29 เมษายน 2547 16:38 น.

“ ฤชุวจี.. ”

อัลมิตรา

 
..๏ โอ้มวลหมู่แมกไม้..................นานา พันธุ์เอย
พิกสิตผลิผกา.............................เกลื่อนคุ้ม
จรูงทิพย์กลิ่นยามา......................ยามเมษ
เชอร์รี่หลากกลุ่มซุ้ม....................เศวตแล้ชมพู  ๚

..๏ เยาว์ยุพาเลี่ยงร้อน................สูริยา
เจ้าทัดเกศกรรณา......................ช่อแก้ว
สกาวพัสตร์ฤรัมภา......................เผลอผ่าน พิภพแฮ
แย้มโอฐอ่อนยุพาแผ้ว................ภาพย์ไร้มายา  ๚

  
..๏ อ่านกลอนอมรศรี...............อุระปรีดิ์วจีวิทูร
เรืองดั่งสว่างสูรย์......................สุพิมลกระจ่างนภา
ทั้งเรื่องประเทืองหัว.................มธุกลั้วสุคนธ์ผกา
กล่อมเห่ทะเลจ๋า.......................สติบ้าประชดประชัน ๚

..๏ ขอขวัญทแกล้วหาญ............อริลาญระทดระทม
งานสารพันสม.........................ปณิธาณกวีมิวัญฌ์
มอบส่งอนงค์ขวัญ...................อภินันท์ลิขิตประพันธ์
ร้อยกานท์พิธานฉันท์..............ฤชุถ้อยพิศุทธิ์พิชาน  ๚ะ๛


 

				
28 เมษายน 2547 15:39 น.

แด่..มารร้ายผู้คิดการใหญ่

อัลมิตรา


วิปริตสันดานไอ้มารร้าย
มุ่งทำลายประเทศชาติบังอาจเหิม
ทั้งที่กินอยู่อาศัยได้ต่อเติม
โคตรเหง้าเพิ่มกลับมิตรึกสำนึกตน

คิดการชั่วปล้นฆ่าอาละวาด
เผาเกลื่อนกลาดโรงเรียนเหี้ยนทุกหน
ฟันคอพระยังทำได้ร้ายเต็มทน
มันเป็นคนหรือสัตว์..จัดกลุ่มที

ริกำแหงแบ่งเขตสมเพชนัก
เข้าหาญหักอวดกล้าบ้าบัดสี
เขากูลเกื้อรักกันเนิ่นนานมี
ไอ้เวรนี่ !..ดันยุแยกให้แตกพันธุ์

ถือกำเนิดในไทยแต่ใจผลาญ
ซ้ำคิดรานชาติเชื้อหน่อเนื้อนั่น
ทั้งที่กระดูกปู่ย่าตายายมัน
ฝังธาตุมั่นเป็นธุลีที่แดนทอง 

ถึงเวลาแล้วหรือยังไทยทั้งชาติ ?
ร่วมพิฆาตมารร้ายให้คลายผยอง
แผ่นดินนี้ของใครได้ครอบครอง
ก็ล้วนผองพี่น้องเราโปรดเข้าใจ

ถึงเวลาแล้วหรือยังให้หยั่งคิด ?
สิ่งถูกผิดจากเหตุอาเพศใต้
ฤๅ จะปล่อยลุกลามทรามทั่วไป
จนมอดไหม้หมดสิ้นแผ่นดินเรา 				
25 เมษายน 2547 23:55 น.

..๏ ขลุ่ยครวญ

อัลมิตรา


..๏ ยามขลุ่ยครวญพญาโศกให้อกหวั่น	
แว่วรำพันผ่านเสียงสำเนียงหมาย
ด้วยคำนึงห่วงหาคราเดียวดาย	
ถูกทักทายด้วยเศร้าเข้าเยี่ยมเยือน

ปากบรรเลงเพลงแผ่วใจแน่วแน่	
นิ้วเปลี่ยนแปรเป็นเสียงเยี่ยงเชือดเฉือน
พญาโศกคร่ำครวญรัญจวนเตือน	
ดั่งเค้าเงื่อนความหมายให้ตรอมตรม 

ครั้งเก่าก่อนนอนแนบแอบอิงตัก	 
พร่ำคำรักเพลงหวานพลันสุขสม
เป่าขลุ่ยกล่อมคราวใกล้ให้อภิรมย์  	
ยังพลั้งชมเชยเจ้าดั่งเย้ายวน

นิ้วบรรเลงเสียงเสนาะไพเราะแล้ว	
คงไม่แคล้วหันหน้ามาเสสรวล
เป่าเป็นเพลงลาวดวงเดือนเหมือนเชิญชวน	
ฟังถ้อยถ้วนแห่งจิตติดตรึงตรา 

สิ้นสำเนียงหมายกล่อมถนอมเจ้า	
ยังใฝ่เฝ้าร่ายนิยามตามภาษา
ชมหมู่ดาวพราวเด่นเพ็ญนภา	
จำนรรจาเป็นกวีที่เปรียบเปรย

สายลมเย็นแผ่วผ่านพลันหวั่นไหว 	
พลั้งเผลอใจหลงอดีตโอ้จิตเอ๋ย
แท้ความจริงอ้างว้างดั่งเช่นเคย	                  
ลมรำเพยให้ตื่นฟื้นจากภวังค์ 

พญาโศกคงความย้ำความโศก	
ดั่งลมโกรกพัดให้อาลัยหวัง
ด้วยคำนึงครวญคร่ำพร่ำลำพัง	
อันความหลังรบเร้าเฝ้าหลอกใจ

แม้นพลัดพรากจากไกลไม่หวนกลับ	
ยามตื่นหลับยังหวังดังฝันใฝ่
เกินหักห้ามสิเนหาและอาลัย   
ด้วยเยื่อใยผูกพันนิรันดร์กาล  ๚ะ๛



 				
23 เมษายน 2547 21:18 น.

ท่าพักใจ

อัลมิตรา


..๏ ย่อโลกไว้ที่ปลายนิ้ว..............ให้ใจลิ่วทะยานไกล 
ฝากฝันอันเฝ้าใฝ่.......................สู่คนไกลให้ชิดกัน 
ยามวันให้หรรษา.......................ด้วยวาจาพาสุขสันต์ 
ยามคืนให้ชื่นพลัน.....................เพ่งดาวจันทร์อันผ่องพราว 
ยิ้มแย้มแต่งแก้มงาม...................ปากเพรียกถามย้ำทุกคราว 
คืนวันอันเหน็บหนาว.................อบอุ่นราวคราวผิงไฟ 
ยามร้อนไม่ร้อนนัก....................ไมตรีจักช่วยพัดใจ 
เปี่ยมรักมากห่วงใย....................ดั่งชิดใกล้ไม่จืดจาง   ๚ะ๛


..๏ ฝากสายใยจรดนิ้ว..................นำไป
ฝันส่งผ่านกระแสไฟ...................ลัดฟ้า
ย่อโลกย่อสองใจ..........................จงสนิท
วันสุขคืนส่องหล้า........................สว่างด้วยแสงเดือน ๚

..๏ โอษฐ์เอื้อนคำยิ่งแย้ม...............ยิ้มทา
หนาวเหน็บหายคลายครา.............อุ่นอ้อม
เปี่ยมด้วยรักห่วงหา......................ดั่งชิด ใกล้เฮย
เย็นรื่นไมตรีล้อม.........................ห่อนร้างจางหาย   ๚ะ๛

				
22 เมษายน 2547 15:43 น.

..๏ กวี..ที่แตกต่าง

อัลมิตรา


@ ฉันไม่ใช่กวี    ..เชษฐภัทร   
 
 ฉันไม่ใช่กวี
เพราะไม่มีหัวใจอ่อนไหวหวาน
ไม่อาจสื่อชีวิตจิตวิญญาณ
ถ่ายทอดจินตนาการผ่านถ้อยคำ

ฉันไม่ใช่กวี
ไร้สรรพ์สีของอารมณ์รอบ่มร่ำ
ไม่อาจสื่อวิสัยทัศน์สัจธรรม
สะกดจนคนจำประทับใจ

ไม่อาจเขียนชีวิตด้วยชีวิต
ขาดข้อคิดคำคมสมสมัย
จนผู้อ่านก็แค่อ่านผ่านเลยไป
เพราะยังไร้ประสบการณ์การฝ่าฟัน

มิอาจกล่อมนกน้อยให้คล้อยหลับ
สุดคว้าดาวมาประดับกับความฝัน
ไม่อาจนับเม็ดทรายใต้เงาจันทร์
มาหลอมแก้วแววสวรรค์พรรณราย

และไม่อาจแต้มสีให้ผีเสื้อ
ให้สดใสทุกเมื่อเพื่อฟ้อนส่าย
เคล้ากลิ่นเกสรขจรขจาย
ที่เย้าหยอกดอกไม้ใต้หมอกบาง

ฉันไม่ใช่กวี
ไร้ศักดิ์ศรีสับสนคนถากถาง
ชีวิตจึงอับจนไร้หนทาง
เมื่อเธอหมางเมินค่าคำว่า รัก- 


@..ฉันเป็นเพียงกวีคนหนึ่งเท่านั้น ..ปุถุชน 
 
ในโลกของฉันมีแต่สงครามและความอดอยาก 
มีความอยุติธรรมและการกดขี่ทั่วแผ่นดิน 
เด็กเด็กในโลกของฉันไร้การศึกษาและกำพร้าพ่อแม่ 
ขณะที่ลูกผู้ลากมากดีมีโรงเรียนได้ศึกษากันในโลกของเธอ 

คนหนุ่มสาวในโลกของฉันก็ขาดจิตสำนึก 
ขาดการอุทิศตนเสียสละเพื่อปวงชนผู้ยากไร้ 
พวกเขาศึกษาเล่าเรียนก็เพียงเพื่อเป็นทาสรับใช้นายทุน 
มหาวิทยาลัยในโลกของฉันสอนให้คิดตามตามกันไป 
มีตำรับตำราขีดเส้นแบ่งชัดแจ้งระหว่างปัญญากับความโง่เขลา 
ครูบาอาจารย์ในโลกของฉันสอนให้คิดในกรอบห้ามนอกลู่ 
มีเส้นแบ่งระหว่างการหลบลู่และการไม่ให้เกียรติ 
ปัญญาชนของฉันจึงไร้ความคิดเป็นของตัวเอง 

ในโลกของฉันมีผู้รู้มากมายขวักไขว่เต็มถนน 
แม้กระนั้นผู้รู้ก็คอยแต่จะพิพากษาคนลงนรก 
สาดโคลนโสมมโยนบาปให้แก่กันและกัน 

กวีในโลกของฉันหลงใหลในตัวอักษรมากว่าสารถะ 
เคลิบเคลิ้มไปกับท่วงทำนองจนลืมแก่นสารของมัน 
ในโลกของฉันจึงเต็มไปด้วยท่วงทำนองอันหวานล้ำ 
โลกของฉันกับโลกของเธออาจะต่างกัน 
แต่สายสัมพันธ์ฉันกับเธอยังไม่ห่างกัน 
   
ฉันเป็นเพียงกวีคนหนึ่งเท่านั้น 
ฉันรักเธอทุกคน 
ฉันพเนจรร่อนเร่ไปทั่วโลกที่ฉันรัก 


@ ข้าฯคือเศษกวี .. อัลมิตรา 

..๏ ข้าฯเป็นเพียงเศษกวีที่บังอาจ
ขีดเขียนวาดอักษรตอนเคลิ้มฝัน
เป็นร้อยแก้วร้อยกรองท่องรำพัน
แต่กระนั้นยังมิงามตามที่ควร

ข้าฯเป็นเพียงคนถ่อยด้อยศึกษา
มินำพาบอกใครให้ไต่สวน
ใช้ถ้อยคำสถุลเถื่อนเผื่อนกระบวน
ร้อยเรียงห้วนมิหวานสื่อกานท์ไป

ด้วยเพราะข้าฯห่างชั้นคำบัณฑิต
ท่านจึงคิดตัดสินหมิ่นความใส่
ทีนักปราชญ์บิดเบือนเหมือนตั้งใจ
กลับกราบไหว้พวกเขา...น่าเศร้าจริง

เพราะเราล้วนเป็นกวีที่แตกต่าง
หลากหลายทางดั่งไม้ได้แตกกิ่ง
จะสนใจทำไมใครท้วงติง
ในเมื่อสิ่งที่เราเขียนเจียรจากใจ  ๚ะ๛



 				
Calendar
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟอัลมิตรา
Lovings  อัลมิตรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงอัลมิตรา