ความหวังและกำลังใจ: สำหรับทุกคนที่กำลังสิ้นหวัง และไร้กำลังใจ

บ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก

22381.jpg
คืนวันผ่านพ้นไป
มีเรื่องใหม่ผ่านเข้ามา
ให้เราได้ศึกษา
พัฒนาตัวเราต่อ 
ชีวิตยังก้าวไป
ตามวิสัยแม้ใจท้อ
ลุกขึ้นมาพะนอ
อย่าย่นย้อต่อสู้นะ 
สำหรับ เพื่อนผู้อ่าน หรือผ่านมาพบ
หวังใจว่า  ณ วันนี้ คงจะสุขสบายกันดีอยู่นะ  สำหรับผู้เขียน  ก็สุขบ้างทุกข์บ้างตามอัตภาพ  ยุ่งบ้างกับสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่  มีอะไรให้สู้ต่อไปเรื่อย ๆ  บ้างก็นึกถึงเรื่องเก่า ๆ  จิตวนคิดถึงเรื่องความหลัง  ซึ่งเป็นธรรมดาของคนเราเมื่อกาลเวลาผ่านไป  วัยย่อมล่วงเลยไปตามเวลา  
นึกถึงสมัยเรียนวิชาปรัชญาในระดับ ปริญญาตรีเมื่อหลายปีก่อน  อาจารย์ท่านหนึ่ง  เป็นนักเขียนในเครือสยามรัฐ  มาสอนวิชาปรัชญาจีน  พอถึงเวลาพัก  ก็เลยถามเรื่องแนวคิดในการทำงานหนังสือ พิมพ์สักหน่อย  จำได้คำถามหนึ่งว่า  ถ้าอยากเป็นนักเขียนอย่างอาจารย์  จะ ต้องฝึกฝนและพัฒนาตนเองยังไงบ้าง?  ได้รับคำตอบที่น่าสนใจและเป็น ประโยชน์  จึงจดจำมาจนถึงทุกวันนี้  แม้จะทำไม่ได้ดังที่ตั้งใจไว้ครั้งแรก หลังจากได้ฟังคำตอบนั้นก็ตาม  แต่ก็ยังพยายามนะ  เก็บเล็กผสมน้อย  และนำมา เรียงร้อยถ้อยคำต่อ ๆ  กันไป  
คำตอบนั้น  กลับกลายเป็นคำถามที่ย้อนกลับมาหาคนถามอีกทีว่า  "คุณเคยจดบันทึกประจำวันไหมล่ะ  ประเภทไดอารี่ส่วนตัวน่ะ"  นักเรียนตัวเล็ก ๆ  หนุ่มไม่หล่อแต่น่ารักที่สุดในห้อง  รีบพยักหน้ารับทันที  พร้อมเอ่ยวจีต้านต่อไปว่า  "ก็เขียนนะอาจารย์  แต่ไม่ต่อเนื่องหรอก  ประเภทเป็นไปตาม อารมณ์น่ะ  มีอารมณ์ก็เขียน  ไม่มีอารมณ์ก็ไม่เขียน"  
อาจารย์ สาธยายต่อไปว่า  "ก็ลองเขียนให้ต่อเนื่องดูสิ  ไม่ต้องมากหรอก  ได้วัน ละ  ๑  หน้ากระดาษ  เล็กหรือใหญ่  ตามแต่สะดวก  เมื่อเวลาผ่านไป  สัปดาห์หนึ่ง  เดือนหนึ่ง  หรือปีหนึ่ง  เราลองเก็บมาอ่านดูสิ  เราจะแปลกและ อัศจรรย์ใจว่า  เราคิดอย่างนั้นได้ยังไงนะ  ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน  อาจทำ ให้คนเรามีมุมมองที่แตกต่างออกไป  เป็นประเด็นให้เราได้พินิจพิจารณา  หรือ ขยายประเด็นต่อไปได้นะ"
อื้อ...มาคิดตาม  ก็จริงอย่างที่อาจารย์ว่านะ  ถ้าไอดารี่ของเราจะเป็น  "ไดอารี่ที่รัก  (รักตนเองน่ะ  แบบว่ามองหา ใครมารักไม่ได้...ซะงั้น)"  ก็น่าจะดีนะ  แต่ละวัน  กลับจากเรียน  จบงาน อันเฮงซวย  (คิดเองว่า)  ห่วยแตก  แยกไม่ออก  ระหว่างเจ้านายกับสัตว์ ประหลาดอัศจรรย์อะไรสักอย่าง  ที่ชอบชี้นกเป็นงาน  ชี้ไม้เป็นงาน  จับปากกา  คว้ากระดาษ  ก็อาจมีงาน  สั่งเราอีก  แถมซ้ำเห็นเรานั่งหน้าคอมฯ  ก็ ทำหน้าที่พิพากษาโทษเราไปเสร็จสรรพ
แทนที่จะท้อแท้  อ่อนแอ  และจ่อมจม  กับความคิดอดอู้ในใจ  ก็ลองมาเขียนระบายออกมาบ้างสิ  ในวินาทีที่ไม่มีใครเข้าใจเรา  เราเองนี่ก็คน  จะไปดิ้นรนหาใครที่ไหน  ก็หันมาใส่ใจ  ทำความเข้าใจ  ให้กำลังใจตนเองสิ  จะมัวมาตีโพยตีพาย  (สมัยนี้  โพยหวย เห็นเดินกันเกลื่อนตั้งแต่บ่าย ๆ  ของวันหวยออก  ส่วน  "พายหรือไม้พาย"  เขาไม่ใช้กันแล้ว  เขาติดเครื่อง ชนไว้ชดน้ำมันปั่นกระเป๋าตังค์จนขาดรุ่งริ่งกันแล้ว)  หรือฟูมฟายปาดน้ำตา อยู่คนเดียวได้ไงล่ะ  
สุขก็เรา  ทุกข์ก็เรา  ร้อนก็เรา  หนาวก็เรา  เซ็งสุดก็มีเรานี่ล่ะ  ที่ยังประคับประคองลมหายใจเราเอง  ชีวิตก็มีขึ้นลงเป็นเรื่องธรรมดานะ  ไม่มีที่ไหนสุขสบายเสมอไปหรอก  แม้แต่พระราชามหา กษัตริย์  ดูอย่างพ่อหลวงของเราสิ  พระองค์ได้อยู่สุขสบายที่ไหนล่ะ  เหนื่อยและหนักมากกว่าเราหลายร้อย พัน หมื่น  แสน  ล้านเท่า  ยิ่งมีตำแหน่งสูง  ศักดิ์ใหญ่  และยศมาก  ก็ยิ่งต้องทำงานหนัก  ไม่เช่นนั้น  ก็จะเสียโอกาสนั้น ๆ  ไป  
งานไหนก็หนักเหนื่อย
หากปวดเมื่อยก็หยุดพัก
ตัวเราควรรู้จัก
รับน้ำหนักได้เท่าใด
หนักกายยังพอทน
หนักกมลจนเจียนไข้
เรื่องราวเก่าผ่านไป
มีเรื่องใหม่ผ่านเข้ามา
ตราบใดชีพยังอยู่
ต้องต่อสู้ดูสิว่า
อุปสรรคหลากนานา
มีปัญญาแก้ให้ทัน
ไม่มีใครเก่งหรอก
แม้คนบอกก็อย่างนั้น
ยามเมื่อใจจาบัลย์
สารพันเรื่องวุ่นวาย
ในทางตรงกันข้าม  ถ้าสามารถนำตำแหน่ง  ยศฐาบรรดาศักดิ์  และอำนาจวาสนานั้น ๆ  มาสร้างสิ่งดีงามให้ตนและสังคม  ก็จะกลายเป็นบารมี  คือ  ความเต็มรอบ แห่งคุณความดี  อำนาจวาสนาและบารมีนี้ล่ะ  ทางศาสนาเรียกว่า  "บุญ"  อย่างหนึ่ง  การแข่งขันกันยาก  เพราะกำลังสติปัญญาที่สั่งสมอบรมบุญบารมีมาไม่เท่ากัน  สำคัญที่ความคิด  นำไปสู่คำพูด  และการกระทำ  บ่อยครั้งที่เราพูดและทำ  โดยขาดการยั้งคิด  เมื่อติดขัดสารพัดปัญหา  แล้วค่อยย้อนกลับมาแก้  บางทีแก้ไม่ทันแล้ว  เพราะวันเวลามันล่วงเลยผ่านไป  ยากเกินกว่าจะกลับมาแก้ไขใหม่ได้  
ดังนั้น  การฝึกฝนและพัฒนาตนเองให้รู้จัก  "คิดก่อนทำ"  จึงน่าจะดีกว่า  สมัยเรียนวิชาปรัชญา  ชอบอ่านหนังสือจิปาถะมากมาย  เลยได้แนวความคิดส่วนตัว  ที่เก็บตกมาจากที่ต่าง ๆ  สรุปเป็นแนวปรัชญาของ  "ปรัชญาเก็บตก"  สมัยนั้นยังคิดเองไม่เป็น  จึงต้องอาศัยการอ่านและจดจำ  เขียนข้อคิดเห็นไว้หลายอย่าง  ใช้ชื่อผู้เขียนว่า  "ปรัชญาเก็บตก"  มีรวมไว้  ๒  เล่มนะ  "ค่ำคืนวันกาล เวลา"  และ  "นิยามรักนักปรัชญา"  วันก่อนหยิบมาอ่านทบทวน  ก็ชวนให้ได้หัวเราะหลายเรื่อง  หลายประเด็นก็น่าเห็นใจ  (คนเขียน)  อะไรจะเศร้าเอาปานนั้น  
ณ วันนี้เริ่มคิดเองได้บ้างแล้ว  จึงสรุปเป็นปรัชญาฉบับ  " ความหวังและกำลังใจ"  เริ่มต้นตรงนี้ว่า  "คิดทุกอย่างที่ทำ  แต่อย่าทำทุกอย่างที่คิด"
ความ คิดคนเรานี่สำคัญนะ  ความคิด  บางทีที่ดูอาจหาญเกินไป  ก็ดูเหมือนบ้าบิ่น  แต่บางทีที่รู้สึกสิ้นหวัง  หมดกำลังใจ  ก็แทบจะบิ่นบ้า  สรุปว่า  คนเรานี่  ไม่บ้าก็ดีแล้วล่ะนะ  มีมืด  มีสว่าง ผสมผสานปะปนกันไป  อาหารที่เรารับประทานทุกวัน  ยังมีหลากรสหลายสไตล์  สุด แต่ใครจะเลือกสรร  บางคนชอบเปรี้ยว  คนชอบหวานก็บอกว่า  ทานลงไปได้ไง  พอคนบางคนชอบเค็ม  มาเห็นคนชอบทานของจืด ๆ  ก็บอกว่า  ทานลงไปได้ไง  ไม่มีรส  ไม่มีชาติเอาซะเลย  เจอคนชอบของขม  (ชมเด็กสาวด้วยหรือเปล่าไม่รู้  ไปถามดูกันเอาเอง)  อาจจะบอกว่า  ทานลงไปได้ไง  ทั้งลำไส้ไม่ขมหมดแล้วรึ  ความเปรี้ยว  หวาน  มัน  เค็ม  หรือรสชาติผสมกันจนเรียกไม่ถูก  เช่น  คน ฝรั่ง  สั่งข้าวเหนียวมากินกับผัดไทย  เราเห็นก็คงแปลก  วันหนึ่งข้างหน้า  เราอาจจะทานแฮมเบอร์เก้อกับข้าวเหนียว  ราดหน้าไข่เจียว  ก็เป็นได้  ขอให้ทานได้  ไม่เป็นโทษล่ะกัน
ตอนเด็ก ๆ  เป็นเด็กขี้แงติดพ่อ  (เพราะนาน ๆ  ทีจะได้อยู่ใกล้พ่อ  ท่านคงรำคาญความขี้อ้อนและงอแงนั่นล่ะมั้ง)  ยังจด จำคำของพ่อได้  ท่านมักจะพูดเสมอ ๆ  ว่า  
"ของแซบอยู่กับผู้มักเด้อลูกหล่า"  แปลความว่า  ของอร่อยอยู่ที่คนชอบ  นะลูก  (ชายผู้น่ารักที่สุดที่พ่อเคยมี)
"เวลาหิว  อันได๋ ๆ  กะแซบดอกหล่าเอ๊ย  ว่าแต่บ่แหม่นยาเบื่อยาเมา"
แปลเป็นไทยกลาง ๆ  ว่า  เวลาหิว  อะไร ๆ  ก็อร่อยทั้งนั้นล่ะ  ลูกเอ๋ย  ขอให้สิ่งนั้นไม่ใช่ยาเบื่อยาเมา"
คนเราจะสุขหรือทุกข์  ก็อยู่ที่ความคิดนี่ล่ะนะ  ผู้เขียนจึงมักบอกตนเองเสมอ ว่า  
ยามใดที่ใจผ่องแผ้ว  
ดุจได้แก้วเจียรไน  
ยามใดที่ใจหมองหม่น  
ก็เหมือนคนทำแก้วเจียรไนนั้นหายไป
ดังนั้น  ถ้าได้แก้วเจียรไนมาครอบครองแล้ว  พยายามรักษาแก้วเจียรไนนั้นไว้คู่ใจเราเสมอ  คิดพิจารณาให้ดีแล้ว กำลังใจจะเกิดมีขั้นแก่เราด้วยตัวเราเอง  แบบไม่ต้องไปเกรงใจใคร  หรือไม่ต้องยืน  เดิน  นั่ง  และนอน  แบบหน้าละห้อย  รอเคยแรงหวัง  และกำลังใจจาก ใคร ๆ  
เพราะในปัจจุบัน  แต่ละคนก็แข่งขันกับตนเอง  แข่งขันกับเวลา  แข่งขันกับ เพื่อนร่วมงาน  แม้กระทั่งเวลานอนหลับ  ยังแข่งขันกันกรน  คิดดูดี ๆ ล่ะกันว่า  จะมีใคร  มาคอยห่วงใย  ให้กำลังใจเราได้ตลอดเวลาล่ะ  แม้แต่ตนเอง  บางทียังลืมให้กำลังใจตนเองเลย
เมื่อรู้ความจริงข้อนี้แล้ว  ก็เลิกน้อยใจใฝ่เฝ้าคอยกำลังใจจากใคร ๆ  เขาซะนะ  แม้จะเป็นคนรักก็ตามเถอะ  ถ้าเราเป็นฝ่ายให้เขาได้  เพราะเรามีกำลังใจที่เข้มแข็งกว่า  เขาไม่หนีไปไหนหรอก  แต่ถ้าเขาจะหนี  ก็ช่วยไม่ได้  ถือซะว่า  เราไม่เคยมีปุพเพสันนิวาส (เคยอยู่ร่วมมาก่อน)  แม้จะมี  ก็มีโอกาสมาพบเจอ  และเอื้ออาทรกันได้เท่านี้  ก็ยังดีกว่าไม่ได้มีโอกาสเลย  ควรฝึกพอใจในสิ่งที่เรามีนะ  
พ่อหลวงของเราชาวไทย  มักตรัสย้ำเสมอถึง  "ความพอดี  ความพอ เพียง"  แบบธรรมดา  ธรรมชาติ  เป็นธรรมะใกล้ตัวเราอย่างแท้จริง  ที่ไม่ควรทอดทิ้ง  ไม่ควรมองข้าม  เพราะถ้าเรามองข้ามธรรมะ  เราจะขวานขวายหาความเป็นธรรมไม่ได้เลยในชีวิตนี้  เบื้องต้นเราต้องมีธรรมะ คือ  หลักการธรรมดา ๆ  ง่าย ๆ  บอกใจเราได้ในยามที่ท้อแท้  อ่อนแอ  ให้มีกำลังแรงใจลุกขึ้นมาต่อสู้ให้ได้  เท่านี้ก็เพียงพอแต่การใช้ชีวิต  ลิขิตเส้นทางฝันนั้น ๆ  ได้ด้วยตนเอง  ไม่ต้องรอพรหมลิขิตใด ๆ  มาคอยลิขิต  เพราะพระพรหมก็มีหน้าที่ของพระพรหม  พ่อแม่ก็มีหน้าที่ของพ่อแม่  ลูกที่อยากจะโต  ต้องฝึกคิด  และสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ  ได้ด้วยตนเอง  การวิงวอนขอให้พรหมมาลิขิต  ก็เหมือนการงอมืองอเท้าขอพ่อแม่  ตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันตายนั่นล่ะ  แล้วจะเกิดมาทำไมล่ะเนี่ย...เฮ้อ!
ความคิดคนเราก็เหมือนกันนะ  จะต้องรู้จักจัดวางอย่างเหมาะสมและลงตัว  ไม่รู้ก็ควรจะฝึกฝนไว้  ไม่เช่นนั้นแล้วจะยุ่งยาก  และวุ่นวาย  แต่ละคนมีเวลาเท่ากัน  หนึ่งวันมี  ๒๔  ชั่วโมงเท่ากัน  สุขบ้าง  ทุกข์บ้าง  ถือเป็นประสบการณ์ไป  เรื่องทุกข์ทรมานใจ  ต้องมีบ้าง  จะได้รู้กำลังใจของตนเอง  ความคิดของคนเราก็เหมือนกันนั่นล่ะ  ไม่มีใครสามารถช่วยเราจัดวางความคิดได้ดีเท่ากับตัวเราหรอก  ขอเพียงเราใส่ใจที่จะจัดวางมันให้เป็น  แยกประเด็นออกและวางลง  เหมือนวางกระเป๋า ส่วนตัวของเรา  ถ้าไม่ฝึก  ก็วางมั่วไปหมด  ดีไม่ดีอาจจะหายด้วย  หรือไม่ก็ ไปวางทับที่ใครเขาเข้า  ก็กลายเป็นปัญหาอีกล่ะ
ชีวิตคนเราก็มีขึ้นลงอย่างนี้ล่ะนะ  บางทีสิ่งเราคิดว่าหนัก ๆ  พอเจอเข้าจริง ๆ  ก็ไม่ได้หนักอย่างนั้นเสมอไปหรอก  การคิดก่อนทำเป็นเรื่องที่ดี  ควรฝึกไว้  แต่ถ้าคิดแล้วยังไม่มีข้อสรุป  บางทีก็ต้องวางไว้ก่อนนะ  ถือไว้ตลอดคง  ไม่ไหวหรอก  
หากคิดเป็นเห็นคุณค่ามิประมาท
หากฉลาดพินิจจิตสร้างสรรค์
หากไม่คิดติดขัดอาจไม่ทัน
ก่อนชีวันติดขัดต้องหัดคิด
ยังมีลมหายใจให้ฝึกบ้าง
ในระหว่างก้าวเดินอย่าเพลินจิต
หลงสนุกทุกข์มาค่อยพินิจ
อาจจะติดขัดได้เพราะสายเกิน
คิดก่อนทำคำปราชญ์ประกาศก้อง
เป็นทำนองชีวาน่าสรรเสริญ
เพียงแค่มองผ่านไปไม่ประเมิน
อาจจะเดินหลงทางอย่างเคยเป็น
ขอเป็นแรงกำลังใจให้ทุกท่านนะ  จะคิด  จะพูด  หรือทำอะไร ชั่งใจก่อนสักนิดก็ดีเหมือนกัน  จะได้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด  จะไม่ให้ผิดพลาดเลย  คงเป็นไปไม่ได้หรอก  ในโลกนี้  ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด  แม้แต่พระพุทธเจ้า  ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาทรมานตนอย่างแสนสาหัส  นั่นก็คือความผิดพลาดอย่างหนึ่ง  เพราะความไม่รู้  แต่เมื่อรู้แล้ว  พระพุทธองค์ก็ทรงเลือกทางสายกลาง  ไม่ตึง  และไม่หย่อนจนเกินไป  เรียนรู้ดู  อยู่ให้เย็น ทำให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา  ถ้าศึกษาอะไรก็ศึกษาให้จริง  ผู้เขียนศึกษาหลักพระพุทธศาสนา  วันนี้กล่าวได้สนิทใจว่า  เคารพกราบไว้พระรัตนตรัยได้อย่างสนิทใจ  ถ้าเราศึกษาพุทธประวัติดี ๆ  นั่นล่ะคือ  วิชาภาวะผู้นำ  อย่างแท้จริง  เพราะทรงนำจิตวิญญาณของมนุษย์ และสรรพสัตว์ผู้ปฏิบัติตาม  ไปสู่ความสะอาด  สงบ  และสว่าง  จากเครื่อง เศร้าหมองวุ่นวายใจ
ความหวังและกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนทุกคน  ควรฝึกฝนและสร้างขึ้นให้เกิดมีในตนเองไว้เสมอ  จะเป็นการดีกว่ารอคอยจากใคร ๆ  ที่เขาก็ยังขาดความหวังและกำลังใจเช่นกันกับเรา  ดีไม่ดี  เขาอาจจะกำลังรอความหวังและกำลังใจจากเราอยู่ก็ได้  ต่างคนต่างรอ  จึงยากจะมีใครหยิบยื่น ความหวังและกำลังนี้ให้กัน  จึงมีแต่วันน้อยใจกันไป  ไม่มีที่สิ้นสุด  เริ่มสร้างความหวังและกำลังใจให้เกิดขึ้นกับตัวเราเองวันนี้  เมื่อเรามีพร้อมแล้ว  เราจะสามารถแบ่งปันใคร ๆ  ที่เราอยากจะยื่นมอบให้ด้วยความรู้สึกดีจริง ๆ  แม้จะไม่ได้สิ่งใดตอบแทนเลย  ก็ยินดีที่ได้ให้  ดีใจดีได้เห็น  เขาหรือ เธออย่างที่เคยเห็นและเป็นมาอย่างนั้น
หวังใจว่า  ทุกท่านจะรักษากายและใจ  รวมทั้งความใฝ่ฝันที่ดีงามไว้เป็นกำลังใจให้ตนเองต่อไป
รู้สึกดี ๆ
ตัวเล็ก
๑๕  กรกฎาคม  ๒๕๕๐
223812.jpg				
comments powered by Disqus
  • อัลมิตรา

    16 กรกฎาคม 2550 08:11 น. - comment id 96917

    อืมม ..ในตอนนั้นก็เคยถูกถามเหมือนกันเรื่องการเขียนไดอารี่ทุก ๆ วัน
    " เขียนไปทำไมฟระ ทุกวัน กิจวัตรเดิม ๆ " (คิดในใจ) แต่ปากก็ตอบไปว่า
    " หนูไม่มีอะไรจะเขียนหรอก ทำไมคุณพ่อต้องให้เขียนด้วย "
    
    คำอธิบายยืดยาวจนกระทั่งคนอธิบายน่าจะเหนื่อย คนฟังก็แทบหลับ
    เอาเป็นว่า เขียนเท่าที่นึกได้ละกัน วันไหน ง่วงจัด ก็นอนก่อน ติดค้างเขียนทบยอด
    หรือไม่วันไหนที่ไม่มีอะไรผิดปกติ ก็ไม่ต้องเขียน เราสรุปเองเสร็จสรรพ
    
    เขียนเพื่อให้ตนเองได้ทบทวน เขียนเพื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลง
    ตอนนั้น .. ไม่ยักจะคิดแบบนี้แฮะ รู้แต่ว่า เป็นภาระชะมัด
    
    อยากได้ไดอารี่เหมือนกันนะ แต่ไม่ได้เอาไว้เขียนบันทึก 
    อยากได้ไดอารี่สวย ๆ เอาไว้เขียนกลอนต่างหาก ..
    และในที่สุด ก็ไม่ได้เขียนอะไรต่อ หลังจากไดอารี่เล่มแรก หาย ..
  • เพียงพลิ้ว

    17 กรกฎาคม 2550 13:15 น. - comment id 96931

    มารับกำลังใจจากอ้ายก่อนจ้า
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif1.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน