* แดนพิศวง ตอน ๑๖ *

แก้วประเสริฐ


                            *แดนพิศวง ๑๖ *
                               (สัตว์พิสดาร)
     ชายหนุ่มอุทาน พลางเพ่งมองไปยังแนวชายป่าที่ขวางหน้าทางเดิน
ที่จะผ่านไปยังบ้านของสินธุ  ชายหนุ่มรีบกระชากเสื้อของเขา พลาง
ลากเข้าไปหลบยังใต้หินผาข้างภูเขา
   “มีอะไรหรือนาย???..”
   “เราเองมองเห็นสัตว์ประหลาดอะไรไม่รู้  กำลังมุ่งหน้ามาทางเรา”
ชายหนุ่มตอบ  พลางรวบรวมพลังงานในร่างที่ประกอบด้วยไฟฟ้า
จำนวนมหาศาล  ส่งพลังงานมายังนัยน์ตาเขาทำให้เขามองเห็นได้ชัด
แต่ทว่าชายกลางคนสินธุนั้นมองไม่เห็น
   “ไม่เห็นมีอะไรนี่นาย หรือว่า????....”
พลางจ้องมองหน้าชายหนุ่มรูปหล่อด้วยความสงสัย สินธุคิดนายเขา
จะมองเห็นความแปลกปลาดอะไรสักอย่างซึ่งเขามองไม่เห็น
   ดังนั้นจึงรีบเข้าหลบยังใต้แผ่นหินใต้ผาของภูเขาที่ใช้หลบภัยนั้น
เป็นแหลมที่งอกออกมาจากเขาลูกหนึ่ง
ที่ยื่นออกมาจากภูเขาที่สูงชะลูดปานเสียดฟ้า ปลายไม่เห็นด้วยมีเมฆ
หมอกปกคลุมไปทั่วบริเวณยอดเขานั้นๆ
นั้นเพ่งสายตาไปรอบๆข้างทันที    และแล้วทั้งสองก็ได้ยินเสียง
แปลกที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน  เป็นเสียงขู่คำรามที่ดังสะท้อนเข้ามา
เสียงมันดังก้องมากๆผสมกับเสียงแหบๆ เสียงมันมุ่งหน้ามาทางเขา
มันคงได้กลิ่นพวกเรา  ชายกลางคนคิด
       แล้วทันใดนั้นที่แนวป่าก็ปรากฏร่างสัตว์ประหลาดนักเพราะหัว
มันเป็นคนแต่ลักษณะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก จะเป็นกระโหลกของ
มนุษย์ก็ว่าได้  แต่จงอยปากมันซิยื่นยาวออกมาเล็กน้อย 
 ทั้งหมดเห็น
เขี้ยวที่ยาวแหลมคมล้นออกมาจากนอกปาก 
 เขี้ยวด้านล่างยาวกว่าเขี้ยวด้านบนไม่มากนัก  
 ลำตัวยาวและใหญ่โตประมาณลูกช้างเห็น
จะได้มีหางยาวและมีครีบบนหลังท่อนล่างมันเป็นสัตว์คล้ายๆกับ
กิ่งก่ายักษ์แต่ท่อนบนเป็นร่างมนุษย์ที่แห้งหนังติดกระดูก มือทั้งสอง
ข้างมันยกขึ้นแต่นิ้วมันซิมีเพียงสามนิ้วเป็นเล็บยาวงุ้มแหลมคม ส่วน
ลำตัวท่อนร่างคล้ายๆหางจรเจ้มีเกล็ดด้วยส่วนท่อนบนไม่มี  เป็นหนัง
หุ้มกระดูกเท่านั้น   
 ทั้งสองคิดว่าคงจะมีตัวเดียวแต่ที่ไหนได้เสียงร้องทอดรับของมัน  
จึงพอจะรู้ว่ามีหลายตัวเป็นฝูง ขามันมีสองขารวมกับมือมันแล้วเป็นสองขา
สองหนึ่งมือแต่มือมันใช้แทนขาเวลามันเคลื่อนตัวไปข้างหน้า
   “ตัวอะไรหรือสินธุ???..เราไม่เคยเห็นมันแปลกประหลาดมากจริงๆ
นะ ตัวเป็นคนท่อนกลางเป็นกิ่งก่าท่อนหางยาวคล้ายจรเข้ยักษ์”
   “ ไม่รู้เหมือนกันนาย  ตอนข้าออกมาจากบ้านก็ไม่เห็นมี  บัดนี้มัน
เปลี่ยนแปลงไปหมดทั้งภูมิประเทศอีกด้วยนาย”
   เมื่อลมเปลี่ยนทิศกลิ่นเหม็นคลุ้งคาวพัดมาทางคนทั้งสอง 
 สินธุอุทานขึ้นทันที
    “ระวังนะนาย???...มันเป็นพิษรอบตัวมันเลย  
เอ๊า...นายเอาว่านพญาแก้วขวัญเรือน อมไว้ใต้ลิ้นนะนาย”
     ว่าแล้วสินธุก็ล้วงหยิบว่านออกมาท่อนหนึ่งส่งให้ชายหนุ่มทันที
ชายหนุ่มจะปฏิเสธก็ใช่ที่ จึงยื่นมือออกไปรับมาเก็บไว้ แต่ไม่ให้สินธุ
เห็น  พลางดึงร่างสินธุให้นั่งยองๆทันที
    “ไม่ทันแล้วนาย ไอ้พวกนี้จมูกมันดีมันคงรู้แล้วว่าเราซ่อนอยู่ที่ไหน
  ออกไปเผชิญหน้ามันดีกว่านาย”
    “ก็ดีเหมือนกันสินธุ แต่เจ้าระวังตัวไว้ด้วยนะ”
     “จ๊ะนาย สำหรับตัวข้าไม่ห่วงหรอก ห่วงแต่นายเท่านั้นเอง”
   ว่าแล้วสินธุก็ชักดาบ  พอดาบหลุดจากฝักเกิดรังษีออกมาจากดาบ
ตัวดาบเป็นสีดำสนิทมะเหลื่อมดำ
 พลางก้าวไปบังหน้าร่างของชายหนุ่มทันที 
 พร้อมย่างสามขุมเข้าหาฝูงสัตว์ร้ายประหลาด
ที่เกาะกลุ่มชายหนุ่มก็ไม่รอช้าเพราะรู้ว่าศึกครั้งนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน
     ดังนั้นจึงล้วงไปในย่ามเปิดกล่องหยิบเอากริชแก้วซึ่งยาวประมาณ
คืบกว่าๆเห็นจะได้ พร้อมชักออกจากฝักทันที  รังษีหลากสีแผ่
กระจายทันที  ชายหนุ่มพิจารณานึกพลางว่าเป็นแก้วอะไรหรือ  
หรือว่าเป็นแท่งคริสตอลหรือไม่ก็แท่งปริซึ่มแก้วอย่างใดอย่างหนึ่ง  
เพราะในตำราเคยระบุว่าแก้วสองชนิดนี้ผ่านกาลเวลาและพลังงาน
จะรวมคุมพลังงานไว้ในแท่งแก้ว 
แต่แท่งแก้วนั้นได้แปรรูเป็นกริช แต่ตัวกริช
นั้นไม่เหมือนกริชทั่วๆไป เพราระจะหยักก็ตรงกลางเท่านั้นประมาณ
ห้าหกหยักได้ แล้วจึงเป็นตัวดาบที่แหลมคม 
  ชายหนุ่มทดลองเร่งพลังงานในร่างกายเขาใส่ไปยังตัวกริชนั้น  
       ทันใดนั้นตัวกริชก็ค่อยๆใหญ่และยาวขึ้น
ขนาดดาบโบราณธรรมดา
แต่พิเศษที่มีรังษีแผ่กระจายออกมาหลากสีประมาณเจ็ดสี
เห็นจะได้  ส่วนฝักกริลขนาดแค่กุมไว้เท่านั้นมิได้ยาวออกมาด้วย
แปลกจริงๆ???...ชายหนุ่มนึก
แต่เขาไม่มีเวลาเสียแล้วเพราะเจ้า
สัตว์ประหลาดตอนนี้ได้ออกมาจากแนวป่าแล้ว 
เขานับดูได้ประมาณหกเจ็ดตัวแต่ละตัวขนาดเท่าลูกช้างได้
แต่ยาวมากๆ  กลิ่นเหม็นคาว
คลุ้งอากาศเปลี่ยนแปรไปทันที  พร้อมกับเสียงคำรามแหบๆแต่ส่วน
ใหญ่จะได้ยินเป็นเสียงกรี๊ดๆๆระงมไปทั่ว  มันเหมือนจะรู้ว่าเขาทั้ง
สองซ่อนตัวอยู่ที่นี่ต่างมุ่งหน้ามาทางเขาทั้งฝูง บ้างยกมือเดินด้วยสอง
เท้า บ้างคลานมาทั้งมือและเท้า พร้อมส่งเสียงร้องกรี๊ดๆก้องตลบไป
ด้วยกลิ่นเหม็นคาวคลุ้งกระจายไปในบริเวณนั้น   
         ชายหนุ่มรีบใช้พลังงานในร่างกายทันทีปิดลมหายใจ
อาศัยอากาศที่เก็บไว้ตามเซลล์ในร่างกายดังนั้นปัญหา
จึงไม่เกิดขึ้นกับเขา
เขาหันไปมองเจ้าสินธุ  ก็เห็นไม่เปลี่ยนแปลงคงจะเป็น
ฤทธิ์ของพญาว่านนั่นเอง
    “สินธุลุยเลย หากเราไม่ผ่านสัตว์ประหลาดพวกนี้
เราก็ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้”
   “เอาเลยนายผมพร้อมแล้ว 
 มิฉะนั้นเราไม่สามารถเดินทางต่อไปได้เลยนาย”
     แต่ทั้งสองก็ต้องชะงัก  ไม่แต่เขาทั้งสองเท่านั้น
แม้แต่สัตว์ประหลาดก็เหมือนกันมันหยุดชะงักลงใน
ขณะที่แยกเขี้ยวอ้าปากกว้าง พ่นควันขาวๆออกมาเจือจางทั้งปาก
และจมูกมันเขาหันไปมองสินธุด้วยความสงสัย
  อะไรเกิดขึ้นอีกหรือเพราะ
เขาก็ได้ยินเสียงก้องมาจากในอากาศ เป็นเสียงหึ่งๆๆๆแต่ดังมาก
   “เกิดอะไรขึ้นอีกหรือนาย 
เสียงหึ่งๆคล้ายผึ้งหรือว่า???...”
สินธุยังไม่ทันเอ่ย  ก็ปรากฏท้องฟ้าปั่นป่วนลมกระโชกอย่างไรไม่
เท่านั้นยังหมุนทำเอาเศษหินคลุ้งกระจายไปทั่งบริเวณนั้นทันที แต่
ไม่เท่านั้น ชายหนุ่มรู้สึกว่าอากาศก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย เพราะเกิด
รังษีพลังงานต่างๆเข้ามาอีกพร้อมกับลำแสงของสีผสานกันระหว่าง
สีส้มกับสีน้ำเงินหมุนเวียนไปรอบๆ  คลื่นพลังงานนั้นกระทบมายัง
ร่างเขา ชายหนุ่มรู้ทันทีว่าอะไรเกิดขึ้น  จึงได้รวบรวมพลังจากแก้ว
ทั้งสอง ดึงดูดพลังงานอันประหลาดนั้นไว้ทันที เขารู้สึกว่ามันช่าง
รุนแรงอะไรเช่นนี้แต่เขาก็ไม่ค่อยมีปัญหานักพลังงานสีส้มและน้ำเงิน
นั้นกลับเป็นลำแสงพุ่งมายังร่างของเขา 
แต่ก็ทำให้เจ้าสินธุกระเด็นไปกระทบยังผนังเขาทันที
      ชายหนุ่มยกแขนทั้งสองชูขึ้นไปในอากาศพร้อมรับพลังงานนั้นๆ
ไว้  พร้อมนึกถึงตำราที่ระบุมวลแห่งพลังงานนี้ไว้ว่าน้อยนักที่จะเกิด
ขึ้นเป็นพลังงานของคร๊อสมิคที่เกิดจากพลังงานไฟฟ้าด้วยการรวมตัว
ของอะตอมนิวเครียสด้วยโมเลกุลก่อเกิดเป็นพลังงานอันร้ายแรงนี้
ซึ่งเป็นพลังงานของจักรวาลมาสู่โลกนี้  แต่จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยจังหวะ
ที่เหมาะเจาะและบางสถานที่เท่านั้นเอง   
ทำความปิติยินดีแก่เขายิ่งนักดังนั้นจึงรวบรวมสมาธิ
อาศัยพลังงานสุริยันต์จันทราคอยควบคุม
ดึงดูดพลังงานเหล่านี้ไปเก็บไว้  
เขาดีใจมากที่หากได้รับพลังงานนี้
ย่อมสร้างพื้นฐานพลังงานในร่างเขาแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นหลายๆเท่านัก 
  หลังจากที่อากาศหมุนเวียนวูบวาบไปด้วยพลังงานที่ก่อเกิดอย่าง
กระทันหันนี้  เมื่อเสร็จจากการดึงดูดพลังงานเหล่านี้ไว้จนพอควร
       เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นไม่นานนักแล้วก็เลือนหายไป
 เมื่อเหตุการณ์ปกติแล้วเขา  เหลือบไปทั้งเจ้าสัตว์ประหลาด
ที่ตอนนี้กระจายไปทั่วบริเวณแต่มันหันหลังคิดจะหนี  
บางตัวถูกพลังงานพุ่งเข้าใส่ร่างมันแหลกละเอียดไหม้วอดเป็นจุณ
ไปในพริบตา 
     เมื่ออากาศปกติแต่ทว่าท้องฟ้ายังมืดคลึ้มเพราะ บนท้องฟ้า
เต็มไปด้วยสัตว์มีปีก แต่ว่าร่างกายมันช่างใหญ่โต
จริงๆ ขนาดประมาณเท่าโอ่งน้ำย่อมๆ 
 ชายหนุ่มรีบเขม่นมองพิจารณาทันที 
 มันมีหัวกลมใหญ่ตาโปนคล้ายสัตว์ประเภทหนึ่งคือ
แมลงปอ แต่แปลกที่หางมันกับงอครึ่งองศาคล้ายกับแมงป่อง
ปลายหางเขียวจนดำคล้ำออกสีน้ำตาลเข้ม  
มันมาเป็นฝูงใหญ่มากหลายสิบตัว  
ปากมันคล้ายแมลงปอคือเป็นใบพายแต่มันทั้งล่างบนแต่มีเขี้ยวที่
งอกออกมาจากด้านล่างทั้งสองข้าง ปีกข้างลำตัวสองปีกทั้งสองข้างเป็น
สี่ปีกที่ซ้อนกัน   
เสียงกระหึ่มคงดังมาจากการบินเสียดสีกับอากาศนั่นเอง 
สัตว์อีกประเภทหนึ่งที่บินหัวมันใหญ่โตมากตาโปน
ส่วนที่อยู่ด้านล่างเป็นหัวคล้ายคนแต่ดวงตาลึกกลวงโบ๋วเพียงเห็น
นัยน์ตาเล็กไม่ใหญ่เท่านั้นส่ายไปส่ายมาตลอดเวลา
         ชายหนุ่มนึกถึงสินธุได้จึงหันไปมอง เห็นร่างสินธุทรุดกองลงพื้น
ริมข้างภูเขาหน้าซีดเผือด  ชายหนุ่มตกใจรีบวิ่งไปหาทันที
พร้อมเขย่าร่างไปๆมาๆ  
เขาเห็นไม่ได้การจึงรีบถ่ายทอดพลังงานไฟฟ้าที่
เขาได้รับมาใหม่ๆและผสานรวมตัวกับพลังงานดั่งเดิม 
 ออกไปยังร่างของสินธุทันที   
ไม่นานนักร่างของสินธุก็ถอนใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วลืมตาขึ้น
       บัดนี้ใบหน้านั้นค่อยมีสีเลือดขึ้นแล้ว
    “นายข้าเป็นอะไรไปหรือนาย???... รู้ว่ารู้สึกหน้ามืดแล้วไม่รู้ตัว”
   “ไม่รู้ซิสินธุ  เรามัวแต่มองสัตว์ประหลาดไม่ทันสังเกตุ
ท่านพอหันมามองเห็นใบหน้าซีดเผือดทรุดลงแล้ว 
 แต่ว่าคงจะดีขึ้นแล้วนะ”
    “จ๊ะนายดีขึ้นเหมือนเดิมแล้ว   เอ๊ะ???...เจ้าสดายุเป็นอย่างไรบ้าง”
    “นั่นซิ???...มัวแต่ดูอากาศที่เปลี่ยนไปและสัตว์ประหลาด
ทั้งสองฝูงอยู่เลยลืมไป”
      ทันใดนั้นเจ้าสดายุก็ออกมาจากย่ามในท่าทีอิดโรยอ่อนเพลียมาก 
ชายหนุ่มไม่ลังเลอีกแล้ว  เข้าไปหานกพลางส่งพลังงานคร๊อสมิค
และอนุภาคของอะตอมนิวเครียสต่างๆซึ่งเขาพึ่งได้รับมา 
 และแล้วไม่นานนักร่างของนกนั้นก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที   
   ชายหนุ่มถอยหลังออกมา  แล้วตั้งสมาธิตวัดมือทั้งสองม้วน
ก็เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว  เ
ป็นพลังงานวงกลมแล้วส่งไปยังนกสดายุทันที  
เจ้านกแสนรู้เห็นดังนั้นมันอ้าปากขึ้นงับแล้วกลืนพลังงาน
ที่ชายหนุ่มส่งให้เข้าไปในท้อง 
 สักครูหนึ่งชายหนุ่มก็หยุดเพราะรู้ดีว่าเจ้านกสดายุคง
จะรับอาหารซึ่งเป็นพลังงานนั้นพอเพียงแล้ว
       ระหว่างที่ชายหนุ่มส่งพลังงานป้อนเจ้านกนั้น 
 เจ้าสินธุตลึงถึงกับอ้าปากค้าง พร้อมส่งเสียงร้องถามเขาทันที
หลังจากที่เขากำลังเดินมาหา
    “นายๆๆเจ้าสดายุไม่ได้กินอาหารแบบธรรมดา
ประเภทนกหรือ???   และนายให้อะไรมันกินล่ะ?????....”
    “เจ้าอยู่กับมันมานานไม่รู้หรือว่าสดายุมันกินอะไร”
    “ตอนที่อยู่กับข้านั้นมันไม่มีความต้องการอาหารใดๆเลย
 และนายรู้ได้อย่างไรว่าเจ้านกนี้กินอาหารประเภทนี้”
    ชายหนุ่มหัวร่อ ฮึๆๆเบาๆในลำคอพลางเอ่ยขึ้น
    “ก็เราสังเกตุมันตลอดเวลาที่อยู่กับเราเหมือนกัน
และได้สอบถามมัน  ตอนแรกมันก็ไม่บอก 
พึ่งจะมารู้เมื่อกี้นี้เองเพราะเห็นมันอิดโรย
มาก มันจึงบอกเราดังนั้นเราพอดีมีความรู้ทางนี้
ก็เลยสงเคราะห์มัน”
    “อ้อๆเป็นอย่างนี้นี่เอง  เอ๊ะ??...
นายระวังไอ้สัตว์ประเภทกิ่งก่าร่างคนมันพุ่งมาทางเราแล้ว”
    ชายหนุ่มรีบหันไปมองทันที  ใช่แล้วร่างมันพุ่งเข้ามาหาพวกเราแต่
บัดดล  ฝูงแมลงปอร่างประหลาดก็พุ่งร่างทิ้งดิ่งเข้าใส่
คนร่างกิ่งก่าทันที 
 พร้อมทั้งจิกและจิ้มหางไปยังร่างประหลาดนั้น
 เจ้ากิ่งก่าประหลาดก็หยุดชะงัก
หันไปต่อสู้กับแมลงปอประหลาด อย่างชุลมุน
แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ  น้อยกว่าย่อมแพ้มากเป็นธรรมดา  
พวกแมลงปอยักษ์ต่างก็ช่วยกันรุมทึ้งเนื้อของกิ่งก่าร่างคนทันที
แล้วบินหนีไป  เจ้ากิ่งก่าร่างคนก็พ่นควันขาวๆออกจากปาก
ใส่เจ้าแมลงปอยักษ์ เมื่อร่างนั้นได้รับควันจากปาก  
ก็ร่วงพล๊อยตกและดิ้นทุรนทุรายแล้วสงบเงียบไป 
 แต่พวกมันมีมากต่างช่วยกันรุมทั้งร่างส่วนหัวที่ท่อนเป็นคน
และลำตัวเป็นกิ่งก่าและหางเป็นจรเข้  ซึ่งก็ได้รับการต่อต้าน
ทั้งมือและหางที่ฟาดร่างของเจ้าแมลงปอหางแมลป่องทัน  
ที่อยู่ก็อยู่ไปที่ตกตายก็ตายไป การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด 
 ชายหนุ่มและพวกได้แต่จ้องมองดูหาได้เข้าไปร่วมสถานะการณ์ใดไม่  
จึงเห็นการต่อสู้ของสัตว์ประหลาดทั้งสอง 
 แต่เขาก็ไม่ไว้วางใจนักได้เตรียมตัวพร้อมหากสถานะการณ์เปลี่ยนไป   
        ไม่รู้ว่าแมลงปอหางแมงป่องมันจะมาช่วยหรือว่าหาอาหารกันก็
ไม่แน่ใจเท่าใดนัก  แต่เขาสังเกตุว่าคงจะไม่มาช่วยแน่ๆ 
คงเห็นเจ้ากิ่งก่าร่างคนใหญ่เป็นอาหารอันโอชะ  
หลายตัวจึงได้ช่วยกันรุมเพื่อกัดกินเป็นอาหารมัน   
จึงได้สั่งเจ้าสินธุและสดายุอย่าได้ไปช่วยมัน
ปล่อยให้มันต่อสู้กันเอง  
        ฝ่ายเจ้ากิ่งก่าร่างคนเมื่อจับแมลงปอหางแมงป่อง
ได้  ก็กัดเคี้ยวกินทันที   การต่อสู้เป็นไปนับเวลานานมาก
จนเวลาตกบ่ายคล้อยมาก 
 เจ้ากิ่งก่าร่างคนก็เหลือเพียงแค่สองตัวต่างไม่มุ่งหน้ามาทางเขาอีกแล้ว
  พยายามหาหนทางหนีเข้าไปในหุบผาเขาป่าใหญ่ทันที 
 กลิ่นเลือดเหม็นคาวออกสีเขียวๆของเจ้ากิ่งก่าร่างคนกระจายไปเต็ม  
แต่ทั้งสองอาศัยว่ายพญาว่านและพลังงานจึงไม่เป็น
อะไรเลย  เพียงแต่คอยสังเกตุการณ์ดูอยู่เท่านั้นและระวังตัวด้วย
     “ระวังๆๆสินธุเจ้าแมลงปอหางแมงป่องมัน
หันพุ่งมาทางเราแล้วคงไม่เป็นมิตรแน่”
    “ใช่แล้วนาย  มันคงหมายร้ายเสียมากกว่ามาดีนะ”
    “นั่นซิ  อย่างไรก็เตรียมพร้อมไว้ก่อน”
   แล้วชายหนุ่มก็หันไปตบไหล่เจ้าสดายุทันที
เหมือนจะให้มันช่วยป้องกันพวกเราด้วย   
 เหมือนนกรู้ร่างเจ้าสดายุก็ใหญ่ขึ้นๆใหญ่กว่า
เจ้าแมลงปอหางแมงป่องเสียอีก ส่งเสียงร้องคำรามเบาๆ 
 เมื่อแน่ใจว่ามันมาร้ายแน่  
ชายหนุ่มก็ปรบมือเสียงดังเบาๆ  ร่างเจ้าสดายุก็โผบินขึ้นไป
 มันพ่นไฟแต่ไฟของมันคราวนี้ไม่เหมือนก่อนมีสีแสงออกมา
ด้วย  ยามเจ้าสัตว์ประหลาดเจอแสงของเจ้าสดายุ
ก็มอดไหม้เป็นจุณไปทันที   เจ้าสดายุพุ่งร่างเข้ากลางฝูงสัตว์ประหลาด
แล้วพลางจิก
และกางอุ้งเล็บขามันไปยังร่างเจ้าสัตว์ประหลาด 
     ซึ่งดิ้นกระแด๊วๆในงุ้มตีนมันพร้อมพ่นไฟออกจากปากอีกด้วย
   เขาหันไปมองทางพื้นดินเห็นร่างเจ้าสัตว์ประหลาดอีกประเภทหนึ่ง
ต่างตกตายและถูกจิกกินจาก
แมลงปอยักษ์จนเหลือแต่ซาก  แล้วพวกมันก็พุ่งร่างมายังคนทั้งสอง
และเจ้านกสดายุเพื่อกินเป็นอาหารต่อไป
      ชายหนุ่มไม่รอช้าร่างของเขาก็ลอยขึ้นไปในอากาศ
พุ่งเข้าหาฝูงสัตว์ประหลาดทันที 
 กริชแก้วพลางควงเป็นวงกลมเข้าทำลายสัตว์ที่อยู่ใกล้ 
เขาฟาดฟันดาบกริชแก้วเข้าใส่ร่าง 
 ร่างมันก็ขาดกระเด็นตกลงมายังพื้น  
เพียงไม่นานนักเขาก็ทำลายสัตว์ประหลาดไปหลาย
สิบตัว พลางหันไปมองร่างของสินธุด้วยความห่วงใย 
 แต่เจ้าสินธุก็ไม่ได้อยู่เฉยเข้าต่อสู้กับสัตว์ประหลาดอย่างชุลมุน
  ดาบดำมะเหมื่อมของเขาฟาดไปยังร่างของสัตว์
ที่เข้ารุมล้อมตกตายไปหลายตัว
      พวกสัตว์ประหลาดมันมีมากเหลือเกิน  เขาพยายามฆ่าๆไปได้อีก
มากมาย   พื้นบริเวณนั้นนองไปด้วยเลือดของสัตว์ทั้งสองประเภทส่ง
กลิ่นคาวคลุ้งตลบอบอวลไปทั่ว 
   จวบจนตกเย็นตะวันเริ่มจะลับขอบฟ้าหลังภูเขา  
ด้วยนิสัยอันโหดเหี้ยมแม้พวกตายไป แต่พวกมันก็ไม่ยอมหนีเหยื่อ
ต่างพุ่งเข้าหาอย่างไม่เกรงกลัวและพวกจึงสามารถฆ่าสัตว์ประหลาด
ได้หมดสิ้น เมื่อเสร็จการปราบปรามสัตว์แล้ว
ชายหนุ่มก็ลอยลงมาหาเจ้าสินธุซึ่ง
มองเขาอยู่อย่างประหลาดใจที่เขาสามารถลอยตัวไปในอากาศได้
และส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นว่า
       “นายๆท่านสามารถ.....????.....”.
                        * แก้วประเสริฐ.*

76.gif				
comments powered by Disqus
  • เพียงพลิ้ว

    22 สิงหาคม 2555 11:53 น. - comment id 130133

    
    
    สดายุกินอารมณ์เป็นอาหาร หลานไปกินส้มตำก่อนนะคะ อิอิ
    
    
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif1.gif
  • เอื้องอังกูร

    22 สิงหาคม 2555 15:14 น. - comment id 130134

    หวัดดีครับ
       ยังคงตื่นเต้นเร้าใจ..ไม่สร่าง...สุดยอด
    เหนือจินตนาการเลยครับ...ขอบคุณ29.gif
      สำหรับความบันเทิงที่มอบให้ครับ36.gif16.gif29.gif
  • แก้วประเสริฐ

    22 สิงหาคม 2555 23:08 น. - comment id 130146

    36.gif16.gif36.gif
    คุุณ เพียงพลิ้ว
    
              ฮิๆ มันเป็นจินตนาการที่ลุงสร้างขึ้น
    พยายามหลีกการเลียนแบบเขาจ๊ะ ก่อน
    จะเขียนต้องสร้างขึ้นไว้ก่อนแล้วค่อยเขียน
    ลุงชอบแบบสดๆ ไม่เคยเขียนไว้ล่วงหน้า
    ก่อนเลย ทั้งกลอนด้วย  ดังนั้นการเขียนลุง
    จึงไม่เหมือนใครเขา และเขาก็ไม่เหมือนลุง
             ส้มตำอร่อยมากส้มตำปูใส่มะละกอเติม
    น้ำปลาร้าหน่อย โอ้ยๆๆๆแสบหลายเด้อ
    อีนาง   รักหลานเรามากเสมอจ้า
    
                     16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • แก้วประเสริฐ

    22 สิงหาคม 2555 23:12 น. - comment id 130147

    36.gif16.gif36.gif
    คุณเอื้องอังกูร
    
            ส่วนใหญ่แล้วมันเกิดจากจินตนาการ
    ผมเองทั้งสิ้น  ดังนั้นจึงไม่เหมือนเขาและ
    คิดว่าเขาก็ไม่เหมือนผม คุณก็ติดตามเรื่อง
    ผมมาตลอด ขอบคุณมาก จะมีเรื่องจริงก็
    เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่รับรองว่าเรื่องนี้
    เหนือความคาดหมายจริงๆ หากไม่ตาย
    เสียก่อนด้วยอายุมากแล้วด้วย  มีคนมา
    อ่านแต่ไม่เคยคอมเม้นท์เลย นอกจากคน
    ที่รักจริงๆเท่านั้น แต่ก็ดีไปอย่างนะครับ
             รักแฟนนิยายเสมอๆครับ
    
                      16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน