การกลับมาของลูกชายที่สุรุ่ยสุร่าย....

คีตากะ

233-1191.jpgเฉพาะเมื่อเธอได้กลายเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่งแล้วเท่านั้น เธอจึงจะสามารถเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าได้
               เมื่อพระเยซูคริสต์เติบโตขึ้น ท่านได้ออกไปเทศนาสั่งสอนและสรรเสริญพระเจ้า ท่านได้เดินทางไปยังที่หลายแห่งเพื่อแนะนำคำสอนอันแท้จริงให้กับผู้คน นี่คือเรื่องราวที่เล่าโดยท่านเมื่อท่านได้ออกไปเทศนา ณ ดินแดนแห่งหนึ่ง เรื่องราวนั้นเกี่ยวกับลูกชายสองคน พระเยซูคริสต์ไม่เลือกที่รักมักที่ชังและท่านปฏิบัติต่อทุกคนเป็นอย่างดีมาก ไม่สำคัญว่าเขาผู้นั้นจะเป็นใคร ท่านมักจะคลุกคลีกับผู้คนต่างๆกัน คนจน คนเจ็บ คนชรา คนที่น่าเกลียด คนที่สวยงามและเด็กๆ ท่านรักพวกเขาเหล่านั้นทั้งหมด และมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับพวกเขา ผู้คนก็รักท่านและเคารพท่านเป็นอย่างมากเช่นกัน พระเยซูคริสต์ตามใจพวกเขาจริงๆโดยเฉพาะพวกเด็กๆ
	                ผู้คนจากทุกแง่มุมของชีวิตพาเด็กๆของพวกเขามาหาพระเยซูคริสต์ และขอให้ท่านแตะศีรษะของพวกเขาเพื่อให้พร พระเยซูคริสต์มีสานุศิษย์ที่สำคัญมากมายหรือเธออาจจะเรียกว่าเพื่อนที่ดีของท่านก็ได้ ซึ่งพวกนี้จะกันไม่ให้เด็กๆได้พบท่านถ้าเด็กๆมาหาท่านมากเกินไป ได้โปรดเถิด! อย่าได้รบกวนท่าน! ทำไมพวกเธอถึงได้มารบกวนท่านแบบนี้?
	                แล้วพระเยซูคริสต์จะพูดว่า อย่า อย่า อย่า อย่า! ยับยั้งพวกเขา ปล่อยให้พวกเด็กๆเข้ามา อาณาจักรของพระเจ้าเป็นของเด็กๆหรือคนที่มีจิตใจอันบริสุทธิ์เหมือนจิตใจของเด็ก หากเราต้องการกลับคืนไปสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ เราจะต้องไร้เดียงสาเหมือนเด็ก พระเยซูคริสต์ได้ถือโอกาสนี้บอกพวกเราว่าเราจะต้องกลายเป็นเหมือนเด็กเพื่อจะกลับคืนไปยังอาณาจักรแห่งสวรรค์ เราไม่ควรที่จะซับซ้อนเกินไป เราจะต้องไม่ใส่ใจมากไปนักในเรื่องต่างๆ แม้เมื่อเราได้เติบโตขึ้น เราก็ยังควรที่จะรักษาจิตใจที่เหมือนกับเด็กไว้
	                 เพื่อทำหน้าที่ของเราในสังคมให้ประสบความสำเร็จ ตามธรรมชาติเราควรที่จะไปทำงานเมื่อเราเติบโตขึ้น แต่งงานหรือเรียนอย่างขยันขันแข็ง อย่างไรก็ตามเราควรที่จะรักษาจิตใจเราให้บริสุทธิ์เหมือนกับตอนที่เราเป็นเด็ก อย่าไปแข่งขันกับผู้อื่น อย่าไปใฝ่กระหายในผลกำไรและชื่อเสียง อย่าใจแคบและมุ่งคิดแต่ประโยชน์ของตนเอง ให้รู้จักให้อภัย ผู้คนอาจปฏิบัติไม่ดีต่อเรา แต่เราควรที่จะปฏิบัติดีต่อพวกเขาและรักพวกเขา เช่นนั้นจึงนับว่าเป็นจิตใจของเด็ก หากเราสามารถรักษาจิตใจของเด็กนี้ไว้ได้ ไม่สำคัญว่าเราจะมีอายุมากขึ้นเท่าไร เราก็ยังคงเป็นบุตรของพระเจ้า
	                  เราจะไม่ตกนรกหรือตกอยู่ในสภาพการณ์ที่ไม่เป็นที่ปรารถนา ชีวิตของเราจะราบรื่น อย่างน้อยที่สุดจิตใจของเราก็จะมีความสุขอยู่เสมอ เราจะเผชิญปัญหาใดๆอย่างร่าเริง ไม่มีอุปสรรคใดที่จะทำให้เรารู้สึกไม่สมหวังหรือเป็นกังวล เพราะเราสามารถเอาชนะมันได้ เราจะให้อภัยผู้อื่นได้ง่ายและเราจะรู้สึกเป็นอิสระมาก เราอาจจะรวยหรือยากจน ตำแหน่งของเราอาจจะสูงหรือต่ำ และไม่ว่าเราจะอาศัยอยู่ที่ไหนหรือเรากำลังอาศัยอยู่กับใคร เราก็จะไม่ใส่ใจ เช่นนี้จึงจะนับว่าเป็นจิตใจของเด็ก มันไม่ใช่กำหนดไว้ตายตัวว่าเราไม่สามารถเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่เราได้โตขึ้นมาแล้ว
เด็กๆสามารถให้อภัยผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย
                  พระเยซูคริสต์เป็นเด็กโตและพระศากยมุนีพระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน ทั้งสองท่านเต็มไปด้วยความรักและบริสุทธิ์มาก จิตใจไม่สลับซับซ้อนยุ่งยาก ดังนั้นทั้งสองจึงไม่ใส่ใจว่าผู้คนได้ทำอะไรไว้กับท่าน ท่านจะไม่ไปวุ่นวายหรือจดจำความอาฆาต หรือพยายามที่จะแก้แค้น ตลอดชีวิตของท่านพระเยซูคริสต์ทำแต่สิ่งที่ดีเท่านั้น และเคารพบูชาพระเจ้า ท่านไม่เคยทำอะไรที่เป็นพิษเป็นภัยหรือแข่งขันกับผู้อื่นเพื่ออำนาจ ความร่ำรวยหรือชื่อเสียง ท่านสอนให้คนทำความดี ท่านแผ่ความรักของพระเจ้าไปทั่วทั้งโลกและช่วยเหลือดวงวิญญาณมากมาย
	                    แม้กระนั้นก็ตามบางคนก็ยังอิจฉาท่าน เพราะท่านมีชื่อเสียงมากเกินไปและมีคนมากมายเกินไปที่รักท่าน ด้วยความรักที่ผู้คนมีต่อท่าน พวกเขาจึงเคารพท่านเหมือนเป็นกษัตริย์ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ คนในโลกคิดว่าการเป็นกษัตริย์เป็นตำแหน่งที่สูงที่สุดในโลก ดังนั้นเราจึงเคารพใครก็ตามที่เรารักเฉกเช่นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
	                   ผลที่เกิดขึ้นก็คือ กษัตริย์ตัวจริงจึงเกิดความอิจฉาและกลัวว่าพระเยซูคริสต์จะท้าพระองค์และยึดพระราชบัลลังก์ของพระองค์ไป พระเยซูคริสต์ถูกตรึงกางเขนก็เนื่องด้วยความริษยานี้ อย่างไรก็ตามท่านก็รักษาจิตใจอันเหมือนเด็กของท่านไว้ แม้เมื่อท่านถูกตรึงกางเขน ท่านขอร้องพระเจ้าให้ยกโทษให้กับผู้คนที่โง่เขลาเหล่านั้นซึ่งไม่รู้ในสัจธรรม เด็กสามารถให้อภัยผู้อื่นอย่างง่ายดายและจะไม่ฝังใจอาฆาตพวกเขา
	                    เนื่องจากพระเยซูมักจะคลุกคลีเสมอๆกับผู้คนทุกชนิด ผู้ที่เรียกว่าพระสงฆ์หรือนักบวชในเวลานั้นจึงวิพากษ์วิจารณ์ท่าน แต่ละศาสนาก็มีนักบวชของศาสนานั้น ยกตัวอย่างบาทหลวงและแม่ชีของศาสนาคริสต์นิกายโรมันแคทอลิคและศาสนาคริสต์ก็คือนักบวช ดังนั้นคนจึงเคารพพวกเขา มีพระสงฆ์ทางศาสนาพุทธด้วยเช่นกัน ภิกษุและภิกษุณี พระสงฆ์ในศาสนาฮินดูเรียกว่าสวามี ศาสนาอื่นๆก็มีนักบวชของศาสนานั้นเหมือนกัน แม้ว่าพวกเขาจะสวมใส่เสื้อผ้าที่แตกต่างออกไป และมีชีวิตที่แตกต่างออกไป พวกเขาก็ถือว่าเป็นนักบวช
	                   การเป็นนักบวชหมายความว่าพวกเขาได้สละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระเจ้า เพื่อรับใช้พระเจ้าและเผยแพร่สัจธรรมของพระเจ้าไปยังมวลชน พวกเขาปล่อยวางอารมณ์แบบมนุษย์ของพวกเขาและความรักที่มีต่อครอบครัวของพวกเขา ถือว่าทั่วโลกเสมือนครอบครัวและเห็นคนทั้งหลายเสมือนพี่น้องของพวกเขา อุดมการณ์ของพวกเขาสูงส่งและยิ่งใหญ่จริงๆ ดังนั้นพวกเขาจึงสมควรที่จะได้รับความเคารพจากพวกเรา
	                   เราไม่ควรที่เคารพนักบวชของศาสนาของเราเท่านั้น และไม่เคารพนักบวชศาสนาอื่นๆ นี่เป็นสิ่งที่ผิด! แน่นอนในทุกศาสนามีนักบวชบางคนที่ไม่เข้าใจอุดมการณ์นี้แต่ใฝ่หาเงินและชื่อเสียงโดยใช้ชื่อของศาสนาของเขา พวกเขาไม่ใช่นักบวชที่แท้จริง พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกัน แต่จิตใจของพวกเขานั้นไม่เหมือนกัน โชคดีที่มีคนเช่นนี้แค่หยิบมือหนึ่งเท่านั้น
นักบวชที่แท้จริง
                   นักบวชที่แท้จริงสมควรที่จะได้รับคำชมจากคนอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพราะลักษณะภายนอกของพวกเขา แต่เพราะอุดมการณ์ภายในของพวกเขา พวกเขากระตือรือร้นจริงๆที่จะรับใช้มวลชนและจิตใจของพวกเขาแผ่ขยายไปทั่วทั้งโลก ด้วยเหตุนี้เราจึงชื่นชมและเคารพพวกเขา ไม่ใช่เป็นเพราะเครื่องแต่งตัว ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะสวมใส่เสื้อผ้าอะไร เพราะพวกเขามีอุดมการณ์อันสูงส่งและมีจิตใจที่เปิดกว้าง พวกเขาใส่ใจเพียงเล็กน้อยในเรื่องความรู้สึกส่วนตัวและเห็นทั้งโลกเป็นภาพลวงตาภาพหนึ่ง สรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียวกัน มีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น มีสัจธรรมหนึ่งเดียวและเต๋าหนึ่งเดียว พวกเขาต้องการเผยแพร่เต๋านี้ไปยังทุกๆคนและย้ำเตือนพวกเราว่าเต๋านี้เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่เราควรแสวงหา
	                     เราเรียกคนเหล่านี้ที่ตัดความรู้สึกรักชอบส่วนตัวของพวกเขาว่านักบวช ถือบวชหรือ ละทิ้งครอบครัว หมายถึงละทิ้งความรักชอบที่ผูกมัดไว้ต่อครอบครัว ศาสนาทุกศาสนามีอุดมการณ์อย่างเดียวกันที่จะแผ่ขยายจิตใจออกไปและให้พ้นจากการเกิดและการตาย
	                   เมื่อพระเยซูคริสต์มีชีวิตอยู่ ผู้ที่เรียกว่าเป็นนักบวชบางคนของศาสนายิว (แรบไบ) บ่นเกี่ยวกับท่าน พวกเขาวิจารณ์ท่านที่ไปคลุกคลีกับหญิงโสเภณี ขอทานหรือคนที่ยากจนข้นแค้นซึ่งเป็นผู้ที่ต่ำที่สุดของสังคม ท่านคลุกคลีกับพวกเขาเป็นเพื่อนกับพวกเขาและสอนคำสอนให้กับพวกเขา แรบไบคิดว่านั่นเป็นเรื่องน่าละอายและไม่เหมาะสมที่จะทำ
	                   พวกเขาคิดว่าชาวยิวเป็นผู้ที่ดีที่สุด ดังนั้นชาวยิวหรือคนที่อยู่ในชั้นที่สูงกว่าจึงควรได้รับการถ่ายทอดคำสอนเท่านั้น ไม่ใช่คนที่ต่ำๆซึ่งสังคมรังเกียจ
	                   ในความเห็นของพวกเขาโสเภณีเป็นพวกที่แตะต้องไม่ได้และพวกเขาเลวทรามเกินไปจนชีวิตของเขาไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงได้ อย่างไรก็ตามพระเยซูคริสต์สามารถเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้ ท่านจะทำและท่านมีพลัง คนที่เลวใดๆจะเปลี่ยนแปลงเป็นดีขึ้นหลังจากที่ได้เป็นลูกศิษย์ของท่าน หรือหลังจากที่ได้มองดูท่านเพียงครั้งเดียว
ไม่มีใครที่ดีหรือเลว
                     คนที่ดีหรือเลวถูกสร้างขึ้นโดยสภาพการณ์ทางสังคม บางคนอาจจะป็นคนดีมาหลายชาติ ในทันใดถ้าเขาถูกโกงในชีวิตนี้หรือครอบครัวของเขาถูกพลัดพรากเพราะมีสงครามในประเทศของเขา บางครั้งเขาได้สูญเสียพ่อแม่ของเขาไปอย่างฉับพลัน รวมทั้งความมั่นคงปลอดภัยของเขา ตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก เขาจึงกลายเป็นที่เรียกกันว่าคนเลว พวกคนเหล่านี้อาจจะกลายเป็นโสเภณี ตัวโกงหรือแม้กระทั่งขโมย กระนั้นพวกเขาอาจจะไม่มีสันดานที่เลว
	                   ถ้าจิตใจของเราบริสุทธิ์มันก็จะส่องเป็นเงาเหมือนทองคำ ทองคำก็คือทองคำแม้จะมีดินหลายตันฝังมันไว้ เมื่อตอนแรกที่เราขุดเพชรมันถูกปกคลุมด้วยฝุ่นหนาหลายชั้น หลังจากที่ได้ทำความสะอาดและเจียรไนมันแล้ว เพชรก็ยังคงเป็นเพชรและค่าของมันก็จะไม่ลดลงเพราะฝุ่น
	                     ในทำนองเดียวกัน อาณาจักรสวรรค์ของเราหรือธรรมชาติแห่งพระเจ้าอันไร้เดียงสาที่อยู่ภายในจะไม่มีวันมัวหมองด้วยฝุ่นหรือกรรม มันเป็นเพียงความเข้าใจผิดของเราเท่านั้น! ดังนั้นฉันจึงบอกพวกเธออยู่บ่อยๆว่าสำหรับฉันแล้วไม่มีใครที่เป็นคนบาป เป็นเพียงเพราะสมองของเราไม่เข้าใจ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถให้อภัยตัวเราและทำให้เกิดเรื่องวุ่นวาย ถ้าหากมีใครบางคนมาย้ำเตือนเราหรือบอกสัจธรรมให้แก่เรา เราก็จะรู้ว่าจะกำจัดกรรมออกไปได้อย่างไร จะลืมหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เรียกว่าเป็นนิสัยของเราได้อย่างไรแล้วเราก็จะเป็นเหมือนเช่นพระโพธิสัตว์หรือนักบุญ
	                    ด้วยเหตุนี้พระเยซูคริสต์จึงได้กล่าวว่าเราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า อย่างไรก็ตามเราจะต้องทำให้จิตใจของเราคืนสู่สภาพเป็นเด็กไร้เดียงสา และมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมจำนนต่อนิสัยเลวๆอีก
บุตรชายสองคน
                     นักบวชก็ได้วิจารณ์พระเยซูคริสต์ที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสมต่อวินัยเนื่องจากพระองค์คลุกคลีกับผู้คนทุกชนิด ดังนั้นวันหนึ่งพระเยซูคริสต์จึงได้เล่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ให้พวกเขาฟัง เรื่องราวเป็นเช่นนี้
	                     มีคนๆหนึ่งมีบุตรชายสองคน ลูกชายคนเล็กเรียกร้องให้พ่อของเขาให้ส่วนแบ่งในความร่ำรวยของครอบครัวแก่เขา ซึ่งพ่อของเขาก็ยอมทำตามนั้น เมื่อได้รับทรัพย์สมบัติแล้ว ลูกชายคนเล็กก็ออกไปหาความสนุกสนาน ท่องเที่ยวไปทั่วโลกและใช้เงินทั้งหมดของเขาอย่างโง่เขลา ในที่สุดเขาก็ไม่มีเงินเหลือสักแดงเดียว! ประจวบเหมาะกับพอดีที่มีความอดอยากในประเทศของเขาในขณะนั้น ดังนั้นทุกคนจึงอดอยาก เขาได้ไปทำงานในฟาร์มแห่งหนึ่งที่เลี้ยงลูกหมูไว้มากมาย เขาหิวมากจนกระทั่งเมื่อเขาเห็นลูกหมูกำลังกินอาหารในราง เขาก็อยากไปแย่งลูกหมูกิน เขาหิวมากและคิดถึงบ้าน
	                     วันหนึ่งเขาพูดกับตัวเขาเองว่า โอ ฉันช่างมีชีวิตที่เหลวไหลสิ้นดีที่นี่ แม้กระทั่งคนงานของพ่อฉันก็ยังมีกินมากกว่าที่ฉันมาอยู่ขณะนี้ พวกเขามีกินมากเกินพอในขณะที่ฉันกำลังอดอยากอยู่ที่นี่ เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลเลย ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะต้องกลับบ้าน ฉันจะขอโทษพ่อของฉันและบอกเขาว่าฉันเสียใจ รู้สึกสำนึกผิดเพียงใดในความประพฤติอันโง่เขลาในอดีตของฉันและฉันยังเด็กและโง่เขลา ฉันจะยอมรับว่าฉันไม่เหมาะสมที่จะเป็นลูกของเขา บางทีเขาอาจจะรับฉันเป็นคนงานคนหนึ่งของเขาก็ได้ นั่นก็จะเป็นการดีเหมือนกัน! อย่างน้อยที่สุดก็จะมีพอกิน เขาเฝ้าพูดเรื่องนี้กับตัวเขาตลอดทางที่กลับบ้านของเขา
	                  ผู้เป็นพ่อเมื่อได้เห็นว่าลูกชายของเขาได้กลับมา ก็วิ่งไปสวมกอด ทักทายและจูบเขา เขาดีใจมากที่ได้เห็นลูกของเขากลับบ้านอีกครั้ง เขาบอกคนใช้ว่า รีบไปหาเสื้อผ้าใหม่ๆมาให้ลูกชายของฉัน และนำอาหารที่ดีๆและเครื่องดื่มมาให้เขา ผู้เป็นพ่อยุ่งอยู่กับการบอกคนให้หาอาหารมา แล้วเขาก็พูดว่า มานี่แน่ะ! เราควรที่จะฉลอง เขาบอกคนใช้และครอบครัวของเขาว่า เราควรที่จะฉลองการกลับมาของลูกชายของฉัน ลูกชายคนเล็กของฉันได้กลับมาบ้าน!
	                   ด้วยความรื่นเริงใจ เขาได้จัดเตรียมงานฉลองใหญ่โตและเชิญทุกๆคน เมื่อลูกชายคนโตกลับมาที่บ้าน เขาก็โกรธและอิจฉา เขาบ่นกับพ่อของเขาว่า ฉันได้ทำงานให้กับท่านเป็นเวลาหลายปี แต่ท่านก็ไม่เคยจัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่โตเพื่อฉลองการกลับมาของเขา ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องอะไรกัน?
	                 ลูกชายคนโตรุกเร้าขอคำตอบด้วยความโกรธ ดังนั้นพ่อจึงพูดว่า อย่าโกรธไปเลย เธอก็รู้เป็นอย่างดีว่า ทรัพย์สมบัติทั้งหลายของฉันนั้นเป็นของเธอ ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานฉลองให้เธอ เพราะทุกสิ่งนั้นเป็นของเธออยู่แล้ว! สำหรับเรื่องที่ว่าทำไมเราจึงต้องจัดงานฉลองในวันนี้ ก็เป็นเพราะเดิมทีแล้วเราคิดว่า ได้สูญเสียน้องชายของเธอไปแล้ว ตอนนี้เขาได้ถูกค้นพบขึ้นมา เราจึงมีเหตุผลที่จะยินดี
	                  ผู้เป็นพ่อไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชัง สำหรับเขาทรัพย์สินของเขาไม่ได้มีค่าเท่ากับบุตรชายของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจที่จะต้องใช้จ่ายเงินมากมาย เรื่องที่แล้วก็แล้วกันไป เขามีความสุขที่ได้เห็นลูกชายคนเล็กของเขากลับมาบ้านอย่างปลอดภัยฃ
	                 พระเจ้าก็เหมือนกัน ท่านไม่สนใจว่าเราได้ทำบาปมามากมายเพียงไร เนื่องจากทั้งหมดนั้นเป็นอดีต ถ้าเราจริงใจที่จะสำนึกผิดและเป็นเด็กที่ดีอีกครั้งหนึ่ง พระองค์ก็จะต้อนรับเรากลับสู่บ้าน นี่ก็เป็นแบบเดียวกันกับเรื่องที่ฉันได้ย้ำเตือนเธอตลอดเวลา ดังนั้นเธอจึงนอนใจได้และอย่าได้กระวนกระวายใจ การบำเพ็ญทางจิตวิญญาณของเราอาจจะดีหรือเลวในบางครั้ง บางครั้งเราเห็นแสงดวงโตและได้ยินเสียงของระเจ้าที่ดังจนหนวกหู แต่บางครั้งก็ดูคล้ายกับว่าเราไม่ได้เห็นและไม่ได้ยินอะไรเลย เป็นเพราะเราถูกปิดตัวโดยสิ่งที่เรียกว่าความคิดเก่าๆหรือจิตใจอันบริสุทธิ์ของเราถูกกระทบโดยอิทธิพลของสังคม เช่นนี้แล้วความรู้สึกผิดของเราก็จะปรากฏออกมาอีกครั้ง และเราจะคิดว่าบาปของเรานั้นหนักหนาเกินไปที่จะได้รับพระกรุณาและความรักของพระเจ้า
เราสมควรที่จะได้รับพระกรุณาและความรักของพระเจ้าเสมอ
                  ความจริงก็คือเรามีค่าเสมอ พระเจ้าจะไปสนใจได้อย่างไร ว่าเธอได้ผลาญทรัพย์สินของท่านไปมากเท่าไร ท่านเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ท่านสามารถสร้างโลกหรือจักรวาลที่น่าอัศจรรย์และกว้างใหญ่ไพศาลได้เสมอ ท่านจะไม่สนใจใยดีหรอก เมื่อเราทำลายท่านก็สร้างขึ้นมาอีก ไม่มีปัญหา ยกตัวอย่างเราได้ฆ่ามนุษย์หรือสัตว์มาก่อน หรือได้ทำผิดกฎของโลก ตอนนี้เราได้สำนึกอย่างจริงใจและขอให้พระเจ้ายกโทษให้ เราได้กลายเป็นทาสหรือคนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่านอย่างถ่อมตัวและนั่งสมาธิทุกวัน
	                   ถ้าเรายอมรับได้ว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า เราก็ไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิ ถ้าเราคิดว่าเรามีค่ามากเราก็จะเย่อหยิ่ง ภูมิใจในตัวเราและจะไม่สำนึกผิด ไม่นั่งสมาธิหรือตรวจสอบตัวเราทุกวัน อย่างไรก็ตามเพราะเรายังคงถ่อมตนและสำนึกผิดในกรรมในอดีตของเรา พระเจ้าก็จะยกโทษให้เรา เรามีฐานะเช่นเดียวกันกับเด็กๆชาวสวรรค์เหล่านั้นซึ่งไม่ได้ทำผิดศีล ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย
	                 เป็นเพราะเรายังไม่ได้กลับถึงบ้าน ดังนั้นเราจึงยังคงสำนึกผิดอยู่ที่นี่ เมื่อเราได้กลับถึงบ้านและได้พบพระบิดา เราทั้งหลายก็เป็นเหมือนกัน ท่านจะให้เสื้อผ้าที่ดีที่สุดให้เราสวมใส่ ที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุดในสวรรค์ สิ่งที่ดีที่สุดทั้งหลายให้สนุกสนานและชีวิตนิรันดรเหมือนอย่างท่าน ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องรีบเร่ง เตรียมตัวไว้ให้ดีในขณะที่เธออยู่ที่นี่ เธอจะสนุกเพลิดเพลินได้ทันทีที่เธอได้กลับถึงบ้านแล้ว
	

ปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai ศูนย์ซีหู ฟอร์โมซา
23 กรกฏาคม 1990 (เดิมเป็นภาษาจีน)
				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน