ยิ่งฟ้า...มหานที

ละไมฝน

๑. วัยเยาว์
 
                  เมฆปุยฝ้ายปอกเปลือกเปลวแดดบ่าย   เผยดวงตะวันแจ่มจ้า รวยรดแสงสวยอาบผืนดิน  ขณะผืนฟ้าใสเป็นสีฟ้าจัด สายลมอันวิไลหยอกเย้ากิ่งลำไย ไกวก้านพลิ้วใบเขียวสดล้อลมรื่น   ลูกลำไยสุกแห้งคาขั้วร่วงหล่นกระทบหลังคาบ้านดังกราว    
                  เสียงนกร้องเจี๊ยวจ๊าว  ชวนฉันแหงนมองขึ้นไปบนต้นลำไย  ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกครึ้มร่มเย็น  ฉันเห็นรังรูปกรวยไอศกรีมเกาะกิ่งลำไยเรียวเล็ก  แม่นกกางเขนหางยาวโฉบบินคาบหนอนอ้วนมาป้อนลูกๆ ของมัน   ฉันไม่รู้ว่าในรังอุ่นมีลูกนกกี่ตัว  และครอบครัวนกดำรงชีพอยู่ได้อย่างไรในรังเล็กๆ เท่ากรวยไอศกรีมเช่นนั้น                                                                                                                                                  
                   ฉันเอนหลังบนเปลผ้าใต้ต้นลำไย    เฝ้ามองนกกางเขน ๒ ตัว   โฉบบินไปมา  พ่อนกแม่นผลัดเปลี่ยนกันเฝ้ารัง  ขณะนกตัวหนึ่งมันบินหายไป  แล้วบินกลับมาพร้อมกับตัวหนอนป้อนลูกในรัง
                   แม่นกกางเขนบ้านหางยาว      ขนสีดำแซมขาว  ทำให้ฉันคิดถึงแม่
                  แม่เล่าให้ฉันฟังว่า...
                  ค่ำคืนวันพุธที่ ๑๐  กุมภาพันธ์  พุทธศักราช ๒๔๗๑  ปีมะโรง  เป็นวันที่แม่ลืมตามาดูโลก  แม่เป็นลูกคนที่ ๖ ของคุณตาสวง  คุณยายนวน  พลเยี่ยม  แม่มีพี่น้องร่วมสายโลหิตตั้ง ๑๔ คน   ฉันอดประหลาดใจไม่ได้ว่า  ทำไมผู้คนสมัยก่อนถึงมีลูกครอบครัวละหลายๆคน  และสามารถเลี้ยงดูลูกๆ ให้รอดปากเหยี่ยวปากกา  จนเติบโตเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้ ท่ามกลางความขาดแคลน   ยากจนข้นเข้มของคนอีสาน  บนผืนแผ่นดินแล้ง
             เมื่อตอนที่แม่เกิด  หมอตำแยในหมู่บ้านเป็นผู้ทำคลอด      เนื่องจากระบบสาธารณสุขยังเอื้อมมือมาดูแลไม่ทั่วถึง  ท่ามกลางร่มเงาความล้าหลังของวิถีชีวิตที่ดำเนินอยู่ แม่และลูกในท้องมีโอกาสรอดและตายเท่ากัน    แต่ว่าแม่ของฉันร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงตั้งแต่เกิด ฉันจึงโชคดีที่ได้เกิดเป็นลูกของแม่  
                  สมัยแม่ยังเด็ก    ในน้ำมีปลาชุกชุมให้จับกิน  บนดินมีต้นข้าวโน้มรวงรอเคียวในฤดูเก็บเกี่ยว    ผู้คนในหมู่บ้านยังน้อย   ไม่ยื้อแย่งกันทำมาหากิน    แมกไม้รายล้อมหมู่บ้าน    พร้อมอุทิศต้นให้คนตัดมาสร้างบ้านเรือน  ไม้มีมากมายจนหลังคาบ้านยังมุงด้วยแผ่นไม้เกล็ด  
                  ครอบครัวใหญ่แม้มีลูกมากแค่ไหนก็เลี้ยงดูกันได้ 
                  แม่เกิดที่บ้านโพนทองอันเป็นต้นตำนานแห่งต้นกำเนิดนามสกุล   พลเยี่ยม    คนนามสกุล พลเยี่ยม  ต่างนับถือกันเป็นวงศ์วานหว่านเครือ           
    
                   เมื่อคราวที่เมืองแวงก่อตั้งเป็นอำเภอ...   นายอำเภอนำชื่อบ้านโพนทอง  ไปตั้งชื่ออำเภอโพนทองจนทุกวันนี้
                   ในวัยเด็กแม่ประเปรียว ใฝ่รู้  แม่เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดเทพยุดาราม  วัดบ้านใกล้บ้าน   ครูใหญ่สุพี  แวงวรรณ เป็นคุณครูประจำชั้น  คุณครูท่านนี้มีมะเหงกอันใหญ่   เอาไว้เขกกบาลนักเรียนเกเร   บวกลบเลขท่องจำสูตรคูณอาขยานไม่ได้ พิษสงมะเหงกใหญ่  ยังผลให้นักเรียนบางคนถึงกับหัวโน     บางคนตกใจกลัวจนฉี่ราดรดพื้นห้อง   
                  แม่ไม่เคยถูกคุณครูลงโทษเลยสักครั้ง เพราะแม่เรียนหนังสือเก่ง  บวกลบคูณหารเลขในใจคล่องแคล่ว   ท่องอาขยาน อ่านหนังสือแตกตั้งแต่เรียนชั้นประถมปีที่๓   แม่ชอบอ่านหนังสือวรรณคดีของท่านกวีเอก สุนทรภู่  จด จำบทกลอนที่ให้คติสอนใจ   มาอบรมพร่ำสอนลูกๆ    ในหลายวาระหลายโอกาส     ดังวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี   ตอนสุดสาครถูกชีเปลือยผลักตกเหว   แย่งไม้เท้าและม้านิลมังกรไป  โยคีขี่รุ้งมาช่วย
                   บทกลอนตอนหนึ่งว่า...
                       บัดเดี๋ยวดังหง่างเหง่งวังเวงแว่ว        
                สะดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา
                เห็นโยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา                
                แล้วนำพาขึ้นไปบนบรรพต
                       จึงสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์            
               มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
               แม้เถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด       
               ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
                       อันที่รักมีอยู่สองสถาน              
               บิดามารดารักมักเป็นผล
               ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน            
               เกิดเป็นคนคิดเห็นจึงเจรจา
                       แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ        
                ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
                รู้สิ่งใดไม่สู้รู้วิชา                     
                รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี....
                   เวลาอบรมลูกๆ แม่มักจะนำบทกลอนนี้มาอ้างอิงเสมอ  
                                                           
      ด้วยชาติกำเนิด   ที่แม่เกิดเป็นลูกผู้หญิง  ประกอบกับฐานะครอบครัวยากจนมีลูกหลายคน  คุณตาคุณยาย  จึงปิดกั้นโอกาสทางการศึกษาของแม่  ไว้เพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๗                     
                 เป็นลูกผู้ญิง  สิเรียนไปเฮ็ดหยัง     
                   คำพูดของคุณตาประโยคนี้  ฝังจิตฝังใจแม่ลึกล้ำ  แม่สัญญากับตนเองว่า  หากแม่มีลูกสาวก็จะให้เรียนหนังสือโดยเท่าเทียมกับลูกชาย
                   ฉันย้อนคิดไปว่า  ถ้าแม่เรียนสูงกว่านี้  แม่คงได้เป็นแม่พิมพ์ของชาติอย่างแน่แท้
            
             โมงยามแห่งความสดใสของชีวิต   ดำเนินไปตามวิถีแห่งหวังของคืนวันอันเรียบง่าย   ในฤดูทำนา  แม่ได้ช่วยครอบครัวปักดำข้าวกล้า   บนผืนนากว้างขวางสุดสายตา     ผืนดินที่คุณตาคุณยายบุกเบิกแผ้วถางมานานหลายปี เพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวเลี้ยงดูลูกหลานที่คลานตามกันมา ฉันหลับตานึกเห็นภาพพี่น้อง14 คนของครอบครัวคุณตาสวง ยายนวน ช่วยกันไถคราดหว่านดำข้าวกล้าในแปลงนาตั้งแต่เช้ามืดยันตะวันตกดิน       จนลมหนาวมาเยือน   รวงข้าวอร่ามรองเต็มท้องทุ่ง  ฤดูเก็บเกี่ยวก็มาถึง  พี่น้องทุกคนก็ลงแรงเกี่ยวข้าวไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย  ตลอดเวลาอันยาวนาน   จากเดือนหกถึงเดือนสามของปีถัดไป ฉันคิดว่าทุกคนในครอบครัวคงเหนื่อยสนุกไม่น้อยทีเดียวละ                     
                   แม่มีพี่สาว ๓ คน พี่ชาย ๒ คน คือ  คุณยายบุญสวน   คุณยายปัด  คุณตากูด   คุณตารอด   และคุณยายบัว   ซึ่งล่วงลับล่วงหน้าไปก่อนแล้วทุกคน  นอกจาก
นี้ยังมีน้องๆ อีก ๘ คน  ที่ทยอยล่วงลับตามกันไป คือคุณยายกอง   คุณยายหัด   คุณตาสมพร   และคุณยายทองเมือง
                                   
                  ส่วนที่ยังดำรงชีวิตอยู่ในวัยชราคือ   คุณยายนัด   คุณยายเฉลียง  คุณยายบุญเรือง  และคุณพ่อเตียง ตามลำดับ
                  แทบอวดอ้างได้ว่า คุณตาสวง ยายนวนมีลูกดกที่สุดในหมู่บ้าน  
                  มหัศจรรย์เล็กๆ  ของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดนี้  รังสรรค์โลกสะพรั่งบนแผ่นดินแล้ง      พรั่งพรูลูกหลานเหลนสู่ละแวกบ้านใกล้ไกลทั่วถิ่นไทย
             กาลเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า...
             ในวันที่ฟ้าครึ้มฝน  บรรยากาศชุ่มฉ่ำ ฉันเห็นภาพคนดำนาปลูกข้าวในแปลงนา      ประหนึ่งปลูกไว้ในดวงตาของฉัน  ปลูกไว้บนดวงจันทร์กระจ่าง
                  ในวันที่ลมหนาวละเมอกอดทุ่งสีทอง ฉันเห็นภาพคนเกี่ยวข้าว   ประหนึ่งเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมไว้ในดวงใจฉัน  เก็บไว้ในยุ้งฉางแห่งดวงตะวัน 
                  ในภาพนั้นฉายชัดนัก ฉันเห็นแม่ของฉันก้มๆ เงยๆ อยู่บนทุ่งนาฝน  และทุ่งนาหนาว
  
     
      
      และวันที่ฟ้าเปลี่ยน
เป็นสีฟ้าใสในฤดูร้อน.. ยามว่างเว้นฤดูกาลทำนา  ฉันเห็นดอกไม้ป่าผลิบานริมทาง  ที่แม่และเพื่อนๆ พากันเดินเท้าเข้าเมือง  
    
             แม่ไปเรียนตัดเย็บเสื้อผ้ากับลุงคำตัน     ยายกลม     ที่อำเภอแวง  ทุกๆ เช้าแม่เดินนำหน้าเพื่อนๆ  ลัดเลาะไปตามทางลูกรัง     ผ่านห้วยค้อ    ห้วยกุดสิม  ข้ามสะพานไม้แคบๆ  แม่ไม่เคยปริปากบ่นถึงความลำบากในการเดินทางเช้าไปเย็นกลับเลยสักน้อย     ราวกับว่าแม่ตระหนักถึงอนาคต   การมีวิชาชีพติดตัวเหมือนทรัพย์อยู่นับแสน 
                    ที่อำเภอแวงนี่เอง     แม่ได้รู้จักผู้คนมากหน้าหลายตา  และลุงคำตันก็ได้ชักนำปู่มารู้จักกับแม่
                  ปู่ศรเป็นชาวเมืองยศ (ยโสธร) ญาติของท่านมาค้าขายที่ตลาด  ชื่อป้าหวี  ทุกๆ เดือนปู่จะบรรทุกปลาร้าใส่เกวียนมาฝากขายที่ร้านป้าหวี      นอกจากขายของชำหน้าร้านแล้ว ในตอนเช้าป้าหวีจะนำของชำ กะปิ ปลาร้า เส้นก๋วยเตี๋ยวไปขายที่ตลาดสด   ลุงคำตันรู้จักคุ้นเคยกับป้าหวีมานาน   เมื่อปู่มาค้างที่บ้านก็แนะนำแม่ให้รู้จักกับปู่  และดูเหมือนว่าปู่จะชื่นชมแม่แต่แรกเห็นแล้ว
                  ฉันได้ฟังมาว่า    ในวัยสาวแม่สดสวย    ผิว พรรณขาวเนียน   มีหนุ่มๆ มาหลงรักหลายคน  
                  วันหนึ่ง  ลุงคำตันพาปู่มาสู่ขอแม่ให้ลูกชาย   ทั้งๆ  ที่แม่ไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลยสักครั้ง   มีเพียงรูปถ่ายขาวดำของพ่อที่ปู่นำมาอวด
            หน้าตาพ่อคมคาย   ผิวคมขำ  รูปร่างสันทัด  ดวงตาฉายแววมุ่งมั่นและอ่อนโยน   ตอนนั้น  ถ้าหากฉันเป็นแม่ เพียงแรกเห็นรูปพ่อ  ให้รู้สึกราวกับว่าแรกสายลมอุ่นอวลมาทักทาย วาบความคิดอ่อนหวานพราวอ่อนไหว  ถึงฉันใจแข็งแค่ไหน  ก็คงอดหลงรักพ่อไม่ได้แน่  
                 เสียงสนับสนุนของลุงคำตันและยายกลม  ผู้เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่       ที่แม่ให้ความเคารพนับถือ  ตลอดจนป้าหวี   และคนรอบข้าง   ปลุกดวงใจเงียบเหงาในวัยสาว ๒๖ ปีของแม่     ให้ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นหวานหอม 
                  คงเป็นเพราะบุพเพสันนิวาส...บันดาลดล  
                  เมื่อคุณตาคุณยายถามถึงความในใจ   แม่ก็ไม่ปฏิเสธที่จะรับรักพ่อ   และยินดีแต่งงานกับพ่อ  ทั้งๆ ที่แม่ยังไม่เคยเห็นหน้าพ่อมาก่อน  
                   แล้วไม่นาน   นัดหมายของหัวใจก็กล่าวคำอรุณสวัสดิ์การแต่งงาน   ชีวิตคู่อันงดงามของพ่อกับแม่จึงเริ่มต้นขึ้น ...				
comments powered by Disqus
  • อนงค์นาง

    16 กันยายน 2552 07:14 น. - comment id 104030

    สนุกจังเลยค่ัะ มานั่งปูเสื่อรอติดตามตอนต่อไป ให้กำลังใจหนุ่มเมืองเกินร้อย บ้านเดียวกันเด้อค่ะ
    36.gif1.gif
  • ปรางทิพย์

    16 กันยายน 2552 14:49 น. - comment id 104037

    เรื่องสั้นของคุณละไมฝนเนี่ย  น่าติดตามมากค่ะ
    จะรอตามอ่านนะคะ
    11.gif36.gif36.gif
  • เพียงพลิ้ว

    17 กันยายน 2552 10:15 น. - comment id 104038

    บ้านคุณย่าอยู่ธวัชบุรีค่ะ
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif1.gif
  • ฉางน้อย

    20 กันยายน 2552 00:47 น. - comment id 108020

    11.gif36.gif6.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน