* แดนพิศวง ตอน ๑๕ *

แก้วประเสริฐ


           *  แดนพิศวง ตอน ๑๕ *
                  (ป่ามหัศจรรย์)
    ทั้งสองที่สะพายย่ามต่างลัดเลาะไปตามเส้นทางอันคดเคี้ยววกวน
ไปๆมาๆ  ตลอดข้างทางชายหนุ่มต่างสนเท่ห์ใจเพราะต้นไม้ที่แตกต่างกันนั้น  บางต้นสูงตะหง่านแทบมอบไม้เห็นยอด ลำต้นก็แสนจะออกใหญ่โต  ใบหนาและใหญ่มากๆแม้แต่ต้นไม้ที่ว่าเล็กๆนั้นแตละใบใหญ่มาก เรียกว่าคลุมเขาทั้งสองมิดแม้แต่ต้นหญ้าก็ตาม
ชายหนุ่มรำพึงในใจว่า  ป่านี้ช่างพิสดารยิ่งนักไม่เหมือนป่าที่เขาเคยผ่านมาเลย   การเดินทางของคนทั้งสองผ่านไปไม่นานทางยิ่งแคบเล็กลง   ก็แลเห็นช่องทางผ่านซึ่งมีภูเขาอันสูงใหญ่กระหนาบทั้งสองข้าง  บางต้นออกดอกสีต่างๆกันแปลกประหลาดและมีกลิ่นหอมฉุนแปลกประหลาด  แต่ก็ทำให้ทั้งสองสดชื่นหายจากเหนื่อยดังปลิดทิ้ง
แต่ทั้งสองมิได้มีเหงื่อไคลไหลออกมาเลย เนื่องจากแดนแห่งนี้เป็นคล้ายท้องกระทะที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งตามยอดเขาต่างๆ ทำให้
เสมือนหนึ่งอยู่ในห้องแอร์ที่มีอุณหภูมิต่ำมาก  ดีแต่ว่าเขานั้นใส่เสื้อที่ค่อนข้างหนา  และเคยชินกลับอากาศเช่นนี้ดังนั้นทั้งสองเมื่อเดินทางมาถึงทางจะผ่านช่องของภูเขา   ชายกลางคนก็รีบกระตุกชายเสื้อเขาไว้พลางเอ่ยขึ้นว่า
   
     “นายท่านหยุดก่อน  เพราะก่อนจะผ่านช่องนั้นอากาศบริเวณนั้นต่างเต็มไปด้วยมวลสารพิษ มนุษย์และสัตว์หากผู้ใดถูกควันพิษนี้ร่างกายก็จะละลายเป็นผุยผงทันที”
    “เป็นเช่นนั้นหรือสินธุ!!!...????...ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
   “ใช่แล้วนายท่าน บ้านข้าพเจ้าก็อยู่เลยเข้าไปและต้องผ่านทางสายนี้เช่นเดียวกัน  แต่ข้าเองมีของใช้ในการป้องกันทั้งขาเข้าและขาออกซึ่งข้าได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว”
    ชายหนุ่มแลไปเห็นเจ้าสินธุกำลังล้วงย่ามและหยิบกล่องใบหนึ่งออกมาแล้ว  เขามองไปเห็นภายในกล่องนั้นบรรจุด้วยรากไม้อะไรก็ไม่รู้เป็นชิ้นแท่งๆสีดำๆจำนวนมากที่วางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ แต่ทว่าชายหนุ่มซึ่งได้รับการฝึกปรือการรักษาอากาศบริสุทธิ์ไว้พร้อมกับมีพลังงานในการห่อหุ้มร่างกายจึงไม่กลัวเกรงต่ออากาศดังกล่าวนี้  หากเขาได้รู้ตัวล่วงหน้าเช่นนี้ แต่คิดจะบอกแก่ชายกลางคนก็กลัวว่าเขาจะเสียกำลังใจไป  ดังนั้นจึงเงียบเสียงและได้ยิน
ชายกลางคนเอ่ยขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
   “ให้นายท่านนำรากไม้ชนิดนี้แม้จะไม่น่าชมนักก็ตามแต่สามารถป้องกันควันพิษนี้ได้หากสูดลมหายใจเข้าไป  ก็จะทำลายอากาศพิษแปรสภาพเป็นอากาศบริสุทธิ์ทันที  เพียงนายท่านอมไว้ใต้ลิ้นเท่านั้น”
   ชายหนุ่มไม่ตอบเพียงแค่ยกชิ้นท่อนไม้ขึ้นมาพิจารณาหลังจากที่ยื่นมือไปรับมา  มันเป็นรากไม้ธรรมดาแต่ดำสนิทส่งกลิ่นหอมรัญจวนนัก  จึงเอ่ยขึ้น
   “แล้วมันจะฝืนขมฝาดหรือไม่ล่ะท่านสินธุ”
   “ไม่หรอกขอรับ  มันจะหวานอมเปรี้ยวนิดหน่อยและจะชุ่มคอขอรับนายท่าน”
   “อืมม???.....แปลกดีนะ  ลักษณะสีน่าจะออกรสขมมากกว่ากลับไม่เป็นดังข้าคิดไว้เลย”
   “มันเป็นรากสมุนไพรของพืชชนิดหนึ่งภายในหุบเขาที่เราจะผ่านเข้าไป   เป็นการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษข้าเองที่ถ่ายทอดไว้ให้เวลาจะผ่านเข้าออกหุบเขาทั้งสองนี้  และยังสามารถขจัดพิษอื่นๆได้อีกด้วยทางหนึ่ง  แม้ว่าพิษนั้นจะร้ายกาจเพียงใดขอรับนาย”
   “นั่นซิข้าเองก็เห็นประหลาดยิ่งนัก นอกจากจะเป็นรากไม้สีดำแต่ยังออกแววประหลาดเป็นเงามะเหลื่อมๆออกมาอีกด้วย  เขาเรียกว่าอะไรหรือท่าน”
   “ทางบรรพบุรุษเรียกว่า  “ว่านแก้วขวัญเรือน”  ขอรับนายท่าน มันเป็นพืชชนิดหนึ่งอยู่ในป่าลึกๆค้นหาลำบากนัก เพราะมันสามารถหลบหลีกหนีการค้นหาได้อีกด้วย  หากพบเห็นต้นไม้ดังกล่าวต้องใช้พืชว่านอีกชนิดหนึ่งเป็นตัวล่อมันไม่ให้หลบหนีไป ว่านนั้นเรียกว่า
“ว่านพญาดัก”  เมื่อว่านทั้งสองพบกัน ว่านแก้วขวัญเรือนก็จะหลงใหล  และเข้ามาหาว่านพญาดักและไม่สามารถหลบหนีไปได้ขอรับ  แต่ทว่าเมื่อมันเข้ามาแล้วเราต้องเอาผงว่านซึ่งป่นจนละเอียดแล้วรีบโปรยมันให้ถูกต้องต้นว่านแก้วขวัญเรือน  ว่านดังกล่าวก็จะสลบลงทันที  แล้วเราต้องรีบขุดเอารากมันมามิฉะนั้นอิทธิฤทธิ์ของว่านที่ป่นนี้จะทำลายมันไปจนหมดสิ้นขอรับ”
   “แล้วว่านที่ป่นละเอียดนี้เรียกชื่อว่าอะไรหรือท่าน”
   “เรียกว่า  “ว่ายจับทำลาย” ขอรับนายท่าน  ก่อนจะไปหาว่านแก้วขวัญเรือนต้องเตรียมว่านทั้งสองไว้ให้พร้อมและต้องรีบทำอย่างรวดเร็วมากอีกด้วย จะใช้มือเปล่าๆจับต้องไม่ได้แม้ว่ามันจะสลบแล้วก็ตาม  ต้องใส่ถุงมือที่ทำด้วยหนังสัตว์แล้วค่อยขุดและตัดออกในที่นั้นให้เป็นท่อนๆ แล้วจึงนำว่านอีกชนิดหนึ่งโรย เรียกว่า “ว่านสถิตย์”  ขอรับนายท่าน”
   “แหมๆๆๆกว่าจะได้มันช่างลำบากจริงๆนะ  แล้วหากไม่ใส่ถุงมือเล่าจะเป็นอย่างไรหรือ???...”
   “หากไม่ใส่ถุงมือนี้ที่กล่าวไว้แล้ว  มือที่โดนว่านชนิดนี้จะเน่าเปื่อยทันที นอกจากใช้ว่านแก้วขวัญเรือนดับพิษจึงจะหายขอรับนาย”
   “อืมๆๆช่างแปลกเสียจริงๆ แต่เมื่อใช้ว่านสถิตย์แล้วพิษจะไม่มีหรือท่านสินธุ”
   “เขาเรียกว่าใช้พิษดับพิษขอรับ  ก่อนจะได้มันมาก็ทำให้ผู้ไปจับว่านนี้เสียชีวิตมาเป็นจำนวนมาก  จนกระทั่งตะกูลของข้าได้ค้นพบหลักการในการไปจับ  แม้ว่ามันจะมีคุณมหาศาลแต่ก็มีโทษอย่างมหันต์มากขอรับ”
   “จริงซินะ  เพียงได้ยินท่านเอ่ยมานี้ก็ไม่ธรรมดาแล้วล่ะ”
       ว่าแล้วชายหนุ่มก็นำรากไม้ที่เรียกว่า “แก้วขวัญเรือน” นำมาพิจารณาอีกที  มันก็แค่รากไม้ธรรมดาเพียงแต่สีดำมะเมื่อมและคล้ายๆจะมีแสงประหลาดๆแผ่กระจายเท่านั้นเอง ไม่น่าจะมีฤทธิ์มากมายนักเลย  จึงเอยถามด้วยความสงสัยว่า
   “แล้วท่านสินธุได้รับการถ่ายทอดมาหรือไม่ล่ะ???...”
   “ได้รับขอรับนาย พร้อมกับตำราว่านต่างๆในป่านี้อีกด้วยทั้งวิธีการต่างๆนาๆไว้ขอรับ”
   “แต่เราเห็นมีมากมายในกล่องของท่านคงจะมีหลายๆต้นละซิ”
   “ขอรับนาย  มันมีด้วยกันหลายๆสิบต้นขอรับ เพราะว่าว่านนี้เมื่อโดนว่านทั้งสองกำหราบ  แต่สามารถแยกตัวเองที่ไม่โดนผงหนีไปได้อีกด้วยขอรับ  ดังนั้นจึงต้องรีบใช้ความรวดเร็วความชำนาญในการไปจับว่านชนิดนี้  หากไม่มีว่านชนิดนี้เราจะเข้าออกจากหุบเขาบ้านข้าไปไม่ได้เลยขอรับ เพราะต้องผ่านควันหมอกพิษนี้  ดังนั้นบรรพบุรุษข้าพเจ้าจึงค้นคว้าหาทางออกจากหุบเขานี้ให้ได้ขอรับ”
   “นั่นนะซิหากท่านไม่มาด้วยเราเองก็คงจะแย่แล้วอากาศที่ว่านี้มีลักษณะบ่งบอกว่าเป็นควันหมอกพิษหรือไม่ล่ะ”
   “จะไม่มีวันรู้หรอกขอรับนอกจากโดนมันเท่านั้น  ปกติจะเหมือนลมโชยอย่างรุนแรงไม่มีอะไรให้สังเกตุหรอก  เพราะเคยมีคนภายในหุบเขาไม่มีว่านดังกล่าวนี้ออกไป  แล้วต้องถูกหมอควันพิษทำลายเป็นผุยผงไปก็มากเสียมากขอรับนาย”
   “นั่นนะซิหากท่านไม่ฉุดข้าไว้ และบอกข้าก็เห็นมันแค่หมอกธรรมดาเท่านั้นเอง  หาได้มีลักษณะมีพิษแต่ประการใดเพราะมันก็ดูคล้ายละอองหมอกเท่านั้นเองเหมือนกับควันจากการเผาไหม้ของไม้เท่านั้นเองแหละ”
  “อย่าช้าเลยนาย รีบอมเข้าไปในปากแล้วออกเดินทางดีกว่านี่ก็เที่ยงแล้วเดี๋ยวจะถึงบ้านข้ามืดและทางเดินก็ลำบากมากอีกด้วย ตลอดจนสัตว์มีพิษอีกมากมาย ตลอดจนสัตว์กินคนแปลกประหลาดอีกมากหลายชนิดอีกด้วย”
   ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วนำรากไม้ไปเหน็บไว้ที่ใบหูแต่แสร้งว่าเป็นการอมเข้าปาก  พลางนึกในใจว่าเราจะทดลองการฝึกฝนของเราอีกทางหนึ่งด้วย  เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงหันไปบอกชายกลางคนให้ออกเดินทางได้ เขาสูดเอาอากาศไปเก็บไว้ตามเซลล์ในร่างกายจำนวนมาก  หากเมื่อเข้าไปยังหมอกควันที่โชยเป็นสายๆก็จะทำการปิดกั้นลมหายใจแล้วใช้อากาศที่เก็บไว้ทดแทนทันที  พลางเอ่ยว่า
   “เรียบร้อยแล้วสินธุนำทางได้แล้วล่ะ”
   ชายกลางคนก็นำว่านเข้าปากแล้วเก็บกล่องลงภายในย่ามแล้วออกนำหน้าเดินฝ่าหมอกควันนั้นเข้าไปยังหุบเขาทันที  ส่วนชายหนุ่มก็
ติดตามด้านหลังเข้าไปติดๆ  แต่เขาเพียงแค่รู้สึกคันๆเล็กน้อยตามร่างกายจึงรีบใช้พลังงานที่สะสมไว้ค่อยๆแผ่ขยายไล่พิษร้ายออกจึงมีอาการปกติ  หมอกควันพิษไม่สามารถทำอันตรายแก่เขาได้เลยทางด้านเจ้าสินธุนั้นรีบเร่งเดินไม่ทันสังเกตุที่ท่าของชายหนุ่มแต่อย่างใด  เส้นทางยาวคดเคี้ยวยิ่งเดินเข้าไปอากาศยิ่งหนาทึบไปด้วยหมอกควันและอากาศลมแรงมากๆ  แต่ชายหนุ่มไม่เสทือนแต่อย่างใด ก้าวตามไปติดๆ  แต่ชายกลางคนยิ่งเดินยิ่งช้าลง 
     เมื่อเห็นเช่นนั้นชายหนุ่มจึงรีบเดินขึ้นไปข้างหน้าแล้วก็ใช้มือหนึ่งดึงร่างชายกลางคนพลางเร่งพลังงานในตัวเขาดึงลากชายกลางคนไปอย่างรวดเร็ว  เดินไปตามทางนั้นๆ สองข้างทางหาปรากฏต้นไม้ใดๆทั้งสิ้น เพียงแต่เป็นเส้นทางที่ขรุขระและเต็มไปด้วยหินประหลาดๆสีต่างๆนาๆอีกด้วย  แต่เขาไม่มีเวลาสนใจเพราะรู้สึกร่างกายชายกลางคนจะต้านทานกระแสลมที่แรงจัดมากไม่ได้  ดังนั้นเพียงเวลาไม่นานเท่าใด  ทั้งสองก็หลุดพ้นออกจากเส้นทางที่เต็มไปด้วยหมอกควันพิษนั้น    ชายกลางคนจึงขอพักพลางกล่าวว่า
    “เราพ้นจากหมอกควันแล้วเข้าสู่หุบเขาบ้านข้าแล้วล่ะนาย พักเหนื่อยก่อนก็ได้นะ”
   “ตามใจท่านเถอะเราเห็นท่านอ่อนเพลียมากต่อการต้านกระแสลมแรงนั้น  ให้ท่านพักให้หายเหนื่อยก่อนก็แล้วกัน”
   เมื่อทั้งสองเดินไปอีกสักหน่อยก็พบต้นไม้แปลกๆจึงอาศัยใบมันบังแดดแล้วนั่งพัก เขานึกถึงเจ้าสดายุขึ้นมาทันทีมันจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้จึงรีบเปิดยามออกมา  ก็พบเจ้าสดายุยังเป็นปกติหันหัวไปๆมาๆคล้ายจะบอกเขาว่าไม่เป็นอะไรหรอก  เขาค่อยโล่งอกเพราะเขาลืมมันเสียสนิทในการฝ่าหมอกควัน และนึกว่าเจ้าสดายุคงจะมีอะไรพิเศษบางอย่างแน่นอน  หมอกควันพิษไม่สามารถทำอะไรแก่มันได้เลย  แต่เมื่อนึกถึงก่อนจะได้มัน  มันต้องมีอะไรพิเศษแน่นอนจึงค่อยโล่งอกไป    ทั้งสองพลางหาที่นั่งพักผ่อน
   ตอนนี้อากาศเริ่มขมุกขมัวแล้วแสดงว่าระยะทางคงจะไกลมากด้วยในขณะที่เดินฝ่าหมอกควันนั้น สายตาเขาเห็นเพียงลางๆเท่านั้น  แต่อาศัยดวงแก้วทั้งสองพร้อมพลังงงานแห่งจักวาฬจึงแลเห็นได้เป็นพิเศษกว่าคนธรรมดาทั่วๆไป  ระยะทางไม่ใช้ใกล้ๆเลยมันกินเวลาหลายชั่วยามทีเดียวเขาคิด  หากเขาไม่มีความสามารถพิเศษแล้วล่ะก็ยากนักจะหลุดพ้นบริเวณหมอกควันไปได้  เพราะเขาไม่ได้อาศัยว่านแก้วขวัญเรือนของชายกลางคนเลย  ส่วนชายกลางคนนั้นอาศัยฤทธิ์ว่าน  เขาคิดจะถามว่าเห็นหนทางประการใดแต่ไม่กล้าถามเพราะจะเป็นพิรุธแก่ชายกลางคนได้  ว่าเขาไม่ได้ใช้ว่านดังกล่าวนั้นเลย แต่คิดว่าคงจะเหมือนเขาเพราะมิฉะนั้น  ชายดังกล่าวคงจะเดินทางอย่างรวดเร็วด้วยเป็นเจ้าถิ่น  แต่กลับยิ่งเดินยิ่งล่าช้านั่นซิเขาถึงเร่งให้รีบออกเดินทางโดยเร็วจะมืดเสียก่อน  นี่อาศัยเขาใช้พลังงานช่วยในการเดินทางถึงได้รวดเร็วกว่าธรรมดา พลางนึกตำหนิตนเองในใจว่าหากเขาจะใช้นกสดายุในการนำทางก็คงไม่ต้องลำบากปานนี้ แต่อาจจะหลงทางก็เป็นไปได้ เพราะตำแหน่งอาจจะเปลี่ยนไปในยามที่อยู่เบื้องสูงนั่นเอง  
   เวลาผ่านไปสักครูหนึ่งชายกลางคนก็ลุกขึ้นกล่าวว่า
    “ออกเดินทางได้แล้วนาย อีกไม่เท่าไหร่หรอกก็จะถึงบ้านข้าแล้วล่ะ  แต่เอ๊ะๆ???....”
    “หลบเร็วนายพวกมันมากันแล้วล่ะ”
   “อะไรหรือสินธุ”
   “นกยักษ์ซินาย  รีบหลบใต้ต้นเห็ดนี่แหละมันคงมองเราไม่เห็นหรอก  เพราะเหมือนหลังคาคลุมพวกเราไว้”
   “อะไรๆๆที่เราพักนี้หรือคือต้นเห็ด”
   “ใช่แล้วนาย  เป็นต้นเห็ดแหละ สงสัยอะไรหรือนาย???”
   ทำไมจะไม่เขาสงสัยเขานึกว่าเป็นใต้ต้นไม้แต่สินธุบอกว่าเป็นเห็ดจะไม่ทำให้เขางวยงงได้หรือ  ทำไมมันถึงใหญ่โตนักขนาดเห็ดนะแต่ยังไม่ทันคิดอะไรมาก ร่างเขาก็ถูกเจ้าสินธุดึงเสื้อให้เข้าไปแอบซ่อนไว้ใต้ต้นเห็น  พลางก้มลงใช้ดาบขุดดินให้เป็นหลุมทันทีเพื่อใช้เป็นหลุมหลบภัยไว้
    “ทำไมต้องทำอย่างนี้หรือว่ามันร้ายกาจยิ่งนัก”
   “มันเป็นฝูงนกประหลาดคล้ายมังกรแต่ไม่ใช่ และก็ไม่เหมือนเจ้าสดายุอีกด้วยซินาย  หัวมันคล้ายๆเสือแต่มีปากเป็นจงอยยาวแหลมคมกินเนื้อสัตว์เป็นอาหารปีกคล้ายค้างคาวอุ้มเล็บมันยาวแหลมคมมากนาย นายคอยดูเจ้าสดายุไว้ด้วยเพราะมันคงไม่ยอมแน่หากเจอะศัตรูของพวกมันนะ”
   “ช้าไปเสียแล้วสินธุ  มันออกไปจากย่ามแล้วล่ะ”
   ทั้งสองรีบออกไปดูก็เห็นฝูงนกประหลาดประมาณ 5-8 ตัวได้กระมัง  และก็แลเห็นเจ้าสดายุกลายร่างใหญ่โตขึ้นโผไปหาฝูงสัตว์มีปีกทั้งหมด  แล้วเข้าต่อสู้กันทันที  เสียงร้องก้องกังวานของเจ้าสดายุทำให้นกประหลาดพากันชะงัก  และเมื่อแลเห็นเจ้าสดายุเท่านั้นนกประหลาดก็ต่างชะลอบินชะงัก  แต่ไม่ทันการณ์เพราะเจ้าสดายุได้ไปถึงนกตัวหนึ่งพลางพ่นควันพิษและเป็นไฟออกใส่เจ้านกที่ใกล้ที่สุด
ทำให้ร่างของเจ้านกประปลาดลุกโชนด้วยไฟร้องลั่นทันที  ส่วนพวกอื่นเมื่อเห็นดังนี้และได้ยินเสียงของเจ้าสดายุ ต่างก็รีบบินหนีทันที แต่มันไม่อาจจะพ้นเจ้าสดายุที่บินได้อย่างรวดเร็วคล่องแคล่วกว่าไปได้จึงโดนเจ้าสดายุพ่นควันพิษเพลิงใส่แล้วจิกคว้าทำลาย   เพียงชั่วเวลาไม่นานนัก ฝูงนกประหลาดก็ตกตายทั้งถูกจิกและคว้าด้วยอุ้งตีนมันทั้งสอง  เสมือนมันเป็นเจ้าแห่งนกทั้งปวงฝูงนกประหลาดกลัวทั้งเสียงและควันพิษเพลิงแตกกระจายแต่ความรวดเร็วสู้เจ้าสดายุไม่ได้จึงตกตายไปจนหมดสิ้น 
    ชายหนุ่มและชายกลางคนตลึงเมื่อเห็นพลานุภาพของเจ้าสดายุซึ่งบัดนี้ได้บินมายังชายหนุ่มร่างมันค่อยๆเล็กลงๆจนกระทั้งเท่านกธรรมดาดูเหมือนไม่ร้ายกาจ พลางส่งเสียงร้องทักชายหนุ่มทันที  ชายหนุ่มซึ่งรู้ภาษามันได้โต้ตอบ  ถามไถ่ต่างๆนาๆทำเอาชายกลางคนถึงกับแปลกใจ  ฉงนสนเท่ห์ใจนักที่นายมันสามารถคุยกับเจ้าสดายุได้อย่างรู้เรื่องราว  และเห็นเจ้าสดายุบินเข้าไปยังย่ามของชายหนุ่ม
พลางเอ่ยขึ้นว่า
   “นายๆ???...สามารถคุยกับเจ้าสดายุได้หรือ???...”
   ชายหนุ่มยิ้มไม่กล่าวอะไรพลางกล่าวว่า
   “ สินธุไปเถอะจะมืดเสียก่อนนะ”
   “นายคุยกับเจ้าสดายุมันว่าอะไรหรือ???...”
   “มันบอกว่านกประหลาดนี้เป็นนกจำพวกค้างคาวไม่ได้บอกว่าชื่ออะไรหรอกสินธุแต่ทว่า........”
             * แก้วประเสริฐ. *

76.gif				
comments powered by Disqus
  • เพียงพลิ้ว

    6 สิงหาคม 2555 08:11 น. - comment id 130023

    
    
    นิยายคุณลุงมีอะไรน่าตื่นเต้นดีนะคะ
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif1.gif
  • แก้วประเสริฐ

    6 สิงหาคม 2555 16:10 น. - comment id 130031

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ เพียงพลิ้ว
    
            หลานรักที่จริงแล้ว ระหว่างกลอนกับนิยาย
    นี้การใช้สมอง นิยายใช้มากกว่าและสนุกทั้งคน
    เขียนและคนอ่านด้วย  ลุงว่าจะหยุดพักด้านกลอน
    ไว้สักพัก แต่ก็อดไม่ได้สักที จะเห็นว่าลุึงค่อน
    ข้างจะเว้นวรรคด้านกลอนเสมอๆจ้า
    แม้ว่าจะไม่ค่อยมีคนสนใจมากนัก ก็ตาม
    แต่ลุงว่า  มันสนุกสำหรับลุงจริงๆจ้า
    หรือว่าด้านกลอนชักจะเบื่อๆเสียแล้ว อิอิ
             รักหลานรักมากจ้า
    
             16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน