17 กรกฎาคม 2546 17:16 น.

เพราะพลังใจสร้างได้ด้วยตัวเอง (Pace maker)

เจือจันทร์

เสียงของอาจารย์กำลังสอนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องระบบหัวใจและหลอดเลือด ดังผ่านกำลังขับของลำโพงที่ติดตั้งอยู่บนเพดานของห้องเรียน ยิ่งทำให้เนื้อหาที่สอนดูหนักแน่นน่าเชื่อถือมากขึ้น ราวกับเวทมนต์สะกดให้นักเรียนคล้อยตามกันทั้งห้องห้องเรียนงั้นเรอะ ให้ตายสิผมว่ามันเป็นกรงกระต่ายมากกว่า นักเรียนก็เหมือนกับกระต่ายหลายๆตัว ที่ถูกจับมารวมกันไว้ แล้วอาจารย์ก็โยนผักบุ้งให้กำหนึ่ง  ทีนี้ก็แล้วแต่ว่ากระต่ายตัวไหนจะกินมากกินน้อยหรือไม่กินเลยท่านไม่รู้หรอกว่ามีกระต่ายบางตัวเบื่อผักบุ้ง แต่มันอยากกินแครอท ช่างเถอะยังไงซะมันก็ไม่มีผลต่อผมหรอกความฝันที่จะเรียนต่อของผมมันหายไปหมดแล้ว เสียงนั้นมันทำได้เพียงแทรกเข้ามาทางหูซ้ายแล้วทะลุผ่านทางสายตาของผมที่จ้องมองผ่านกระจกใสออกไปนอกหน้าต่าง ไปสิ้นสุดที่โต๊ะหินอ่อนที่ตั้งอยู่ใต้ต้นสน สายตาของผมสิ้นสุดอยู่แค่นั้นจริงๆ แต่ความคิดผมล่องลอยไปไกลกว่านั้นมากนัก
ผมยังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้อย่างแม่นยำเหมือนว่ามันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้ วันนั้นเป็นวันสอบคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนประจำจังหวัดแห่งนี้  แน่นอนว่าอัตราการแข่งขันค่อนข้างสูง  จำนวนผู้เข้าสอบมีมากมาย  ต่างคนต่างสถานที่  ต่างคนต่างเหตุผลในการสอบ  ต่างคนต่างไม่สนใจกัน แต่ทุกๆคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ผมก็คนหนึ่งละ
ขณะที่ผมกำลังตั้งอกตั้งใจทำข้อสอบอยู่นั้น จู่ๆปากกาลูกลื่นที่มีลายเป็นเกลียววนรอบตัวด้ามเพียงด้ามเดียวของผมก็เกิดไม่ติดขึ้นมาดื้อๆ
ให้ตายสิ! ผมสบถ แล้วพยายามขีดใหม่ซ้ำๆ เผื่อว่ามันจะติดขึ้นมาบ้าง แต่มันก็ไม่ติด ขณะที่ผมจ่อมจมอยุ่กับความสิ้นหวังนั้น ก็มีเสียงสดใสคล้ายเสียงของฑูตสวรรค์ผู้ส่งสาห์นจากพระผู้เป็นเจ้าดังขึ้น
ปากกาไม่ติดหรือคะ ยืมของฉันก่อนก็ได้ เสียงนั้นดังมาจากโต๊ะด้านซ้ายมือของผม
ขอบคุณครับ ผมกล่าวคำขอบคุณเจ้าของปากกาที่ตัวด้ามมีลายหัวใจสีชมพูด้ามนั้น และยังเป็นเจ้าของนัยตาที่ยิ้มได้คู่นั้น ทำไมผมเพิ่งจะสังเกตเห็นเธอนะ
เธอยิ้มให้ผมเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำข้อสอบต่อไป
จริงสินะ ผมก็ต้องทำข้อสอบต่อไปเหมือนกัน ทำข้อสอบเสร็จแล้วค่อยคืนปากกาให้เธอ ถ้าโชคดีคงจะได้รู้จักชื่อเธอด้วย ผมคิด แล้วจึงก้มหน้าก้มตาทำข้อสอบ 
เสียงกริ่งสุดท้ายดังกังวาลขึ้นเป็นสัญญาณเตือนว่าหมดซึ่งเวลาสอบ  ผมจึงวางปากกาลงเตรียมส่งข้อสอบ มองไปทางเธออีกครั้งเพื่อจะคืนปากกาให้เธอ แต่เธอไม่อยู่ที่โต๊ะเสียแล้ว
	เธอคงจะรอผมอยู่หน้าห้องมั้ง ผมคิด
	ผมจึงส่งข้อสอบ แล้วรีบออกไปดูหน้าห้อง เพื่อจะพบเธอ แต่ไม่เห็นแม้เงาเธอ เธอไปแล้ว ทิ้งปากกาด้ามนั้นไว้ที่ผม
	อาทิตย์ต่อมาก็ถึงวันประกาศผลสอบ ผมมาดูผลสอบด้วยใจสับสน ใจหนึ่งก็อยากรู้ผล อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากรู้ผล กลัวพลาดสอบไม่ติด แต่ขาผมก็พามาจนถึงป้ายประกาศแล้ว ผมไล่หารายชื่อตามตัวอักษร ให้ตายสิ! ผมสอบติดอันดับที่ 28 จากจำนวนรับทั้งหมด 100 คน ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นพยายามมองหาเธอคนนั้นเผื่อว่าเธอจะมาดูผลสอบเหมือนกัน แต่ก็ไม่เห็น จึงเดินไปลงทะเบียนเรียนที่ห้องธุรการซึ่งอยู่ตรงข้ามกับป้ายประกาศผล
	วันจันทร์วันแรกของการเริ่มเรียนและเป็นวันเริ่มแรกสำหรับมิตรภาพ  คาบแรกเป็นคาบแนะแนว  อาจารย์แนะแนวให้แนะนำตัวหน้าชั้นเรียนทีละคน คนที่1  คนที่2 คนที่3 ผ่านไป คนที่4 นั่นเธอนี่นา เธอคนที่ให้ผมยืมปากกา เจ้าของดวงตาที่ยิ้มได้ เราได้อยู่ห้องเดียวกัน บังเอิญจัง	
เธอออกไปหน้าชั้นแล้วแนะนำตัวว่า เธอชื่อ ไอริน ชื่อเล่นว่า ฝน ในที่สุดผมก็รู้จักชื่อเธอ เธอมองมาทางที่ผมนั่งอยู่แล้วส่งยิ้มให้ผม มันเป็นรอยยิ้มที่ยากจะปฏิเสธ ผมทำได้เพียงยิ้มตอบเธอเท่านั้น
หลังจากการแนะนำตัวของเพื่อนๆทุกคนเสร็จสิ้น  อาจารย์ก็อนุญาตให้พักได้  ผมรีบถือโอกาสนี้เข้าไปหาฝน เพื่อที่จะคืนปากกาให้เธอ
สวัสดีครับฝน ผมชื่อเมฆครับ จำผมได้ไหม คนที่คุณให้ยืมปากกาในวันสอบเข้าไง ผมพยายามฟื้นความทรงจำของเธอ 
แต่เธอทำท่าครุ่นคิดคล้ายว่าจำไม่ได้  ผมหน้าเจื่อนลงทันที  เธอยิ้มแล้วพูดว่า
ทำไมจะจำไม่ได้ละคะ ก็ปากกาด้ามนั้นเป็นด้ามโปรดของฉันนี่
นี่เธอแกล้งผมหรือนี่ แต่ก็ดีนะเป็นกันเองดี
นี่ครับปากกา ผมเอามาคืนให้ ผมพูดพร้อมกับยื่นปากกาลายหัวใจสีชมพูให้เธอ
... เธอไม่พูดแต่เอื้อมมือมาหยิบปากกาปากกาอีกด้ามหนึ่งที่อยู่ที่กระเป๋าเสื้อด้านซ้ายของผม
ปากกาด้ามนั้นฝนให้เมฆ แต่ฝนขอปากกาของเมฆด้ามนี้นะ  เธอพูดพลางส่งยิ้มผ่านริมฝีปากสีชมพูระเรื่อ ยิ้มผ่านสายตาที่ซุกซนของเธอ  ให้ตายสินี่เธอคิดจะฆ่าผมด้วยรอยยิ้มของเธอหรือไงนะ
หลังจากวันนั้นมิตรภาพของเราก็เริ่มก่อตัวขึ้นเหมือนเมฆบนฟ้าที่เกิดจากการควบแน่นของละอองน้ำในอากาศเพื่อที่จะหลั่งรินชโลมดินโดยกลายเป็นฝน
เรามักจะจับจองโต๊ะหินอ่อนใต้ต้นสนตัวนั้น เป็นที่สำหรับนั่งทานข้าว พูดคุย ติวหนังสือเตรียมสอบกัน
                       ราวกับว่าบทละครแห่งชีวิตของเราช่วงนั้นดำเนินเรื่องด้วยความสนุกสนาน ประทับใจ มีทั้งสุขและทุกข์ มีความฝัน ความหวัง และสัญญา ที่จะเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยด้วยกัน เป็นกำลังใจให้กันและกัน โดยมีต้นสนต้นนั้นเป็นฉากสำคัญของเรื่อง..เรื่องของเรา มันช่างเป็นบทละครที่สั้นเหลือเกิน
	เมื่อฝนมาฟ้าหม่นจนใจหลับ ยังสดับเสียงหัวใจกลางสายฝน เปลวฉายแสงแห่งอารยชน แผดเผาฝนให้ระหายกลายเป็นไอ  ผมเจอบทกวีบทนี้ในหนังสือ และรู้สึกราวกับว่ากวีได้บรรจงเขียนขึ้นเพื่อเรื่องของเราโดยเฉพาะ
	วันหยุดวันนั้น ผมกับฝนชวนกันไปขี่จักรยานเล่นกันที่วนอุทยานประจำจังหวัด ระหว่างที่กำลังปั่นอยู่นั้น จู่ๆ รถสิบล้อระยำก็พุ่งเข้าชนจักรยานของเรามันเป็นภาพที่ผมจำติดตาไม่มีวันลืม เหตุการณ์ครั้งนั้นผมรอดชีวิต แต่ฝนจากผมไป จากไปยังที่ที่ผมไม่อาจจะติดต่อกับเธอได้ ทั้งทางโทรศัพท์ จดหมายอิเลคโทรนิค หรือวิธีการอื่นๆ
	มันช่างเป็นการจากกันที่ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย  หรือที่จริงแล้วโลกนี้ไม่มีเหตุผล เหตุผลมีอยู่เพียงในสมองส่วนหน้าของมนุษย์ โลกนี้มันไร้สมอง   
	ผมยังคงเหม่อมองไปที่ต้นสน ซึ่งกำลังโน้มปลายยอดตามแรงลมคล้ายกับจะพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของผม
	ออดดดดดดดดดด  ออดดดดดด  ออดดดดดด  เสียงออดหมดคาบสุดท้ายของวันดังขึ้น ปลุกผมตื่นจากห้วงภวังค์ในอดีตสู่ความเป็นจริงในปัจจุบัน
	หลังจากทำความเคารพและกล่าวขอบคุณอาจารย์แล้ว  ผมรีบเดินไปที่โรงรถ   ขับมอเตอร์ไซค์กลับบ้านทันที  ฝนที่ตั้งเค้ามาตั้งแต่ตอนบ่ายเริ่มลงเม็ดลงมา  
ผมรีบบิดคันเร่งเพื่อที่จะได้เปียกฝนให้น้อยที่สุดเมื่อกลับถึงบ้าน  นั่นโค้งสุดท้ายสุดท้ายแล้ว หลังจากผ่านโค้งนี้ไปก็จะถึงตัวหมู่บ้าน ผมเอี้ยวตัวผ่อนคันเร่งลง เพื่อให้รถไหลไปตามความโค้งของขอบถนนโดยอาศัยแรงเฉื่อยและแรงเหวี่ยงจากศูนย์กลาง 
 ให้ตายสิ!!  หมาโผล่มาจากไหน ไวอย่างใจคิด ผมเหยียบเบรกสุดตัวจนล้อล็อคตาย  รถผมสะบัดอย่างแรง ร่างผมกระเด็นคว้างคล้ายถูกเท้าขนาดยักษ์ถีบเอา  ความรู้สึกมากมายไหลทะลักออกจากตัวผมเสียจนผมไม่รู้สึกอีกต่อไป
ผมรู้สึกตัวอีกครั้ง เพื่อที่จะพบว่าตัวเองอยู่ในสวนดอกไม้ที่ไหนสักแห่งหนึ่ง  มีดอกไม้หลากสีหลากสายพันธุ์อยู่เต็มไปหมด ที่สำคัญมันมีกลิ่นโชยมาร่ำร่ำคล้ายกลิ่นอะไรสักอย่างที่ผมเคยได้กลิ่นเมื่อนานมาแล้ว
ผมนึกไม่ออก แต่มันรู้สึกคุ้นเคยและอบอุ่น
	ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วสะดุดสายตา กับโต๊ะหินอ่อนอยู่ใต้ต้นสน  ใช่แล้วครับมันเป็นโต๊ะหินอ่อนและต้นสนเดียวกันกับที่โรงเรียน  แต่ที่ทำให้ผมตะลึงก็คือ หญิงสาวเจ้าของนัยตายิ้มได้คู่นั้นกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะตัวนั้น
ฝน ผมวิ่งเข้าไปหยุดยืนอยู่หน้าเธอ ผมพยายามจะพูดและถามเธอ ผมมีเรื่องมากมายจะเล่าให้เธอฟัง
แต่ให้ตายสิ ผมไม่สามารถจะส่งเสียงหรือแม้แต่จะขยับตัวได้เลย
	ฝนลุกขึ้นยืน ส่งยิ้มให้ผม ยิ้มที่ผมคุ้นเคย ยิ้มด้วยริมฝีปากและสายตา
	ฝนรู้ว่าเมฆมีเรื่องที่จะพูดกับฝนมากมาย  แต่ว่าเรามีเวลาไม่มากนัก  ฝนมาลาเมฆ ฝนจึงอยากให้เมฆฟังฝนพูด   ผมทำได้เพียงพยักหน้ารับรู้  ฝนจึงพูดต่อไป
	เมฆยังจำปากกาที่เราแลกกันได้ไหม ในวันนั้นฝนเอาปากกาที่กระเป๋าเสื้อด้านซ้ายของเมฆมา แต่ว่าวันนี้ฝนเอามันมาคืนให้กับเมฆ
	ผมพยายามจะพูดถามฝนไปว่า แล้วปากกาของฝนที่อยู่กับผมละ ไม่ได้ผลมันไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากลำคอผมเลย
	สำหรับปากกาด้ามนั้นของฝน ฝนไม่เอาคืนหรอกนะ  ถือว่าเป็นสัญญาของเรา  ยังจำได้ไหมสัญญาว่าจะเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยด้วยกันไงละ  ฝนอยากให้เมฆพยายามในส่วนของฝนด้วยนะ
	เธอพูดเหมือนกับรู้ความคิดของผม 
	 เมฆเชื่อเรื่องฟ้าลิขิตไหม ถ้าวันสอบเข้าปากกาของเมฆไม่เกิดติดขัดขึ้น ฝนคงไม่ได้ให้ปากกาด้ามนั้นกับเมฆ และคงไม่มีเรื่องราวของเราเกิดขึ้น เราพบกันก็ด้วยฟ้าลิขิต เราจากกันก็ด้วยลิขิตฟ้า แต่ฝนอยากให้เมฆลิขิตชีวิตตัวเองนะ เมฆยังสามารถทำได้ส่วนฝนในตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว
	พูดจบฝนก็ยื่นปากกาด้ามนั้นใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านซ้ายของผม พร้อมกับยิ้มให้ผมรอยยิ้มสุดท้ายของเธอ ยิ้มเหมือนทุกๆครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้สายตาเธอไม่ได้ยิ้ม มันหลั่งน้ำใจใสใส ออกมาแทน แล้วทุกๆสิ่งก็เริ่มเลือนลาง
	ผมค่อยๆลืมตาขึ้น รู้สึกปวดแปลบๆ แถวๆ ท้ายทอย มองไปรอบบริเวณ รถมอเตอร์ไซค์ยังนอนอยู่กลางถนน  หมาตัวนั้นหายไป ฝนหยุดตกแล้ว ฝนก็หายไป แต่ทำไมน้ำตาผมไม่หยุดไหลนะ แม้ผมจะกำปากกาที่หน้าอกเสื้อด้านซ้ายไว้แน่นเพียงใดก็ตาม

	จากวันนั้นจนมาถึงวันนี้ก็ผ่านมา 4 ปีแล้ว ผมเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาและสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยในคณะที่หวังไว้ได้  วันนี้ผมกลับมาที่โรงเรียนเดิมอีกครั้งหนึ่งเพื่อที่จะแนะแนวน้องๆตามประเพณีของโรงเรียนที่ปฏิบัติต่อๆกันมา  โรงเรียนแห่งนี้มีความทรงจำที่ดีสำหรับผมอยู่มากมาย ถึงตาผมออกไปพูดบนเวทีเพื่อบอกว่า เคล็ดลับสอบเอนทรานซ์และการเลือกคณะของผมคืออะไร   
	ผมยกมือขึ้นกุมปากกาที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อด้านซ้าย ก่อนจะพูดด้วยความภาคภูมิใจว่า
หัวใจของคนเราเป็นอวัยวะที่สำคัญ  มันมีขนาดประมาณกำปั้นของตัวเรา  กล้ามเนื้อหัวใจเป็นกล้ามเนื้อพิเศษ ที่ไม่ใช่ทั้งกล้ามเนื้อเรียบและกล้ามเนื้อลาย  ลักษณะมันคล้ายกล้ามเนื้อเรียบ แต่ทำงานหนักเหมือนกล้ามเนื้อลาย  หัวใจอยู่นอกเหนืออำนาจควบคุมของสมอง  เซลล์แต่ละเซลล์ของหัวใจสามารถสร้างกระแสไฟฟ้าเองได้ ควรดูแลหัวใจของตัวเองให้ดี แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเข้าใจคำพูดของผม
	แล้วคุณละเข้าใจคำพูดผมไหม? ดูแลหัวใจของคุณดีพอแล้วหรือยัง?				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเจือจันทร์
Lovings  เจือจันทร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเจือจันทร์
Lovings  เจือจันทร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเจือจันทร์
Lovings  เจือจันทร์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเจือจันทร์