การเสียสละที่มีค่ายิ่งกว่าการเป็นฮีโร่ .."อัศวินรัตติกาล"

อัลมิตรา

... batman     ในภาคของ  the darkknight  อัศวินรัตติกาล...
...จริง ๆ นั้น  batman คือหนึ่งในหลายบทบาทของสังคม...
...ที่ผู้เป็นฮีโร่มักปรากฏกายในยามคับขันเสมอ...
...และผู้ที่เป็นวีรบุรุษนั้น...
...บางครั้งยอมเสียส่วนใดส่วนหนึ่งในชีวิตไปเพื่อบางสิ่ง...
 
...บางครั้ง ฮี่โร่ มักคิดเองว่า  ตนเองสามารถคุ้มครองโลกได้หรือ สังคมได้...
...แต่หารู้ไม่  สังคมและโลกมีสิ่งต่าง ๆ ที่ละเอียดและแปลก ตามวถีทางของมัน...
 
...บางครั้ง  โลกและสังคมก็โอบอุ้มเรา  คุ้มครองเรา  เคียงข้างเรา...   
...แต่บางครั้ง  ดูเหมือนเพิกเฉยและไม่สนใจไยดีต่อเรา...
 
...ทุกครั้งมีบางเสี้ยวของชีวิตที่เหมือนปม...  
...และทำให้คิดว่า...
...  เราขาดสิ่งใดไปและใครผู้อื่นอย่าได้เจอแบบเรา  ขาดแบบเรา...
 
...ทีนี้ลองมาดูกันว่า อัลมิตราค้นพบปมอะไรบ้าง...
... และได้ข้อคิดอะไรบ้าง จากการที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้
..." ขอต้อนรับสู่ Gotham City นครแห่งความวุ่นวายและยุ่งเหยิง " 				

Bruce Wayne  
บรูซ เวยน์.. มหาเศรษฐีที่พร้อมทรัพย์ทุกอย่าง เขาต้องสละชีวิตส่วนหนึ่งของตัวเอง เพื่อช่วยเหลือเมือง Gotham ที่เขาอาศัยอยู่ แม้แต่การเสียสละคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา เขาก็ยินยอม แต่กระนั้นอาชญากรก็ยังคงมีมากมาย สังคมเน่าเฟะโสมมและวุ่นวาย ทั้งที่เมื่อก่อน บรูซ เวยน์ เคยเป็นฮีโร่ในสายตาคนอื่น ทุกครั้งที่มีการขอความช่วยเหลือ เขาก็ไม่เคยปฏิเสธ แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานวัน ความสำคัญของเขาก็กลายเป็นเพียงตัวประหลาดเท่านั้นที่ใส่เกราะสวมหน้ากากมีหูตั้งและบินได้เท่านั้น เขายอมเป็นแพะรับบาปเพื่อให้สถานการณ์บางอย่างเป็นไปโดยไม่ต้องติดกรอบกฏหมาย  โดยที่ความดีงามที่เขาสั่งสมมา ไม่เคยมีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ไม่เคยมีใครใส่ใจ แน่ล่ะ เพราะเขาไม่ได้เปิดเผยตัวเองว่าเขาคือใคร เขาเป็นเพียงบุรุษในชุดค้างคาวที่มาเยือนในยามราตรี ในขณะที่สังคมต้องการฮีโร่ซึ่งประกาศตัวอหังการได้อย่างชัดเจนและเปิดเผยเช่นอัยการเขตสุดหล่อ ฮาร์วีย์ เดนท์ เขายังคงหลบเร้นและคอยช่วยเหลือผู้อื่น ณ เบื้องหลังแห่งรัตติกาล ฉากที่เขายืนเดียวดายบนตึกระฟ้า ช่างเป็นฉากที่บ่งบอกถึงความลึกลับและโดดเดี่ยวของ batman  อันที่จริงเขาก็คือคนธรรมดาคนหนึ่งที่ต้องการความรักจากใครสักคนเหมือนกัน 

 การเสียสละที่มีค่ายิ่งกว่าการเป็นฮี่โร่  				

Harvy Dent  
ฮาร์วีย์ เดนท์ .. ตอนแรกที่อัลมิตราเห็นเขา ก็ยังไม่รู้สึกประทับใจสักเท่าไหร่ หมอนี่มาแย่งคนรักของพระเอกได้ไงกัน มากจากไหนกันเนี่ย มาดก็เหลือเกิน แต่ในที่สุด เธอผู้ที่เป็นที่รักของ batman ก็เลือกแล้วที่จะใช้ชีวิตคู่กับฮาร์วีย์ เดนท์ โลกมันเศร้าที่เป็นไปไม่ได้ เพราะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะรอด เหมือนเขาถูกโลกรังแก จากความตั้งใจที่จะเป็นคนดีของเขา กลายเป็นคนที่ล้มเหลวในชีวิต การที่เขาไม่อาจช่วยคนรักของเขาได้ ทำให้เขามีบาดแผลทั้งกายและใจ บาดแผลใจนั้นลึกกว่าที่เป็นตามใบหน้า เขาไม่ยอมยกโทษให้กับชะตา ปุถุชนธรรมดานี่เอง ที่คนสร้างหนังต้องการให้คนชมเปรียบเทียบความเป็นมนุษย์สองหน้าของเขา ซึ่งบ่งบอกได้ชัดถึงคำว่า "เมื่อใดเสียศูนย์ เมื่อนั้นเสียคน" และเหรียญต้องมีสองด้านเสมอ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีเพียงด้านเดียว

 ในโลกที่โหดร้าย สิ่งที่เที่ยงตรงที่สุดคือการเสี่ยงดวง
จะตายอย่างฮีโร่หรือจะอยู่จนกว่าจะเห็นตัวเองเป็นผู้ร้าย				

Jim Gordon  
ผู้หมวดจิม กอร์ดอน ..ผู้ซึ่งไว้ใจและเชื่อใจในความเป็นฮีโร่ของ batman  ภาคที่แล้วเขาต้องขับรถของ batman อย่างทุลักทุเล ภาคนี้เขาไม่ได้เล่นฉากหวือหวาขนาดนั้น แต่ก็เป็นการแสดงที่ค่อนข้างสะกดอารมณ์ของผู้ชมพอสมควร โดยเฉพาะฉากที่เขาทุบสัญลักษณ์ที่ขอความช่วยเหลือจาก batman  พร้อมกับประกาศว่า  batman คือหนึ่งในอาญชกรตัวสำคัญ และในครั้งที่ใคร ๆ คิดว่าเขาตกเป็นเหยื่อกระสุนที่โจ๊กเกอร์วางแผนลอบสังหาร ฮาร์วีย์ เดนท์ อัลมิตรายังอดไม่ได้ที่จะใจหายวูบ คิดว่าเขาตายไปแล้วจริง ๆ  ถ้าไม่คิดถึงโรบิ้นที่เป็นคู่หูของ batman แล้ว อัลมิตราก็คิดว่า หมวดกอร์ดอนนี่แหล่ะน่าจะได้รับตำแหน่งนั้นไป 

 เพราะ แบทแมน ย่อมไม่ใช่คนที่พวกเราต้องการ 
แต่เขาคือฮีโร่ที่ชาวก็อตแธม ต้องมี 

นี่คือประโยคสุดท้ายของบทภาพยนตร์ที่หมวดกอร์ดอนกล่าวกับบุตรชาย โดยภาพของ batman หนีการไล่ล่าจากตำรวจ				

Joker  
โจ๊กเกอร์ ตัวตลกวิปลาส.. ในวัยเด็กที่เขาถูกทารุณกรรม กระทั่งเขาไม่เชื่อว่าความดีงามมีอยู่บนโลก มันน่าทึ่งมากที่เขาเผาเงินจำนวนมหาศาลอย่างไม่ใยดี แต่หันไปสนใจเรื่องระเบิดแทน แน่ล่ะ โจ๊กเกอร์ไม่ได้ปฏิบัติการเพื่อเงิน หากแต่เขาต้องการทำลายกฏระเบียบอันดีงามของสังคม รวมไปถึงคุณธรรมในหัวใจของคน บางคำพูดของเขาเสียดแทงใจ batman มาก รู้ได้ทันทีเลยว่า  batman ปวดใจแหง๋ ๆ  โจ๊กเกอร์ เขาไม่ค่อยเก่งนะ ในฉากบู๊ ถูกเตะถูกซ้อมตลอด แต่ตอนที่เขามีปืน มีระเบิด เขาเหี้ยมมาก ในเรื่องฉากที่เขาบอกเล่าถึงความเป็นมาของรอยยิ้มอันน่าสพรึงกลัวของเขา พ่อของเขานั่นเองที่ทำให้ใบหน้าที่เคร่งเครียดของเขากลายเป็นยิ้มอำมหิต จะว่าไปแล้วโจ๊กเกอร์มีพรสวรรค์ในการเดาใจผู้อื่นเป็นอย่างมาก รู้กระทั่งจุดอ่อนของคนที่ดีที่สุดในขณะนั้น เขาทำลายคุณค่าความดีที่ฮาร์วีย์ เดนท์ ที่สั่งสมมา เขาทำให้ชีวิตทั้งหมดของ ฮาร์วีย์ เดนท์ ผิดพลาด เขาทำให้ batman ผู้ที่ตั้งความหวังไว้สูงกับ ฮาร์วีย์ เดนท์ ต้องผิดหวัง ถ้าพูดถึงความฉลาดแล้ว เขายอดเยี่ยมเชียวล่ะ ทว่าฉลาดในเรื่องเลว ๆ				

Alfred 
อัลเฟรด .. คนรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของ batman  จะว่าไปแล้วอัลมิตรากลับคิดว่าเขาน่าจะเป็นญาติของ batman มากกว่า ดูเขาเอาใจใส่ต่อ batman เหลือเกิน เขาเผาจดหมายที่นางเอกเขียนถึง batman เพื่อที่จะให้ batman เก็บความรู้สึกดี ๆ ไว้ เพราะในที่สุด เธอก็ไม่ได้เลือกเขา เธอรู้ดีว่า เขาไม่สามารถเป็นคนธรรมดาได้ นอกเสียจากเป็นได้อย่างเดียวคือ "ฮีโร่" ในจดหมายที่เธอเขียนบอกว่า เขาเป็นได้แค่เพื่อนนั้นกลายเป็นความลับที่มีเพียงอัลเฟรดคนเดียวเท่านั้นที่รู้ และอัลเฟรดก็ปล่อยให้ batman คิดไปเองว่า เธอตกลงที่จะอยู่กับ batman ในฐานะคู่ชีวิต อัลเฟรดรำพึงกับตัวเองในขณะที่เผาจดหมายสำคัญฉบับนั้นว่า

 บางครั้ง ความจริงก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญเสมอไป  				

Reshel 
ราเชล .. อัลมิตราเรียงลำดับให้เธอโดยให้ความสำคัญน้อยกว่าคนอื่นทั้งที่เธอเป็นหญิงที่ batman รัก เพราะเพียงไม่กี่นาทีที่เธออยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของ batman  อีกประเดี๋ยวเธอก็มาอยู่ในอ้อมกอดของ ฮาร์วีย์ เดนท์ ด้วย อัลมิตราก็เลยรู้สึกว่าเธอทรยศต่อความรักที่ batman มีต่อเธอ .. แต่เธอก็ยิ่งใหญ่มากในความเสียสละ เธอรู้ว่า batman มีโอกาสเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่จะเลือกช่วยเธอหรือเลือกช่วย ฮาร์วีย์ เดนท์ และเธอก็รู้ว่า ความสำคัญของฮาร์วีย์ เดนท์ มีมากกว่าเธอ ดังนั้นเธอเต็มใจที่จะเป็นผู้อุทิศเพื่อให้คนที่เธอรักรอด จำได้ว่าในภาคที่แล้วเธอบอกว่าเธอรักบรูซ เวยน์ แต่เธอบอกเหตุผลที่ไม่อาจแต่งงานกับเขาได้ว่า เพราะต้องการให้เขาเป็นฮีโร่ตลอดกาล และในภาคนี้เธอกลับรับคำขอแต่งงานของ ฮาร์วีย์ เดนท์ เพราะเธอคงชั่งน้ำหนักแล้วว่า อนาคตของเธอกับความสัมพันธ์อันยืนยาวเธอควรอยู่กับใคร อืมม เหตุผลนี้พอจะทำให้อัลมิตราคลายความหมางใจลงไปเยอะ				

นักโทษร่างบึ๊กบนเรือเดินทะเล.. 
ใครจะคิดล่ะว่าคนที่ถูกคนอื่น ๆ มองว่าเป็นเศษคนและไร้ค่า จะกล้าหาญและยอมเป็นผู้เสียสละ กับคำพูดที่ว่า

 ตอนนี้เราก็ยังอยู่ไม่ใช่เหรอ แสดงว่าคนบนเรือลำนั้นก็ย้งไม่คิดฆ่าเราเหมือนกัน 

แล้วเขาก็ลุกขึ้นมาเป็นคนถือระเบิดเสียเอง ซึ่งนัยยะนี้บ่งบอกให้รู้ว่า ผู้ที่โดยสารอยู่ทั้งสองลำเรือต่างก็ไม่อยากทำร้ายกันและกัน .. ถ้าทุกคนบนโลกคิดแบบเขาคงดีนะ อัลมิตรายังนึกถึงมาดเท่ห์ ๆ ที่เขาโยนรีโมทระเบิดเรือลงน้ำอย่างไม่ยี่หร่ะ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านั้นหัวใจของแต่ละคนเต้นระส่ำไปหมด				
 
แต่ทั้งหมดก็คือพล็อตที่ถูกสมมุติขึ้นมาเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริง อีกทั้งตัวละครทั้งหมดก็ถูกกำหนดให้โลดแล่นตามบทบาทที่สัมผัสได้ ในโลกแห่งความวุ่นวายที่ถูกย่อให้เหลือแค่เมือง Gotham สิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่ได้หยุดหย่อน เราต้องการใครสักคนที่จะมาคลี่คลาย เราต้องการใครสักคนที่จะมาช่วยเหลือ เราต่างรอคอย เราต่างตั้งความหวังไว้ว่า ..สักวัน คนนั้น จะปรากฏกายจริง				
				
ecause he's the hero that Gotham deserves, 
but not the one it needs right now ...
so we'll hunt him ...
because he can take it ...


because he's not a hero...
he's a silent guardian, a watchful protector... a Dark Knight!
				

.      ๏ ความกล้าหาญนั้นมี ณ ที่ไหน ?
       หากดวงใจเธอตรองจึงมองเห็น
       กุศโลบายหลายหลากมากประเด็น
       ซึ่งจักเป็นเกราะแกร่งแข็งทนทาน

       เพียงอย่าหวั่นพรั่นพรึงซึ่งอุปสรรค
       จงตระหนักความจริงสิ่งพ้นผ่าน
       รู้เท่าทันชั่วดีด้วยปฏิภาณ-
       อย่างห้าวหาญคือคำตอบมอบแด่เธอ 

       เพียงเธอพร้อมยอมรับซึ่งสรรพสิ่ง
       ทั้งลวงจริงสารพันเช่นนั้นเสมอ
       อุดมการณ์อันประเสริฐแสนเลิศเลอ
       ล้วนอยู่ในใจเธอเสมอมา 

       แม้นโศกเศร้าร้าวระทมทั้งขมขื่น
       ในวันคืนสิ้นหวังบ้างหวาดผวา
       จักคลี่คลายหายไปในทันตา
       เพียงแกร่งกล้าพร้อมเผชิญมุ่งเดินไป 

       แล้วเมื่อเธอได้ประสบพบความแกร่ง
       ที่เปลี่ยนแปลงปริกัลป์*อันยิ่งใหญ่
       ทิ้งความขลาดหวาดหวั่นพรั่นพรึงใด
       เพื่อเข้าใจบัญญัติความสัจจ์จริง

       จึ่งรู้ดีว่าชีวิตทั้งอิฐผล*
       บันดาลดลให้ประสบพบสุขยิ่ง
       ล้วนพร้อมพรั่งทั้งนิยามความเป็นจริง
       ว่าคือสิ่งสร้างสรรค์อย่างมั่นคง  

       เมื่อใดใจเริ่มล้าคราพ่ายแพ้
       ฤๅอ่อนแอทุกข์ระทมไม่สมประสงค์
       ให้เธอตรองมองเหตุเจตจำนงค์
       เพื่อดำรงชีวิตกิจการงาน

       จงเข้มแข็งแกร่งกล้าหาสิ่งหมาย
       มุ่งขวนขวายกอปรกิจคิดสืบสาน
       มีสิ่งหนึ่งซึ่งประสิทธิ์จิตรการ*
       คือความหาญกล้าแกร่งแห่งใจเธอ

       แม้เส้นทางระหว่างก้าวแสนยาวยิ่ง
       ยามถูกทิ้งเปล่าเปลี่ยวเดียวดายเสมอ
       แท้โลกกว้างทางฝันอันล้ำเลอ
       มีเพียงเธอไร้คนจับประคับประคอง 

       เธอสามารถปรารถนาหาความรัก
       เพื่อประจักษ์ความจริงสิ่งทั้งผอง
       เพียงใคร่ครวญเพ่งพินิจคิดไตร่ตรอง
       รู้ครรลองแห่งใจในเธอนั้น

       แล้วความทุกข์ร้าวระทมทั้งขมขื่น
       แม้วันคืนเปลี่ยวเหงาเศร้าโศกศัลย์
       จักเสื่อมคลายมลายไปในปัจจุบัน
       เช่นหลับฝันครั้นตื่นแล้วรื่นรมย์

       คุณองค์พระชินสีห์ที่ล้ำเลิศ
       สิ่งประเสริฐแห่งพระธรรมกรรมเหมาะสม
       คุณพระสงฆ์ทรงคุณ(ะ)วโรดม*
       ทั้งอินทร์พรหมเทวาในสากล 

       จักคุ้มครองป้องปักษ์และรักษา-
       ยามเธอล้าอ่อนแรงทุกแห่งหน
       ถึงยากแค้นแสนเข็ญเป็นกังวล
       เทพเบื้องบนจักช่วยอำนวยชัย

       จงแกร่งกล้าสามารถองอาจพร้อม
       อย่ายินยอมพ่ายแพ้แม้ยามไหน
       วันพรุ่งนี้มีฝันอันอำไพ
       ยังรอให้มุ่งหน้าหาหนทาง ๚ะ๛ 


				
comments powered by Disqus
  • นายงมงาย

    30 กรกฎาคม 2551 16:48 น. - comment id 100740

    ระวัง..! ความรุนแรงเกิดจากชายชื่อ มูฮัมมัด ศาสดาที่โน้มน้าวสาวกให้งมงายกับการ แก้ปัญหาด้วยความรุนแรง โดยการกำหนดกฎเกณฑ์ ให้เป็นการต่อสู้ของลัทธิศาสนา    มูฮัมมัดนั่นหรือ คือใครกันแน่.....?  ท่านศาสดามูฮัมมัดน่ะหรือ..... ท่านก็เป็นมนุษย์ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง  ที่ใช้ความเป็นหนุ่มรูปงาม อายุน้อย ผูกมัดใจสาวใหญ่สูงอายุผู้มั่งคั่ง  เพื่อการดำรงชีพ   แล้วขอแต่งงานด้วย   เพื่อครอบครองทรัพย์นำไปเป็นประโยชน์แก่ตนเอง หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งว่า  เกาะเมียกิน  ก็ได้  จึงกลายมาเป็นลักษณะนิสัยของหนุ่มมุสลิมทั่วไปในปัจจุบัน
    เพราะการที่ท่านศาสดามูฮัมมัดมีเมียแก่ แต่ไม่ค่อยจะมีความสุขในครอบครัว ไม่พอใจในชีวิตการครองคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว  จึงกำหนดกฎเกณฑ์ให้ผู้ชายมุสลิมมีเมียได้ ๔ คน
    แต่พอมีเมียคนใหม่เป็นเด็กอายุน้อย ๆ ตั้งแต่คนที่ ๒ ก็เกิดความหวงแหนกลัวเมียเด็กจะไปปันใจให้ชายอื่นที่หนุ่มกว่า จึงบังคับให้เมียเด็กคลุมหน้าคลุมตา ไม่ให้ผู้ชายคนอื่นมองเห็นความงดงามของเมียน้อยตัวเอง และเพื่อมิให้เป็นข้อครหา จึงกำหนดกฎเกณฑ์ให้ผู้หญิงมุสลิมทุกคนต้องคลุมหัวปิดหน้า
    ท่านศาสดาเป็นคนที่มีอีโก้สูง อยากโดดเด่นเหนือคนอื่น  จึงคิดหาวิธีการตั้งตนเป็นใหญ่ด้วยการจัดตั้งลัทธิความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกัน คือ  อัลเลาะฮ์   และการที่ทุกคนจะติดต่อกับอัลเลาะฮ์ ได้ ก็จะต้องติดต่อผ่านท่านศาสดามูฮัมมัดเท่านั้น  คนอื่น ๆ ไม่เก่ง ไม่บริสุทธิ์ ไม่ดีเลิศ เท่าท่านศาสดา  ความคิดนี้ จึงไปขัดแย้งกับสาวกของพระเจ้าองค์อื่น ๆ  ที่พวกเขานับถือกันอยู่  ซึ่งก็คือ เผด็จการทางความคิดนั่นเอง   จึงเกิดสงครามต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในการครอบครอง  หินกาบะห์   สถานที่ศักด์สิทธิ์ของพระเจ้าหลายองค์ในขณะนั้น
    การต่อสู้ทางความคิด และสงครามทางอาวุธ ของท่านศาสดามูฮัมมัดในระยะแรก พ่ายแพ้ยับเยิน ต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน ถูกตามล่าจนแทบเอาชีวิตไม่รอด  จึงหาวิธีปลุกระดมมวลชน สาวกกลุ่มใหม่ให้ยอมสละชีวิตร่างกายในการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของตัวท่านมูฮัมมัดเอง แต่อ้างว่าเป็นโองการจากอัลเลาะห์ ให้การต่อสู้ในครั้งนั้น เป็นการต่อสู้ทางศาสนา 
    โดยกำหนดหลักการที่ว่า การเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น ที่มีความเชื่อแตกต่างไปจากพวกของศาสดามูฮัมมัดไม่ผิด และจะได้บุญ ได้ไปพบกับอัลเลาะฮ์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระเจ้าผู้วิเศษ ศักดิ์สิทธิ์ให้คุณให้โทษ สร้างและทำลาย  ให้พรและสาปแช่ง  ต่อมวลมนุษย์ สัตว์ สิ่งของ ที่มีในโลก และนอกโลก ( ทุกอย่างเป็นประสงค์ของอัลเลาะฮ์ )
    แท้จริงความหมายของ  อัลเลาะฮ์  ก็คือ   ความเป็นจริงของธรรมชาติ  ( ผลย่อมเกิดแต่เหตุปัจจัยที่เหมาะสม )   แต่ศาสดามูฮัมมัด ได้กำหนดความหมายให้เห็นเป็นรูปธรรมว่า       อัลเลาะฮ์   เป็นองค์เทวะผู้วิเศษที่จะบันดาลอะไรก็ได้ตามคำร้องขอของท่านศาสดามูฮัมมัด ผู้ติดต่อกับอัลเลาะฮ์ได้โดยตรงเพียงคนเดียวเท่านั้น
    เมื่อศาสดามูฮัมมัดชนะสงครามทางความเชื่อ ตั้งตัวเป็นศาสดาของศาสนาอิสลามแล้วจึงกำหนดกฎของอัลเลาะฮ์ขึ้นเป็นหลักความคิดความเชื่อของศาสนาอิสลาม  ซึ่งเป็นเผด็จการทางความคิด คล้ายกับพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลก  คือ........ 
    มุสลิมต้องเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว ( อัลเลาะฮ์ ) โดยผ่านทางศาสดามูฮัมมัดคนเดียว  เช่นเดียวกับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ต้องเชื่อในอุดมการณ์ของพรรคโดยผ่านคนของพรรคเท่านั้น
    ทั้งมุสลิมและสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ห้ามสงสัยในคำสอน ห้ามสงสัยในคำสั่งของพรรค ต้องอุทิศร่างกาย และชีวิตแด่ศาสดา หรือพรรค
    กฎของพรรคคอมมิวนิสต์ เปรียบเสมือนเป็นโองการของศาสดา ที่กำหนดเป็นคำภีร์         ( กุรอาน ) ที่ต้องเชื่อและปฏิบัติตามหนทางเดียว
    นบีมูฮัมมัด เป็นเจ้าของกฎเกณฑ์ความคิดความเชื่อ และหลักการทางศาสนา เช่นเดียวกับ มาร์ค  เลนิน เป็นเจ้าของแนวคิดและอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์เหมือนกัน
    หลักการความเชื่อของพรรคคอมมิวนิสต์  ก็คือหลัก ความคิด ความเชื่อของอิสลาม
  • อัลมิตรา

    30 กรกฎาคม 2551 23:09 น. - comment id 100780

    ในหนังเรื่องนี้ ไม่เห็นมีบุคคลที่คุณกล่าวถึงเลย .. สงสัยของคุณจะเป็นแบทแมนภาคงมงาย
    
    คิดไง มาลงข้อความแบบนี้ที่กระทู้ อัศวินรัตติกาล ..ลงทุนมาแยะ ไม่ได้ทุนคืนนะเอ้า ..

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน