รู้ทันโรค "มะเร็ง"

ช่ออักษราลี

พูดถึงเรื่องโรค "มะเร็ง" คนรอบข้างช่ออักษราลีก็เป็นกันมาก จึงไม่อยากนิ่งนอนใจ เรามาทำอะไรกันเถอะ มาทำความรู้จักกับมัน ให้ความรู้เพื่อป้องกัน รักษา บรรเทา น่าจะมีวิธีการที่ดีที่จะช่วยเพื่อนๆรอดพ้นจากโรคนี้ได้ ช่อมีความรู้แค่หางอึ่งสำหรับเรื่องนี้ ใครมีความคิดเห็น ความรู้อย่างไร เรามาช่วยกันระดมสมอง ระดมสติปัญญา เขียนเพื่อให้อ่าน เพื่อปรับแนวทางชีวิตกันใหม่ มีเรื่องหนึ่งที่เคยได้รับฟอเวิร์ดเมลจากเพื่อนๆเลยอยากจะนำมาให้อ่านกันค่ะ
เรามารู้เท่าทันโรค "มะเร็ง" กันเถอะ 
นักวิชาการโลก...ฟันธง!...แกงเลียง แกงส้ม แกงเหลือง มีศักยภาพ ทำให้มะเร็งตายแบบธรรมชาติ สรุปตามนี้นะคะ... 
น้ำแกงป่า น้ำแกงเลียง และน้ำแกงส้มมีศักยภาพให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติที่ไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์อื่นในร่างกาย ได้มากถึง 45 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่แกงเหลืองทำให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีก 15 เท่าเมื่อเทียบกัน ดีกว่าการใช้ยาถึง 2 เท่า 
นักวิชาการโลกฟันธงแล้วชนิดอาหารก่อมะเร็ง 
บริโภค 'แกงเลียง' 'แกงเหลือง' ต้านโรคได้ 
โรคภัยที่คร่าชีวิตประชากรทั่วโลกมาเป็นอันดับหนึ่งนั้นคือโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็งตามมาอยู่อันดับสอง หลายสิบปีมาแล้วที่วงการแพทย์ทั่วโลกพยายามหาสาเหตุของโรคมะเร็งแต่ละอวัยวะเพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไข เพื่อสรุปให้ได้ข้อชัดเจนเสียทีว่าการบริโภคหรือระบบโภชนาการของมนุษย์โลกเป็นสาเหตุของมะเร็งแต่ละชนิดได้แค่ไหน ล่าสุดหน่วยงาน เวิลด์ แคนเซอร์ รีเสิร์ช ฟัน ( World Cancer Research Fund) ร่วมกับ อเมริกัน อินสติติว ฟอร์ แคนเซอร์ รีเสิร์ช ( American Institue for Cancer Research) ได้ตัดสินและสรุปงานวิจัยกว่า 7,000 เรื่องที่ศึกษาวิจัยความสัมพันธ์ของอาหาร การออกกำลังกาย ภาวะน้ำหนักเกิน และความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง โดยผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก 
ชนิพรรณ บุตรยี่ นักวิชาการจากสถาบัน โภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำงานวิจัยนี้มาบรรยายในงานประชุมเรื่อง  ความท้าทายทางพิษวิทยาในศตวรรษที่ 21 ว่า งานวิจัยใช้ระยะเวลาสรุปผล 5 ปี โดยนำงานวิจัยขนาดใหญ่ที่ใช้กลุ่มตัวอย่างมากสุด ถึง 100,000 คน และบางชิ้นมีการเก็บข้อมูลน านนับ 10 ปี ใช้เงินทำวิจัยมหาศาล จึงจัดเป็นงานวิจัยที่น่าเชื่อถือและยึดเป็นข้อมูลทางวิชาการได้ ถือเป็นข้อบ่งชี้ที่แน่ชัดแล้ว โดยเน้นเรื่องการกินและการออกกำลังกายเป็นหลัก แบ่งเป็น 3 ระดับ ระดับแรกเป็นข้อบ่งชี้ที่แน่นอน เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอาหาร วิถีชีวิต การออกกำลังกาย สิ่งแวดล้อม โดยพบว่าการดื่มแอลกอฮอล์จะเพิ่มความเสี่งต่อการเป็นมะเร็งเต้า นม ทั้งวัยหมดประจำเดือนและก่อน มีประจำเดือน มะเร็งช่องปาก คอหอย กล่องเสียง หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (เฉพาะผู้ชาย) มีไขมันในร่างกายเกินจากค่าดัชนีมวลกายหลังจากอายุ 21 ปีไปแล้ว เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมหลังหมดประจำเดือน มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งไต และเนื้อเยื่อบุมดลูก นอกจากระดับไขมันที่เป็นส่วนเกินแล้วยังแยกย่อยออกมาอีกว่า คนที่อ้วนลงพุง มีความเสี่ยงสูงต่อมะเร็งลำไส้และทวารหนัก 
สำหรับอาหารที่คลางแคลงใจกันมานานพวกเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ในงานวิจัยนี้ฟันธงออกมาอย่างแน่ชัดแล้วว่า การ บริโภคเนื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว แกะ แพะ ในปริมาณที่สูงเกินจะก่อมะเร็งลำไส้ มีคำแนะนำให้บริโภคเพียงสัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัม ควรหันมาบริโภคเนื้อสีขาว อย่างเนื้อไก่ หมู หรือปลา รวมทั้งเนื้อสัตว์ที่ผ่าน กระบวนการปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก แฮม เบคอน อาหารเหล่านี้ต้อง รมควัน บางครั้งต้อง ปรุงรส ใช้เคมีเพื่อให้สี รสชาติและมวลของอาหารอยู่ครบ เป็นอาหาร ที่กินแล้วก่อมะเร็งเช่นกัน ที่น่าตกใจพบว่าการ บริโภคเบต้าแคโรทีน ในรูปแบบอาหารเสริม จะเร่งให้เกิดมะเร็ง แต่ เบต้าแคโรทีนจะให้ผล ต่อร่างกายสูงสุดเมื่อ บริโภคผักผลไม้สด ๆ ที่มีสารเหล่านี้ ประเภทผลไม้สีเหลือง เช่น มะละกอ มะม่วง แครอท 
ขณะเดียวกันเมื่อมนุษย์ขึ้นสู่วัยหนุ่มสาวออกกำลังกายแบบแอโรบิก ที่ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดอย่างสม่ำเสมอวันละ 30 นาทีจนเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ จะช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งเต้านม (โดยเฉพาะหญิงวัยหมดประจำเดือน) และมะเร็งเนื้อเยื่อบุมดลูก นอกจากนี้ผลวิจัยเป็นที่แน่นอนแล้วว่าแม่ควรให้นมลูกและเด็กทารกควรที่จะได้รับน้ำนมแม่ สามารถ ลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมทั้งก่อนและหลังหมดประจำเดือน ทั้งนี้ควรให้นมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกคลอดจนถึง 6 เดือนโดยไม่มีการให้อาหาร หรือเครื่องดื่มใด ๆ เลย รวมทั้งน้ำด้วย
ต่อมาข้อสรุปลำดับที่ 2 เรียกว่าเป็นที่แน่นอนบ่งชัดเจนหากเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ในข้อนี้ 80 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ในข้อแรกเชื่อได้ 90 เปอร์ เซ็นต์ ในข้อนี้เน้นหนักด้านอาหารพบว่าการบริโภคผักใบ ลดความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งช่องปากคอหอย กล่องเสียง หลอดอาหาร ผักกลุ่มหอมป้องก ันมะเร็งกระเพาะอาหาร การบริโภคผลไม้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด ช่องปาก คอหอย กล่องเสียง มะเร็งหลอดอาหาร 
ลำดับที่ 3 ลดหลั่นเป็นเปอร์เซ็นต์ลงมาภายใต้เงื่อนไขเดียวกันคือความสัมพันธ์ของอาหาร วิถีชีวิต ในข้อนี้เรียกว่ามีความเป็นไปได้พบว่าการบริโภคอาหารที่มีไลโคปีน ซึ่งมีมากในมะเขือเทศลดความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมาก 
นักวิชาการคนเดิมจากสถาบันโภชนาการ ม.มหดิล บอกอีกว่า แม้สารไลโคปีนจะมีมากในมะเขือเทศแต่ถ้าไม่ทำให้มะเขือป่นละเอียดบริโภคไปร่างกายก็ไม่ได้ รับสารไลโคปีนอยู่ดี ดังนั้นการบริโภคมะเขือเทศสด แบบชิ้น ๆ กับการบริโภคซอสมะเขือเทศอย่างหลังได้รับ ไลโคปีนมากกว่า นอกจากในงานวิจัยเรื่องการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื ่อป้องกันมะเร็ง นักวิชาการทั่วโลกแนะนำว่าไม่ควรบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อป้องกันมะเร็ง เว้นแต่เจ็บป่วยหรือมีภาวะขาดสารอาหารบางอย่าง 
ปัจจุบันพฤติรรมการกินอาหารของคนไทยเปลี่ยนไปโดยเฉพาะกลุ่มเด็กและคนวัยหนุ่มสาวบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น ที่เห็นได้ชัดจากวัฒน ธรรมการกินอาหารบุฟเฟ่ต์ ร้านเนื้อย่างหมูกระทะต่าง ๆ สอดคล้องกับงานวิจัยนี้ ข้อแนะนำของการกินเพื่อต้านมะเร็งในแบบไทยซึ่งแม้งานวิจัยยังไม่ได้ถูกเลือกจากนักวิชาการ เพราะเป็นงานวิจัยขนาดเล็ก ตามอัตภาพของทุนที่มี แต่น่าชื่อถือและนำไปใช้ได้ 
ในงานประชุมดังกล่าวข้างต้น ดร.สมศรี เจริญเกียรติกุล นักวิชาการจากสถาบันเดียวกัน ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่อง  ศักยภาพต้านมะเร็งของตำรับอาหารไทย  
ดร.สมศรี กล่าวว่า ได้ศึกษาเรื่องนำสมุนไพรต่างชนิดมาทำเป็นน้ำพริกแกงต่าง ๆ ได้ทดลองสารสกัดของน้ำพริกแกง 4 ชนิด ได้แก่ น้ำพริกแกงป่า แกงเลียง แกงส้ม แกงเหลือง และน้ำต้มยำนำมาเลี้ยงเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว พบว่าน้ำแกงป่า น้ำแกงเลียง และน้ำแกงส้มมีศักยภาพให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติที่ไม่ส่งผลกระทบต่ อเซลล์อื่นในร่างกาย ได้มากถึง 45 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่แกงเหลืองทำให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีก 15 เท่าเมื่อเทียบกัน ดีกว่าการใช้ยาถึง 2 เท่า สมุนไพรสำคัญในเครื่องแกงน่าจะมาจากกระเทียมและพริกรวมทั้งสมุนไพรอื่น ๆ
ขอบคุณที่มาของเรื่อง
ใครมีความรู้ หรือมีสิ่งดีดีที่อยากจะแนะนำเพื่อนช่วยกันหน่อยนะคะ
ขอให้บุญกุศลจงบังเกิดแก่มิตรผู้อารีทุกท่าน
..............................................................................................................
                         มารู้จักมะเร็งกันเถอะ
มะเร็ง คือ กลุ่มของโรคที่เกิดเนื่องจากเซลล์ของร่างกายมีความผิดปกติ ที่ DNA หรือสารพันธุกรรม ส่งผลให้เซลล์มีการเจริญเติบโต มีการแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ รวดเร็ว และมากกว่าปกติ ดังนั้น จึงอาจทำให้เกิดก้อนเนื้อผิดปกติ และในที่สุดก็จะ ทำให้เกิดการตายของเซลล์ในก้อนเนื้อนั้น เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยง เพราะการ เจริญเติบโตของหลอดเลือด ถ้าเซลล์พวกนี้เกิดอยู่ในอวัยวะใดก็จะ เรียกชื่อ มะเร็ง ตามอวัยวะนั้นเช่น มะเร็งปอด มะเร็งสมอง มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็ง เม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น 
เท่าที่มีรายงานไว้ใน ขณะนี้ มะเร็งที่พบในร่างกายมนุษย์มีมากกว่า 100 ชนิด มะเร็งแต่ละชนิดจะมีการ ดำเนินของโรคไม่เหมือนกัน เช่น มะเร็งปอด มะเร็งสมอง จะมีการดำเนินชนิดของ โรค ที่รุนแรง ผู้ป่วยจะมีชีวิตการอยู่รอดสั้นกว่าผู้ป่วยมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น 
ดังนั้น การรักษามะเร็งแต่ละชนิดจะไม่เหมือนกัน มีวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่เป็นมะเร็ง ระยะของมะเร็ง สภาพร่างกาย และความเหมาะสม ของผู้ป่วยมะเร็ง การรักษาจะยากหรือง่ายนั้นก็ขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์มะเร็งและ การดำเนินโรคของมะเร็งด้วย เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งผิวหนัง รักษาง่ายกว่า มะเร็งปอด มะเร็งสมอง เป็นต้น
 
อาการและอาการแสดงของโรคมะเร็ง
1. ไม่มีอาการใดเลยในช่วงแรกขณะที่ร่างกายมีเซลล์มะเร็งเป็นจำนวนน้อย 
2. มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งตามสัญญาณอันตราย 8 ประการ ที่เป็นสัญญาณเตือน ว่าควรไปพบแพทย์ เพื่อการตรวจค้นหาโรคมะเร็ง หรือสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้มีสัญญาณ เหล่านี้ เพื่อการรักษาและแก้ไขทางการแพทย์ที่ถูกต้องก่อนที่จะกลายเป็นโรคมะเร็ง หรือเป็นมะเร็งระยะลุกลาม 
3. มีอาการป่วยของโรคทั่วไป เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ร่างกายทรุดโทรม ไม่สดชื่น และไม่แจ่มใส 
4. มีอาการที่บ่งบอกว่า มะเร็งอยู่ในระยะลุกลาม หรือเป็นมาก ขึ้นอยู่กับว่าเป็นมะเร็ง ชนิดใดและมีการกระจายของโรคอยู่ที่ส่วนใดของร่างกายที่สำคัญที่สุดของอาการในกลุ่ม นี้ ได้แก่ อาการเจ็บปวด ที่แสนทุกข์ทรมาน 
สัญญาณอันตราย 8 ประการที่ทุกคนควรจะจำไว้เพื่อสุขภาพที่ดี ได้แก่ 
1.มีการเปลี่ยนแปลงของระบบขับถ่ายอุจจาระ และปัสสาวะ เช่น ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ หรือปัสสาวะเป็นเลือด 
2. กลืนอาหารลำบาก หรือมีอาการเสียด แน่นท้องเป็นเวลานาน 
3. มีอาการเสียงแหบ และไอเรื้อรัง 
4. มีเลือดหรือตกขาวที่ผิดปกติ เช่น มีกลิ่นเหม็น 
5. แผลซึ่งรักษาแล้วไม่ยอมหาย 
6. มีการเปลี่ยนแปลงของหูดหรือไฝตามร่างกาย 
7. มีก้อนที่เต้านมหรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย 
8. หูอื้อหรือมีเลือดกำเดาไหล 
 
การรักษามะเร็งตามหลักสากลที่ปฏิบัติกันอยู่ในประเทศไทย
คือ การรักษามะเร็งแบบ วิธีผสมผสานของ ศัลยกรรม (ผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกรวมทั้งต่อมน้ำเหลืองบริเวณข้าง) รังสีรักษา (ฉายแสงบริเวณที่มีเซลล์มะเร็งอยู่เป็นการรักษาแบบเฉพาะที่เช่นเดียวกับวิธี ของศัลยกรรม) เคมีบำบัด (การรักษาหรือการทำลายเซลล์มะเร็งทั้งที่ต้นตอและที่กระจาย ไปตามทางเดินน้ำเหลือง กระแสเลือดหรืออวัยวะอื่นของร่างกาย เป็นการรักษามะเร็ง แบบทั้งตัวของผู้ป่วยมะเร็ง โดยการรับประทานยาที่มีความสามารถในการฆ่า หรือทำลาย เซลล์มะเร็ง ฉีดยาทางหลอดเลือดดำหรือแดง เป็นต้น) การรักษาโดยการใช้ฮอร์โมน เนื่องจากมะเร็งบางชนิดมีความไวต่อการรักษาด้วยฮอร์โมน และการรักษาโดยการเพิ่ม ภูมิคุ้มกัน ให้กับร่างกาย เพื่อที่จะได้กำจัดเซลล์มะเร็งให้หมดไปจากร่างกาย และผู้ป่วยก็ ็จะหายจากโรคมะเร็ง 
เนื่องจากการรักษา โดยการเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายนี้ยังอยู่ ระหว่างการศึกษาอยู่ต้องการข้อมูลอีกมากมายเพื่อยืนยันว่า ได้ผลในการรักษามะเร็ง 
ดังนั้นวิธีหลังนี้จึงเริ่มเป็นที่แพร่หลายในประเทศไทย แต่มีการนำยาหรือสารเคมีในกลุ่มนี้ ้มาใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัด เพื่อให้การรักษาดีขึ้น มะเร็งแต่ละกลุ่มหรือแต่ละชนิดจะได้รับ การรักษาแบบผสมผสานที่ไม่เหมือนกัน เพราะว่ามะเร็งบางชนิดมีการตอบสนองต่อการ รักษาทางศัลยกรรมและรังสีรักษาดี เช่น มะเร็งผิวหนัง ก็ไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยเคมีบำบัด หรืออื่น ๆ มะเร็งบางชนิดมีการตอบสนองต่อเคมีบำบัด และรังสีรักษาดีไม่จำเป็นต้องใช้ วิธีศัลยกรรม เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น มะเร็งเต้านม ในผู้ป่วย บางกลุ่มโดยเฉพาะ ผู้ป่วยที่อยู่ในวัยหลังหมดระดูจะมีการตอบสนองต่อการรักษา โดยการใช้ ฮอร์โมนหลังจากที่ผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งต้นตอออกไปแล้ว 
ดังนั้น จะเห็นว่าการรักษามะเร็งแต่ละชนิด หรือการรักษามะเร็งแต่ละกลุ่ม มีความแตกต่างกันแม้แต่การผสมผสานวิธีการรักษามะเร็ง แต่ละวิธีก็ไม่เหมือนกัน
 
 มะเร็งที่รักษาให้หายได้
ปัจจุบันนี้ แพทย์สามารถรักษามะเร็งหลายชนิดให้หายได้ หรืออย่างน้อยก็ ทำให้ ผู้ป่วยมะเร็งมีชีวิตการอยู่รอดที่ยาวนานเท่ากับบุคคลปกติที่อยู่ในวัยเดียวกัน ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง ระยะของมะเร็งที่พบ เพราะมะเร็งระยะ เริ่มแรกย่อมมีการตอบสนอง ต่อการรักษาหรือมีโอกาสหายมากกว่าระยะลุกลาม หรือระยะสุดท้าย 
มะเร็งต่าง ๆ ที่สามารถรักษาให้หายได้ในปัจจุบันนี้ ที่สำคัญ มีดังนี้ 
มะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลันชนิดลิมป์โฟไซติค ลิวคีเมีย 
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอร์ดกิ้น 
มะเร็งไตในเด็กชนิด วิมส์ ทูเมอร์ 
มะเร็งลูกอัณฑะ 
มะเร็งกระดูก ชนิด อ๊อสติโอเจนนิค ซาร์โคม่า 
มะเร็งรังไข่ชนิดเนื้อเยื่อบุผิว 
มะเร็งผิวหนังบางชนิดเช่น Basal cell carcinoma 
มะเร็งเต้านม 
มะเร็งปอดชนิด Small cell 
มะเร็งหลังโพรงจมูก 
มะเร็งชนิดเนื้อเยื่อ Germ cell 
การตรวจค้นหามะเร็งระยะเริ่มแรก
เป็นการตรวจสุขภาพทั่วไปในผู้ที่มีอาการปกติ เพื่อค้นหาความผิดปกติของร่างกาย ซึ่ง อาจเกิดขึ้นได้อย่างไม่รู้ตัว โดยเฉพาะโรคมะเร็ง ทั้งนี้เพื่อหวังผลในการรักษา เนื่อง จากโรคมะเร็งสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากพบในระยะเริ่มแรก หรือยิ่งพบโรคได้ เร็วเพียงใด ชีวิตก็ปลอดภัยมากขึ้นเพียงนั้น 
การตรวจค้นหามะเร็งระยะเริ่มแรก มีหลักการดังนี้ 
1. การสอบถามประวัติโดยละเอียด 
2. การตรวจร่างกายโดยละเอียด 
3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ 
1. การสอบถามประวัติโดยละเอียด 
มีความสำคัญเนื่องจาก อาจเป็นแนวทางเบื้องต้นที่ช่วยในการวินิจฉัยได้ เช่น
1.1 ประวัติครอบครัว 
มะเร็งส่วนใหญ่ไม่ใช่โรคที่สืบเนื่องโดยตรงเกี่ยวกับพันธุกรรม แต่มีมะเร็งบางอวัยวะมี ความโน้มเอียงที่จะเกิดในพี่น้องครอบครัวเดียวกัน เช่น มะเร็งตาบางชนิด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น 
1.2 ประวัติสิ่งแวดล้อม 
มีข้อสังเกตว่าสิ่งแวดล้อมบางอย่างเป็นเหตุส่งเสริมให้เกิดโรคมะเร็งบางชนิดได้ เช่น ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับสารกัมมันตภาพรังสีเป็นระยะเวลานาน ๆ อาจเป็นโรคมะเร็ง เม็ดเลือดขาวมากกว่าผู้ที่ประกอบอาชีพอื่น 
1.3ประวัติส่วนตัว 
อุปนิสัยและพฤติกรรมส่วนตัวของแต่ละบุคคลก็อาจเป็นเหตุสนับสนุนให้เกิดโรคมะเร็ง บางอย่าง เช่น 
- ผู้ที่สูบบุรี่มาก ๆ เป็นระยะเวลานาน ๆ จะมีโอกาสเป็นมะเร็งปอด มากกว่า ผู้ที่ไม่สูบ บุหรี่ 
- ผู้ที่มีประวัติการร่วมเพศตั้งแต่อายุน้อย มีประวัติสำส่อนทางเพศ , มีบุตรมากจะเป็น มะเร็งปากมดลูกได้มากกว่าผู้ที่ไม่เคยแต่งงาน 
- ท้องอืด เบื่ออาหาร ผอมลงมาก 
- เสียงแหบอยู่เรื่อย ๆ ไอเรื้อรัง 
- หูด หรือปานที่โตขึ้นผิดปกติ 
- การเปลี่ยนแปลงในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะผิดไปจากปกติ 
1.4 ประวัติเกี่ยวกับอาการเจ็บไข้ต่าง ๆ 
- เป็นตุ่ม ก้อน แผล ที่เต้านม ผิวหนัง ริมฝีปาก กระพุ้งแก้มหรือที่ลิ้น 
- ตกขาวมาก หรือมีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ 
- เป็นแผลเรื้อรังไม่รู้จักหาย 
2. การตรวจร่างกายโดยละเอียด 
ช่วยในการวินิจฉัยโรคได้ แต่ในทางปฏิบัติ แพทย์ไม่สามารถจะตรวจร่างกายได้ ทุกอวัยวะ ทุกระบบโดยครบถ้วน จึงมีหลักเกณฑ์ว่า ในการตรวจร่างกายทั่วไปเพื่อตรวจ หามะเร็งระยะเริ่มแรกนั้น ควรตรวจอวัยวะต่างๆ เท่าที่สามารถจะตรวจได้ ดังนี้ 
- ผิวหนัง และเนื้อเยื่อบางส่วน 
- ศีรษะ และคอ 
- ทรวงอก และเต้านม 
- ท้อง 
- อวัยวะเพศ 
- ทวารหนัก และลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง 
3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจอื่น ๆ 
3.1 การตรวจทางห้องปฏิบัติการ 
ช่วยในการตรวจค้นหา การวินิจฉัย การรักษา รวมทั้งการติดตามผลการรักษา โรคมะเร็งด้วย ได้แก่ 
- การตรวจเม็ดเลือด 
- การตรวจปัสสาวะ , อุจจาระ 
- การตรวจเลือดทางชีวเคมี 
3.2 การตรวจเอ๊กซเรย์ 
มีประโยชน์ในการวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งบางชนิด ซี่งมีวิธีการหลายอย่างเช่น 
- การเอ๊กซเรย์ปอด 
เป็นวิธีการพื้นฐานอย่างหนึ่ง ในการตรวจสุขภาพ
- การเอ๊กซเรย์ทางเดินอาหาร 
ทำในรายที่มีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินอาหาร
- การตรวจเอ๊กซเรย์เต้านม 
เป็นการตรวจลักษณะความผิดปกติที่เต้านม
3.3 การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ 
หลักสำคัญในการตรวจคือ ให้ผู้ป่วยกลืน , ฉีดสารกัมมันตภาพรังสีบางชนิด สารดังกล่าว จะไปรวมที่อวัยวะบางส่วน แล้วถ่ายภาพตรวจการกระจายของสารกัมมันตภาพรังสีนั้น ๆ เช่น การตรวจเนื้องอกของต่อมไทรอยด์ ,สมอง , ตับ , กระดูก เป็นต้น 
3.4 การตรวจโดยใช้เครื่องมือพิเศษ 
เพื่อดูลักษณะเยื่อบุภายในของอวัยวะบางอย่าง เช่นหลอดลม หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้ เป็นต้น 
3.5 การตรวจทางเซลล์วิทยา และพยาธิวิทยา 
การตรวจทางเซลล์วิทยา เป็นวิธีการตรวจหา มะเร็งระยะเริ่มแรกของอวัยวะต่าง ๆ เช่น 
- การขูดเซลล์จากเยื่อบุอวัยวะบางอย่างให้หลุดออกมา เช่น ปากมดลูก , เยื่อบุช่องปาก เป็นต้น 
- เก็บเซลล์จากแหล่งที่มีเซลล์หลุดมาขังอยู่ เช่น ในช่องคลอด ในเสมหะ 
3.6 การตรวจเนื้อเยื่อทางพยาธิวิทยา 
เป็นการตรวจที่สำคัญที่สุดในการวินิจฉัยโรคมะเร็ง โดยการตัด เนื้อเยื่อจากบริเวณที่ ่สงสัย ส่งตรวจละเอียดโดยกล้องจุลทรรศน์ อนึ่ง โรคมะเร็งอาจเกิดกับอวัยวะต่างๆ กัน มะเร็งบางอวัยวะอาจตรวจวินิจฉัยได้ง่าย บางอวัยวะตรวจได้ยาก แต่มีข้อสังเกตว่า มะเร็งที่พบได้บ่อย ๆ ในประเทศของเรา เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งช่องปาก เป็นโรคที่ตรวจวินิจฉัยได้ไม่ยาก ถ้าสนใจตรวจสุขภาพเป็นประจำ 
ประโยชน์ของการตรวจค้นหามะเร็งระยะเริ่มแรก 
การตรวจค้นหามะเร็งระยะเริ่มแรกนั้นมีประโยชน์ เพราะมะเร็งระยะเริ่มต้น การรักษา ได้ผลดีมาก และเป็นการป้องกัน มิให้ผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะลุกลาม ซึ่งจะเป็น อันตรายแก่ชีวิตได้ 
 
หญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่งกับการรักษาโรคมะเร็ง
ดร. ผ่องพรรณ ศิริพงษ์
หัวหน้างานวิจัยสมุนไพร กลุ่มงานวิจัย
สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
ปัจจุบันโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับสองของประชากรไทยและมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกๆปี ยารักษา
โรคมะเร็งที่ใช้ในทางการแพทย์ ก็มีแต่ยาแผนปัจจุบันที่มีราคาแพง ซึ่งจะต้องนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมดทั้งในรูป
ยาสำเร็จรูปหรือวัตถุดิบ อีกทั้งยังพบว่ามีผลข้างเคียงสูง ทางเลือกอีกทางหนึ่งของผู้ป่วยโรคมะเร็ง จึงหันมานิยม
ใช้สมุนไพรพื้นบ้านเพื่อนำมารักษาโรคมะเร็งที่เป็นอยู่ สมุนไพรจากประเทศจีนชนิดหนึ่งซึ่งมีผู้นำมาเผยแพร่
ประมาณ 30 ปีมาแล้วและปัจจุบันก็ยังคงนิยมใช้อยู่อย่างแพร่หลาย คือหญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่ง หรือเรียกชื่อ
ภาษาจีนว่า เล่งจือเฉ้า
หญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่งหรือเล่งจือเฉ้า มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Murdania loriformis (Hassk) Rolla Rao et
Kammathy อยู่ในวงศ์ Commelinaceae เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว แต่ไม่ใช่พืชในวงศืหญ้าทั่วไป เป็นไม้ล้มลุก สูง
ประมาณ 7-10 ซ.ม. และอาจสูงได้ถึง 20 ซ.ม. ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยว ความยาวไม่เกิน 10 ซ.ม. ดอกออกเป็นช่อที่
ปลายยอด รวมกันเป็นกระจุกแน่น กลีบดอกมีสีฟ้าปนม่วง ใบประดับกลม ยาวประมาณ 4 ม.ม. ร่วงง่าย เป็นพืชที่
ชอบดินร่วนหรือดินปนทราย งอกงามในที่มีแดดรำไร ไม่ต้องการน้ำมาก เพาะปลูกโดยการเพาะชำหรือเพาะเมล็ด
ปลูกได้ง่ายและไม่จำเป็นต้องมีเนื้อที่มาก
ตามสรรพคุณของตำรายาจีน จะใช้หญ้าปักกิ่งรักษาโรคในระบบทางเดินหายใจและกำจัดพิษ โดยจะใช้ทั้ง
ต้นหรือส่วนเหนือดิน (ลำต้นหรือใบ) ที่มีอายุ 3-4 เดือน (ตั้งแต่เริ่มออกดอก)
ประวัติความเป็นมาของการใช้หญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่งในประเทศไทย
หญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่งหรือเล่งจือเฉ้า เป็นพืชสมุนไพรที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนแถบสิบสองปันนา
มีการนำเข้ามาและปลูกแพร่หลายในประเทศไทย เมื่อ ปี พ.ศ. 2527 มีผู้ป่วยมะเร็งดื่มน้ำคั้นสดจากหญ้าปักกิ่งเพื่อ
รักาาและบรรเทาอาการจากโรคมะเร็ง พบว่าสามารถยืดชีวิตต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง บางรายใช้หญ้าปักกิ่งร่วมกับการ
รักษาแผนปัจจุบันเพื่อลดผงข้างเคียงเนื่องจากการใช้ยาเคมีบำบัด และเป็นที่น่าสนใจมากขึ้น เนื่องจากผู้ป่วย
โรคมะเร็งรายหนึ่งที่แพทย์บอกว่าจะมีชีวิตอยู่อีก 3 เดือน ขอให้นำผู้ป่วยกลับไปพักฟื้นที่บ้าน แต่เมื่อผู้ป่วยกลับ
บ้านและดื่มน้ำคั้นจากหญ้าปักกิ่ง หลังจากนั้น 1 ปี ผู้ป่วยดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่และกลับไปให้แพทย์คนเดิมตรวจ
ผลจากผู้ป่วยรายนี้จึงทำให้เกิดการศึกษาวิจัยคุณสมบัติของพืชชนิดนี้เกิดขึ้น__
จุดประสงค์ของการใช้หญ้าปักกิ่ง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
1. การใช้หญ้าปักกิ่งในผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยมีสรรพคุณว่า
- เพื่อให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น ลดความทุกข์ทรมาน บางรายมีอายุยืนยาวมากขึ้น
- เพื่อช่วยลดอาการข้างเคียงของยาเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด
2. การใช้ในผู้ป่วยอื่นที่ไม่ใช่ผู้ป่วยมะเร็ง
- เมื่อผู้ป่วยมีเม็ดเลือดขาวต่ำ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด เมื่อใช้หญ้าปักกิ่ง พบว่าเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น
น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
- ผู้ป่วยเป็นแผลเรื้อรัง แผลอักเสบมีหนองหรือน้ำเหลืองไหล เมื่อใช้หญ้าปักกิ่ง พบว่าแผลแห้ง ไม่มี
หนองและน้ำเหลือง
ผลการวิจัยศึกษาหญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่ง
สารสำคัญที่ออกฤทธิ์ :
น้ำคั้นสดจากหญ้าปักกิ่ง มีสารกลัยโคสฟิงโคไลปิดส์ (จี 1 บี) มีชื่อทางเคมีว่า 1-β-O-D-glycopyranosyl-2-
(2-hydroxy-6-ene-cosamide)-sphingosine (G1b) นอกจากนั้น ยังพบสารกลุ่มต่างๆได้แก่ คาร์โบไฮเดรต กรดอะ
มิโน กลัยโคไซด์ ฟลาโวนอยด์ และอะกลัยโคน(1-2)
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา:
- สารกลัยโคสฟิงโกไลปิดส์ (จี 1 บี) แสดงฤทธิ์ยับยั้งปานกลางต่อเซลล์มะเร็งเต้านมและลำไส้ใหญ่
(SW 120) โดยมีค่า ED50∠16 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร (1-3)
- สารจี 1 บี แสดงผลปรับระบบภูมิคุ้มกัน (1-3)
- สารสกัดแอลกอฮอล์ของหญ้าปักกิ่งไม่ได้ช่วยยืดอายุ แต่ผลทางพยาธิวิทยาพบว่าสามารถลดความ
รุนแรงของการแพร่กระจายของมะเร็งในหนูได้ จึงคาดว่าสารสกัดดังกล่าวอาจใช้ป้องกันการเกิด
มะเร็งได้ (1-3)
- สารสกัดหญ้าปักกิ่ง มีฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์ของยีนที่เกิดจากสารก่อกลายพันธุ์ชนิดต่างๆ เช่น
AFB1(4)
- สารสกัดหญ้าปักกิ่งมีฤทธิ์เหนี่ยวนำเอนไซม์ DT-diaphorase ซึ่งมีบทบาททำลายสารพิษที่
ก่อให้เกิดมะเร็ง(5-6)
ความเป็นพิษ
- ความเป็นพิษเฉียบพลัน น้ำคั้นจากหญ้าปักกิ่ง ไม่ทำให้เกิดความผิดปกติในด้านการเจริญเติบโต
ชีวเคมีในเลือด และพยาธิสภาพของอวัยวะสำคัญในหนูขาว ค่า LD50 เมื่อให้โดยการป้อนในหนูขาว
มากกว่า 120 กรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว ซึ่งเทียบเท่า 300 เท่าของขนาดที่ใช้รักษาในคน จัดว่า
ค่อนข้างจะปลอดภัย(7)
- ความเป็นพิษเรื้อรัง พบว่า น้ำคั้นจากหญ้าปักกิ่งขนาดที่ใช้รักษาในคน มีความปลอดภัยเพียงพอ
หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน(8)
ขนาดและวิธีใช้แบบดั้งเดิม
- ดื่มน้ำคั้น 2 ช้อนโต๊ะ (30 มิลิลิตร) วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็นก่อนอาหาร ขนาดที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่
น้ำหนักตัวเฉลี่ย 60 กิโลกรัม ถ้าเป็นเด็กควรลดขนาดลงครึ่งหนึ่ง
- ถ้าใช้สำหรับการปรับระบบภูมิคุ้มกัน จะรับประทานยาไม่เกิน 4-6 สัปดาห์ และควรหยุดยาดังนี้
รับประทานติดต่อกัน 5-6 วัน หยุดยา 4-5 วันเช่นนี้จนกว่าครบกำหนด
วิธีเตรียม นำส่วนเหนือดินหรือทั้งต้น น้ำหนักประมาณ 100-120 กรัม หรือจำนวน 6 ต้น ล้างให้สะอาด
หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และโขลกในครกที่สะอาดให้แหลก เติมน้ำสะอาด 4 ช้อนโต๊ะ (60 มิลลิลิตร)
กรองผ่านผ้าขาวบาง
ผลข้างเคียง ทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น 0.5-1 องศาเซลเซียส
ข้อควรระวัง หากใช้เกินขนาด จะมีผลกดระบบภูมิคุ้มกัน
ข้อควรคำนึงในการดื่มน้ำคั้นหญ้าปักกิ่งสด
- หญ้าปักกิ่งเป็นสมุนไพรคลุมดิน ให้มีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์จากดินมาที่ต้นและใบของ
หญ้าปักกิ่ง การนำหญ้าปักกิ่งมารับประทานสดต้องแน่ใจว่า ได้ล้างหลายครั้งจนสะอาดปราศจาก
เชื้อจุลินทรีย์ เพราะถ้าล้างไม่สะอาดเพียงพอ เมื่อดื่มน้าคั้นสดจากหญ้าปักกิ่ง ก็จะเป็นการดื่มเชื้อ
จุลินทรีย์เข้าไปในร่างกายผู้ป่วย ซึ่งย่อมมีภูมิต้านทานต่ำ จึงอาจจะเป็นอันตรายมากกว่าคนปกติ
- หญ้าปักกิ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายหญ้าอื่นๆหลายชนิด เช่น หญ้ามาเลเซีย ฯลฯ ซึ่งไม่มีประโยชน์
ทางยาเคยมีผู้บริโภคที่ซื้อหญ้าปักกิ่งตามท้องตลาดมาบริโภคด้วยราคาแพงแต่ไม่ใช่ชนิดที่ต้องการ
ดังนั้นก่อนจะซื้อมาบริโภคจะต้องมั่นใจว่าเป็นหญ้าปักกิ่งที่ต้องการจริง
- หญ้าปักกิ่งที่มีคุณประโยชน์ต่อผู้ป่วย ต้องเป็นต้นที่มีอายุที่เหมาะสมดังนี้ คือ หญ้าปักกิ่งที่ปลูก
โดยการชำกิ่ง ต้องมีอายุ 3 เดือนขึ้นไป ส่วนหญ้าปักกิ่งที่ปลุกด้วยการเพาะเมล็ด ต้องมีอายุ
มากกว่า 5 เดือนขึ้นไป จากการศึกษาพบว่าหญ้าปักกิ่งที่มีอายุไม่ครบเวลาดังกล่าว จะไม่มีการ
สร้างสาร G1b ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ทางยา
ดังนั้นการซื้อหญ้าปักกิ่งมาบริโภคนั้น ต้องมั่นใจว่าเป็นหญ้าปักกิ่งจริง เก็บเกี่ยวในขณะที่มีอายุครบเกณฑ์ที่
กำหนดตามวิธีการเพาะชำนั้นๆ จึงจะได้คุณประโยชน์สูงสุดดังประสงค์ มิฉะนั้นก็จะเป็นการบริโภคหญ้าดังกล่าว
ที่สูญเปล่า ไม่ได้คุณสมบัติตามต้องการและอาจจะได้รับพิษ ถ้าในกรณีเลือกสมุนไพรชนิดอื่นมาบริโภค
ภาวะปัจจุบันของการพัฒนาหญ้าปักกิ่งที่ใช้เป็นยา
ปัจจุบันองค์การเภสัชกรรม ได้นำเอาหญ้าปักกิ่งมาพัฒนาเป็นยาเม็ด โดยยาทุก 2 เม็ด มีคุณค่าเท่ากับ
ต้นหญ้าปักกิ่ง จำนวน 3 ต้น โดยกำหนดขนาดรับประทาน ครั้งละ 1-2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง ตามน้ำหนักตัวของผู้ป่วย
โดยมีระยะเวลาการรับประทานขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การใช้ยาดังนี้ คือ
1. ใช้เพื่อลดผลข้างเคียงจากรังสีบำบัดหรือยาเคมีบำบัดผู้ป่วยมะเร็ง จะรับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน
2. ใช้เพื่อป้องกันการแพร่กระจายและการกลับเป็นซ้ำอีก หลังจากการรักษาแล้ว โดยรับประทาน 7 วัน
หยุด 4 วัน เช่นนี้ติดต่อกันประมาณ 1 ปี และตรวจมะเร็งปีละ 2 ครั้ง
3. ใช้เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นโรคมะเร็ง รับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน เช่นนี้ติดต่อกัน
เป็นเวลานานไม่เกิน 6-8 สัปดาห์ โดยใช้เแพาะช่วงที่มีภูมิคุ้มกันต่ำเช่น ขณะติดเชื้อไวรัส
มะเร็งที่พบบ่อยในคนไทย
เพศหญิง	เพศชาย
1.	มะเร็งปากมดลูก	1.	มะเร็งตับ
2.	มะเร็งเต้านม	                     2.	มะเร็งปอด
 
ข้อพึงปฏิบัติ 12 ประการเพื่อการป้องกันและลดการเสี่ยง ต่อการเกิดโรคมะเร็ง
 
5 ประการเพื่อการป้องกัน 
1. รับประทานผักตระกูลกะหล่ำให้มาก เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า หัวผักกาด บรอคโคลี่ ฯลฯ 	เพื่อป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลำไส้ส่วนปลาย กระเพาะอาหาร และอวัยวะระบบทางเดินหายใจ 
2.รับประทานอาหารที่มีกากมากเช่น ผัก ผลไม้ ข้าว ข้าวโพด และเมล็ดธัญพืชอื่นๆ 	เพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ 
3.รับประทานอาหารที่มีเบต้า- แคโรทีน และ ไวตามินเอ สูงเช่น ผัก ผลไม้ สีเขียว-เหลือง 	เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร กล่องเสียง และปอด 
4. รับประทานอาหารที่มีไวตามินซีสูง เช่น ผัก ผลไม้ต่าง ๆ 	เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร และ กระเพาะอาหาร 
5. ควบคุมน้ำหนักตัว 	โรคอ้วนมีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็งมดลูก ถุงน้ำดี เต้านม และลำไส้ใหญ่ การออก กำลังกายและการลดรับประทานอาหารที่ให้ พลังงานสูง จะช่วยป้องกันมะเร็ง เหล่านี้ได้ 
7 ประการเพื่อลดการเสี่ยง 
1.ไม่รับประทานอาหารที่มีราขึ้น 	อาหารที่มีราขึ้นโดยเฉพาะสีเขียว-เหลือง จะมีสารอัลฟาทอกซินปนเปื้อนซึ่งอาจเป็น สาเหตุของโรคมะเร็งตับ 
2. ลดอาหารไขมัน 	อาหารไขมันสูงจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็น มะเร็งเต้านม ลำไส้ใหญ่และต่อมลูกหมาก 
3.ลดอาหารดองเค็ม อาหารปิ้ง-ย่าง รมควัน และอาหารที่ถนอมด้วยเกลือไนเตรท- ไนไตร์ท 	อาหารเหล่านี้ จะทำให้เสี่ยงต่อ มะเร็ง หลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่ 
4.ไม่รับประทานอาหารสุกๆ ดิบ ๆ เช่น ก้อยปลา ปลาจ่อม ฯลฯ 	จะทำให้เป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ และเสี่ยง ต่อการเป็นมะเร็งของท่อน้ำดีในตับ 
5.หยุดหรือลดการสูบบุหรี่ 	การสูบบุหรี่ จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็น มะเร็งปอด กล่องเสียง ฯลฯ การเคี้ยว ยาสูบจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งช่องปาก และช่องคอ 
6.ลดการดื่มแอลกอฮอล์ 	ดื่มแอลกอฮอล์ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ตับ ถ้าทั้งดื่มและสูบบุหรี่จะเสี่ยงต่อการ เป็นมะเร็งช่องปาก ช่องคอ กล่องเสียง และหลอดอาหาร 
7. อย่าตากแดด 	ตากแดดจัดมากเกินไป จะเสี่ยงต่อการเกิด มะเร็งผิวหนัง 
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
	 	
	สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทที่สำคัญ คือ 
	1. เกิดจากสิ่งแวดล้อมหรือภายนอกร่างกาย ซึ่งปัจจุบันนี้เชื่อกันว่ามะเร็ง ส่วนใหญ่ เกิดจากสาเหตุได้แก่ 
	 
	1.1 สารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนในอาหารและเครื่องดื่ม เช่น สารพิษจาก เชื้อราที่มีชื่อ อัลฟาทอกซิน (Alfatoxin) สารก่อมะเร็งที่เกิดจากการปิ้ง ย่าง พวกไฮโดคาร์บอน (Hydrocarbon) สารเคมีที่ใช้ในขบวนการถนอมอาหาร ชื่อไนโตรซามิน (Nitosamine) สีผสมอาหารที่มาจากสีย้อมผ้า 
1.2 รังสีเอ็กซเรย์ อุลตราไวโอเลตจากแสงแดด 
1.3 เชื้อไวรัส ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสฮิวแมนแพบพิลโลมา 
1.4 การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ 
1.5 จากพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การสูบบุหรี่และดื่มสุรา เป็นต้น 
	 
	2. เกิดจากความผิดปกติภายในร่างกาย ซึ่งมีเป็นส่วนน้อย เช่น เด็กที่มีความพิการ มาแต่ กำเนิดมีโอกาสเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น การมีภูมิคุ้มกันที่บกพร่องและภาวะ ทุพโภชนาการ เช่น การขาดไวตามินบางชนิด เช่น ไวตามินเอ ซี เป็นต้น จะเห็นว่า มะเร็งส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากสิ่งแวดล้อม ดังนั้น มะเร็งก็น่าจะเป็นโรคที่สามารถ ป้องกัน ได้เช่นเดียวกับโรคติดเชื้ออื่นๆ (Hill R.P,Tannock IF,1987) ถ้าประชาชนมี ความรู้เกี่ยวกับสารก่อมะเร็ง และสารช่วยหรือให้เกิดมะเร็งที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมแล้ว พยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเหล่านั้น เช่น งดสูบบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงจากบริเวณ ที่มีควันบุหรี่ เป็นต้น สำหรับสาเหตุภายในร่างกายนั้นการป้องกันคงไม่ได้ผลแต่ทำให้ ทราบว่า ตนเองจัดอยู่ในกลุ่มที่มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็น มะเร็งสูงหรือมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ดังนั้นก็ควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับความรู้เรื่องมะเร็งต่อไป กรณีที่เป็น มะเร็ง ได้ตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งจะมีการตอบสนองต่อการรักษาค่อนข้างดี 
 	 
	ปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง ที่สำคัญ มี 2 ข้อ 
ข้อแรก คือ ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกาย เช่น สารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อน ในอาหาร อากาศ เครื่องดื่ม ยารักษาโรค เป็นต้น รวมทั้งการได้รับรังสี เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย และพยาธิบางชนิด 
ข้อที่สอง คือ ได้แก่ปัจจัยภายในร่างกาย เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรม ความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน และภาวะทุพโภชนา เป็นต้น 
	 
ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง มีดังนี้ 
1. ผู้ที่สูบบุหรี่ จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของระบบหายใจ ได้แก่ ปอด และกล่องเสียง เป็นต้น 
2. ผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ ถ้าทั้งดื่มสุราและสูบบุหรี่จัด จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งช่องปากและในลำคอด้วย 
3. ผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี หรือผู้ที่ชอบรับประทานอาหารที่มี สารพิษ ชื่อ อัลฟาทอกซิล ที่พบจากเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารเช่น ถั่วลิสงป่น เป็นต้น หากรับประทานประจำจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ และหากได้รับทั้ง 2 อย่าง โอกาส จะเป็นมะเร็งตับมากขึ้น 
4. ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงเป็นประจำ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ลำไส้ใหญ่ เยื่อบุมดลูก และต่อมลูกหมาก 
5. ผู้ที่ติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ และรับประทานอาหารที่ใส่ดินประสิวเป็นประจำ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งท่อน้ำดีในตับ 
6. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอันเกิดจากความผิดปกติจากพันธุกรรมหรือติดเชื้อไวรัสเอดส์ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งปากมดลูก มะเร็งของหลอดเลือด เป็นต้น 
7. ผู้ที่รับประทานอาหารเค็มจัด อาหารที่มีส่วนผสมดินประสิวและส่วนไหม้เกรียม ของอาหารเป็นประจำจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่ 
8. ผู้ที่มีประวัติโรคมะเร็งในครอบครัว อาทิ มะเร็งของจอตา มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และมะเร็งลำไส้ใหญ่ชนิดที่เป็นติ่งเนื้อ เป็นต้น 
9. ผู้ที่ตากแดดจัดเป็นประจำจะได้รับอันตรายจากแสงแดดที่มีปริมาณของแสงอุลตรา ไวโอเลต จำนวนมาก มีผลทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้ 
โภชนาการกับโรคมะเร็ง
จากการศึกษาพบว่า อาหารอาจมีส่วนสัมพันธ์ กับการเกิดโรคมะเร็งได้ประมาณ 30-50% แต่ในขณะเดียวกันอาหารประเภทพืชผัก ผลไม้ ธัญพืช และ เครื่องเทศต่างๆ ก็มี คุณสมบัติในการป้องกันมะเร็งได้ ดังนั้น การรับประทานอาหารอย่างถูกต้องตามหลัก โภชนาการ จึงเป็นหนทางหนึ่ง ซึ่งสามารถป้องกันโรคมะเร็งได้ 
อาหารที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็ง 
1.อาหารที่มีราขึ้นโดยเฉพาะราสีเขียว-สีเหลือง 
2.อาหารไขมันสูง 
3.อาหารเค็มจัด ส่วนไหม้เกรียมของอาหารปิ้ง ย่าง รมควัน และอาหารที่ถนอมด้วยเกลือ ดินประสิว 
ข้อแนะนำในการป้องกันมะเร็ง
1.  ไม่สูบบุหรี่ ไม่เคี้ยวยาสูบ
2.  งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
3.  กินผักผลไม้ให้ได้ครึ่งหนึ่งของอาหารแต่ละมื้อ
4.  เลือกอาหารที่มีพืชหลากหลายชนิดเป็นองค์ประกอบหลัก
5.  จำกัดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่มีสีแดง
6.  เลือกอาหารที่มีไขมันต่ำ
7.  จำกัดอาหารเค็ม
8.  ไม่กินอาหารที่ไหม้เกรียมบ่อยๆ
9.  เตรียมและเก็บอาหารอย่างถูกสุขอนามัย
10. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
11. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ดูแลน้ำหนักตัวอย่าให้อ้วน
12. พักผ่อนให้เพียงพอ
13.ตรวจเช็คสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ
 
อาหารที่มีคุณสมบัติป้องกันมะเร็ง
1.  อาหารที่มีกากมาก ได้แก่ ผัก ผลไม้ ข้าว ข้าวโพด และเมล็ดธัญพืชต่างๆ
2.  อาหารที่มีเบต้า-แคโรทีน สูง ได้แก่ ผัก ผลไม้ที่มีสีเหลืองสด หรือส้ม เช่น ฟักทอง มะละกอ มะม่วงสุก แตงโม แครอท และผักสีเขียวเข้ม เช่น
ตำลึง บรอคโคลี และผักขม
3.  อาหารที่มีไวตามินซีสูง ได้แก่ ผักสด และผลไม้ เช่น ฝรั่ง ส้ม ขนุน
และมะละกอ
................................................................................................
นํ้าว่านหางจระเข้ผสมลูกยอชนิดเข้มข้น
รายละเอียดสินค้าในการโฆษณา
หลักการ ในลูกยอนั้นมีสารโปรเซโรนีน ร่างกายจะเปลี่ยนสารนี้ไปเป็น เซโรนีน บริเวณลำไส้ใหญ่ สารเซโรนีน
จะช่วยขยายรูของเยื่อหุ้มเซลล์ เซลล์จึงขับสารพิษออกได้ดีขึ้น ว่านหางจระเข้มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด
วิตามิน แร่ธาตุต่างๆ และแอนติออกซิแดนซ์
สรรพคุณ ต่อต้านมะเร็งและเนื้องอก
ภาพที่ 1: แสดงตัวอย่างสินค้าน้ำลูกยอสกัด
สินค้าข้างต้นเป็นน้ำสมุนไพรสกัดที่ได้จากน้ำว่านหางจระเข้และน้ำลูกยอ จากการอ้างสรรพคุณว่ามีสาร
โปรเซโรนีน (proxeronine) ซึ่งสามารถต่อต้านมะเร็งและเนื้องอก นั้น จากการค้นคว้าข้อมูล พบว่า มีรายงานพบ
สาร proxeronine ในน้ำลูกยอ ซึ่งในต่างประเทศและประเทศไทยมีการนำเอาน้ำลูกยอสกัดออกจำหน่ายในทาง
การค้าและอ้างสรรพคุณว่าสามารถป้องกันมะเร็งได้มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว จึงขอกล่าวรายละเอียด ดังนี้
ลูกยอ มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Morinda citrifolia Linn เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ใน Southeast Asia (1) และ
พบกระจายอยู่ใน Western และ Eastern Pacific ตามหมู่เกาะต่างๆ เช่น Fiji, Rotuma, Samoa, Tonga, Tahiti และ
Hawaii เป็นต้น ซึ่งชาวโปลีนีเซียน (ชาวเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก) ได้มีการใช้ส่วนต่างๆ ของต้นยอ ได้แก่ ลูก
ใบ ราก และลำต้น ในรูปของสมุนไพรเป็นยารักษาโรคตามแบบภูมิปัญญาชาวบ้านมาเป็นระยะเวลายาวนาน
แล้ว ซึ่งในแต่ละส่วนของต้นยอจะถูกนำไปใช้ในการรักษาโรคชนิดต่างๆ กันออกไปจนได้รับการกล่าวขานว่า
เป็น Polynesian medicinal plants
ภาพที่ 2: แสดงดอกและผลของยอ Morinda citrifolia Linn
ในปี ค.ศ. 2002 McClatchey (2) ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการใช้ยอ (M. citrifolia) ในการรักษาโรคของ
ชาวโปลีนีเซียนที่อาศัยอยู่หมู่เกาะ Rotuma และ Hawaii รวมไปถึงการนำไปใช้เพื่อการค้าโดยการผลิตเป็น
อาหารเสริมที่มีสรรพคุณทางยา McClatchey ได้เข้าไปทำการศึกษากับ expert healers (ผู้รักษาโรคภัยไข้เจ็บ
ให้แก่ชาวพื้นเมือง) พบว่า โดยทั่วไปแล้วดั้งเดิมชนชาวพื้นเมืองจะใช้ส่วนใบยอ ในการรักษาบาดแผลโดยนำ
ส่วนใบไปเผาไฟเป็นระยะเวลาสั้นๆ แล้วนำปิดแผล ส่วนของผลอ่อนส่วนมากจะใช้ในการรักษาภายนอกแต่
บางครั้งมีการนำมาใช้ในการรักษาแผลในช่องปาก ส่วนของรากใช้ในการรักษาแผลติดเชื้อและอักเสบ ในส่วน
ของผลสุก นั้น expert healers กล่าวว่าโดยส่วนมากแล้วไม่ได้นำมาใช้ในการรักษาแต่ชนพื้นเมื่องทั่วไปที่ไม่ได้
เป็น healer มีการนำมาใช้ในการรักษาแผลภายนอกและแผลติดเชื้อโดยการนำผลมาฝานเป็นชิ้นแล้วปิดลงบน
บาดแผล จากที่กล่าวมานี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ยอในการรักษาโรค จากการศึกษาของ McClatchey กับ
expert healers ของหมู่เกาะต่างๆ ได้สรุปการใช้ยอของชาวโปลีนีเซียนที่อาศัยอยู่หมู่เกาะ Rotuma และ Hawaii
ตัวอย่างวิธีการรักษาโรคโดยใช้ส่วนต่างๆ ของยอ (M. citrifolia) โดยชาวโปลีนีเซียน
โรค วิธีการรักษา
อักเสบหรือตกสะเก็ดบริเวณรอบๆ ริมฝีปาก
คั้นน้ำผลลูกยออ่อนผสมกับเยื่อหุ้มเมล็ด pinau (Thespesia populnea) นำไปทาที่บริเวณริมฝีปาก
แผลในปาก คั้นน้ำผลลูกยออ่อนผสมกับน้ำมันมะพร้าว นำส่วนผสมใส่เข้าไปใน coconutpetiole ห่อด้วยใบตองนำไปเผาไฟ แล้วคั้นน้ำออก นำมาดื่มเพียงเล็กน้อยแผลไฟใหม้ ใช้ส่วนของใบแปะลงไปที่แผลทิ้งไว้จนแห้ง
ปวดหัว เป็นไข้ ใช้ส่วนของใบนวดที่บริเวณหน้าผากบำรุงสุขภาพคุณแม่หลังคลอด ต้มใบยอผสมกับน้ำมันมะพร้าวและขมิ้นชันใช้ทาทั่วตัว
แผลติดเชื้อ ใช้ส่วนของรากและเปลือกของลำต้นทำเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงใน coconut petiole
คั้นน้ำลงบนแผลเพียงหนึ่งครั้ง
โรคผิวหนังจากเชื้อรา ทุบมะพร้าวอ่อนจนเนื้อแหลกแล้วผสมกับน้ำมันมะพร้าวตามด้วยขมิ้นชัน
เล็กน้อยใส่ส่วนผสมลงไปใน coconut petiole ห่อด้วยใบยอแล้วนำไปเผาไฟ
เอาใบยอที่ห่อออก คั้นน้ำตอนที่ยังร้อนบีบลงบนบริเวณที่เป็นเชื้อรา ทำซ้ำเป็น
ระยะเวลา 5 วัน และบริเวณที่ทำห้ามถูกน้ำ
เท้าลอกและแตก คั้นน้ำลูกยอสุกทาลงบริเวณที่ลอกและแตก
Based upon McClatchey (1993) (3)
จากตารางที่ 1 จะเห็นว่าชาวโปลีนีเซียนมีการใช้ยอในการรักษาบาดแผลและโรคผิวหนัง ซึ่งจะมีวิธีใน
การรักษารวมถึงส่วนต่างๆ ของยอที่ใช้ก็จะแตกต่างกันไป ซึ่งผิดกับในปัจจุบันที่เหมือนว่าเพียงน้ำคั้นจากผลยอ
ก็มีสรรพคุณที่สามารถรักษาโรคได้เกือบทุกชนิดซึ่งรวมถึงโรคมะเร็งด้วย
McClatcheyได้ศึกษาและพบที่มาของจุดเริ่มต้นที่สำคัญของสินค้าเกี่ยวกับอาหารเสริมสุขภาพจากยอที่
มีการอ้างสรรพคุณทางยาแล้วทำให้เกิดความนิยมในการซื้อหามารับประทานกันจนถึงในปัจจุบัน McClatchey
พบว่าสินค้าเหล่านี้มีการอ้างถึงสารชนิดหนึ่ง คือ xeronine ว่าเป็น active compound ที่สกัดได้จากยอ
(M.ctrifolia) โดยอ้างว่าสารนี้เป็น alkaloid ชนิดหนึ่งที่แยกได้จาก proxeronin ซึ่งเป็น precursor เมื่อ
McClatchey สืบค้นต่อไป พบว่า สินค้านี้อ้างอิงมาจากเอกสารของ Heinicke (4) ชื่อเรื่อง The pharmacologically
active ingredient of noni ถูกตีพิมพ์ในวารสารชื่อ Pacific Tropical Botanical Garden Bulletin ในปี ค.ศ. 1985
McClatchey กล่าวว่า การศึกษาของ Heinicke ในปี ค.ศ. 1985 เป็นการศึกษาสารออกฤทธ์ิ (active
ingredient) ในน้ำลูกยอ พบว่า xeronine เป็นตัวที่ออกฤทธ์ิในน้ำลูกยอและกล่าวรายงานถึงคุณสมบัติต่างๆ
ของสารชนิดนี้ แต่ไม่มีรายงานการศึกษาโครงสร้าง (structure) ของ xeronine และกลไกการออกฤทธ์ิของสาร
ซึ่งเป็นสิ่งที่สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการศึกษาสารเคมีชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่จะรายงานไปในเชิงของผลของสาร
xeronine ในทางการค้ามากกว่า ซึ่งผลการศึกษานี้ส่งผลให้เกิดการนำมาอ้างอิงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของยอ
ในทางการค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน และอีกข้อสังเกตหนึ่งที่ McClatchey กล่าวไว้คือ การศึกษาของ Heinicke เป็น
การศึกษาคุณสมบัติทางเคมีแต่กลับตีพิมพ์ผลงานในวารสาร Pacific Tropical Botanical Garden Bulletin ซึ่ง
เป็นวารสารทางพฤกศาสตร์ ซึ่งถือว่าเป็นการฝ่าฝืนการลงตีพิมพ์วารสาร รายงานของ Heinicke กล่าวถึงผลของ
สาร xeronine ไว้ ดังนี้ คือ รักษาโรคความดัน ปวดประจำเดือน ไขข้ออักเสบ เป็นแผลในกระเพาะอาหาร เคล็ด
ขัดยอก โรคซึมเศร้า โรคชราไม่มีเรี่ยวแรง ช่วยระบบย่อยอาหาร ไขมันอุดตันเส้นเลือด บรรเทาอาการปวด รวม
ไปถึงการรักษาผู้ที่ติดยา เป็นต้น และเมื่อไม่นานมานี้มีการอ้างถึงสรรพคุณของยอในการรักษาโรคที่มากกว่าที่
Heinicke เคยอ้างไว้ คือ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน รักษาโรคเอดส์ ป้องกัน Epstein-Barr virus
ต่อต้านเนื้องอกและมะเร็งเต้านม โรคไต ลดน้ำหนัก และช่วยระบบประสาท (5) เป็นต้น
Charlotte Gyllenhaal ผู้ซึ่งเป็นรองบรรณาธิการ ของวารสาร Integrative Cancer Therapies และทำงาน
ร่วมกับ NAPRALERTSM Data Base (ฐานข้อมูลระดับโลกที่เกี่ยวกับสมุนไพร ที่มหาวิทยาลัย University of
Illinois ในมลรัฐซิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นฐานข้อมูลที่มีจุดประสงค์หลักเพื่อรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับ
การศึกษาวิจัยผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จากธรรมชาติทั่วโลก เพื่อใช้เป็นแหล่งที่มาสำหรับการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับยารักษา
โรคต่างๆ ฐานข้อมูล NAPRALERTSM เกิดจากการวบรวมและตรวจสอบสารทั่วโลกอย่างเป็นระบบ) ได้
ทำการค้นคว้าข้อมูลของสาร xeronine ใน NAPRALERTSM Data Base แต่ไม่พบการอ้างอิงถึงสารชนิดนี้แต่อย่าง
ใด นอกจากนี้แล้ว Gyllenhaal ยังได้ทำการค้นคว้าใน chemical data base อื่นๆ อีกด้วยแต่ก็ไม่พบการอ้างอิงถึง
สารชนิดนี้เช่นกัน (2)
McClatchey ได้ทำการศึกษาต่อมาเกี่ยวกับบทบาทของยอกับการรักษาโรคมะเร็ง พบว่า การศึกษา
เกี่ยวกับการป้องกันและรักษาโรคมะเร็ง เริ่มในปี ค.ศ. 1994 โดย Hirazumi และคณะ (6, 7) ได้ทำการศึกษาน้ำสกัด
จากผลยอโดยใช้ Lewis Lung peritoneal carcionmatosis model (8) พบว่า น้ำสกัดจากยอสามารถกระตุ้นระบบ
ภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองต่อ murine effector cells ตลอดจนปลดปล่อย mediator หลายชนิด เช่น tumor necrosis
factor-α (TNF), interleukin-1β, interleukin-10, interleukin-12, interferon-γ และ nitric oxide แต่อย่างไรก็
ตามโมเดลที่ใช้ทำการศึกษา (Lewis Lung peritoneal carcionmatosis model) นี้ในภายหลังถูกปฏิเสธโดย US
National Cancer Institute
ในปี ค.ศ. 2001 Lui และคณะ (9) ทำการสกัดสาร 2 novel glycosides จากผลยอ พบว่า สามารถยับยั้ง
AP-1 transactivation และ transformation ของ epidermal JB6 cell line ในหนูได้ ในปีเดียวกัน Fong และคณะ
(10) รายงานผลการศึกษาตอนต้น (ยังไม่ได้ตีพิมพ์ในขณะนั้น) พบว่า สารสกัดจากผลยอในตัวทำละลาย butanol
มีผลต่อต้าน breast carcinoma cell line (MCF-7) และ colon carcinoma line (HCT-116) ต่อมา สามารถสกัด
active compound 6 ชนิด ในตัวทำละลายที่เป็น butanol พบว่า มีความเกี่ยวข้องกับ apoptosis และต่อมาใน
ภายหลังค้นอีกพบว่า active compound ในตัวทำละลายที่เป็นน้ำ มีผลต่อหลายๆ ยีน ของ TNF apoptotic
pathway และ cell cycle ซึ่งมีผลในการยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง
ในประเทศไทยได้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับลูกยอนี้เช่นกัน คือ การวิจัยของคณะเภสัช
ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ลูกยอสามารถช่วยกระตุ้นภูมิต้านทาน และป้องกันมะเร็งได้ โดยในลูกยอจะ
มีสารกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว ซึ่งทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคในร่างกาย และสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของ
เซลล์มะเร็งไม่ให้ลุกลาม แต่ไม่ได้รักษามะเร็ง นอกจากนี้มีฤทธ์ิแก้ปวดกระตุ้นเอนไซม์ในลำไส้เล็กให้ทำงานดี
ขึ้น (11)
จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่าชาวโปลีนีเซียนใช้ยอในการรักษาโรคต่างๆ ในรูปแบบของภูมิปัญญา
ชาวบ้านที่มีการสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น ซึ่งกรรมวิธีและขั้นตอนการผลิตยาที่ใช้ในการรักษาก็เป็นไปแบบ
ชาวบ้านที่ไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อนและโรคที่รักษาส่วนมากเป็นโรคผิวหนังหรือการรักษาบาดแผลต่างๆ ไม่ได้
มีการกล่าวถึงการรักษาโรคมะเร็งหรือโรคต่างๆ ดังมีการกล่าวอ้างกันในปัจจุบัน แต่กุญแจที่สำคัญที่ทำให้เกิด
ความสนใจและพัฒนานำยอมาผลิตเป็นอาหารเสริมในรูปแบบของการค้า คือ การรายงานของ Heinicke ที่ทำให้
เกิดการผลิตสินค้าจากยอออกมาจำหน่ายแล้วกล่าวอ้างสรรพคุณทางยาที่ทำให้เกิดความพึงพอใจต่อผู้บริโภค
เช่น รักษาโรคมะเร็ง โรคเอดส์ และความดัน เป็นต้น ที่มากไปกว่านั้น คือ การทำการตลาดกับสินค้าประเภทนี้
ในรูปแบบของยารักษาสารพัดโรค ยาครอบจักรวาลรักษาได้ทุกโรค และที่สำคัญคือ มาจากธรรมชาติไม่มี
ผลกระทบหรือมีความเป็นพิษต่อร่างกายอย่างแน่นอน เป็นการทำการตลาดที่อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อของคน
โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องการหายจากโรคซึ่งเป็นเสมือนความหวังที่จะช่วยให้ร่างกายกลับมาสู่ภาวะปกติ ซึ่งใน
สังคมยุคปัจจุบัน การจะอ้างสรรพคุณของสินค้าชนิดใดนั้นควรจะอยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ ควรจะต้อง
แสดงให้เห็นถึง specific chemical และ mechanism action ที่ชัดเจน ซึ่งการรายงานของ Heinicke ไม่มีหลัก
วิทยาศาสตร์ทั้ง 2 ข้อนี้ เป็นการกล่าวอ้างแบบฉาบฉวยหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ซึ่งการศึกษาสารชนิดใดชนิดหนึ่ง
รวมไปถึงกลไกการออกฤทธ์ิของสารโดยเฉพาะสารที่มาจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ (natural products) นั้นคงต้อง
ใช้เวลาในการศึกษาถึงที่มาที่ไปของผลการศึกษาซึ่งการศึกษาของ Heinicke รวดเร็วเกินไปกับข้อสรุปต่างๆ ที่
นำเสนอ คนยุคใหม่เมื่อจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมใดๆ ที่อ้างว่ามาจากสารธรรมชาติ ควรจะต้องทราบว่า
ทำไมสารธรรมชาติชนิดนั้นถึงให้ผลในการรักษาโรค โดยมีเหตุและผลอยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ และ
ถึงแม้ว่าจะมีการศึกษาเกี่ยวกับผลของยอในทางวิทยาศาตร์มากขึ้นในปัจจุบัน แต่ผลของการศึกษาที่ได้เป็น
การศึกษาในระดับเซลล์ อย่างเช่นการศึกษาของ Hirazumi, Lui และ Fong ที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น ดังนั้น
การศึกษาถึงผลในการรักษาและป้องกันโรคของยอในคนอาจให้ผลที่แตกต่างกันออกไปซึ่งยังคงต้องศึกษากัน
อย่างจริงจังต่อไปในอนาคตซึ่งนักวิทยาศาสตร์ก็คาดหวังว่ามันจะให้ผลได้เช่นนั้นจริงๆ
...............................................................................................
ข่าวสารที่น่าสนใจในต่างประเทศ
พบ การใชย้ า Tamoxifen เป็นเวลานานเพิ่มความเสี่ยงต่อการ
กลับมาเป็นมะเร็งเต้านมซํ้า
 (1)
Christopher Li นักวิจัยจาก Fred Hutchinson Cancer Research Center, Seattle ประเทศสหรัฐอเมริกา
เปิดเผยงานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารชื่อ Journal Cancer Research จากการศึกษาพบว่าการใช้ยา Tamoxifen
เป็นเวลานานจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการกลับมาเป็นมะเร็งเต้านมซ้ำ
Tamoxifen เป็นยาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านมชนิด oestrogen-positive breast cancer ช่วยลด
โอกาสในการกลับมาเป็นมะเร็งเต้านมอีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันก็พบว่า การใช้ Tamoxifen เป็นระยะเวลา 5 ปี
หรือมากกว่า จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอกที่เต้านมอีกข้างหนึ่งชนิด non-hormone sensitive tumor มาก
ถึง 4.4 เท่า
Eric Winer หัวหน้า Breast Oncology Center, Dana-Farber Cancer Institute กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่ควร
เข้าใจให้ถูกต้อง คือ ยา Tamoxifen นั้น ไม่ได้ใช้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็งเต้านมอีกข้างหนึ่งแต่ใช้สำหรับ
ป้องกันการกระจายของมะเร็งไปยังตับ กระดูก และปอด และยังกล่าวเสริมอีกว่า Tamoxifen เป็นยาที่สามารถ
ลดโอกาสการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังอวัยอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสในการอยู่รอด
สูงขึ้น
อย่างไรก็ตามคงไม่สามารถยกเลิกการใช้ Tamoxifen ได้ เพราะประโยชน์ของ Tamoxifen เป็นที่ทราบ
กันดีและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าสามารถลดโอกาสการแพร่กระจายของมะเร็งและเพิ่มโอกาสการอยู่
รอดของผู้ป่วย ดังนั้น ผลการจากการศึกษาครั้งนี้คงจะเป็นเพียงการรายงานความเสี่ยงอีกข้อหนึ่งที่อาจจะได้รับ
จากการใช้ยาตัวนี้และควรรอผลการศึกษาเพิ่มเติมต่อไปในอนาคต (2)
อ้างอิง
(1) http://www.bbc.co.uk/go/pr/-/2/hi/health/8220767.stm
(2) http://www.medilexicon.com/medicalnews.php?newsid=162024
...............................................................................................
ข่าวสารที่น่าสนใจในต่างประเทศ
พบ ควันเทียนเพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็ง (1)
ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย South Carolina Stat เปิดเผยงานวิจัย พบว่าการจุดเทียนที่ผลิตจากพาราฟิน
(Paraffin wax candle) จะปล่อยควันที่เป็นสารพิษเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดและหอบหืด
นักวิจัยได้ทำการเก็บควันที่ถูกปล่อยออกมาจากการเผาไหม้ของเทียนที่ทำจากพาราฟิน พบสารเคมี
หลายชนิด เนื่องด้วยการเผาไหม้ของพาราฟินให้อุณหภูมิไม่สูงเพียงพอที่จะเผาผลาญโมเลกุลที่เป็นอันตราย เช่น
toluene และ benzene ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งจึงถูกปล่อยออกมา
 ที่มา สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
http://www.nci.go.th/Knowledge/index_general.html
				
comments powered by Disqus
  • ฉางน้อย

    18 พฤศจิกายน 2553 07:42 น. - comment id 120048

    น้ำท่วมไหมคะพี่เจี๊ยบ ?11.gif
  • กรต.

    18 พฤศจิกายน 2553 08:12 น. - comment id 120050

    หวัดดีขอรับ...คุณช่ออักษราลี...
    
    เรื่องราวดีๆ...ที่ควรเผยแพร่...
    เป็นประโยชน์...มากมาย...ขอรับ...
    
    ขอบคุณในความปรารถนาดี...ที่นำมา
    มอบ...และ...แบ่งปัน...ขอรับ...
    
    29.gif11.gif6.gif11.gif36.gif
  • .

    18 พฤศจิกายน 2553 08:37 น. - comment id 120051

    ข้าวโพดเหลือง (sweet corn)  ต้มจะมีไลโคปีนสูง
    
    ซึ่งช่วยต้านมะเร็งได้ดีมาก มีงานวิจัยที่สรุปผลว่า
    
    ยิ่งต้มนานยิ่งเพิ่มปริมาณไลโคปีน 
    
    จึงแนะนำให้หามารับประทานกัน ซักวันละฝักก็พอ
    
    หาง่าย ราคาถูก จากบ้านเรานี่เองค่ะ
  • ธันวันตรี

    18 พฤศจิกายน 2553 10:39 น. - comment id 120052

    ข้อแนะนำง่ายๆ จากองค์การอนามัยโลก
    
    ความสำคัญที่จะทำให้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะโรคเรื้องรังที่เป็นกันมากขึ้นเรื่อยๆ คือ หัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน ไขมัน ความดัน มะเร็ง จำง่ายๆ ไว้ 4 อ.
    
    1. อาหาร
    2. อากาศ
    3. ออกกำลังกาย
    4. อารมณ์
    
    
    มาดูที่ข้อ 2 อากาศ หลีกเลี่ยงยากมากกับมลพิษ มลภาวะ ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
    
    ข้อที่ 3 ออกกำลังกาย ผู้คนส่วนใหญ่ต่างไม่มีเวลาออกกำลังกาย เพราะยุ่งแต่กับเรื่องงาน
    
    ข้อที่ 4 อารมณ์ สังคมเปลี่ยนไป เกิดสภาวะ ที่เร่งรีบ และ ภาวะกดดันต่างๆ ความเครียดเพิ่มมากขึ้น
    
    ข้อที่ 1 อาหาร เป็นไปได้ยากที่จะสรรหารับประทานอาหารที่สามารถป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้ครบถ้วน
    
    
    ปัจจุบัน ถ้าใครต้องการห่างจากโรคภัยไข้เจ็บจริงๆ ควรติดตามนวัตกรรมใหม่ๆ รายงานการศึกษาวิจัยใหม่ๆ มีเขียนมากมายในหนังสือ ถึงสารอาหารเกรดยา ที่สามารถป้องกัน รักษา และฟื้นฟู โรคภัยไข้เจ็บได้จริงครับ
  • ธันวันตรี

    18 พฤศจิกายน 2553 10:49 น. - comment id 120053

    ข้อแนะนำในผู้ที่ชอบรับประทานผักและผลไม้
    
    แทนที่จะช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ กลับเร่งให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ไวขึ้น หากรับประทานผักและผลไม้ ที่มีสารพิษ สารเคมีตกค้าง
    
    ก่อนที่จะหยิบอะไรเข้าปาก โดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูป หรือไปบริโภคอาหารตามร้านต่างๆ พึงแน่ใจถึงแหล่งที่มาของอาหาร แหล่งของผัก ผลไม้ ควรที่จะปลอดสารเคมี จริงๆ ด้วยครับ
    
    ผักที่มีสารเคมีตกค้างมากที่สุด คือ พริก โดยเฉพาะพริกแห้ง เพราะผู้ผลิต มักจะไม่ล้าง ก่อนที่จะนำไปตากแห้ง พึงระวังไว้ให้ดีครับ
  • แก้วประภัสสร

    18 พฤศจิกายน 2553 11:33 น. - comment id 120061

    หนูชอบทานผักมากๆ ค่ะ 
    
    หากวันไหนไม่มีอะไรกิน ก็ขอมีผัก อะไรก็ได้
    
    กับกระเทียม ก็อร่อยแล้ว
    
    แต่ว่า รอบๆตัวเรา ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับสารพิษ
    
    ไม่ว่าจะจากการบริโภค   อากาศ  สภาวะจิตใจ
    
    ล้วนแต่เสี่ยงต่อการเกิดโรค และมะเร็ง
    
    ปีๆหนึ่ง คนไทย เป็นมะเร็งกันเยอะมากๆค่ะ
    
    ยิ่งคนที่อยู่ในเมืองด้วยแล้ว อัตราเสี่ยงสูง
    
    
    แต่ต่างกับคนที่อยู่ต่างจังหวัด อัตราส่วนการ
    
    เป็นมะเร็งน้อยกว่าคนอยู่ในเมือง
    
    
    หนูเคยนั่งคุยกับคุณหมอที่รักษา
    
    ท่านว่า บางทีเห็นหน้าตาสดใส ผิวพรรณดี
    แต่หากว่า ข้างใน สารพัดโรคก็มีค่ะพี่
    
    คงต้องหมั่นตรวจสุขภาพกันบ่อยๆ
    
    อย่างน้อย เมื่อรู้แล้วจะได้ป้องกันและรักษาได้ทัน
    
    เอ้อ...หนูบ่นยาวเลย อิ
    
    คิดถึงนะคะพี่เจี๊ยบ
    
    (  วันเสาร์ ช่วงบ่ายๆ"เรา" จะไป
    ศูนย์เฉลิมพระเกียรติ ไปด้วยกันมั้ยคะพี่ )
    
    29.gif29.gif36.gif46.gif
  • แก้วประเสริฐ

    18 พฤศจิกายน 2553 13:47 น. - comment id 120063

    36.gif16.gif36.gif
    
           ข้อแนะนำของนายแพทย์ธันวันตรี
    นั้นมีประโยชน์ รักษาโรคทั่วๆไปซึ่งคนมัก
    จะเกิดจากความเครียดเป็นหลักใหญ่
          แต่เท่าที่ผมศึกษามาเล็กๆน้อยๆนั้น
    ภัยเกิดจากมะเร็ง มักจะเกิดจากสารพิษใน
    พวกผลไม้ ผัก ที่ไม่ได้ทำความสะอาดอย่าง
    ถูกต้อง เช่น องุ่น แอปเปิ้ล ผักกาด เป็นต้น
    จะถูกสารพิษจำพวกกำจัดพวกแมลง ครั้น
    ใกล้เวลาจะเก็บมาจำหน่าย มักจะถูกสารพิษ
    เคลือบไว้เสมอๆ อายุสารพิษบางชนิดจะ
    เคลือบ บางชนิดจะแทรกซึมไปในเนื้อ
    ควรจะเกิน เจ็ดวันเป็นอย่างต่ำถึงจะเก็บ
    มาจำหน่าย แต่ด้วยความมักง่ายจะเก็บ
    ก่อน ส่วนปลาที่จำหน่ายให้เลือกที่มี
    แมลงวันตอม หากไม่มีแสดงว่าถูกล้าง
    ด้วยยาราดศพ คือโฟโมลีนจะทำให้ปลา
    นั้นสด  ผมเคยเจอไปซื้อปลาจารเม็ดขาว
    ซึ่งราคาแพง แต่พอมาถึงบ้านโดนความ
    ร้อนเท่านั้นเหม็นตลบไปหมด ตอนซื้อ
    นั้นดูมันสดๆนัก จึงแยกไม่ออก  ทางที่
    ดี ควรดูจำพวกแมลงมาตอมเป็นสิ่งหนึ่ง
       มาเอ่ยพวกมะเร็งเกิดจากเนื้อร้ายที่
    เซลล์ผิดปกติ  จะแยกตัวกันรวดเร็วเป็น
    3 ระยะ ระยะแรกจะรักษาหายขาดได้ 
    ระยะสองก็พอจะรักษาได้แต่ใช้เวลานาน
    ระยะสาม นั้นตายรูปเดียว  การรู้อาการ
    นั้นระยะหนึ่งหรือสองจะไม่รู้หรอก
    ไม่ว่าชายหรือหญิงเป็นได้ทั้งหมด ส่วน
    ชายมักจะเกิดที่อัณฑะเป็นส่วนมาก และ
    เนื้อเช่นพวกหูดแล้วไปบีบเค้นมากๆก็จะ
    เป็นมะเร็งขึ้นได้ จึงควรอย่าไปยุ่งกับมัน
    ผู้หญิงมักชอบทานยาคุมกำเนิด เมื่อ
    ประจำเดือนมามันจะไม่ปกติ  เลือดเสีย
    จะไปจับยังผนังมดลูกพอนานๆเข้าก็เป็น
    มะเร็งได้  แม้นไม่มีการร่วมเพศก็เป็นได้
    สาเหตุเกิดจากประจำเดือนมาไม่ปกติ
    อาการตอนแรกจะฟ้องคือจะมีอาการ
    ปวดผิดปกติ แสดงถึงอาการไม่ปกติของ
    การมีประจำเดือนควรไปปรึกษาแพทย์
    ท้ันที
          อาหารจำพวกย่างต่างๆควรงดเว้น
    อย่าทานเป็นประจำ  หากนานๆทานทีไม่
    เป็นไร  พวกนี้เนื้อจะไม่สุกและควันของ
    ไฟที่มักจะใช้ฟืนโดยเฉพาะแถบชนบท
    นั้นควันฟืนบางชนิดจะมีพิษ  แต่หากเป็น
    ถ่านก็ไม่เท่าไหร่ ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยง
    เสีย
          เท่าที่ผมเห็นมานั้้นคนเป็นมะเร็งมา
    หลายสิบปีทั้งๆที่นายแพทย์บอกให้ทำใจ
    ได้ให้กลับไปบ้าน  บัดนี้ก็ยังอยู่ผมเป็น
    คนชอบสอดรู้สอดเห็น ไปถามเขาว่าเหตุ
    ใดจึงอยู่รอดมาจนทุกวันนี้  เขาบอกว่า
          ให้งดอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ทั้งหมด
    ทานแต่ปลาที่แน่ใจว่าไม่แช่โฟโมลีน
    แต่นานๆควรทานครั้ง  ด้วยเนื้อสัตว์นั้น
    จะเป็นตัวสร้างเซลล์ของจำพวกมะเร็ง
    ให้ขยายพันธุ์ได้เป็นอย่างดี   แต่ข้อดี
    คือทำให้ร่างกายคนเรามีแรงพลังงานสูง
    หากอ่อนแรงมากๆก็ทานสักครั้งอย่าถี่
    นัก
          งดเว้นจำพวกอาหารบำรุงทั้งหลาย
    ซึ่งจะมีสารประเภทกระตุ้นมะเร็งได้เป็น
    อย่างดี
          ให้ทานอาหา่รจำพวกผักที่ต้มให้สุก
    เสียก่อน  อาหารที่ดีที่สุดคือจำพวก มะ
    ได้แก่มะเขือ ฯลฯ ให้มากๆ 
          อาหารจำพวกผักจะไม่ก่อให้มะเร็ง
    ขยายตัวจะอยู่ในวงจำกัดพอนานๆเมื่อไม่
    เกิดการขยายตัวมันก็จะฝ่อไปเอง แต่
    ไม่หายนะครับ แต่ไม่ขยายตัว  นี่ผมก็
    กล่าวมามากแล้ว
          
           ทั้งหมดนี้ผมได้ศึกษามาจากหนังสือ
    บ้าง จากพวกที่เป็นโรคนี้บ้าง  ฟัง
    นายแพทย์ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคมะเร็ง
    จากโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลกล้วย
    น้ำไท  โรงพยาบาลจุฬาฯเป็นต้น
    
          อ้อที่กล่าวถึงชายที่เกี่ยวกับอัณฑะ
    นั้น เรียกว่า ต่อมลูกหมากครับ
         ผมไม่ได้เป็นหมอหรือนายแพทย์แต่
    ผมชอบศึกษา อาจจะเป็นประโยชน์บ้าง
    ไม่มากก็น้อย  หากผิดพลาดไปขออภัย
    ด้วยครับ  ส่วนการมิให้โรคภัยนั้นเกิด
    ทำตามนายแพทย์ธันวันตรีเถอะครับแน่
    นอน ส่วนของผมนั้นแค่พบเห็นและฟัง
    และอ่านเท่านั้นเองครับ ขอบคุณ
    
                 16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • ช่ออักษราลี

    18 พฤศจิกายน 2553 20:46 น. - comment id 120066

    น้องฉางน้อย
    
    ไม่ท่วมค่ะ ตั้งแต่มีโครงการพระราชดำริของในหลวง ท่วมแต่รอบนอก อ.เมือง สบายบรื๋อ
    ที่กลัวคือข่าวสึนามินี่แหละ พายุก็ผ่านไปแล้ว
    
    คุณกรต.
    
    ยินดีค่ะ สุขภาพของท่านหรือสุขภาพของช่อฯ
    ล้วนสุขภาพเดียวกัน ช่อฯจะพยายามค้นคว้าหา
    มาลงให้ค่ะ ขอเวลาหน่อย แต่ตอนนี้นอกจาก
    จะมุ่งทานผักผลไม้ปลาแล้ว ยังทานอาหารเสริม
    ของผลิตภัณฑ์ยี่ห้อหนึ่ง เครื่องกรองน้ำ
    และเครื่องกรองอากาศก็ดีค่ะ ไม่ได้เป็น
    ผู้ขายแต่เป็นผู้บริโภค มีอะไรดีๆจะบอกต่อน้ำยาล้างจาน
    นำมาล้างผักผลไม้ที่มีสารหรือยาฆ่าแมลง
    ได้ด้วยค่ะ
    
    คุณจุด
    
    ขอบคุณค่ะที่แนะนำมา ตอนนี้ช่อฯได้ทาน
    น้ำข้าวโพดและน้ำฟักทองเกือบทุกวัน 
    ถ้าข้าวโพดต้มก็หาง่ายค่ะ
    
    คุณหมอธันวันตรี
    
    ขอบคุณค่ะสำหรับข้อแนะนำของคุณหมอผู้ใจดีและเขียนร้อยกรองเก่ง
    อากาศที่บ้านช่อฯติดถนนฝุ่นละอองมาก
    เลยจะซื้อเครื่องกรองอากาศซะเลยเผื่อจะ
    ช่วยบรรเทาได้บ้างค่ะ
    
    เรื่องออกกำลังกาย กลับมาก็เกือบมืดแล้วค่ะ
    พยายามมานาน
    
    เรื่องอารมณ์
    
    เด็กๆน่ารักค่ะ แต่ครูเครียดมาก
    ยอมรับว่าสภาวะการทำงานนี่ตึงเครียดมาก
    ช่วงวันพฤ.ศ. นี้เสียงหายเลย
    
    ช่อฯมีโรคประจำตัวคือไมเกรนค่ะ
    
    หากล้างผักผลไม้พยายามจะใช้น้ำยาด้วยค่ะ
    ส่วนพริกแห้งท่าทางจะเลี่ยงไม่ได้ เพราะ
    สาวสมัยนี้ซื้อเครื่องแกงสำเร็จรูปมาปรุงอาหาร
    นอกจากเครื่องแกงพริกสด เพราะไม่มีเวลา
    ตำครกค่ะ 
    
    น้องแบม
    
    คุณย่า คุณยาย ของแฟนพี่ (เปิดเผยค่ะ)ที่ปักษ์ใต้น่าทึ่งมากค่ะ  
    ผู้หญิงจะเสียชีวิตตอนอายุหนึ่งร้อยปีขึ้นไป
    แข็งแรงกันมาก อากาศดี อาหารธรรมชาติ
    พี่อยากไปอยู่จังเลยแถบชนบท เผื่ออายุ
    ยืนยาว ยังอยากทำอะไรให้มากๆก่อนจาก
    โลกนี้ เช่นอยากเขียนหนังสือมากๆ
    
    ไปศูนย์เฉลิมพระเกียรติกันเหรอคะ
    มีอะไรกันหรือพี่ตกข่าว
    ไปซิ  แต่พี่ติดอบรมค่ะ อิอิ แงๆๆ โฮๆ
    แหมๆๆเค้าอยู่ชุมพรนะตะเอง
    
    คุณครูแก้ว
    
    ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆค่ะ
    อารมณ์เครียดนี้ หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ
    สำหรับผู้ทำงานที่ก่อให้เกิดความเครียดง่าย
    คิดดูช่อเครียดจนไมเกรนขึ้น 
    สรุปแล้วทานผักผลไม้ปลา งดพวกเนื้อแดง
    แต่สิ่งที่ทานต้องไม่ใส่สารหรือยาฆ่าแมลง
    ชีวิตเราทุกวันนี้อยู่กับความเสี่ยงแท้ๆ
    นึกถึงชีวิตพอเพียงแล้วซิคะ ไปปลูกผัก
    ปลูกหญ้ากินเองดีกว่า
    
    ขอบคุณทุกท่านนะคะ ขอบคุณทุกคำแนะนำ
    ตั้งกระทู้แบบนี้อาจจะได้ความรู้ในลักษณะ
    ทั้งทางแพทย์และภูมิปัญญาชาวบ้านก็ได้ค่ะ
  • ยาแก้ปวด

    19 พฤศจิกายน 2553 20:10 น. - comment id 120078

    29.gif29.gif29.gif
    
    แล้วรู้ข่าวเรื่องมะรุมบ้างมะจ๊ะ
    ว่าเปงไงมั่ง
    
    54.gif59.gif
  • ช่อฯ

    23 พฤศจิกายน 2553 05:47 น. - comment id 120114

    มะรุจ้า มะรุมเป็นยังไงช่วยบอกกันหน่อย
    ตอนนี้พี่กำลังเอาชีวิตไม่รอด
    ว่างๆค่อยเสาะหาให้อีกเด้อ
    ตอนนี้ขอลาทำงานก่อน ก่อนที่จะถูกงานทับตาย
  • กิตติกานต์

    23 พฤศจิกายน 2553 06:57 น. - comment id 120115

    ขอบคุณความรู้ดีๆ ค่ะพี่ช่อ
    ขอบคุณคำแนะนำเพิ่มเติมจากคุณหมอธันวันตรี...
    คุณพ่อกำลังต่อสู้กับโรคนี้อยู่ค่ะ...
  • เฌอมาลย์

    23 พฤศจิกายน 2553 14:32 น. - comment id 120129

    มาศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมค่ะ
    
    บางสิ่งเราก็ยากจะหลีกเลี่ยงค่ะ
    
    29.gif36.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน