เรื่องบ่น ตอนที่สอง

คีตากะ


           และแล้ว ! ก็เป็นเหมือนเก่า..ในที่สุดเราก็ก้าวเข้ามาสู่จุดเริ่มต้น กลับมาสู่ชนบทแดนกันดาร ห่างไกลความเจริญ นี่คือบ้านเกิด ท่ามกลางป่าไพรและท้องทุ่ง มีคนเคยบอกว่า รก ของเราถูกฝังไว้ที่แห่งนี้ เราจึงไม่สามารถหนีไปไหนได้ไกล ไม่ว่าจะไปไกลแค่ไหน สุดท้ายต้องวนกลับมาที่เดิม.....
          ที่นี่คือสถานที่ในการหยุดเพื่อตรวจสอบระบบความคิดของตัวเอง......เพราะชีวิตถูกสร้างขึ้นมาจากความคิดอันเข้มข้นของตัวเราเอง เราเชื่อเช่นนั้น ความคิดคือสิ่งกำหนดชะตาชีวิต ความคิดเปลี่ยนโลกเปลี่ยนชะตาชีวิต...หลายคนเคยพูดเช่นนั้น เราก็เชื่อเช่นนั้น เพียงแต่ว่า อาจไม่ใช่เพียงแค่ความคิด น่าจะมีเรื่องของกรรม ซึ่งก็คือความคิดในอดีตเช่นกัน ประกอบเป็นองค์รวมอยู่ด้วย สรรพชีวิตล้วนเป็นไปตามกรรม เหมือนกับเวลาตอนเด็กๆที่เล่นลูกบอลลูกเล็กๆ บางครั้งเราเตะมันอัดกับกำแพงแรงเท่าใด มันก็จะกระเด้งกลับมาแรงเท่านั้น....
          ความรู้สึกตอนที่ต้องตื่นนอนแต่เช้า แปดโมงเพื่อ เร่งรีบเข้าทำงาน และคอยเวลาห้าโมงเย็นเพื่อรอเวลาเลิกงาน มันเป็นช่วงเวลาที่ทรมานมากจริงๆสำหรับชีวิต ราวกับว่าถูกคุมขังอยู่ในคุก แต่เวลานี้เราดูเหมือนว่าจะมีอิสระมากขึ้นเหมือนจะมีความสุขดีแต่เรื่องปวดหัวอย่างอื่นก็ยังคงมีใหม่ๆอยู่เสมอ ราวกับว่าวที่สายป่านถูกตัดขาดลอยละลิ่วไปไร้ทิศทาง ทั้งอิสรเสรีและเลื่อนลอย
          ถ้าพิจารณาแล้วคำว่าไร้แก่นสารนั้นไม่สมควรกล่าวในเวลานี้ เพราะชีวิตคือความไร้แก่นสารประการหนึ่งตั้งแต่เริ่มต้น มีคนบอกเราว่าชีวิตย่อมมีจุดมุ่งหมายของมัน แม้จะจบลงด้วยความตายก็ตาม เราเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะเราไม่เคยตายเลยไม่รู้ว่าจากนั้นจะไปไหนต่อ แต่สิ่งหนึ่งที่เราเชื่อคือคำกล่าวที่ว่าชีวิตแท้ที่จริงต้องการความสุข และการเกิดมาก็เพื่อนเป้าหมายนี้....แต่อะไรเล่าคือความสุข ? แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนบอกดูหนังฟังเพลงเป็นความสุข บางคนบอกมีคนรักเป็นความสุข บางคนบอกการได้ท่องเที่ยวเป็นความสุข บางคนว่าเรื่องกินสิเป็นความสุข บางคนบอกว่าสังคมมีเพื่อนเยอะๆเป็นความสุข บางคนบอกว่าร่ำรวยสิจึงเป็นความสุข บางคนบอกได้ร้องเพลงก็พอแล้ว บางคนบอกว่าการนอนป็นความสุข บางคนชอบทำงานหนักเป็นความสุข บางคนบอกสันโดษเป็นความสุข แต่ละคนก็มีความสุขในมุมมองของตัวเอง และใครก็อย่ามาวิพากษ์วิจารณ์.....
         แต่ถ้าใครถามว่าความสุขที่เป็นสุขที่นิรันดร์ หลายคนที่พอรู้หน่อยก็ต้องบอกว่านิพพาน ซึ่งคำนี้ฟังง่ายแต่แปลยาก บางคนบอกว่าหมายถึง การดับเย็นจากกิเลส หรือการหมดจากทุกข์ ดับจากทุกข์ เรามีความเชื่อว่าทุกคนต้องเคยเจอความทุกข์มาแล้วทุกคน แต่มีกี่คนที่เจอคำว่านิพพาน และใครจะมีชีวิตที่เป็นนิพพาน ยังมีบางคนพูดถึงนิพพานชั่วคราว นิพพานถาวร เป็นอย่างไรก็ยากเข้าใจ น่าเสียดายที่เราไม่เคยนิพพาน เลยไม่รู้ บางคนถึงกับบอกว่า นิพพานแปลว่าตาย ยิ่งปวดหัวไปใหญ่ ก็คงปล่อยมันไป ว่ากันไป.......แต่เชื่ออย่างหนึ่งว่า นิพพานต้องมีความสุข แล้วแต่ใครจะชอบ จะรักนะกัน....
        กลับมาบ้านก็เจอแต่ข่าวๆๆๆ เพราะปกติไม่ค่อยดูข่าว แต่พ่อเขาชอบดูก็เลยต้องดูเป็นเพื่อนเขา อยู่กันแค่สองคน แม่ก็ไปเลี้ยงหลานให้น้องชาย เราจึงต้องทำงานแทนแม่ ทำกับข้าว ซักผ้า ล้างจาน ทำความสะอาดบ้าน งานของผู้หญิงเราทำหมด เราออกมาทำธุรกิจส่วนตัว และประกาศว่าจะไม่ยอมเป็นลูกจ้างให้ปวดหัวอีก ใครๆก็พูดง่าย แต่ไม่เคยทำได้สักที แม้แต่เราก็พูดมาหลายรอบ แต่สุดท้ายยังคงกลับไปทำงานบริษัทอยู่ดี คราวนี้ก็อีกแหละ ความตั้งใจดี แต่ปัญญาไม่พอ เอาตัวไม่รอด แต่เราล้มลุกคลุกคลานอย่างไรก็ไม่ยอมแพ้แน่นอนนี่ก็ผ่านงานมาตั้ง 5 บริษัทแล้ว สงสัยจนอายุเกินที่เขาจะรับเข้าทำงานจึงจะหยุดได้กระมัง.....
        ข่าวการบ้านการเมืองยิ่งน่าเวียนหัว ละครไทยดูไปก็น้ำเน่า เน้นการตลาดขายโฆษณาอย่างเดียว คนก็ดูกันจัง ยิ่งละครเรื่องเด็ดๆ ค่าโฆษณา นาทีเป็นแสน เราเคยทำการตลาดมาบริษัทหนึ่ง เคยถามเจ้าของกิจการว่าทำไมสินค้าเราถึงไม่ทำโฆษณาทางทีวี เขาบอกว่าเคยทำมาแล้วแต่ไม่ได้ผล เพราะแบรนด์ของคู่แข่งเข้มแข็งติดตลาดมากกว่า แถมลงทุนทีใช้เงินเป็นล้าน ทุกวันนี้บริษัทนี้เน้นส่งออก 95% ขายในประเทศแค่ 5% เลยไม่ต้องทุ่มงบโฆษณา เน้นขายตรงมากกว่า วางตามโมเดิ้นเทรด ห้างร้านต่างๆไว้ให้แบรนด์ติดตาเท่านั้น เท่ากับเป็นการโฆษณาไปในตัว.....
        ข่าวเรื่อง คนรวยเล่นหุ้น คนจนเล่นหวย ฟังคนโน้นพูดที คนนี้พูดที เราชาวบ้านตาดำๆธรรมดายิ่งปวดเศียรเวียนเกล้าไปใหญ่ พูดมากก็โดนด่า ว่าเป็นพวกไร้การศึกษาซะงั้น บ้างก็ว่าไหนๆจะเล่นกันแล้วก็ทำให้ถูกกฎหมายไปเลยเอาเงินเข้ารัฐช่วยเหลือเด็กยากจนขาดทุนการศึกษา บ้างก็ว่าเป็นการส่งเสริมอบายมุขทำประเทศล่มจม ไม่รู้จะฟังใคร หาโอเลี้ยงกินดีกว่าแก้เซ็ง มันอึดอัดคับข้องใจยังไงชอบกล....
       ต่างคนก็ต่างมุมมอง...ว่ากันไป  อะไรถูกอะไรผิดเดี๋ยวก็รู้เองแหละ บางคนว่าโลกนี้ไม่มีดำกับขาว มีแต่สีเทาๆมัวๆ น่าจะจริงนะ น่าสังเกตว่าสิ่งนี้ได้สะท้อนภาวะจิตใจของคนออกมา ว่าที่จริงยังคงสีเทาๆ ไม่ดำสนิทและขาวบริสุทธิ์ นี่แหละมนุษย์ตัวจริง เป็นๆ ทุกคนก็มีอัตตาทิฐิ ด้วยกันทั้งนั้น ตัวเองต้องถูกต้องเสมอ ไม่ยอมฟังใคร ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น กูอยู่เฉยๆดีกว่าประเทศฉิบหายกูก็ฉิบหายไปด้วย..นั่นสิ บ้านหลังเดี๋ยวกันเสาหายไปข้าง หลังคาหลุดไปบ้าง มันก็คงซวยกันอยู่ดี จะหนีไปไหนล่ะ หรือจะเข้าป่า ก็คงอดตายในป่า เพราะเดี๋ยวนี้คนมันทำลายป่ากันจะหมดประเทศแล้ว ดินฟ้าอากาศแปรปรวนไปหมด นี่จะหน้าร้อนแท้ๆ เมื่อเช้าดันหนาวจนเกือบจะเป็นไข้ ดูมันสิธรรมชาติไปกันใหญ่ คงเริ่มเพี้ยนตามคนนั่นแหละ กรรมละคราวนี้ ความฉิบหายมาเยือน...
      พวกคนจนก็บอก...พวกคนรวยมันโกงเขามาใครจะทำเงินได้เยอะๆขนาดนั้นมันต้องโกงชัวร์ ส่วนพวกคนรวยก็บอก....พวกคนจนมันโง่ไม่มีสมอง ทำธุรกิจไม่เป็น ทำงานเพื่ออุดมการณ์ ให้มันกินอุดมการณ์แทนข้าวไปเถอะ ไม่รู้จะฟังใครต่างคนก็ต่างสาดโคลนใส่กัน ถ้าพูดถึงความสุขสบายทางกายรวยก็อาจจะดี แต่ถ้าสบายใจไม่ต้องดิ้นรนมากไม่แน่จนอาจจะดี เพราะยังไงคนรวยตายก็เอาอะไรไปไม่ได้ซักอย่างและจะเป็นทุกข์มากเวลาจะตาย พวกนี้กลัวตายเป็นที่สุด เสียดายชีวิตที่สุขสบาย ส่วนคนจนตายก็เอาความยากลำบากติดตัวไปไม่ได้ อาจจะอยากตายเร็วๆเสียด้วยซ้ำ ไม่ค่อยกลัวตาย เพราะอาจคิดว่าชาติหน้าตากูรวยมั่งนะกัน เพราะจริงๆคงไม่มีใครคิดเกิดมาจนหรอก ใครก็ต้องอยากรวย อยากสบายทั้งนั้น แต่ไม่มีปัญญาเท่านั้นเอง....
      คนมีปัญญาเท่านั้นที่สามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาส และมองเห็นโอกาสในทุกๆที่ๆ ทุกสถานการณ์ หากเป็นนักธุรกิจก็เห็นโอกาสในการทำเงิน การลงทุน หากไม่มีโอกาส ยังสามารถสร้างโอกาสขึ้นมาได้อีก ส่วนคนไม่มีปัญญาอย่าว่าแต่ไม่เคยเห็นโอกาส ยังนอนรอโอกาส ไม่รู้จักโอกาส ที่ซ้ำร้ายยิ่งไปอีกคือมีโอกาสแล้วยังไปทำลายโอกาสอีก เช่นเราเป็นต้น มีโอกาสร่ำรวยตั้งไม่รู้กี่ทีกลับไปทำลายหมดเลย.....กรรมของตู แต่นี่ก็เป็นแค่โลกียปัญญา....
       โลกุตรปัญญา เป็นอย่างไร? คงต้องไปถามพวกบำเพ็ญเพียรทางจิต วิปัสสนากรรมฐาน พระเจ้าพวกนั้น เราก็ไม่ค่อยรู้เป็นคนไม่มีโลกุตรปัญญา แต่เคยได้ยินได้ฟังมามาก ว่าคนที่มีปัญญาชนิดนี้จะสามารถกลายเป็นยอดคน เช่นในเรื่องสามก๊ก ขงเบ้งถือได้ว่าเป็นยอดคน หยั่งรู้ดินฟ้าปานเทพยดาประมาณนี้แหละ ถ้าขงเบ้งบำเพ็ญต่อไปในป่าไม่ออกมาทำศึก ก็อาจบรรลุธรรมขั้นสูงก็เป็นได้ การมารบราฆ่าฟัน สร้างเวรกรรม ขงเบ้งอายุสั้นตายแค่อายุประมาณ 40 เท่านั้น จริงเปล่าไม่รู้? มีคนบอกว่าขงเบ้งกับฮิตเลอร์มีอะไรเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้รบกี่ครั้งไม่เคยแพ้ ในแวดวงคนบำเพ็ญบอกว่า แท้ที่จริงพวกนี้ใช้โลกุตรปัญญาไปในทางที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก การบำเพ็ญจิตทางลัทธิเต๋าของขงเบ้งทำให้เขาสามารถถอดจิตได้ และก่อนจะรบเขามักจะถอดจิตออกไปดูข้าศึกวางแผนกันบ่อยๆ จึงสามารถรับมือและซ้อนแผนข้าศึกได้ราวกับตาเห็น ที่มีอยู่ครั้งที่ขงเบ้งสามารถสยบทัพทั้ง 7 ทัพที่ยกมาพร้อมกันจากทุกทิศทาง เพียงนั่งอยู่ในกระโจมวางแผนเท่านั้น ทัพทั้ง 7 ถอยแตกกระจายไม่เป็นขบวน ใครจะคาดคิดว่าขงเบ้งเพียงแค่นั่งถอดจิตไปดูศัตรูจนรู้ไส้รู้พุงหมดแล้วก็อาจเป็นได้.....เหลือเชื่อจริงๆๆๆ...ฮิตเลอร์ก็คงถอดจิตได้เหมือนกัน เดี๋ยวประวัติศาสตร์จะเพี้ยนกันไปใหญ่...กรรมแล้วตู ว่าไปตามเขา......หาเรื่องใส่ตัวและ! ไปนอนดีกว่า.....
				
comments powered by Disqus
  • โคลอน

    6 มีนาคม 2551 16:21 น. - comment id 99343

    แปะโป้งไว้ก่อนนะคะ46.gif36.gif
  • ช่ออักษราลี

    6 มีนาคม 2551 18:18 น. - comment id 99354

    บ่นอารายกันคะ คีตากะ มีเรื่องบ่นเยอะจัง36.gif
  • โคลอน

    7 มีนาคม 2551 08:12 น. - comment id 99366

    บางทีการได้บ่นออกมาเป็นตัวหนังสือบ้างเพื่อปล่อยให้จิตว่าง ก็ดีนะคะ11.gif36.gif
  • ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

    8 มีนาคม 2551 01:06 น. - comment id 99409

    มาฟังคุณบ่น
    
    บ่นแล้วหลับสบายไหมครับ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน