ช่วยวัด

ประภัสสุทธ

หลังจากเสร็จภาระกิจส่วนตัวทางบ้านแล้วผมก็เดินตรงสู่วัดเพื่อหาอะไรทำ ผมเดินบนทางเส้นเดียวกับที่เหยียบเมื่อวานทั้งที่เดินมาแล้ว ๒ วันผมก็ยังรู้สึกว่าวัดอยู่ไกลอยู่ดี วันนี้ไม่ได้กะจะมาเก็บข้อมูลอย่างจริงจังเท่าใดดังนั้นเมื่อถึงวัดผมจึงนั่งแกร่วลงบนก้อนหินเขื่องก้อนหนึ่งตั้งท่าจะหยิบจับอะไรช่วยชาวบ้านทันทีที่เห็น
	หลังจากขนเศษกระเบื้องที่โดนลมพัดลงมาแตกเสร็จแล้วจนผ่านมื้อเที่ยงไปผมรู้สึกว่างานเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ ทันทีที่กินข้าวอิ่มเราก็ทำงานต่อ ผมขึ้นตากแดดบนหลังคารื้อกระเบื้องแผ่นที่แตกและใช้ไม่ได้ลงทิ้งชาวบ้านที่มาช่วยกันส่วนมากจะเป็นคนสูงอายุและเด็กตัวเล็ก ๆ จะมีผู้ใหญ่วัยกลางคนบ้างก็ไม่มากผมพยายามเหลียวหาวัยรุ่นผู้หญิงอยู่แต่ก็ไม่เห็น  ทำไมเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ไม่รู้จักเข้าวัดบ้างนะปล่อยให่แต่คนแก่ทำงานกันงก ๆ เด็กเล็ก ๆ มันยังรู้จักเข้าวัดถึงจะมาวิ่งซนกวนผู้ใหญ่ทำงานก็เถอะ  ผมนึกในใจ
	ตะวันคล้อยลงมากแล้วแต่แดดยังจัดอยู่เราช่วยกันรื้อกระเบื้องลงเสร็จแล้วก็มานั่งพักหลบแดดอยู่ข้างโรงครัวยังไม่ทันได้หายเหนื่อยดีผู้เฒ่าคนหนึ่งก็สั่งคนที่อ่อนกว่าให้ช่วยกันดันเสาไม้กลางศาลาที่เอียงให้ตรง
 เอาไม้มาค้ำแนบกับต้นเสาแล้วตีตะปูก่อน  ผู้เฒ่าว่า
	เราช่วยกันดันเสาขึ้นให้ตรงโดยมีคนหนึ่งคอยเอาระดับน้ำวัด เสาที่เอียงทั้งสี่ต้นถูกปรับให้ตรงโดยทำแบบเดียวกันกับเสาแรก ตั้งเสาสร็จก็ผสมปูนเพื่อจะหล่อโคนเสาที่เป็นปูนต่อ ถึงตอนนี้ผมช่วยอะไรได้ไม่มากเพราะทำไม่เป็นและดูเหมือนว่าจะว่างงาน ได้แต่นั่งดูชาวบ้านสองสามคนง่วนอยู่กับแบบหล่อข้างโรงครัวอยู่พักใหญ่จึงขอตัวกลับบ้าน
	ผมเดินนวยนาดกลับบ้านเหมือนตอนมาแต่ทว่าขาที่เดินและอาการในร่างกายมันแตกต่างจากเมื่อเช้าอย่างรู้สึกได้ ผมรู้สึกเหนื่อยเอามาก ๆ แขนขาทั้งสองข้างแทบไม่มีแรงแต่ใจนั้นอยากเดินกลับบ้านไว ๆ ทั้งที่เดินเฉื่อยเนือยอย่างนั้น ผมอยากจะยกเลิกการเก็บข้อมูลในตอนเย็นกับพ่อวัน ครั้นมาคิดดูอีกทีก็กลัวเสียคำพูดจึงอยากจะไปให้ได้  กลับถึงบ้านอาการคงดีขึ้นอยู่หรอก  ผมนึก 
	นกเค้าแมวส่งเสียงร้องบินผ่านทางมาเกาะกิ่งไม้ใหญ่ที่ให้เงาครึ้มข้างทาง บรรยากาศเริ่มขมุกขมัวขึ้นเรื่อย ๆ เรือนบางเรือนเปิดไฟนีออนไว้หน้าบ้านแล้ว บางเรือนควันไฟก็ลอยขึ้นฟุ้งเมื่อจัดแจงกับอาหารเย็นในครัว ผมเดินมาถึงบ้านก็ค่ำมืดพอดีว่าจะเอาผ้าไปซักก็กลัวเสียเวลาจึงแช่ผงซักฟอกไว้เฉย ๆ เสร็จแล้วจึงอาบน้ำแล้วก็มานั่งกินข้าวกับพ่อเล่แม่เล่ ผมบอกพ่อเล่แม่เล่หลังจากกินข้าวเสร็จว่าจะไปบ้านพ่อวันเพื่อพูดคุยกับแกเรื่องวนเกษตรสักหน่อย เหลียวดูทางก็มืดมากแล้วแม่จึงบอกให้ผมบอกพ่อเล่ให้ขับมอไซค์ไปส่ง ผมไม่อยากรบกวนพ่อเล่ที่นั่งพูดคุยกับผู้ใหญ่หลายคนในวงที่อยู่บ้านตรงข้าม จึงเดินไปเองโดยมีไฟหม้อแบ็ตส่องนำทาง
	ทางที่ผมจะไปนั้นเดินไปทางเดียวกันกับวัด ก่อนถึงโค้งทางลาดลงจะมีเนินดินอยู่ซ้ายมือบ้านพ่อวันอยู่ตรงนั้น ผมเดินยังไม่ทันเมื่อยก็ถึง ผมได้พบกับพ่อวันพอดีแกกำลังยืนเปลือยอกคุยกับเพื่อนบ้านอยู่ตรงทางขึ้น พ่อวันเห็นผมก็จำได้จึงขวักมือเรียกและนำขึ้นไปบนทางเล็ก ๆ พ่อพาผมมาหยุดอยู่บ้านไม้ชั้นเดียวหลังเล็กหลังหนึ่ง ข้างฝาสร้างด้วยไม้ไผ่ขัดแตะบังไว้ พ่อวันว่าคนนี้ก็เป็นคนหนึ่งที่ทำวนเกษตรเหมือนกันชื่อพ่อเมิน พลางวาดมือไปที่บ้านหลังที่ว่า ผมได้พบกับพ่อเมินก็สวัสดีและหาที่นั่งก็พอดีพ่อวันเดินไปเอาเสื้อที่บ้าน ผมพูดคุยกับพ่อเมินรอพ่อวันอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งพ่อวันก็ใส่เสื้อเดินมาแล้ว จึงเริ่มประเด็นพูดคุยกันจนกระทั่งแม่บ้านพ่อเมินยกสำรับข้าวเข้ามาการพูดคุยกันจึงจบลง ผมบอกลาพ่อเมินกับพ่อวันและกล่าวปฏิเสธน้ำใจกับการชวนกินข้าวเย็นด้วยเพราะผมกินมาแล้ว 
	ก่อนที่ผมจะตื่นจากเช้าวันต่อมาหลังกลับจากบ้านพ่อวันความคิดความรู้สึกบางอย่างของผมหล่นหายไประหว่างทางเดินกลับเรือน ๏
                                                                                       ๒๖ เมษายน ๒๕๕๐				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน