16 มิถุนายน 2550 01:54 น.

เรื่องจาก Forward Mail ค่ะ

เปเป้ซังแม่มู๋ผู้เดียวดาย

***************************************************************
ฉันกับแฟนคบกันมา 4 ปี มีโครงการจะแต่งงานกันสิ้นปีนี้ 
แต่แล้วจู่ ๆ เค้าก็มาบอกว่า เราเลิกกัน เค้าไม่ได้รักฉันแล้ว 
ตอนนี้เค้าพบคนใหม่ ตลอดเวลาเค้าหลอกฉันมาตลอดว่ารัก 
เค้าจะแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่สิ้นปีนี้ 

ฉันทำทุกวิถีทางเพื่อจะฉุดรั้งเค้ากลับมา ฉันถามว่าฉันผิดตรงไหน 
ไม่ดีตรงไหน ฉันจะปรับปรุงตัวใหม่ เค้าต้องการอะไรฉันทำให้ได้ทุกอย่าง
และยอมทุกอย่าง ขอเพียงแค่ กลับมาเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ฉันได้รับคือ
ความเฉยชา,หงุดหงิด,รำคาญ ทำอะไรก็ผิดไปหมด 

เพื่อน แนะนำฉันให้ ไปทำเสน่ห์ ปกติฉันเป็นคนที่กลัวเรื่องพวกนี้
ไม่อยากยุ่งเกี่ยว ไม่อยากเข้าใกล้ แต่....ณ จุดจุดนี้ ไม่ได้แล้ว ความรักบังตา
ฉันยอมทุกอย่าง ขอเพียงได้เค้ากลับคืน อะไรก็ได้สำหรับฉัน ณ ตอนนี้ 

ปู่ฤาษี คือผู้ที่เพื่อนฉันพาไปหา เพื่อนบอกว่า ท่านเก่ง ญาติของเพื่อน 
สามีหนีไปอยู่กับเมียน้อยท่านก็เป็นคนเรียกกลับมา ทุกวันนี้ทั้งรักทั้งหลงภรรยา 
ไม่ไปมีใหม่อีกเลย 

บ้านปูนชั้นเดียว มีลานจอดรถที่พอจอดรถยนต์ได้ประมาณ 10 คัน 
วันแรกที่ฉันไปมีรถยนต์จอดอยู่ 3 คัน มองเข้าไปในบ้านมีคนนั่งจนล้นออกมาข้างนอก
มีเสียงหัวเราะดังออกมาเป็นระยะ เพื่อนพาฉันเข้าไป ภาพที่ฉันเห็น 
ชายหนุ่มอายุน่าจะประมาณ 28  29 ปี ผมยาวมีลายสักเต็มตัว นัยต์ตาหวานเยิ้ม 
มือคีบบุหรี่พูดไป ยิ้มไป ปล่อยมุกสนุกสนาน ทำให้ผู้ที่เข้ามาหาหัวเราะเป็นระยะ ๆ 
นุ่งชุดลายเสือ ดูดีมีเสน่ห์  คนนี้เรอะที่เพื่อนบอกว่าเป็นปู่ฤาษี ทำไมยังหนุ่ม แต่ ณ วินาทีนั้นความรักบังตาไม่ได้คิดอะไร เพื่อนบอกว่าดี ฉันก็เชื่อ
โดยที่ไม่ได้คิดถึงเหตุการณ์ในวันข้างหน้าเลย 

เราสองคนนั่งรออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง คนที่เข้ามาล็อคแรกก็ออกไป 
ถึงคิวของฉัน เพื่อนแต่งขันธ์ห้า (ดอกไม้ 5 คู่ เทียน 5 คู่) พร้อมเงิน 100 บาท 
ให้ฉันเขียนชื่อ-นามสกุล พร้อมที่อยู่ ของฉันและของแฟน ยื่นให้ปู่ฤาษี 
.........(เอ่ยชื่อฉัน) ดวงไม่ดี จะถูกแย่งของรัก ....... (เอ่ยชื่อแฟน) 
คนนี้เป็นแฟนใช่มั๊ย 
ฉันตอบ ใช่ค่ะ มีอะไรจะถามท่านถามฉัน 
......เงียบ ......ฉันก็ไม่รู้จะถามอะไร 
เพื่อนหันมาสะกิด ตอบไปซิ 
ก็ไม่รู้จะตอบอะไร.......... 
ท่านนั่งหลับตาสวดคาถาประมาณ 5-10 คำ แล้วหันมาถาม 
 รักเค้ามาก ตอนนี้ใจเศร้าหมอง มีแต่คิดจะฆ่าตัวตาย .........อยากได้เค้ากลับมามั๊ย ท่านหันมาถาม 
อยากได้ค่ะ ฉันตอบ 
ถ้าอยากได้คืน จะช่วย แต่จะต้องจ้างน่ะ มีเงินเท่าไหร่ 
สองพันค่ะ 
ท่านหลับตาสักพัก ไม่ใช่หรอก ในกระเป๋าตังค์มีเงิน ห้าพันบาท ในสมุดบัญชีมีเงิน.ก 3 หมื่น 
ฉันตกใจ ท่านรู้ได้อย่างไง 
ถ้าอยากได้คืน ปู่คิดค่าจ้าง 3 หมื่น 
ตกลงค่ะ ฉันตอบตกลง 
จะบ้าเหรอ.....3 หมื่นน่ะแก ไม่คิดก่อนหรือไง เพื่อนฉันตกใจรีบหันมาถามฉัน 
แต่สำหรับฉันตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญเท่าการได้แฟนกลับคืนมา 
ปู่ฤาษี มองหน้ายิ้ม ๆ ให้ไปเอา............ ......... ......... ..... ท่านสั่งให้ฉันนำสิ่งของมาเข้าพิธี 

............ ......... ......... ......... ...... 
รุ่งขึ้น เดินทางไปหาปู่ฤาษี ไปถึงก็มีคนมารอท่านเต็มอาศรมไปหมด 
รายแรก....มากันประมาณ 5-6 คน แต่งขันธ์ 5 จานเดียวใส่เงิน 100 บาท แต่มีรายชื่อในกระดาษประมาณ 10 ชื่อได้ ท่านรับขันธ์ 5 ไป หลับตาสวดมนต์ ดูให้ทีละคน การทำนายของท่านแม่นเหมือนตาเห็น ท่านจะทักเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยก่อนว่า เป็นลักษณะไหนอยู่ตรงไหนมีอะไรเป็นจุดเด่น (มาทราบภายหลังว่าท่านไม่ได้ดูจากวันเดือนปีเกิด แต่จะส่งจิตไปยังบ้านที่เราอาศัยอยู่เพื่อไปตรวจสอบยังสถานที่ ท่านจึงต้องถามว่าสถานที่ที่ท่านไปถูกต้องหรือไม่) ท่านจะทักแต่ละคนตามรายชื่อที่เขียนไป จนกระทั่งไปสะดุดที่ชื่อของลูกสาวของคนที่มาดู มันหนีออกจากบ้านไปใช่มั๊ย (จริง ๆ แล้วท่านจะพูดเป็นภาษาอีสาน แต่ว่าฉันแปลเป็นภาษาภาคกลางให้เพื่อจะได้เข้าใจ) 
ใช่จ๊ะ คนเป็นแม่พูด น้ำตาเริ่มไหล 
ท่านหลับตาสวดมนต์สัก 5-10 คำ  มันหนีไปกับผู้ชายตอนนี้มันอยู่ กาฬสินธ์ อยู่บ้านเค้า 
ปู่ช่วยหน่อย ตามมันกลับมาให้หน่อย แม่พูดไปพร้อมเช็คน้ำตา ฉันเองก็พาลจะน้ำตาไหลตามไปด้วย 
ท่านสวดมนต์สักพัก เออ....ปู่จะช่วย วันจันทร์มันจะกลับมา พอมันมาแล้วให้พามันมาหาปู่.. ท่านพูดปลอบใจเขาสักพักแล้วก็เริ่มสอนให้เข้าใจถึงวิถีชีวิตของมนุษย์เป็นคำสอนตามแบบของศาสนา จนพ่อแม่ของน้องผู้หญิงผ่อนคลายหายเศร้าท่านจึงให้กลับ 

รายที่ สอง เป็นชาวบ้านมาประมาณ 4-5 คน รายนี้ภรรยาหนีตามชู้ไป ทิ้งสามีกับลูกสองคน สามีเค้ารักภรรยามาก อยากได้ภรรยาคืน ฤาษีท่านดูไปแล้วทักว่า ภรรยาของแกหนีตามผู้ชายข้างบ้านไป ผู้ชายคนนั้นก็มีภรรยาแล้วใส่เสน่ห์ภรรยาของแกด้วย พอท่านพูดถึงตรงนี้ ผู้หญิงที่มาด้วยบอกว่าเป็นสามีของแกเอง ปู่จึงหันมาถามว่าจะเอาคืนด้วยหรือ ฝ่ายหญิงตอบว่าไม่เอา ปู่จึงหันไปถาม ฝ่ายชายว่าจะเอาคืนจริง ๆ หรือ ไม่รังเกียจเค้าหรือที่เค้าทำแบบนี้ โกรธเค้าไหม เกียจเค้ามั๊ย ซึ่งฝ่ายชายก็ยืนยันคำเดียวว่าจะเอาคืน ท่านถามซ้ำ 3 ครั้ง ฝ่ายชายก็ยังยืนยันคำเดิม ท่านรับปากว่าจะช่วยแล้วให้บูชาของสิ่งหนึ่งไป เรียกเก็บเงิน 500 บาท 

ฉันเริ่มสงสัย เอ...ทำไมของฉัน 3 หมื่น ส่วนของคนนี้แค่ 500 บาท แต่ก็ยังไม่ได้ถามตอนนั้น 

รายที่ 3 เป็นคุณยาย พาหลานสาวมากราบท่าน บอกว่าเป็นคนนี้ที่หนีออกจากบ้านแล้วให้ท่านตามมาให้ กลับมาแล้วตามที่ท่านบอก ท่านเรียกน้องผู้หญิง (อายุประมาณ 16-17 ปี) เข้ามานั่งต่อหน้าท่านแล้วเริ่มสอน ซึ่งคำสอนของท่านฉันฟังแล้วน้ำตาแทบไหล..... 
เห็นหน้ายายมั๊ย แกเสียใจขนาดไหน เค้าเลี้ยงเรามากี่ปี แต่ผู้ชาย.กคนพึ่งเจอกันไม่เท่าไหร่ ทำไมถึงทุ่มเททุกอย่างให้เค้าได้ขนาดนั้น ยายเค้าเสียใจขนาดไหนเห็นมั๊ย (คุณยายเริ่มเช็ดน้ำตา) ที่ปู่ช่วยไม่ได้อยากช่วยเราน่ะ ปู่สงสารยายของเราถึงได้ช่วยเรียกกลับมา............ ......... ....... ท่านสอนอยู่นานพอควร 

เกือบบ่าย 2 ถึงคิวฉันซะที ท่านหันมายิ้ม เดี๋ยวจะทำน้ำมนต์ให้อาบ 
ท่านให้ฉันอาบน้ำมนต์โดยท่านเป็นผู้ปลุกเสก จะมีผู้ชาย.กคนเป็นคนอาบให้ ในระหว่างที่อาบเค้าก็จะสวดคาถาไปด้วย .....หลังจากอาบน้ำมนต์เสร็จ ท่านก็ให้นำของที่เตรียมมาให้ ทำพิธีอยู่ประมาณ 10 นาที หลังเสร็จพิธีท่านผูกแขนให้ฉันแล้วสั่งให้ฉันปฏิบัติตามคำสั่ง 
1. ทุกวันตอนเย็น ให้ฉันเดิน 999 ก้าว โดยให้นับทีละก้าวห้ามนับผิด หากนับผิดหรือไม่แน่ใจให้เริ่มนับใหม่ 
2. ก่อนนอนให้สวดมนต์ 99 จบ 
3. ให้คุยกับ คุณพ่อหรือคุณแม่ทุกวัน เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังให้หมด ห้ามปิดบังและโกหก 
4. ไม่ให้รับรู้หรือพูดคุยกับแฟนโดยเด็จขาด ภายใน 15 วัน หากผิดคำสัญญาจะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่จนกว่าจะครบ 15 วัน 
ท่านให้ฉันปฏิบัติอยู่ 15 วันแล้วให้กลับมาหาท่านใหม่ ซึ่งท่านสัญญาว่าภายใน 15 วัน หากฉันทำได้ตามคำสั่งแฟนของฉันจะกลับมาหาฉันแน่นอน 

ฉันรับปาก และเริ่มปฏิบัติตามที่ท่านสั่งไว้......เวลาเริ่มผ่านไปจากวันที่หนึ่ง เป็นวันที่สอง วันที่สาม วันที่สี่ วันที่ห้า.......วันที่สิบห้า 
วันที่ 15 ครบจำนวนวันที่ท่านสัญญาไว้ ฉันเดินทางไปหาท่านแต่เช้า....... 
เป็นไง.....รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือเปล่า ท่านถาม 
ค่ะ สบายใจขึ้น มากแล้วค่ะ 
รักเค้ามากเลยหรือ ท่านถาม 
ค่ะ 
ได้โทรหาแม่ทุกวันหรือเปล่า 
โทรค่ะ 
แม่ว่าไง เค้าเสียใจมั๊ย 
แม่ไม่ว่าอะไรค่ะ ท่านจะคอยปลอบใจ แล้วท่านก็เสียใจมากค่ะ 
แม่เสียใจ แล้วเราเสียใจมั๊ย 
.....ฉันเงียบ เริ่มคิด เสียใจค่ะ 
ตอนเราร้องไห้ แม่เค้าว่าไง 
......แม่เค้าก็ร้องไห้ค่ะ.... 
รักแม่มั๊ย 
รักค่ะ 
ใครทำให้เราเสียใจ ใครทำให้เราเป็นแบบนี้ ผู้ชายคนนั้นใช่มั๊ย 
.......ฉันนั่งนิ่ง น้ำตาเริ่มไหล....... 
ทำงานมาเคยให้เงินแม่บ้างมั๊ย....เวลาไปตลาดเห็นกับข้าวเคยจำได้มั๊ยว่าแม่ชอบกินอะไร จำได้หรือเปล่าว่าตัวเราชอบกินอะไร............ ...ทุกวันนี้กับข้าวที่ซื้อมากินเป็นที่เราชอบหรือเป็นที่ผู้ชายคนนั้นชอบ........ทำไมต้องให้เค้ามามีอิธิพลอยู่เหนือตัวเองขนาดนั้น เค้าทิ้งเราไปเพราะอะไร.......ตอบได้มั๊ย 
.......เค้าไปมีคนใหม่ค่ะ 
ทำไมเค้าไปมีคนใหม่ 
......ไม่ทราบค่ะ ฉันตอบไปพลางเช็คน้ำตา 
เพราะสันดาน......เข้าใจคำว่าสันดานมั๊ย คนดี จะคิดดี ทำดี พูดดี คนไม่ดี ความคิดมันก็เลวไปด้วย อยากจะทุกข์ทรมารอยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิต ก็จะเอามันคืนให้ แต่ถ้าอยากจะมีความสุข ไม่อยากให้แม่เสียใจ มีชีวิตที่ดี เจอคนดี ๆ ก็เลิกกับมันซะ ปู่ไม่เคยเห็นใครตายเพราะอกหัก แต่ที่คนมันตายก็เพราะมันสิ้นคิด เพราะแพ้ใจตัวเอง ใจอ่อนแอ ถ้าไม่คิดไม่นำจิตไปวางไว้กับมัน มันก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง บังคับตัวบังคับกายมันทำได้ แต่การบังคับใจถ้าไม่แกร่งจริงมันก็ยาก แต่ใจมันเป็นของเราถ้าเรายอมแพ้มัน เราก็จะแพ้ไปตลอดชีวิต ถ้าเราเคยเอาชนะมันได้บังคับมันได้ เราก็จะไม่มีทุกข์ ไม่มีใครช่วยเราได้หรอกหมอที่ไหนก็รักษาให้ไม่ได้ มีแต่ตัวเรากับเวลาเท่านั้นที่ช่วยตัวเราได้......สิบห้าวันผ่านมาเป็นไงบ้าง 
ไม่ได้คิดอะไร ก็รู้สึกดีค่ะ 
ทำต่อไปน่ะ ตัดใจซะ มันทำไม่ได้ทันทีหรอกแต่มันจะค่อย ๆ ดีขึ้น คิดถึงแม่ไว้ให้มาก ๆ ไม่สบายใจอะไรก็เล่าให้เค้าฟัง ให้มีสติ อย่าไปจดจ่ออยู่กับมัน 15 วันผ่านมาไม่มีเค้าเราก็อยู่ได้ ไม่เห็นจะตายไม่ใช่หรือ ตัดใจซะเอาสมาธิไปจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่น อย่าไปใส่ใจกับมัน คนมันไม่ดีก็ปล่อยมันไปตามวิถีชีวิตของมัน........ 
ปู่ฤาษี หันไปหยิบของในย่าม เป็นเงิน 3 หมื่นบาท ยื่นคืนให้ฉัน 
เงิน 3 หมื่น ปู่ไม่เอาหรอก ให้เอาไปเก็บไว้ 2 หมื่น เอาให้แม่ 5 พัน .ก 5 พัน ไปซื้อเสื้อผ้า เครื่องสำอาง แต่งตัวใหม่ให้ดูดีกว่านี้ พูดจบแกก็หัวเราะ 
จำคำปู่ไว้ อย่าเชื่อใจคน อย่ามองเพียงแค่ภายนอก แล้วอย่าไปทำเสน่ห์ที่ไหน.ก ทุกคนมีเสน่ห์อยู่ในตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่เสน่ห์ที่เรามีจะถูกใจใครเท่านั้น พวกนุ่งผ้าเหลือง ผ้าขาว บางคนสักแต่เอาผ้ามาห่ม แต่ใจมันไม่ใช่คน เราเป็นผู้หญิงต้องระวังตัวให้ดี ถ้าเจอคนดีก็ดีไป ถ้าเจอพวกไม่ดีเราจะเสียทั้งตัว เสียทั้งเงิน เสียทั้งใจ จะไปโทษใครบอกใครก็ไม่ได้ เราโง่เอง ...หยุด...ห้ามไปทำเสน่ห์ที่ไหน.ก จำคำปู่ไว้ให้ขึ้นใจ วันนี้แฟนเราจะมาหา ก็ตัดสินใจเอาก็แล้วกัน 
. 
ฉันกลับที่พัก เริ่มนั่งคิดทบทวน เรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา ความเจ็บปวดที่เคยมี ทุกครั้งฉันแทบจะทนไม่ได้ถ้าคิดถึงเค้า แต่ตอนนี้ทำไมความเจ็บปวดมันลดลง เริ่มมองเห็นสิ่งต่าง ๆที่ผ่านมา จิตใจที่เคยอ่อนแอ มันเริ่มแข็งแรงตั้งแต่เมื่อไหร่ฉันไม่รู้ น้ำตาที่เคยไหลไม่หยุดหากเมื่อไหร่ที่คิดถึงเค้า ทำไมมันหายไปไหน คำสอนของปู่ก้องอยู่ในสองหู ฉันตัดสินใจ.....จากนี้ต่อไปฉันต้องเข้มแข็ง 

...........เสียงเคาะประตูหน้าห้อง..... 
ใครค่ะ ฉันถาม 
เราเอง เหมือนที่ปู่บอกไว้ไม่ผิด เค้ามาจริง ๆ ใจที่เคยเด็จเดี่ยวเมื่อครู่หายไปไหนหมด หัวใจเต้นแรง ใจเริ่มอ่อน เริ่มหวั่นไหว........ 
มีธุระอะไร ฉันไม่ยอมเปิดประตู 
.....เราคิดถึง.....เปิดประตูให้เราหน่อย 
.......ฉันเริ่มสับสน น้ำตาเริ่มไหล จะทำไงดี...คิดถึงคำพูดของปู่ฤาษี คิดถึงหน้าแม่....... 
กลับไปก่อนน่ะ วันนี้เรายังไม่อยากคุย ตอนนี้เราอยู่กับแม่ กลับไปเถอะ ฉันโกหกเพราะรู้ว่าตัวเองยังไม่เข้มแข็งพอ หากเจอเค้าวันนี้ฉันต้องใจอ่อนแน่นอน 
............ ......... ......... ......... ......... ........ 
ทุกวันนี้ฉันฝากตัวเป็นศิษย์ของท่าน ปู่ฤาษีคัมภีร์ แสนวัง ผู้ให้ชีวิตใหม่แก่ฉัน ถ้าไม่มีท่านฉันก็ไม่รู้ว่าชีวิตของฉันจะต้องพบเจออะไร อาจจะเจอสิ่งที่เลวร้าย เจอพวกซาตานในคราบนักบุญ ต้องเสียทั้งตัว เสียทั้งใจ จึงอยากจะขอเตือนเพื่อน ๆ ที่คิดจะไปทำเสน่ห์ ให้ไตร่ตรองให้ดี ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีเหมือนฉันเสมอ				
3 เมษายน 2550 00:46 น.

เรื่องน้ำเน่า ณ สวนหลังบ้าน

เปเป้ซังแม่มู๋ผู้เดียวดาย

Seagull.jpgเมื่อวานนี้ ....จันทราคราบรรจบบนท้องฟ้า ดาราเร่มเปล่งรัศมี
ท่ามกลางบ้านทรงไทย ณ สยามสมาคม ที่ห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้อันร่มรื่น
ผู้คนคราคร่ำมากมาย หลากไหลดั่งสายชล
ผู้คนที่รวมกันมาจากทั่วกรุงเทพเมืองฟ้ากลางเวหนอันวิจิตร
เพื่อมาชมการขับลำนำอันหวานซึ้งซาบซ่านสะท้านทรวง
โอกาสครั้งนี้จะมีไปไม่ได้ หากขาดคนรู้ใจที่คบกันมานานปี
เพื่อนที่เรียกได้ว่าสหายแท้ 
แม้อดีตเจ้าของหัวใจยังไม่เคยจะดูแลเอาใจใส่ทั้งร่างกายและจิตใจ
เมื่อหาที่นั่งได้......เสียงเพลงก็เริ่มบรรเลงขึ้น
พร้อมกับการปรากฏตัวของดอกไม้เหล็กผู้เป็นดั่งนางสวรรค์แห่งการขับร้อง
ดนตรีที่สอดประสาน.....ก้องกังวานทั่วบริเวณ
บรรยากาศเริ่มอบอวนไปด้วยเสียงเพลงที่ขับกล่อม..อันเล่าเรื่องแห่งความรัก
รักที่แสนเศร้า รักที่ร่วงโรย รักที่มิอาจสมหวังเป็นจริงได้
แม้นยากจะเอ่ยไปถ้อยคำ......แต่เธอคนนั้น....
ผู้เป็นดั่งดอกไม้เหล็กที่ผ่านความชอกช้ำหลากหลายหนแต่ทว่ายังเบ่งบาน...
คอยขับกล่อมด้วยเสียงอันทรงเสน่ห์.....
แหบพร่าด้วยเจ็บช้ำ แต่นุ่มลึกไปด้วยความสุข
อาจจะขัดแย้งในตัวตน.....แต่ทุกสิ่งคือความลงตัวของเธอผู้นี้ "แอม เสาวลักษณ์"
หลากหลายลำนำที่ขับกล่อมล้วนกระตุ้น......
กระตุ้นจิตสำนึกของผู้ที่เดียวดาย โดดเดี่ยว และ...
จิตวิญญาณของความรักที่ชอกช้ำมิอาจสมหวังดั่งลำนำที่บรรเลง
เสียงเพลงหวานแว่นเข้าหู...แต่พรั่งพรูความรู้สึกจากดวงตา
ไม่รู้เพราะอะไร......แต่ความรู้สึกที่มี 
ถูกเธอล้วงและบรรยายออกมาได้หมดจดและงดงามอย่างยากจะหาใครเปรียบ
และถึงกระนั้น....เสียงนุ่มทุ้มกังวานของชายคนหนึ่งก็แว่วขึ้น
พร้อมกับการปรากฏกาย ที่ไม่น่าจะมีใครนึกได้ว่าชายคนนี้.....
ดั่งพ่อมดที่บรรเลงเสียงหวานนุ่มละมุนหู พร้อมกันนั้นก็บาดลึกลงไปกลางใจ
"ป๊อป แคลรอลี่ บลา บลา" เขา....ผู้ทำให้ฉันยิ้มได้เสมอเมื่อฟังเพลงของเขา
แต่วันนี้ได้เจอเสียงที่ขับกล่อม....ด้วยรู้สึกที่เหว่หว้ากลางใจนั้น
สิ่งที่พรั่งพรูจากดวงตาเพราะเธอนั้น ยังยิ่งพรั่งพรูเพราะเขาอีก
"จะมีใคร ใครรัก คนหน้าตาอย่างฉัน ที่มันธรรมดา ไม่เข้าตาเหมือนใครใคร
จะมีใคร ใครไหม ที่จะมองแต่หัวใจ จะมีไหมใคร เข้าใจรักกัน"
ใช่สินะ...การที่เจ้าของหัวใจฉันเขาทำแบบนี้กับฉัน
เขาอาจจะไม่ภูมิใจ ไม่สุขใจเมื่ออยู่กับฉัน ที่มีรูปร่างหน้าตาแบบนี้
และเธอคนนั้นที่ก้าวข้ามศีลธรรม....แต่แกล้งเสแสร้งว่าเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด
จนฉันยอม...ยอมยกเจ้าหัวใจให้...แม้นจะรัก แต่นอกเหนือจากการเป็นเจ้าของ
สิ่งที่ดีที่สุดก็คือปล่อยเขาไปในหนทางที่เขออยากจะเป็น
และฉันก็กลายเป็นคนที่ถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลัง...ในขณะที่สองคนนั้นกำลังหัวเราะอย่างระริกระรื่น
การกระทำทำให้ฉันหวลคิดถึงพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย
ฝ่ายหยึ่งมีพ่อแม่เป็นครูบาอาจารย์ที่สรรค์สร้างปลุกปั้นเด็กให้เป็นคนดีของสังคม
กลับไม่สามารถดูแล สั่งสอนบุตรหัวแก้วหัวแหวนให้ยึดมั่นในศีลธรรม
และอีกคน....หากครอบครัวสอนสั่งเรื่องศีลธรรมคงจะคิดกลัว..และละอายในสิ่งที่กระทำ
ถึงกระนั้นก็ไม่เลย..ทั้งสองคนย่ำยีหัวใจของฉันด้วยความสุข เสียงหัวเราะ 
ในขณะที่ฉันกำลังดิ่งลึก ดำลงไปใน......
 ห้วงแห่งจิตอันโศกเศร้า ที่มีเพียงหยาดน้ำตา ความอาลัย และรักที่ปวดปร่าเป็นเพื่อน
แต่ถึงกระนั้นความเศร้าโศกก็เริ่มมลายสิ้น....เมื่อเธอคนนั้นกลับขึ้นมาอีกครั้ง
ด้วยเพลง Break away แม้นจะเป็นเพลงของต่างชาติต่างภาษา
แต่ภาษาหัวใจนั้น.....เป็นหนึ่งเดียวกัน......
ขณะนั้นฉันเริ่มเข้าใจอะไรได้มากมายจากลำนำบทนี้ 
ลำนำแห่งความหวังที่จะปลดปล่อยฉันสู่อิสระจากความหลังที่ซึมลึก
จิตที่เคยโหยหาเขาคนนั้น ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของหัวใจ 
ฉันก็เริ่มเข้าใจชีวิตอะไรได้มากขึ้น
จิตใจที่เต็มไปด้วยรักอย่างงมงาย ซื่อสัตย์ ของฉันไม่ได้ทำให้ฉันเข้มแข็ง.....
แต่กลับทำให้ฉันอ่อนแอลง.....
ฉันที่เปรียบเสมือนนกที่โผบินโดยลำพัง เมื่อขณะที่พลาดพลั้งก็ได้เจอเขา
เราได้โบยบินเยงคู่กัน....จนลืมอิสระ ลืมสิ่งที่ฉันเคยเป็น
กว่าจะรู้ตัว...ฉันก็ตกลงไปในบ่วงแห่งความเศร้า กลางทะเลแห่งน้ำตา
ลึกลงไป..... ดำดิ่งลึกลงไป.... จนหัวใจมันบอบช้ำ และร่างกายก็เกินจะรับสภาพไหว
ฉัน....พยายามบิน....บิน.....บิน.....แต่ก็ไม่สามารถบินได้
บ่วงนั้นแม้นจะหลุดออก แต่ท่ามกลางทะเลแห่งน้ำตาอันเวิ้งว้าง
มันมืดดำ และหนัก..........น้ำหนักของสายน้ำตามันหนักกินกว่าจะขยับปีกบิน
แต่เมื่อวันนี้....ฉันก็เหมือนรู้สึกว่าลำนำที่เธอคนนั้นร้องออกมา...
เอปรียบประดุจดั่งสายลมที่แข็งแกร่งแต่อ่อนโยน.......
ฉุดนกที่อยู่ระหว่างความเป็นความตาย......ให้ฟื้นคืนมาพร้อมที่จะโบยบิน
สายลมแห่งลำนำ....จะพยุงฉันไว้.....เพื่อสยายปีก...และโบยบินออกไป
แม้นปีกที่เหยียดสยายของฉันอาจจะมีคราบของทะเลน้ำตาติดมาบ้าง
แต่เมื่อฉันบินไปตามทางแห่งสายลมและดวงตะวัน.....
สักวัน..คราบน้ำตาบนปีกฉันมันจะแห้งและหายไป

seagull.jpg"Breakaway"  KELLY CLARKSON

Grew up in a small town 
And when the rain would fall down 
I'd just stare out my window
Dreaming of what could be
And if I'd end up happy
I would pray (I would pray)

Trying hard to reach out
But when I tried to speak out
Felt like no one could hear me
Wanted to belong here
But something felt so wrong here
So I prayed I could break away

[Chorus:]
I'll spread my wings and I'll learn how to fly
I'll do what it takes til' I touch the sky
And I'll make a wish
Take a chance
Make a change
And breakaway
Out of the darkness and into the sun
But I won't forget all the ones that I love
I'll take a risk
Take a chance
Make a change
And breakaway

Wanna feel the warm breeze
Sleep under a palm tree
Feel the rush of the ocean
Get onboard a fast train
Travel on a jet plane, far away (I will)
And breakaway

[Chorus]

Buildings with a hundred floors
Swinging around revolving doors
Maybe I don't know where they'll take me but
Gotta keep moving on, moving on
Fly away, breakaway

I'll spread my wings
And I'll learn how to fly
Though it's not easy to tell you goodbye
I gotta take a risk
Take a chance
Make a change
And breakaway
Out of the darkness and into the sun
But I won't forget the place I come from
I gotta take a risk
Take a chance
Make a change
And breakaway, breakaway, breakaway
				
20 มกราคม 2550 00:59 น.

อายุรเวท วีถีเพื่อชีวิตที่สมดุล

เปเป้ซังแม่มู๋ผู้เดียวดาย

 อายุรเวทเป็นองค์ความรู้ดั้งเดิมที่มีอายุนับพันปีของชาวอินเดีย มีรากศัพท์มาจากคำว่า " อายุส" (Ayus)ที่แปลว่า ชีวิต และคำว่า "เวท" (Veda) แปลว่า ความรู้ที่ลึกซึ้ง ดังนั้น อายุรเวทจึงหมายถึงความรู้ที่ลึกซึ้งว่าด้วยเรื่องของชีวิต  
     อาจารย์ทางด้านอายุรเวทท่านหนึ่งสรุปใจความสำคัญของศาสตร์นี้ไว้ว่า "หัวใจของอายุรเวทอยู่ที่แนวคิดที่ว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ มนุษย์จะมีชีวิตที่เป็นสุขได้ก็โดยการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติและความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ทำให้เกิดหลักการดำเนินชีวิตต่างๆ เช่น การปฏิบัติตัวประจำวัน เป็นต้น" 
    
ธาตุทั้งห้าคือที่มาของสรรพสิ่ง
     ทั้งตัวเราและธรรมชาติประกอบด้วยพื้นฐานเหมือนกันคือธาตุทั้งห้า ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศธาตุ ซึ่งรวมเรียกว่า "ปัญจมหาภูตะ"  

     ธาตุดิน หมายถึง สิ่งที่คงรูปร่างได้ในอุณหภูมิปกติ หรือของแข็ง ส่วนในร่างกายก็คือโครงสร้าง เช่น กระดูก กล้ามเนื้อ เอ็น ผิวหนัง ผม ขน เล็บ เป็นต้น

      ธาตุน้ำ หมายถึง สิ่งที่เป็นของเหลว หรือไหลไปมา ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่มีมากที่สุด เพราะในโลกนี้พื้นที่ส่วนใหญ่คือทะเล  เช่นเดียวกับที่น้ำมีมากที่สุดในร่างกาย ทั้งน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำเมือก น้ำลาย ทั้งในเซลล์และนอกเซลล์ น้ำมีทำหน้าที่ทำให้ระบบต่างๆทำงานได้เป็นปกติ 

     ธาตุลม หมายถึง มวลสารที่ไม่มีรูปร่างแต่สัมผัสได้ ในร่างกายหมายถึงลมหายใจ การยืดหดกล้ามเนื้อ การบีบตัวสูบฉีดเลือดของหัวใจ หรือการสื่อสารของระบบประสาท

     ธาตุไฟ หมายถึงสภาวะที่มีแสงสว่าง มีพลังงานและความร้อน สามารถเปลี่ยนสภาพของสิ่งต่างๆได้ ในร่างกายหมายถึง ความอุ่นในร่างกาย การเผาผลาญอาหาร การกระตุ้นให้ดวงตามองเห็น เป็นต้น

     อากาศธาตุ หมายถึง ที่ว่างที่ทำให้ธาตุอื่นๆดำรงอยู่ได้ ในร่างกายหมายถึงอวัยวะที่เป็นท่อ มีความกลวงทุกชนิด เช่น ช่องในจมูก ปาก คอ ลำไส้ ทรวงอก หลอดเลือด เป็นต้น

      แม้ว่าพื้นฐานของสรรพสิ่งจะประกอบด้วยธาตุทั้ง 5 ชนิด แต่ตามหลักของอายุรเวทแล้วสามารถจัดกลุ่มได้เป็น 3 กลุ่ม เรียกว่า ตรีโทษะ อันได้แก่ 

     วาตะ คือธาตุลมและอากาศธาตุ มีหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวในร่างกาย เช่น การหายใจ การพูด การเคี้ยวอาหาร การขับถ่าย

     ปิตตะ คือธาตุไฟ มีหน้าที่ควบคุมกระบวนการเผาผลาญอาหารและพลังงานในร่างกาย และแปรสภาพเป็นกล้ามเนื้อ เลือด ไขมัน ฯลฯ ทั้งยังทำหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็น และให้ความอบอุ่นกับร่างกายด้วย 

     กผะ คือธาตุดินและธาตุน้ำ มีหน้าที่ประกอบกันเป็นโครงสร้าง ให้ความชุ่มชื้นและหล่อลื่นส่วนต่างๆของร่างกาย

     ตรีโทษะนี้จะทำงานประสานกันในทุกส่วน ทุกระบบของร่างกาย เพื่อให้คนเราดำรงชีวิตและทำกิจกรรมต่างได้ ถ้าหากส่วนใดบกพร่อง ร่างกายอาจเสียสมดุลหรือไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ 

ลักษณะของคนสามธาตุ
     วาตะ : ธาตุลมผู้ไม่อยู่นิ่ง ธรรมชาติของคนกลุ่มนี้มักจะบอบบาง เจ็บป่วยง่าย แต่ก็ร่าเริง ปรับตัวง่าย และกระตือรือร้น ซึ่งถ้าหากยังคงลักษณะที่ดีเอาไว้ได้ก็แสดงว่าร่างกายยังคงสมดุลดีอยู่ ลักษณะประจำของคนธาตุนี้คือมือเท้าเย็นและไม่ชอบอากาศเย็น การไหลเวียนเลือดไม่ดี หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ กล้ามเนื้อเกร็ง ปวดหลัง จำข้อมูลใหม่ได้เร็วแต่ก็ลืมเร็วด้วย ชอบทำตามใจ อารมณ์แปรปรวน พูดเร็ว อยู่ไม่สุข ช่างคิดช่างจินตนาการ ติดจะเพ้อฝันนิดหน่อย เข้ากับคนง่ายแต่ความสัมพันธ์ไม่ยืดยาว ผิวแห้ง ผมแห้ง ตาไม่สดใส ผิวหยาบและผมหยาบ 
     แนวโน้มการเจ็บป่วยของคนธาตุลม มักเกิดจากความเครียด อดนอน การเปลี่ยนฤดู อากาศหนาว รับประทานของเย็น ดิบ อาหารรสขม ฝาด มัน หรือเผ็ดมากเกินไป ซึ่งอาจแสดงออกมาเป็นความเจ็บป่วย เช่น ท้องผูก ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย หนาวสั่น หอบหืด ปวดข้อ ปวดกระดูก อ่อนล้า นอนไม่หลับ เป็นต้น 
     วิถีปฏิบัติที่เหมาะสมคือ
     1.ทำทุกอย่างให้เป็นกิจวัตร ตรงเวลา และสม่ำเสมอ เนื่องจากธรรมชาติของคนธาตุนี้คือเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา การทำอะไรเป็นกิจวัตรจะช่วยให้ชีวิตมีความแน่นอนมากขึ้น 
     2.เคลื่อนไหวให้ช้าลง ทำหรือคิดให้เสร็จเป็นอย่างๆ และกำหนดจุดมุ่งหมายทุกครั้งก่อนจะลงมือทำอะไร เพราะคุณเป็นคนช่างคิด อยากทำโน่นทำนี่ แต่ไม่ลงมือ การทำอะไรช้า ทีละอย่าง จะช่วยให้คุณนิ่งมากขึ้น
     3.ออกกำลังกายให้เหมาะกับร่างกายและจิตใจ คนธาตุนี้บอบบาง แรงอึดน้อย ไม่เหมาะกับกีฬาที่ใช้แรงมาก แต่ควรเลือกกีฬาประเภทที่เนิบช้า ประกับสมาธิเช่น โยคะ ไทเก๊ก เดินเร็ว หรือสงบจิตใจด้วยการนั่งสมาธิ 
     4.คนธาตุลมเป็นคนมีพลังงานน้อย การนอนพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายและจิตใจฟื้นพลังได้เอง
     5.คุณมักมีผิวแห้ง การนวดด้วยน้ำมันงาทุกเช้าจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและป้องกันวาตะกำเริบในหน้าหนาวได้
     6.รักษาร่างกายให้อบอุ่น ดื่มน้ำอุ่นให้มาก หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่เย็นเพราะจะทำให้วาตะกำเริบ
      ส่วนอาหารควรรับประทานอาหารรสหวาน เปรี้ยว และเค็ม รวมทั้งอาหารประเภทเนยและเครื่องเทศ อาหารร้อนๆ และงดอาหารแห้ง นม เนื้อวัว ถั่ว(ยกเว้นถั่วเขียว) และอาหารหรือเครื่องดื่มเย็นๆ ผักลวกหรือผัดน้ำมัน ผลไม้สุกหรือผลไม้แห้ง (หลีกเลี่ยงผักผลไม้สด)  
      
     ปิตตะ : ธาตุไฟผู้เด็ดขาด คนกลุ่มนี้โดยมากมักมีสุขภาพดี หากไม่ทะเยอทะยานหรือหวังสัมฤทธิ์กับชีวิตจนเกินไป  ลักษณะประจำธาตุคือตัวร้อน เลือดขึ้นหน้า ขี้โมโห หงุดหงิดง่าย ผิวหนังอักเสบ รู้สึกร้อนในกระเพาะ ทำให้เกิดภาวะกรดมากในร่างกายและกระเพาะ มีเหงื่อออกมาก ขี้ร้อน ไม่สบายเมื่ออากาศร้อนชื้น มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว ปัสสาวะ อุจจาระค่อนข้างมีกลิ่นมาก 
     แนวโน้มเกี่ยวกับการเจ็บป่วย มักเกิดจากความเครียด เก็บกด คาดหวังมากไป มุงานมากไป รับประทานอาหารเผ็ด รสจัด หมักดอง อากาศร้อน และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ซึ่งการเจ็บป่วยจะแสดงออกมาในรูปของธาตุไฟกำเริบคืออาการอักเสบ เช่น แผลร้อนใน ไมเกรน โรคกระเพาะ ท้องเสียง่าย ผิวหนังอักเสบ เลือดออกง่าย ประจำเดือนมามาก เป็นต้น 
     ถ้าคุณเป็นชาวปิตตะ 
     1.หลีกเลี่ยงสิ่งที่ร้อน เช่น อาหาร อากาศ รวมทั้งอารมณ์ อาจหาเวลาไปพักผ่อนในที่เย็นสบาย เช่น น้ำตก หรือชมแสงจันทร์ ตัวแทนแห่งความเยือกเย็นเพื่อลดความร้อนรุ่มในตัว เหมาะที่จะดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ 
     2.เรียนรู้ที่จะปล่อยวางบ้าง เพราะคุณเป็นคนชอบความสมบูรณ์แบบเกินไป และมีแนวโน้มจะจับผิดจนอะไรๆก็ไม่ถูกใจ ดังนั้นการปล่อยวางทำให้คุณอยู่กับร่องกับรอยได้มากขึ้น
     3.ควบคุมอารมณ์ อย่าให้โมโหหรือฉุนเฉียวบ่อยนัก เพราะเมื่อไฟธาตุกำเริบ อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่นๆตามมา เช่น ไมเกรน โรคกระเพาะ พยายามสงบจิตใจ แผ่เมตตา และเจริญภาวนาให้บ่อยๆ 
     4.ฝึกลมหายใจ เน้นการหายใจเข้าออกให้ยาวขึ้น หรือหายใจทีละข้างคือกดรูจมูกด้านซ้าย หายใจด้วยรูจมูกข้างขวาแล้วทำสลับกัน เพื่อช่วยลดความร้อนรุ่มภายใน
      ส่วนอาหารควรรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มเย็นๆ มีรสหวาน ฝาด มัน เช่น ผลไม้รสหวาน ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วเหลือง และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัด ไข่แดง น้ำผึ้ง เครื่องดื่มร้อน อาหารหมักดอง อาหารทะเล  

 
      กผะ : คนธาตุดินผู้เชื่องช้าและอดทน เป็นธาตุที่หนักแน่น เชื่องช้า สม่ำเสมอ จึงเสียสมดุลยาก คนธาตุนี้เป็นคนรักสงบ ช่างเห็นอกเห็นใจ ให้อภัยผู้อื่น ลักษณะประจำธาตุคือ อ้วน ซึมเศร้า น้ำหนักเพิ่มง่าย หรือเป็นเบาหวานถ้าได้ความหวานเพิ่มมากเกินไป เป็นคนมั่นคงเยือกเย็น ไม่สุดโต่ง  ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรง่ายๆ ผิวนุ่ม กิริยานุ่มนวล แววตาอ่อนโยน ไม่เรียกร้อง พูดช้าแต่ก็นุ่มนวลชวนฟัง เคลื่อนไหวช้า คิดช้า เรียนรู้ช้า  สุขุม 
     แนวโน้มด้านการเจ็บป่วยมักจะเกิดจากธาตุดินและน้ำกำเริบ เพราะรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันมากเกินไป  ทำให้มีปัญหาส่วนเกินที่เกิดจากการสะสม เช่น อ้วน น้ำหนักตัวมาก บวมตามตัว ไอมีเสมหะ เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือด หรือเกิดจากการนอนดึกติดต่อกันหลายวัน มีอากาศหนาวชื้นแฉะ จนทำให้เกิดอาการเฉื่อย สมองทึบ ขี้เกียจ และสะลึมสะลือ เป็นต้น 
     ถ้าคุณเป็นชาวกผะ
     1.ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ เพื่อให้พลังงานสะสมภายในที่มากกว่าคนธาตุอื่นได้ถูกเผาผลาญออกไป และควรเลือกกีฬาที่ใช้พลังมากๆเช่น วิ่ง ว่ายน้ำ เพื่อลดความเฉื่อยในตัว 
     2.หลีกเลี่ยงการอยู่กับที่นานๆ อาจเดินยืดเส้นยืดสายบ่อยๆ หรือเคลื่อนไหวไปมาบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดความนิ่งเกินไป
     3.การอยู่นิ่งเกินไป จะทำให้กผะกำเริบกลายเป็นความเกียจคร้าน ดังนั้นคุณควรหาสิ่งท้าทายใหม่ๆ เช่น ท่องเที่ยว ทำกิจกรรมต่างๆบ้าง 
     4.ควบคุมน้ำหนักตัว คนธาตุนี้มีแนวโน้มที่จะอ้วนง่ายกว่าคนธาตุอื่น ดังนั้น คุณต้องคอยควบคุมน้ำหนักให้คงที่ เพราะเมื่อน้ำหนักเพิ่มขึ้นแล้วมักจะลดยาก และต้องหลีกเลี่ยงอาหารหวาน ไขมัน ดื่มเครื่องดื่มอุ่นให้มากๆ
      คนกลุ่มนี้ไม่ควรรับประทานอาหารก่อน 10.00 น.และหลักพระอาทิตย์ตก แต่ควรรับประทานอาหารกลางวันให้มากกว่าทุกมื้อ การงดอาหารอาทิตย์ละครั้งจะช่วยให้ควบคุมน้ำหนักตัวได้ดี และในฤดูฝนให้รับประทานอาหารให้น้อยลง ควรรับประทานผักใบเขียวและพืชชนิดหัว(งดผักชนิดอื่น) ผลไม้แห้ง(งดผลไม้สด) 
 				
14 ธันวาคม 2549 00:41 น.

คุณเสียน้ำตาเพื่อใคร.....คนรัก หรือ คนร้าย

เปเป้ซังแม่มู๋ผู้เดียวดาย

หากแต่การจากลาของใครบางคนทำให้คุณอ่อนแอนั้น 
โปรดเข้าใจไหมเสียว่า คุณอ่อนแอตั้งแต่มีเขาเคียงข้างกายแล้ว 
แค่วันนี้คุณไม่มีใครให้พักพิง................

ในเมื่อเขาทิ้งคุณไปแล้ว 
ไม่แปลกหากน้ำตาที่ไหลริน 
ทำนบน้ำตาที่พังทลาย 
กับหัวใจที่สลายจนสิ้นไป 

เพราะใครบางคนที่ทิ้งเราไปในวันนี้ ทำให้คุณรู้สึกสูญสิ้นทุกอย่างไป 
เป็นเพราะคุณได้นำทุกอย่างให้เขาไปต่างหากล่ะ 
ในตอนนี้คุณคงทำได้เพียงนั่งร้องไห้ 
จนคิดว่า น้ำตามีไม่เพียงพอให้ไหลรินจนหมดใจ 

นอกจากน้ำตาที่มันจะกัดเซาะบาดแผลในใจของคุณให้ลุกลามแล้ว 
มันยังเป็นน้ำกรดราดรดลงไปในใจคนรอบข้างที่รักคุณอีกด้วย 
ไม่ใช่เพียงคุณคนเดียวที่เสียใจและเจ็บปวด 
ยังมีอีกคนที่เจ็บปวดไปพร้อมกับคุณ 

.......ลืมตาขึ้นสิ.......
คุณจะมองเห็น "คนที่รักคุณ" ที่ยืนเฝ้ามองคุณอยุ่ห่างๆอย่างห่วงใย 
นอกห้องออกไป นอกห้องที่คุณขังตัวเองไว้เนิ่นนาน 

เขาพร้อมจะซับน้ำตาคุณทันทีที่คุณเอ่ยปาก 
คนที่ยอมรับการตัดสินใจของคุณอย่างเจ็บปวด 
คนที่ใช้สองมือรองรับน้ำตาอย่างอาทร
และพร้อมใช้ไหล่กว้างซับผ่าน.......ให้ไหลลึกลงไปสู่หัวใจ

แต่ "คนที่ทำร้ายคุณ" กำลังปล่อยมือช้าๆ และก้าวออกห่างคุณอยู่เลยๆ 
คนที่กำลังก้าวข้ามน้ำตาคุณไปอย่างรังเกียจ 
คนที่เห็นน้ำตาคุณเป็นเพียงหยาดน้ำ
คนที่ไม่รับรู้เสียงสะอื้นที่เธอร้ำไห้

ในขณะที่คนที่รักคุณจับมือคุณอย่างอ่อนโยน เข้าใจ และเจ็บปวดอยู่ข้างๆคุณ

คุณคงต้องเลือกแล้ว.....................
ระหว่าง หัวใจที่ยังมีอยู่ กับ หัวใจที่ไม่มีคุณ				
1 ธันวาคม 2549 14:10 น.

เรื่องของฉัน เธอ และเขา

เปเป้ซังแม่มู๋ผู้เดียวดาย

"ถามว่ารักแค่ไหนนับเม็ดทรายทั้งทะเลก็รู้ 
ลมหายใจที่มีอยู่คือความคิดถึงจากฉัน 
ถามจะเจ็บแค่ไหนหากเธอไปรักใครสักวัน 
ก็ลองนับดูสายฝนนั้นนั่นคือน้ำตาจากใจ.. "

เพลงนี้ดังก้องอยู่ในใจ...ในวันที่ตัดสินใจเดินออกมาจากวิถีชีวิตของเขา
เพลง..."นึกเสียว่าสงสาร"....นี้ กลายเป็นเพลงประจำตัวอย่างถาวรของฉันไปซะแล้ว
ที่ชอบเพลงนี้อาจจะเป็นเพราะถ้อยคำที่ง่ายๆแต่สวยงาม
หรืออาจเป็นเพราะ....มันตรงกับเรื่องราวของฉัน....แต่ต่างกันที่ฉันยินดีที่ออกมาเอง

เพียงเพราะสงสาร หรือ ผูกพันที่เขายังยื้อฉันเอาไว้
แต่หัวใจของฉันที่ร่ำร้องหาเขา....มันไม่อาจต้านทานความคิดในสมองที่พยายามปกป้องตัวฉัน
ให้ฉันเดินออกจากเส้นทางนั้นให้เร็วที่สุด.....


เรื่องราวของฉันกับเธอ.....เริ่มด้วยมิตรภาพที่สวยงามบนอินเตอร์เน็ต
แม้ผู้คนมากมายจะเข้ามาพูดคุย....เข้ามาหยอกล้อกับฉัน....
แต่ไม่เคยมีใครที่จะทำให้ฉันรู้สึกดีและสนุกสนานเท่าเธอมาก่อน...
พักหลังๆจากที่รู้จักกันบนโลกสมมุติเป็นเวลาครึ่งปี....เราก็นัดเจอกัน
เธอเป็นผู้ชายธรรมดาที่ค่อนข้างเซอร์มากๆ ผิวขาวตามฉบับชายเมืองเหนือ
ไว้ผมยาว.....และเสื้อยืด กางเกงยีนผุๆ  เหมือนวัยรุ่นทั่วๆไป
แต่..มันไม่ใช่ยังงั้นสิ...เธอเหมือนนักท่องเที่ยวชาวญีปุ่นที่เพิ่งตื่นนอนไม่มีผิด
ที่คิดไปอย่างนั้น....ก็เพราะ...เรานัดกันที่ตรอกข้าวสาร....ตอนเช้า
แต่ก็ถือว่าเป็นความทรงจำที่ไม่เลวหรอกหลังที่เธอให้ฉันรอ 2 ชั่วโมง
หลังๆเราเจอกันมากขึ้น...แน่นอนว่าความสัมพันธ์ ความผูกพันมันยิ่งมากขึ้น
จนมันกลายเป็นความรัก....
ฉันไม่รู้ว่าเธอรักฉันตอนไหน..เพราะฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันเริ่มตอนไหน
รู้เพียงแต่ว่า..พอรู้ตัวเราก็กลายเป็นแฟนกันซะแล้ว.....
ร่วมใช้เวลาที่ดีและไม่ดีร่วมกัน.....ตลอดเวลา 4 ปี
 แต่วันที่มันผกผันชีวิตของฉันมากที่สุดคือ
วันที่ผู้หญิงของเธอโทรมาหาฉันตอนเช้าวันที่เธอจะมาหาฉัน.......
เพียงเพื่อบอกว่า....เมื่อคืนผู้ชายคนนี้เพิ่งจะนอนกับฉันมา..อย่ามายุ่ง!
แม้ผู้หญิงคนนั้นจะไม่ได้ใช้ถ้อยคำแบบนี้..แต่ความหมายของเขาชัดเจน
แต่ฉันก็ทำใจกล้าคุยกับเขาไป....จนรู้เรื่องราวทั้งหมด
ว่าพวกเขาคบกันมาได้เกือบปีแล้ว......และบอกว่าฉันเพียงเพื่อนห่างๆ
ความรู้สึกของฉันมันเหมือนถูกคนย่ำยีป่นไม่มีชิ้นดี

หัวสมองฉันกก็คิดได้เพียงว่า.....

ฉันได้เพียงแต่วิ่งตามเธอ....ได้แค่วิ่งตามก็ยิ่งมีความสุข
แม้บางครั้งเธอทำท่า..เหมือนจะหยุดรอ และหันมายิ้ม..สุดท้ายเธอก็วิ่งต่อไป
และฉันก็วิ่งตามไปด้วยความสุขที่มีเธออยู่ข้างหน้า
แต่ฉันก็สะดุดล้มลง.....
เพราะเธอทิ้งหัวใจของฉันที่ให้ไว้บนพื้น..แล้วฉันก็สะดุดกับมันเข้า
และเธอก็หยุดรอ.....แต่คนที่เธอหยุดรอไม่ใช่ฉัน
แต่เป็นผู้หญิงคนนั้น.....ซึ่งก็คือเขา
แล้วเธอและเขาก็วิ่งไปพร้อมๆกันทั้ง 2 คน......
ปล่อยให้ฉันเจ็บ....ร้องไห้....และไร้เรี่ยวแรงอยู่ตรงนั้น

แม้เธอจะทำอย่างนี้กับฉัน......แต่ฉันยังมั่นใจว่า..ความรู้สึก..ที่เรียกว่า..รัก..มันยังคงอยู่ แม้เธอจะไปกับเขา...แต่ความรู้สึกเดิมๆ...มันยังคงอยู่....
นี่ละมั้ง...ความรักของฉัน....
ความรักที่เลือกจะจำสิ่งดีๆที่มีให้กัน....
และยอมปล่อยเธอไปเมื่อเขาอยู่กับฉันแล้วไม่มีความสุขจนต้องไปหาคนใหม่
แต่ฉันไม่โทษใครหรอก.....

เพราะความรักเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครเข้าใจมัน...
แต่ทุกคนก็อยากจะมีมันไว้
ไม่ว่ามันจะส่งผลอย่างไร...ไม่ว่าจะทุกข์ หรือสุข
แต่ทุกคนยังอยากได้มันมา.....
.....เพราะ..รัก...เป็นสิ่งที่เรียกร้องไม่ได้....แต่เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันได้....

และตอนนี้ฉันก็เรียนรู้ที่มีรูปแบบความรัก....คือ การให้ 
อยู่อย่างเดียวดายแต่มีความสุขที่ได้รักแบบนี้				
Calendar
Lovers  3 คน เลิฟเปเป้ซังแม่มู๋ผู้เดียวดาย
Lovings  เปเป้ซังแม่มู๋ผู้เดียวดาย เลิฟ 6 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเปเป้ซังแม่มู๋ผู้เดียวดาย
Lovings  เปเป้ซังแม่มู๋ผู้เดียวดาย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเปเป้ซังแม่มู๋ผู้เดียวดาย
Lovings  เปเป้ซังแม่มู๋ผู้เดียวดาย เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเปเป้ซังแม่มู๋ผู้เดียวดาย