ย้อนรำลึก ๑๘ สิงหาคม

ครูกระดาษทราย

วันนี้วันที่ ๑๘ สิงหาคม  แล้วหรือ  ข้าพเจ้า   คิดถึงเพื่อน ๆ ร่วมชั้นเรียน อาจารย์ที่ปรึกษา สมัยเรียนชั้น ม. ๕ ไม่ได้  ท่านเป็นอาจารย์สอนวิชาเคมี  นึกแล้วก็หัวเราะในใจทุกที  ตอนนี้อาจารย์ย้ายไปสอนเคมี ที่โรงเรียนราชวินิตบางแก้วแล้ว   ครั้งหนึ่งข้าพเจ้ากับเพื่อน ๆ เรียนเคมีกับอาจารย์  ท่านให้นำหลอดทดลองใส่สารเคมีแล้วต้มกับตะเกียงแอลกอฮอล์  อาจารย์สั่งว่า  
            ให้นักเรียนคอยวัดอุณหภูมิ  นะครับ
            ค่ะ  ครับ  ทุกคนปฏิบัติตามอาจารย์อย่างตั้งอกตั้งใจ  
            เพื่อนของข้าพเจ้าคนหนึ่งชื่อมธุรส เราเรียกย่อ ๆ ว่า ไอ้มะ  แหม! ชื่อมันเพราะดีนะ  แต่มันกวนประสาทมากเลย  ไม่ทราบไอ้มะคิดอย่างไร  เอาไม้คีบหลอดแก้วร้อน ๆ จากตะเกียงเดินมาใกล้ ๆ แล้วบอกว่า
            อาจารย์ให้วัดอุณหภูมิ 
 ข้าพเจ้าก็ส่งเทอร์โมมิเตอร์ให้  แต่ไอ้มะ ไม่ยอมเอาเทอร์โมมิเตอร์จากมือข้าพเจ้าไป  แต่มันกลับนำหลอดร้อน ๆ มาวัดอุณหภูมิกับข้อมือข้าพเจ้าน่ะสิ  
           โอ๊ย ! นี่มันร้อนนะ  ข้าพเจ้าร้องออกมา มันกลับหัวเราะ  ไอ้นี่ซาดิสจัง ! 
           เอ้า!  ได้ผล ร้อนแล้ว  ไอ้มะ  พูดพลางยิ้ม
           เอ็งได้ผล แต่ข้าได้แผลนะ โอย!   ข้าพเจ้าบ่นอุบอิบ  พลางเอาปากเป่า  ที่ข้อมือซึ่งปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาแล้ว  นึกทีไรแค้นไม่หาย  ก็ไอ้รอยแผลเป็นปรากฏอยู่ที่ข้อมือข้าพเจ้า  ไอ้ข้างที่ข้าพเจ้าใช้ไม่ดีดจะเข้พันนั่นแหละ  เสียโฉมหมดเลย  ปกติมือข้างนี้ก็ขี้เหร่  เพราะส้นมือด้านจากการสัมผัสจะเข้แล้ว  มันยังมาเพิ่มแผลเป็นให้อีก  นี่ถ้าเป็นผู้ชายเราคงได้ชกกันไปแล้วล่ะ
            อีกอีกเหตุการณ์ในห้องเคมีอีกเช่นกัน  คนนี้มันไม่เกี่ยวกับมือข้าพเจ้าแล้ว  เพื่อนคนนี้ชื่อจักรภพ  เราเรียกมันว่า ไอ้ภพ  ฉายาล่าสุดคือ จักรภพทำแตก  เรื่องมันก็มีอยู่ว่า  หลังจากที่ทดลองหาวิตะมินซีในน้ำผลไม้แล้ว  อาจารย์ให้เก็บหลอดทดลองล้าง  แล้วนำมาส่งคืนในตะกร้าซึ่งอาจารย์วางไว้หน้าห้อง  
             เพล้ง !  เสียงหลอดทดลองของกลุ่มนักเรียนชาย  ตกแตก  ทุกคนหยุดทำทุกสิ่งทุกอย่าง  หันไปมองเป็นตาเดียวกัน  รู้สาเหตุของการเกิดเสียงแล้ว  พวกผู้ชายแก่น ๆ ก็ตะโกนดัง ๆ จักรภพทำแตก  อาจารย์หันมาแล้วบอกว่า เออ ! รู้แล้ว  จักรภพหน้าซีด  เดินไปหยิบไม้กวาดและที่ตักขยะมากวาดเอาเศษหลอดแก้วนั้นไปทิ้งขยะ  ขอโทษครับอาจารย์  ทุกคนคงจับตามมองว่าอาจารย์จะว่าอย่างไรต่อไป  แต่อาจารย์ก็ไม่ได้ว่าอะไร
             เฮ้อ ! โล่งอก  คิดถึงเวลาล้างจานที่บ้านเวลาทำแตกที่ไร  แม่ก็จะบอกว่าไม่เป็นไร  ถ้ามันไม่แตกบ้างเขาก็ขายจานไม่ได้นะสิ  มันก็จริงอย่างที่แม่ว่า  แต่ข้าพเจ้าเคยทราบมาว่า  ถ้าเป็นลูกจ้างร้านก๋วยเตี๋ยวแล้วล้างจาน  ชามแตก  จะโดนตัดเงินค่าแรง  มันจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้  เคยเห็นแต่ในหนังไทย  ไม่เข้าท่าเลย  
              แหะ ๆ  อีกเหตุการณ์หนึ่งข้าพเจ้าไม่อยากเล่าเลย  เหมือนข้าพเจ้าเป็นเด็กขี้โกง  คือว่าตอนอยู่ ม.๖ นี่อาจารย์ที่ข้าพเจ้ารักมาก  อาจารย์ท่านนี้หละที่บอกให้ข้าพเจ้าเรียนสายวิทยาศาสตร์  ยังจำได้ดีตอนจบชั้น  ม.๓  หัวหน้าหมวดศิลปะ  ตอนนี้ย้ายไปอยู่มหาสารคมแล้ว แนะนำให้ข้าพเจ้าเรียนสายศิลป์  คงเห็นว่ามีแววกระมัง  แต่ว่าหัวหน้าหมวดวิทยาศาสตร์  คืออาจารย์ที่ให้ท่องตารางธาตุนั่นแหละ  บอกว่าเกรดเฉลี่ยวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์สูง น่าจะเรียนสายวิทย์  ข้าพเจ้าก็รักทั้งสองอาจารย์หละ  ตอนนั้นก็อยากเป็นพยาบาลเสียด้วย  จึงเลือกเรียนสายวิทย์  วันหนึ่งหัวหน้าหมวดวิทย์คนเดิมได้มาสอนวิชาเคมี  ในห้องข้าพเจ้าตอนเรียนอยู่ชั้น ม.๖  อาจารย์ให้ท่องตารางธาตุ  ตั้งแนวนอนและแนวตั้ง  ข้าพเจ้าก็ท่องทุกวันทั้งเวลานอนเวลานั่ง  แต่ก็จำไม่ได้ทั้งหมดสักที  นึกในใจทำไมท่องโน้ตดนตรี  จึงท่องได้แม่นยำ  แล้วก็ถึงเวลาอาจารย์ท่านเรียกไปสอบท่องที่ห้องพักครูทีละคน  ข้าพเจ้ารู้สึกหนาว  ไม่รู้เพราะอะไร มันสั่นๆ  ไปหมด  หนาวทั้งๆ ที่เหงื่อตก  อาจารย์ไม่ได้มองหน้าข้าพเจ้าด้วยซ้ำ  ท่านก้มหน้าก้มตาตรวจสมุดงาน  ข้าพเจ้าก็หยิบกระดาษที่อาจารย์ม้วนไว้ในแก้วน่ารักรูปแมวเหมียว  แก้วใบนี้เป็นรูปแมว  หูจับแก้วเป็นหางของแมว  น่ารักดี  ข้าพเจ้าหยิบขึ้นมาเปิดดู ๑ ใบ  แล้วก็ได้ท่องธาตุหมู่ที่ตนเองจำไม่ได้  มองหน้าอาจารย์ ท่านยังก้มอยู่  ข้าพเจ้าค่อย ๆ ม้วนกระดาษเล็กๆ คืนลงแก้ว แล้วจับใหม่ เฮ้อ! โล่งใจ ตารางธาตุที่จับได้ครั้งที่สอง  ข้าพเจ้าท่องได้ก็ท่องไปจนเสร็จ  อาจารย์เงยหน้าขึ้นมาสบตา  แล้วยิ้ม  ข้าพเจ้าหลบตาวูบ  สำนึกผิด  อาจารย์ไม่ว่าอะไร  เพียงแต่พูดว่า  
             ครูรู้นะว่าทำอะไร
              หัวใจตกไปที่ตาตุ่ม  อาจารย์นี่ก้มหน้าก้มตาแต่รู้หมดเลย  เหมือนที่ข้าพเจ้าให้เด็กท่องอาขยานปัจจุบัน  ข้าพเจ้าก็ก้มหน้าก้มตาฟังเด็กท่อง  แต่เด็กบางคนก็แอบเขียนไว้ในมือ  ซึ่งที่เด็ก ๆ ทำนั้นเราเคยทำมาแล้ว  แฮ่ๆๆ  แล้วก็โดนมาแล้วทั้งนั้นน่ะ  อายจัง  ข้าพเจ้ามักจะให้เด็กแบมือให้ดูหลังจากที่ท่องเสร็จ  อิอิ
             
              เมื่อเลือกเรียนแผนวิทย์ต้องคิดมาก
       ต้องลำบากอ่านเขียนเพียรขยัน
      เพราะวิชาเคมี ฟิสิกส์นั้น
      สุดรำพันมากล้นพ้นบรรยาย
      ต้องคำณวนหวนหาเลขคณิต
      ทำแล้วผิดคิดใหม่น่าใจหาย
      ถ้าใครอยากที่จะทำสบาย
      ก็อย่าได้เรียนสายวิทย์คิดให้ดี				
comments powered by Disqus
  • แมวคราว

    20 สิงหาคม 2551 14:45 น. - comment id 100976

    ผมเคยลอการบ้านเพื่อนแล้วเหมือนกันหมด
    โดนเรียกไปตีหน้าห้องทั้ง5คน รวมคนให้ลอกด้วย....แสบมาจนทุกวันนี้ครับ...ขี้เกียจดีนัก
    เรื่องของคุณครูสนุกดีครับ...นึกถึงสมัยเรียนเล
    เลย...ผมเองมีวีรกรรมเยอะล้วนแต่ไม่อยากเล่า..(อายครับ..)  อิๆๆ..
    36.gif46.gif1385165475.jpg
    
    นี่คือท่าอายของผม..อิๆๆ46.gif
  • ครูกระดาษทราย

    20 สิงหาคม 2551 16:36 น. - comment id 100982

    f74ac46843.gif
    
    ตอนเป็นเด็ก ม.ต้น ก็เคยแอบเอาแมวไปเล่นในห้องเรียนด้วยล่ะ 72.gif อย่าบอกใครนะ จุ๊ๆๆๆ
  • ลัทธิก้าวร้าว

    21 สิงหาคม 2551 19:25 น. - comment id 101042

    ตื่นเถิดคนไทย....  ครั้งที่อาณาจักรศรีวิชัยเจริญรุ่งเรืองเมื่อ 1200 ปีก่อน  ศูนย์กลางความเจริญอยู่ที่เกาะสุมาตราประเทศอินโดนีเซีย  สังคมในแถบหมู่เกาะอินโดจีนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขด้วยเหตุและผล  เชื่อถือความเป็นจริง  ยอมรับในความเป็นธรรมชาติ  ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน  จนกระทั่งเมื่อมีลัทธิหมาล่าเนื้อนับถือในพระเจ้าที่พิสูจน์ตัวตนไม่ได้  เผยแพร่เข้ามาในพื้นที่แถบนี้  ผู้คนต่างงมงายศรัทธาในพระเจ้าที่ไม่มีตัวตน  อธิบายเหตุผลไม่ได้  สังคมก็เริ่มเปลี่ยนแปลงแก่งแย่งชิงดี  รบราฆ่าฟันกันเพื่อสังเวยพระเจ้าของตนเอง  โดยอ้างว่าถ้าฆ่าฟันกันเพื่อความเชื่อทางลัทธิจะไม่บาป  เที่ยวเผยแพร่ลัทธิรุกรานเอาเปรียบคนอื่นเขาไปทั่ว  เป็นลัทธิที่โง่และเห็นแก่ตัวจริง ๆ  เจ้าลัทธิจะหลอกอย่างไรก็เชื่อไปหมด  เชื่อแม้กระทั่งให้ทำร้ายตัวเองเพื่อสังเวยพระเจ้าจะได้บุญก็เชื่อ  ปรัชญาหลักของลัทธิคือกดหัวผู้คนไม่ให้ฉลาด  ไม่ให้ใช้ความคิดเป็น  เผยแพร่ความโง่ไปเรื่อย ๆ  ก้าวร้าวฆ่าฟันกันไม่รู้หยุดรู้หย่อน  แม้ไม่มีศัตรูต่างลัทธิจะฆ่าฟัน  ก็ฆ่าฟันกันเองในลัทธิที่ต่างคนสอน  แผ่นดินหาความสงบสุขไม่ได้  สภาพสังคมภายใต้ลัทธิก็เอาเปรียบกดขี่กันเอง  มนุษย์ผู้ชายอ้างว่าเป็นตัวแทนของพระเจ้าไม่ต้องทำมาหากิน  คิดแต่เรื่องรบราฆ่าฟันกันเพื่อสังเวยพระเจ้า  กดขี่สตรีเพศให้ทำงานเลี้ยงสามี  ผู้ชายสามารถหาผู้หญิงมาปรนเปรอทางเพศได้ถึง 4 คน  แต่ผู้หญิงทำไม่ได้  เป็นยุทธศาสตร์ของลัทธิก้าวร้าว  ที่ต้องการรุกรานต่อสังคมชาวโลก  ถ้าเป็นผู้ชายฝ่ายศัตรูฆ่าให้ตาย  แล้วยึดผู้หญิงมาทำเมียเพื่อกลืนลัทธิ   แผ่นดินแถบอินโดจีนที่เคยอยู่กันอย่างสงบสุขด้วยเหตุด้วยผล  ด้วยความจริงของธรรมชาติ  ก็ต้องมาหวาดผวากลัวการก่อการร้ายของลัทธิอุบาทว์ที่กำลังพยายามแบ่งแยกดินแดนทางภาคใต้ของไทย  แล้วทำไมคนไทยไม่ช่วยกันขจัดลัทธิอุบาทว์ชาติชั่วออกไปจากแผ่นดินไทย
  • ฅนไท

    21 สิงหาคม 2551 19:45 น. - comment id 101099

    ความคิดความเชื่อทางศาสนา    ทุกศาสนา ส่วนใหญ่มักจะสอน ให้ห้ามสงสัยในคำสอน (มีจริงหรือเปล่า?, ใช่หรือไม่?, เชื่อได้หรือเปล่า?, เป็นจริงอย่างที่สอนหรือไม่?, เพราะอะไร?, เป็นจริงอย่างที่ท่านศาสดาสอนไว้หรือเปล่า?)
    	ยกเว้นแต่ พุทธศาสนา สอนให้ต้องสงสัยในคำสอน สอนให้คิด สอนให้ใคร่ ครวญจนเข้าใจชัดเจนก่อนจึงค่อยเชื่อ ตามหลักแห่งความเชื่อใน กาลามสูตร ไม่ให้เชื่องมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึง คุณ โทษ หรือดีไม่ดี ก่อนเชื่อ มี ๑๐ ประการคือ
    ๑.	อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน) 
    ๒.	อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
    ๓.	อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย) 
    ๔.	อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน) 
    ๕.	อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
    ๖.	อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
    ๗.	อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
    ๘.	อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว(มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
    ๙.	อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
    ๑๐.	อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา(มาสมโณ โน ครูติ)
    ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น
    ลักษณะความเป็นไทย  คือรักอิสระ  คนไทยจึงดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้รอดพ้นจากการครอบงำของ  พระผู้เป็นเจ้า  ความเชื่อที่ผิด  และเผด็จการ
  • มูฮัมมัดเมืองไท

    21 สิงหาคม 2551 19:52 น. - comment id 101126

    มูลเหตุแห่งความรุนแรงทางภาคใต้ของไทย  เพราะการมอมเมาชักจูงสาวกของนายมูฮัมมัด  ที่พยามยามยัดเยียดความคิดวิธีแก้ปํญหา  ด้วยความรุนแรงจากการทำสงครามทางศาสนา  โดยใช้อาวุธ  ประกอบกับมีคนในพื้นที่  พยายามบิดเบือนประวัติศาสตร์ให้การต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนเป็นการต่อสู้ทางศาสนา แล้วนายมูฮัมมัดคือใครกันแน่  นายมูฮัมมัดก็เป็นมนุษย์ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง  ที่ใช้ความเป็นหนุ่มรูปงาม อายุน้อย ผูกมัดใจสาวใหญ่สูงอายุผู้มั่งคั่ง  เพื่อการดำรงชีพ   แล้วขอแต่งงานด้วย   เพื่อครอบครองทรัพย์นำไปเป็นประโยชน์แก่ตนเอง หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งว่า  เกาะเมียกิน  ก็ได้  จึงกลายมาเป็นลักษณะนิสัยของหนุ่มมุสลิมทั่วไปในปัจจุบัน
    เพราะการที่ท่านศาสดามูฮัมมัดมีเมียแก่ แต่ไม่ค่อยจะมีความสุขในครอบครัว ไม่พอใจในชีวิตการครองคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว  จึงกำหนดกฎเกณฑ์ให้ผู้ชายมุสลิมมีเมียได้ ๔ คน
    แต่พอมีเมียคนใหม่เป็นเด็กอายุน้อย ๆ ตั้งแต่คนที่ ๒ ก็เกิดความหวงแหนกลัวเมียเด็กจะไปปันใจให้ชายอื่นที่หนุ่มกว่า จึงบังคับให้เมียเด็กคลุมหน้าคลุมตา ไม่ให้ผู้ชายคนอื่นมองเห็นความงดงามของเมียน้อยตัวเอง และเพื่อมิให้เป็นข้อครหา จึงกำหนดกฎเกณฑ์ให้ผู้หญิงมุสลิมทุกคนต้องคลุมหัวปิดหน้า
    ท่านศาสดาเป็นคนที่มีอีโก้สูง อยากโดดเด่นเหนือคนอื่น  จึงคิดหาวิธีการตั้งตนเป็นใหญ่ด้วยการจัดตั้งลัทธิความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกัน คือ  อัลเลาะฮ์   และการที่ทุกคนจะติดต่อกับอัลเลาะฮ์ ได้ ก็จะต้องติดต่อผ่านท่านศาสดามูฮัมมัดเท่านั้น  คนอื่น ๆ ไม่เก่ง ไม่บริสุทธิ์ ไม่ดีเลิศเท่าท่านศาสดา  ความคิดนี้ จึงไปขัดแย้งกับสาวกของพระเจ้าองค์อื่น ๆ  ที่พวกเขานับถือกันอยู่  ซึ่งถือเป็นเผด็จการทางความคิดนั่นเอง   จึงเกิดสงครามต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในการครอบครอง  หินกาบะห์   สถานที่ศักด์สิทธิ์ของพระเจ้าหลายองค์ในขณะนั้น
    การต่อสู้ทางความคิด และสงครามทางอาวุธ ของท่านศาสดามูฮัมมัดในระยะแรก พ่ายแพ้ยับเยิน ต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน ถูกตามล่าจนแทบเอาชีวิตไม่รอด  จึงหาวิธีปลุกระดมมวลชน สาวกกลุ่มใหม่ให้ยอมสละชีวิตร่างกายในการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของตัวท่านมูฮัมมัดเอง แต่อ้างว่าเป็นโองการจากอัลเลาะห์ ให้การต่อสู้ในครั้งนั้น เป็นการต่อสู้ทางศาสนา โดยกำหนดหลักการที่ว่า การเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น ที่มีความเชื่อแตกต่างไปจากพวกของศาสดามูฮัมมัดไม่ผิด และจะได้บุญ ได้ไปพบกับอัลเลาะฮ์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระเจ้าผู้วิเศษ ศักดิ์สิทธิ์ให้คุณให้โทษ สร้างและทำลาย  ให้พรและสาปแช่ง  ต่อมวลมนุษย์ สัตว์ สิ่งของ ที่มีในโลก และนอกโลก ( ทุกอย่างเป็นประสงค์ของอัลเลาะฮ์ )
    แท้จริงความหมายของ  อัลเลาะฮ์  ก็คือ   ความเป็นจริงของธรรมชาติ  ( ผลย่อมเกิดแต่เหตุปัจจัยที่เหมาะสม )   แต่ศาสดามูฮัมมัด ได้กำหนดความหมายให้เห็นเป็นรูปธรรมว่า  อัลเลาะฮ์   เป็นองค์เทวะผู้วิเศษที่จะบันดาลอะไรก็ได้ตามคำร้องขอของท่านศาสดามูฮัมมัด ผู้ติดต่อกับอัลเลาะฮ์ได้โดยตรงเพียงคนเดียวเท่านั้น
    เมื่อศาสดามูฮัมมัดชนะสงครามทางความเชื่อ ตั้งตัวเป็นศาสดาของศาสนาอิสลามแล้วจึงกำหนดกฎของอัลเลาะฮ์ขึ้นเป็นหลักความคิดความเชื่อของศาสนาอิสลาม  ซึ่งเป็นเผด็จการทางความคิด คล้ายกับพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลก  คือ........ 
    มุสลิมต้องเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว ( อัลเลาะฮ์ ) โดยผ่านทางศาสดามูฮัมมัดคนเดียว  เช่นเดียวกับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ต้องเชื่อในอุดมการณ์ของพรรคโดยผ่านคนของพรรคเท่านั้น
    ทั้งมุสลิมและสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ห้ามสงสัยในคำสอน ห้ามสงสัยในคำสั่งของพรรค ต้องอุทิศร่างกาย และชีวิตแด่ศาสดา หรือพรรค
    กฎของพรรคคอมมิวนิสต์ เปรียบเสมือนเป็นโองการของศาสดา ที่กำหนดเป็นคำภีร์         ( กุรอาน ) ที่ต้องเชื่อและปฏิบัติตามหนทางเดียว
    นบีมูฮัมมัด เป็นเจ้าของกฎเกณฑ์ความคิดความเชื่อ และหลักการทางศาสนา เช่นเดียวกับ มาร์ค  เลนิน เป็นเจ้าของแนวคิดและอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์เหมือนกัน
    หลักการความเชื่อของพรรคคอมมิวนิสต์  ก็คือหลัก ความคิด ความเชื่อของอิสลาม
  • PollyGod

    25 สิงหาคม 2551 21:48 น. - comment id 101219

    เราอ่านเรื่องของพี่แล้วทำให้นึกถึงตอนที่เรียอยู่มัธยม ตอนท่องตารางธาตุ เราก็ทำอย่างนั้นจริงๆ นั่นล่ะ ฮ่าๆๆ มีอะไรแนะนำเราได้นะคะพี่ เรื่องของพี่ได้อ่านแล้วรำลึกถึงชีวิตในวัยเด็กเลยนะคะ +_+

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน