เพดาน -1-

Isara

         คุณคงมีเรื่องในวัยเด็กที่ไม่เคยลืมกันใช่ไหม

         ไม่ใช่เรื่องน่าอายประเภทว่าเข้าห้องน้ำผิด หรือร้องไห้หน้าแถวเคารพธงชาติในวันแรกที่ไปโรงเรียนหรอกนะ ผมกำลังหมายถึงเรื่องราวบางอย่างในวันที่โลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ใบเล็กจิ๋ว ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากครอบครัวและเพื่อนฝูง เรื่องราวที่จำได้เลือนราง ทว่าไม่ยอมหลุดหายไม่จากความทรงจำ คล้ายภาพในอดีตซึ่งตกตะกอนคั่งค้าง

         ตัวผมเองมีเรื่องราวหนึ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น แต่เมื่อถึงคราวต้องเล่าให้ใครฟังซึ่งมีไม่บ่อยครั้งนัก ผมกลับบั่นทอนเรื่องราวทั้งหมดให้คนเข้าใจว่าเป็นแค่จินตนาการในวัยเด็ก เป็นแค่เหมือนฝันจากการงีบหลับในตอนบ่ายที่อากาศร้อนอ้าว จุดประสงค์ก็เพื่อให้คนฟังรู้สึกขบขันและลืมเรื่องที่ผมเล่าไปให้หมดเท่านั้นเอง

         เนื่องด้วยเหตุผลที่แท้จริงนั้นช่างเกินจริงและฟังดูไม่น่าเชื่อเอาซะเลย แต่สำหรับผม มันคือความทรงจำที่ยังไม่อาจทำใจให้ลืม คล้ายสิ่งสำคัญที่งอกงามในใจผม ทุกวันนี้เรื่องราวจบลงแล้ว เหลือเพียงแต่ภาพเลือนรางให้ยังนึกถวิลหา เรื่องของเธอคนนั้น...

 

         ผมได้รู้จัก 'เธอ' ตอนอยู่ชั้นอบุบาล

         สมัยเด็กผมมีชีวิตไม่ต่างจากเด็กคนอื่นมากนัก ผมตื่นนอนตอนเช้าตรู่ นั่งรอที่โต๊ะอาหารพลางมองแม่ถือจานใบโตใส่ขนมปังปิ้ง ไข่ดาว และแฮมออกมาจากครัว ผมขึ้นรถโรงเรียนคันสีเทาพร้อมเพื่อนคนอื่นไปโรงเรียนอนุบาล หลังเลิกเรียนรถคันเดิมก็จะมาส่งผมกลับบ้าน แม่จะออกมารับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ผมใช้วันหยุดไปกับการวาดรูปเล่นและจินตนาการ ทุกอย่างล้วนดูธรรมดาจนไม่น่าจะเล่าให้ยืดยาวด้วยซ้ำ

         แม้ภายนอกผมจะใช้ชีวิตตามครรลอง ตอนนั้นเองซีกส่วนความเหงาหงอยภายในใจของผมก็เริ่มขยายตัว ทว่าด้วยความเป็นเด็ก ผมจนปัญญาที่จะเล่าให้พวกผู้ใหญ่ฟังด้วยภาษาอันจำกัด ผมไม่รู้จะอธิบายให้ครูฟังอย่างไรว่าในส่วนลึกผมรู้สึกเบื่อหน่ายกิจวัตรซ้ำซากแบบนี้ เบื่อที่จะต้องกำมือขึ้นฟ้าแล้วโบกไปมา หรือแม้แต่กับเพื่อนร่วมห้องที่เปี่ยมด้วยพลังและส่งเสียงโหวกเหวก ผมรู้สึกราวกับมีม่านพลังที่ขวางผมไว้ไม่ให้เข้าถึงคนเหล่านั้น

         ความจริงผมไม่ได้มองว่าพวกเขาน่ารำคาญหรอกนะ พวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ที่ใช้ชีวิตแตกต่างจากผมก็เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องตั้งแง่รังเกียจ แต่กับพวกเขาแล้วไม่ใช่ ดูเหมือนเพื่อน ๆ จะมองว่าผมเป็นเด็กประหลาด หรือไม่ก็เป็นพวกมนุษยสัมพันธ์แย่จนเหมือนมีรังสีความน่ารังเกียจแผ่ขยายออกมา

         บรรยากาศเงียบสงบมักมาเยือนเป็นระยะในช่วงพักเที่ยง นักเรียนบางคนออกไปเล่นกันกลางแจ้ง หรือบางคนก็สุมกันอยู่ที่มุมห้องและเล่นเกมกระดานกัน หลังทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว ผมมักจะหยิบสมุดบันทึกเล่มนั้นออกมาและนั่งอยู่ในห้องเรียนที่รายล้อมด้วยกระจกสีชา ความเงียบสงบเป็นสิ่งซึ่งโลกของผมโหยหาราวอากาศ 

         วันหนึ่งตอนผมอายุได้ราวห้าขวบ หลังจากแปรงฟันก่อนนอนตามครรลองของเด็กดี ผมมุดเข้าใต้ผ้าห่มและกำลังหลับตาลงนอนเมื่อสายตาสะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่ง เหนือที่นอนของผมมีรอยอะไรบางอย่างคล้ายรอยเปื้อนเป็นวงกลมรอยหนึ่ง ที่สะดุดตาคือในวงกลมนั้นมีรอยสีน้ำตาลออกเข้มอยู่สามวงเล็ก ๆ โดยวงที่สามซึ่งขนาดเล็กสุดวางตัวกลางวงกลมใหญ่อีกสองวง เหมือนกับ...

         ผมสะบัดความคิดไร้สาระนี้ออกไปจากหัวทันที ไม่น่าเป็นไปได้

         ใบหน้าคนจะมาปรากฏบนเพดานได้อย่างไรกัน 

         ทว่าด้วยวัยช่างจินตนาการในตอนนั้น ความพิศวงในใจกลับไม่หมดไปโดยง่าย คืนต่อมาผมเปิดโคมไฟดวงจิ๋วไว้ที่หัวเตียงแล้วมองดูรอยนั้นอีกครั้ง วงกลมเล็กสีน้ำตาลเข้มสองวงที่วางข้างกันดูเหมือนตาสองข้าง มีจมูกเป็นรอยเปื้อนเล็ก ๆ อยู่ตรงกลางใบหน้า ให้ความรู้สึกสั่นสะท้านคล้ายมีคนกำลังเพ่งมองมาจากเพดาน

         ทุกคืนผมคอยเพ่งมองเพื่อพิสูจน์ว่าผมแค่ตาฝาดไป หรือแค่เป็นเพราะแสงไฟที่วูบไหวภายในห้อง แต่ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ รอยเปื้อนนั้นก็ดูเหมือนใบหน้าคนมากขึ้นไปทุกที จากใบหน้าโล้น ๆ เริ่มมีริมฝีปากเส้นบางเฉียบ วันถัดมาใบหูเล็กสองข้างก็ปรากฏขึ้น บนส่วนศีรษะมีเส้นเล็กละเอียดรวมกันเป็นเส้นผมเป็นทรงหน้าม้าสั้น ใบหน้านั้นดูเหมือนเด็กผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม

         ผมไม่รู้ว่าใบหน้า -- หรือถ้าพูดให้ถูกคือรอยเปื้อนนั้นปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มันอาจจะอยู่ ณ ที่ตรงนั้นมาแสนนานแล้วก็ได้ เพียงแต่ผมไม่เห็นมัน แสงไฟสีส้มอ่อน ๆ จากโคมไฟขับให้ใบหน้านั้นดูชัดเจน จนมองดูเหมือนว่ามันมีชีวิตขึ้นมา

         สมัยนั้นผมพยายามคิดว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร แต่กลับหาได้เพียงคำตอบที่ล้วนฟังดูไม่เข้าท่า (แม้แต่ในสายตาของเด็กอนุบาล) อย่างไรก็ตาม ตอนนี้รอยบนเพดานเพิ่มมากขึ้นจนปรากฏรูปร่างของเด็กหญิงวัยอนุบาล จากเริ่มแรกที่มีเพียงใบหน้ากลม สัดส่วนร่างกายอย่างแขน ขา ลำตัวเริ่มปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ คล้ายกับว่าเธอกำลังเติบโตอย่างเงียบ ๆ ภายใต้แสงไฟสลัวในห้องผม เธอสวมชุดกระโปรงเหมือนเด็กผู้หญิงที่ผมเคยเห็นจากข้างนอก

         ผมแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่รู้สึกกลัว ทั้งที่เด็กวัยเดียวกัน หากเห็นรอยเปื้อนบนเพดานที่เหมือนหน้าคนแล้วอาจกลัวจนเก็บไปฝันร้ายเลยก็ได้ แต่ผมกลับไม่คิดว่าสิ่งที่เห็นนั้นน่ากลัวอะไรนัก ถึงจะดูผิดธรรมชาติก็เถอะ ผมไม่คิดว่ารอยบนเพดานจะคุกคามหรือทำอะไรน่าสะพรึงกลัวได้ แต่คำถามมากมายยังคงค้างอยู่ในใจ

         ตกกลางคืนเมื่อทุกคนเข้านอน และได้ยินเสียงรถของพ่อผู้ซึ่งทำงานจนดึกดื่นทุกวันกลับมาบ้าน ผมจะใช้ชีวิตอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมและไฟสีส้มสลัว ผมเงยหน้าขึ้นมองเพดานแล้วครุ่นคิด รอยเปื้อนนั้นเด่นชัดมากจนไม่อาจเรียกว่าเป็นแค่รอยเปื้อนได้อีกแล้ว แต่ดูเหมือนรอยประทับของมนุษย์คนหนึ่ง

         ผมไม่คิดว่าเธอจะพูดหรือเคลื่อนไหวได้ แต่ก็พยายามที่จะสื่อสารกับเธอ คืนหนึ่งหลังรวบรวมความกล้า ผมลองเอ่ยปากเรียก แน่นอนว่าไม่มีเสียงพูดตอบกลับมา ผมลองเรียกดูอีกครั้ง เด็กหญิงบนเพดานยังนิ่งงัน

         ผมรู้ว่ามันฟังดูโง่เง่า แต่ผมเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองเท่าที่เด็กไม่ค่อยร่าเริงอย่างผมจะทำได้ ผมพูดชื่อเล่น อายุ อาชีพของพ่อแม่ งานอดิเรก เป็นการแนะนำตัวในแบบที่เด็กอายุราวห้าหกขวบถูกสอนมาจากโรงเรียน ผมไม่คาดหวังว่าจะมีคำตอบใดกลับมา แต่เมื่อสิ้นสุดการแนะนำตัวอันแสนพิลึกพิลั่น ผมมองไปที่ใบหน้าเธอ และเห็นว่ารอยริมฝีปากบาง ๆ ของเธอผลิรอยยิ้มออกน้อย ๆ

         เรื่องพรรค์นี้มีให้เห็นอีกครั้ง คืนต่อมา แม่เข้ามาในห้องของผมและจัดแจงดุว่าเรื่องสมุดกับดินสอสีที่ผมวางเกลื่อนกลาดรอบห้อง หลังแม่ออกไปจากห้อง ผมจนใจเก็บดินสอสีและสมุดบันทึกของผมให้เป็นระเบียบ หลังทิ้งตัวลงบนเตียงแล้ว ผมสังเกตได้ว่าสีหน้าของเธอดูเปลี่ยนไป สีหน้าเธอเหมือนเด็กคนหนึ่งที่ถูกดุว่าแต่จนปัญญาจะโต้เถียง ริมฝีปากนั้นโค้งขึ้นคล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น (เธอไม่มีตาสีขาว) ต่อสู้สุดกำลังไม่ให้น้ำตาไหลเอ่อ

         ผมสรุปเอาว่าเธอคงใช้สีหน้าในการสื่อสาร ทดแทนคำพูดที่ไม่อาจเปล่งออกมาได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น การจะสานสัมพันธ์กับเธอคงต้องเริ่มจากเป็นฝ่ายพูดก่อน ผมเริ่มวิตก วันวานห้าปีที่ผ่านมาผมแทบไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มการสนทนา จริงอยู่เธอเป็นแค่รอยประทับที่รูปร่างคล้ายคน แต่สำหรับผม... ไม่รู้จะด้วยเหตุผลใด ผมไม่อยากทำลายความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดระหว่างเรา

         ผมเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ และคิดว่าต่อให้ผมเล่าก็คงไม่มีใครเชื่อ ถ้าผมเป็นบุคคลยอดนิยมของห้องเรียนก็คงเรียกความสนใจได้อยู่หรอก แต่คนเก็บเนื้อเก็บตัวอย่างผมใครจะสนใจฟังล่ะ ผมจึงไม่เคยคิดปริปากบอกใครเกี่ยวกับเรื่องเด็กหญิงบนเพดาน

         แม้แต่กับพ่อแม่ก็เช่นกัน ผมยังดำเนินชีวิตไปตามปกติ ทำทุกอย่างตามที่เด็กทั่วไปพึงจะทำ ภายนอกเรายังเป็นครอบครัวที่อยู่ด้วยกันสามคน ไม่มีใครรู้ว่าทุกค่ำคืนจะมีบุคคลหนึ่งปรากฏขึ้นบนเพดานห้องของผม

 

(อ่านต่อตอนหน้า)

comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน