสตร์ แต่ชุดนี้ตีแตกโจทย์ทีเดียวครับ 

ถ้าพูดกันให้ถูกเรื่อง ในเรื่องของเครื่องแต่งกายประจำชาติ ว่ากันจริงๆ เราๆ ท่านๆ ก็คงไม่มีใครใส่ชุดแบบนี้ออกมาเดินตลาด หรือออกมาทำงานกันอีกแล้ว เนื่องจากในขณะนี้ ได้ตามสมัยนิยมกันไปซะหมดแล้ว 

ผมเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบศิลปวัฒนธรรมไทย ซึ่งถือได้ว่ามีเอกลักษณ์ เป็นที่ชื่นชมของนานาอารยประเทศอยู่แล้ว และแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทยทุกยุคทุกสมัยเช่นกัน

ถ้ามองจากภายนอก จากความที่ไม่ได้คลุกคลี และลึกซึ้งถึงขนาดประกอบจับหมวดได้ว่า ชุดไทยประเภทใด แบบไหน ต้องประกอบด้วยอะไร จำนวนเท่าไหร่ แต่งอย่างไร เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า มีอีกหลายๆ ประเทศ ที่มีการแต่งกายในสมัยเก่าก่อน คล้ายคลึงกับชาติของเรา ซึ่งนานาประเทศ ก็คงไม่ได้มาจำแนกการให้รางวัล เหมือนกับการ ประกวดการแต่งกายกันจริงๆ ว่าใครใส่ได้เหมือนหรือได้ถูกต้องกว่ากัน

ว่ากันตรงๆ วัตถุประสงค์แบบที่เป็นนัยสำคัญ ในการประกวดชุดแต่งกายประจำชาติ บนเวทีระดับโลกที่มีข้อจำกัดหลายๆ ด้าน ซึ่งสำคัญมากในเรื่องของเวลาอันน้อยนิด ในลักษณะนี้น่าจะเป็นการประชันความคิดทางด้านการออกแบบจากพื้นฐาน ที่ประเทศนั้นๆ ยังคงอยู่ หรือมีอยู่ และอีกนัยหนึ่ง ซึ่งสำคัญมากไม่แพ้ประเด็นแรก ซึ่งน่าจะมาจากการแสดงออกถึงความเป็นชาติ ผ่านชุดแต่งกายนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอด เอกลักษณ์ ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี หรือแม้กระทั่งการแสดงออกในลักษณะกิริยาท่าทาง ซึ่งแสดงออกมาแล้ว เราๆ ท่านๆ หรือนานาชาติ ต่างสามารถทราบได้ทันที ว่า นี่ล่ะ ประเทศไทย

มวยไทย จึงถือเป็นศิลปะ ที่ต่างชาติสามารถรับรู้ได้โดยง่าย ทั้งจากชื่อเสียงและการสัมผัสด้วยประสบการณ์ ซึ่งตามประวัติศาสตร์ มวยไทย ถือเป็นศิลปะป้องกันตัว ที่ไม่สามารถเลียนแบบได้ง่ายๆ และมีเอกลักษณ์ ที่เรามองออกได้ในทันที แยกออกได้ในทันใดว่า นี่ไม่ใช่คาราเต้ ไม่ใช่มวยสากล ไม่ใช่ซามูไร ไม่ใช่นินจา ไม่ใช่เทควันโด้ ไม่ใช่มวยจีน ไม่ใช่ศิลปะป้องกันตัวอื่นๆ ที่ว่ากันด้วยอาวุธทางกาย

ซึ่งในการออกแบบชุดประจำชาติชุดนี้ เชื่อได้ว่า ผู้ที่ออกแบบได้ใส่จิตวิญญาณความเป็น คนไทย ผสมผสานการออกแบบสมัยใหม่ ของแฟชั่น ซึ่งเราและชาวโลก พิศมัยที่จะได้เห็น ซึ่งแน่นอนว่า มีทั้งตรงใจ และไม่ตรงใจ

แต่ถ้าชาวโลก มองเห็นชุดประจำชาติชุดนี้ บวกกับการแสดงเล็กน้อย ในการสื่อว่า นี่คือมวยไทย และนี่คือตัวแทนของประเทศไทย จึงไม่น่าแปลกใจว่า การประยุกต์เอาชุดศิลปะป้องกันตัว ออกมาเป็นชุดแต่งกายประจำชาติ ซึ่งแทนที่จะเป็นชุดประจำชาติแท้ๆ ถึงได้โดนใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติโดยส่วนใหญ่ และดึงดูดความสนใจ จนถึงขั้นได้รับรางวัลยอดเยี่ยมในที่สุด

แอบคิดกันเล่นๆ ว่า ถ้าญี่ปุ่นแต่งชุดนินจาเหมือนในหนังสือการ์ตูน รึสหรัฐอเมริกาแต่งชุดฮีโร่ ก็คงดึงดูดความสนใจได้ไม่น้อย แต่อย่างไรก็ตามในปีนี้ ก็คงไม่มีชาติไหนๆ ขับกล่อมความเป็นชาติผ่านเครื่องแต่งกายได้ดี เท่าเผ่าไทย แดนไทยแดนนี้อีกแล้ว

ภูมิใจในชาติไทยครับ				
4 พฤษภาคม 2548 11:14 น.

สำหรับ ผู้ที่ติดตามเรื่องสั้น นิทานพื้นบ้านร้อยตอน

อมตะลักขณา

ขณะนี้ผู้เขียนเกิดไม่สบายกระทันหันครับ ต้นฉบับจะนำมาโพสเร็วๆ นี้ ตอนนี้ผู้เขียนฝากมาบอกว่า กำลังเร่งเขียนครับ แต่เนื่องจากสุขภาพ ไม่ค่อยดี จากการเล่นน้ำสงกรานต์ และสภภาพอากาศแปรปรวน ทำให้เจ็บออดๆ แอดๆ อดใจรอกันนิดนะครับ

ขออภัยมา ณ ที่นี้
และขอบคุณที่ติดตามครับ				
22 เมษายน 2548 18:30 น.

นิทานพื้นบ้านร้อยตอน เรื่อง: สิบสามอภินิหาร ตอน กำเนิดสมุทรดารา 3

อมตะลักขณา

การเสด็จลงจากสรวงสวรรค์ สำหรับเทพ ขั้น มหาเทพ นั้นถือเป็นภารกิจ ที่สำคัญระดับฟ้าดิน เนื่องจาก ท้าวลัคนาเทพ ได้ทำนายทายทักไว้ว่า เมื่อกาลแลเวลา บรรจบ แต่ รัตติกาล เมื่อนั้น ดินแดน มหาอัคคี จะกำเนิด แลเมื่อกาลนั้นผ่านพ้น แดนนั้น จะเปลี่ยนเป็น มหาวารี เมื่อ มหาวารีกำเนิด จะมีผู้มีบุญญา สร้างดินแดนขึ้นใหม่ แลจำเป็นต้องอาศัย ทิพย์โอสถ สำหรับรักษาดินแดนให้คงไว้ซึ่งสมุทรวารี (สายน้ำอันป็นนิรันดร์) เพื่อป้องกันการกลับมาของ ปีศาจกินภวังค์ แต่ทิพย์โอสถนั้น ต้องดำรงอยู่ทั้ง อัคคี แล วารี เพื่อรอคอยเวลา รวมเข้ากับผู้พิทักษ์ ซึ่งจะกลืนดวงชะตาของเทพแลปีศาจไว้ด้วยกับตน

                      ด้วยเหตุนี้องค์อัมรินทร์ จึ่ง รับสั่งให้ท้าวสุนทรสมุทร ลงมาจุติเป็น พฤกษาสมุทรดารา ให้รากหยิ่งถึงแกนโลก กลั่นโอสถทิพย์ ละลายเข้ากับอัคคีแล วารี เพื่อธำรงไว้ซึ่ง แดนกลาง ป้องกันการไหลเวียนของอัคคีแล วารี ไม่ให้เกิดการสอดแทรกแล ระเบิดเป็นจุล 

                      มหาเทพสมุทรยันตรา ได้ฟังคำตรัสดั่งนั้น จึ่ง เสนอพระองค์เสด็จตามคุ้มกัน พฤกษาสมุทรดารา ให้ปลอดภัยจาก ปีศาจทั้งปวง เนื่องจากท้าวสุนทรสมุทร จะมิมีเทพฤทธาใดๆ ระหว่างที่เนรมิตตอนเป็นพฤกษา

                      ครั้น ท้าวสุริยัน ปราบปีศาจกินภวังค์สำเร็จ แลเสด็จสู่สวรรค์ มหาเทพสมุทรยันตรา ได้เนรมิตห้วงสมุทรม่านวารี เพื่อกำบังตา พฤกษาสุมทรดารา เพื่อรอคอยการรวมกันของผู้พิทักษ์ไว้ ใต้สมุทรดินแดนแห่งนี้ แลได้สร้างเทวาลัยองค์อัมรินทราธิราช  หลอกตาผู้พบเห็น

                      พระเจ้ากัลปังหา ครั้งเมื่อสร้างนคร ได้ พบเทวาลัยฯ ด้วยความไม่ตั้งใจ เนื่องจากทรงเสด็จ ตรวจดูแล ดินแดน ทรงแลเห็นเทวาลัยฯ อยู่เหนือม่านน้ำในห้วงสมุทรนี้ เพียงพระองค์เดียว ทรงหลับพระเนตร ตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อให้เทวาลัยฯ แห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพกราบไหว้ของข้าเมืองโดยทั่วกัน จึงเกิดเหตุ อัศจรรย์ ม่านน้ำเปิดออกเป็นวงกว้าง แหวกสายนทีออกโดยรอบ ปรากฎเป็นเทวาลัยองค์อัมรินทราธิราช ฉลององค์ทรงกษัตริย์ศึก สี่กร สองพักตร์ ทั้งองค์เป็นสีขาวเพชร แวววับ ราวกับ มณีหยาดฟ้า เหล่าข้าราชบริพารแล พสกนิกรเห็นดังนั้น พากันก้มบังคม กราบไหว้ แลสรรเสริญ พระเจ้ากัลป์ปังหาเป็น เทพกษัตริย์ ผู้มีบุญญาบารมี โทยทั่วกัน

                      ครั้งนี้ พระเจ้ากัลปังหาเสด็จถึงยังเทวาลัย เป็นเวลาเที่ยงวัน พอดี ทรงสักการะ บูชาด้วยเครื่องประกอบพิธี ครบตามธรรมเนียม ขณะทรงเสด็จปิดทองยังองค์เทวาลัยฯ กลับบังเกิด ฟ้ามืด ห้วงน้ำกลับปิด พระเจ้ากัลปังหา พระนางดาราเทพ แลเหล่าข้าราชบริพาร โดนขังอยู่ในห้วงน้ำ เหตุการณ์ยังมิทันสงบ องค์เทวาลัยฯ กลับเลื่อนถอยหลัง ปรากฏเป็นสายน้ำพุ่งขึ้นจากห้วงน้ำ หลังจากพายุวารีสงบกลับบังเกิดเป็น พฤกษา สีเขียวสด ลำต้นสูงใหญ่ กิ่งก้านแผ่เต็มห้วงสมุทรเทวาลัยฯ สร้างความอัศจรรจ์ใจแก่พระเจ้ากัลปังหาแล ข้าราชบริพารเป็นยิ่งนัก

                      เสียงหนึ่งบังเกิดจากต้นพฤกษานั้น 

                      เราคือ สมุทรดารา พฤกษา ผู้สร้างโอสถทิพย์ เพื่อปกป้อง วารีอันเป็นนิรันดร์ บัดนี้ได้บังเกิด ผู้พิทักษ์ แล ปีศาจ ขึ้น เจ้าจงตั้งจิตอธิษฐาน นำเราไปหาผู้พิทักษ์ บัดเดี๋ยวนี้

                      สิ้นเสียงนั้น พระเจ้ากัลปังหา ยกพระหัตถ์ ตั้งจิตอธิษฐาน รับพฤกษาสมุทรดาราสู่พานแก้ว พฤกษาสมุทรดาราเมื่ออยู่บนพานแก้วกลับ เนรมิตตอนเหลือลำต้นเล็กเพียงพอขอบพาน

                      คืนนั้น พระเจ้ากัลปังหา สนทนากับ พฤกษาสมุทรดารา จึ่งได้เข้าพระทัยว่า ที่โอรส สินนที ก็คือ ดาวบัลลัยกัลป์ มาจุติ เพื่อปราบปีศาจกินภังค์ในภาคของครึ่งมนุษย์ ครึ่งปีศาจ ซึ่งกำลังสำแดงเดช อยู่ในพระนครตอนนี้ พระนางดาราเทพรู้สึกเป็นห่วง พระโอรส ขึ้นมาทันใด แต่ก็ไม่สามารถ เสด็จกลับในขณะนี้ได้ พระเจ้ากัลปังหา ทรงตรัสกับพระนางดาราเทพ ด้วยท่าที ไม่ประหวั่นพรั่นหรึงแต่อย่างใด

                      ลูกของเรา เอาตัวรอดได้ เจ้าอย่าได้ห่วง อย่าได้ดูแคลน สติ แลปัญญา ของลูกเราสิ ดารา

โปรดติดตามตอนต่อไป ...				
20 เมษายน 2548 13:09 น.

นิทานพื้นบ้านร้อยตอน เรื่อง: สิบสามอภินิหาร ตอน กำเนิดสมุทรดารา 2

อมตะลักขณา

โหรหลวง ทำนายทายทักบนกระดานชนวน ขีดๆ เขียนๆ แล้วจึงประนมหัตถ์ ขึ้นถวายบังคม

                     ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า ขณะนี้ดวงเมืองดีมาก พระย่ะค่ะ พืชพันธุ์ ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ประชาราษฎร์ อยู่เย็นเป็นสุข ด้วยพระปรีชาพระย่ะค่ะ 

                     ดีล่ะ ถ้าอย่างนั้น เราจะพามเหสีของเรา ไปบวงสรวง ชะตาเมือง เพื่อสืบศิริมงคล แล้วจะถือโอกาส ท่องเที่ยวสักระยะหนึ่ง ในระหว่างนี้ เราขอแต่งตั้งให้ ลูกชายของเรา สินนที เป็นผู้ว่าราชการแทนเรา จนกว่าเราจะกลับมา

                     รุ่งขึ้น พระเจ้ากัลปังหา จึงเสด็จออกนอกวังพร้อมกับพระมเหสี และข้าราชบริพารจำนวนหนึ่ง ไปยังเทวาลัย องค์อัมรินทราธิราช ซึ่งอยู่อีกห้วงสมุทรหนึ่ง

                     จะกล่าวถึง พระเจ้ากัลปังหา เมื่อครั้งสร้างพระนคร หลังจากลูกปลาน้อยเนรมิตตนด้วยผลกัลปังหาแล้วนั้น ก็ได้อธิบายความนัย เกี่ยวกับต้นกัลปังหาวิเศษนั้นว่า มีความพิเศษอยู่ 5 ประการด้วยกัน กล่าวคือ 

                     ผล สามารถเปลี่ยนมนุษย์เป็นสัตว์ เปลี่ยนสัตว์เป็นมนุษย์ได้ตามแต่จิตอธิษฐาน ตามบุญแลกรรมที่กระทำมาแต่ภพแต่ชาติเดิม กิ่งก้าน สามารถสร้างเสาหลัก สร้างกำแพง ได้ตามจิตเนรมิต เปลือก สามารถใช้เป็นยาปฏิชีวนะ รักษาโรคานานาสารพัด ลำต้น ช่วยกระจายบรรยากาศที่จำเป็นสำหรับสรรพสัตว์ กล่าวคือ ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ใดๆ ก็สามารถดำรงชีพอยู่ได้ ตราบใดที่ได้รับอากาศหายใจ ภายในรัศมีของกัลปังหา แม้ว่าจะอยู่ใต้บาดาลก็ตาม แลความพิเศษประการสุดท้ายคือ กัลปังหาวิเศษนี้ จะให้ผลเป็นต้นกัลปังหาเล็กๆ 1 ต้น ทุกๆ 1 ปี เพื่อขยายเผ่าพันธุ์เพียงแต่ต้นกัลปังหาเล็กๆ เหล่านี้จะไม่มีคุณสมบัติประการสุดท้ายคือ ไม่สามารถกระจายพันธุ์ด้วยตนเองได้

                     พระเจ้ากัลปังหามีสติปัญญาล้ำเลิศ เมื่อครั้งพบกับลูกปลาน้อยแลได้ฟังคำชี้แนะ จึงหักกิ่งต้นกัลป์ปังหา หว่านลงหน้าถ้ำ กลางห้วงทะเลสาบ ตั้งจิตอธิษฐาน สร้างมหานครใต้น้ำขึ้น วิจิตรงดงาม ตระการตา ลูกปลาน้อย ทำหน้าที่หว่านผลกัลปังหา ให้กับเหล่าสรรพสัตว์ เมื่อสัตว์ทั้งหลายได้กลืนผลกัลปังหาเข้าไป ก็ได้กลายร่างเป็นมนุษย์ แลสรรเสริญให้ผู้สร้าง นั่นก็คือ พระเจ้ากัลปังหา แลลูกปลาน้อย เป็นคู่บุญ คู่บารมี ปกครองนครกัลปังหา และแคว้นกัลปังหาสืบมา

                     พระเจ้ากัลป์ปังหา ทรงตั้งพระนามให้กับลูกปลาน้อยใหม่ว่า ดาราเทพเทวี พระนางดาราเทพ ให้ประสูติพระราชโอรส 1 พระองค์ ทรงพระนามว่า สินนที 

                     สืบจนปัจจุบัน โอรสสินนที ทรงพระชนมายุ ได้ 18 พระชันษา เมื่อครั้งประสูติ มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นท้องฟ้าเบิกกว้าง ท้องนทีใสสว่างราวกับกลางวัน แลปรากฏ พระพักตร์ สองผู้เป็นใหญ่นั่นคือ องค์อัมรินทร์และท้าวสุริยัน องค์อัมรินทร์ราชา ได้ประธานพรแด่พระราชโอรส ให้มีพระชนมายุยืนยาว ร่างกายแข็งแกร่งประดุจเพชร ท้าวสุริยันประธานความฉลาดหลักแหลม แลประธานศร สุริยันเพื่อเป็นอาวุธคู่กายอีกด้วย

                     พระโอรสสินนที ปฏิบัติภารกิจแทนพระราชบิดาเป็นอย่างดี ออกว่าราชการ ออกดูแลพสกนิกร รวมถึงสรรพสัตว์น้อยใหญ่ในแว่นแคว้น 

                     วันหนึ่งก่อน พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า ท้องฟ้ากลับมืดมิด ท้องนทีสงบเงียบราวทุกสิ่งหยุดนิ่ง พระโอรสสินนที สังเกตุเห็นความผิดปกติ จึ่งเสด็จออกที่ท้องพระโรง แต่ไม่พบใครแม้แต่คนเดียว

                     ท่านอำมาตย์ ท่านราชครู กิริยา การเกตุ .... ทรงทอดเนตร และ ร้องเรียกเหล่าข้าราชบริพาร แต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับ 

                     พระโอรสฯ เสด็จมายัง หน้าพระราชวัง ภาพที่ได้ทอดเนตร ทำให้ทรงตะลึงงัน เหล่าข้าราชบริพาร กลับกลายร่างเป็นสรรพสัตว์ลอยตามสายนที ดั่งไม่มีแล้วซึ่งชีวิต ทอดเนตร เห็นเต่าตัวหนึ่งพยายามแหวกสายนที เข้ามา คลานเข้ามาช้าๆ พระโอรสฯ ไม่รีรอ รีบนำผลกัลปังหาออกจากถุงทอง ให้เต่าตัวนั้นกลืนทันที 

                     ท่านราชครู เกิดสิ่งใดขึ้น ไยพวกท่านจึงเป็นเช่นนี้เล่า พระโอรสฯ ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงแลท่าทางตกพระทัยเป็นยีงนัก

                     พระอาญาไม่พ้นเกล้าพระเจ้าข้า... พวกข้าพระองค์ ... แค็กๆๆ  ยังมิทันพูดจบ ราชครูก็กลับกลายร่างเป็นเต่าแลสิ้นใจทันที

โปรดติตามตอนต่อไป...				
19 เมษายน 2548 19:47 น.

นิทานพื้นบ้านร้อยตอนเรื่อง: สิบสามอภินิหาร ตอน กำเนิดสมุทรดารา 1

อมตะลักขณา

ปีศาจกินภวัง มีฤทธิ์อยู่ด้วยการกัดกินความฝันของสรรพสัตว์แลผู้คน ทำให้เหยื่อตกอยู่ในสภาพหมดอาลัยตายอยาก พลังชีวิตหดหาย ไม่เกินชั่วก้านธูป ก็จะตายทันที ปีศาจกินภวังค์ ไม่มีพิษสง น่ากลัวแต่อย่างใด ถ้าไม่ใช่เวลาแห่งรัตติกาล ก็ไม่สามารถออกหากินได้
                     
                      ท้าวสุริยัน ต้องเปล่งพลานุภาพปิดกั้นดินแดน กักขังปีศาจกินภวังค์ และทำให้ดินแดนนั้นเป็นกลางวันอยู่นาน 999 วัน จึงกำจัดปีศาจกินภวังค์สำเร็จ

                      ครั้น ท้าวสุริยัน คืนสู่สวรรค์ องค์อัมรินทร์ เทวะผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นที่ 6 รับสั่งให้ พิรุณเทพ บันดาลให้ฝนตกทั่วทั้งดินแดน 1 ห่า พระพิรุณรับบัญชา บันดาลฝนทันที เมื่อนั้น ท้องฟ้าเกิดมืดครึ้มราว 30 คืน แลในคืนที่ 31 กลับเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ พื้นดินส่วนนั้นยุบลงทั้งดินแดน น้ำฝนทะลักเข้าไป กลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ องค์อัมรินทร์เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ ทอดเนตรเห็นดังนั้นจึงรับสั่ง พฤกษาเทพ ปลูกต้นกัลปังหา ลงในท้องนที แลให้กำเนิดชีวิตใต้สมุทร (จบความก่อน)


                       แคว้นกัลปังหา เป็นดินแดน กลางทะเลสาบขนาดใหญ่ พระเจ้ากัลปังหา เป็นผู้ค้นพบนครแห่งนี้ เมื่อ 50 ปีก่อน เนื่องจากหลงเข้ามาหาปลา แล้วได้ช่วยเหลือลูกปลาน้อยตัวหนึ่ง ที่ติดอยู่ในแง่งหิน ครั้งนั้นลูกปลาน้อยว่ายทวนน้ำกลับขึ้นมา แผลงฤทธิ์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โอบรัดพระเจ้ากัลปังหาลงสู่ท้องทะเลสาบ พามายังถ้ำเพชร ซึ่งเกิดจาก การยุบตัวของแผ่นดินนั่นเอง

                       ภายในถ้ำส่องประกายเพชรแวววับสวยงาม มีบัลลังเพชรตั้ง อยู่กลางถ้ำ ข้างบัลลังมีต้นกัลปังหา สีแดงสดแผ่กิ่งก้านปกคลุมบัลลัง ออกผลสีทองเม็ดเท่าหัวแม่มือเต็มต้น ดูงดงามยิ่งนัก ลูกปลาน้อยคาบผมที่ตกอยู่ กลืนเข้าไป พลันเกิดกลุ่มควันประหลาด วนขึ้นรอบกาย เมื่อกลุ่มควันจากลง กลับกลายร่างเป็นสาวแรกรุ่น งดงามรามกับนางฟ้า ดวงตาสุกใส นัยว่ามหาสมุทรทั้งผืนปรากฏภายใต้ดวงตาคู่นั้น พระเจ้ากัลปังหาตัดสินใจอยู่กินกับลูกปลาน้อย เถลิงพระนามใหม่ว่า พระเจ้ากัลปังหา สร้างอาณาจักรใหญ่โตใต้ทะเลสาบ มีบริวารเป็นสรรพสัตว์ใต้ผืนน้ำมากมาย 

โปรดติดตามตอนต่อไป...				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟอมตะลักขณา
Lovings  อมตะลักขณา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟอมตะลักขณา
Lovings  อมตะลักขณา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟอมตะลักขณา
Lovings  อมตะลักขณา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงอมตะลักขณา