นางเงือกน้อย (The mermaid) ตอนที่ ๒

Prayad

ชั่วเวลาไม่นานเธอก็มองเห็นแผ่นดินกับภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ มีป่าไม้สีเขียวทอดตัวยาวไปตามชายฝั่ง 
ที่ตรงปลายสุดของป่าไม้ มีโบสถ์หรือไม่ก็สำนักชีตั้งตระหง่านอยู่ ซึ่งเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นอะไรกันแน่ 
มีส้มสูกลูกไม้ปลูกอยู่ในสวนรอบๆโบสถ์นั้น มีต้นปาล์มสูงเรียงรายอยู่สองข้างทางที่นำไปสู่ประตูเข้า ทะเล
บริเวณนั้นมีลักษณะเป็นอ่าวเล็กๆที่ราบเรียบแต่มีความลึกมาก บริเวณเบื้องล่างหน้าผานั้นเป็นทรายแน่นและ
แห้ง นางเงือกน้อยจึงนำเจ้าชายว่ายแหวกไปยังที่นั่น เธอวางเขาลงบริเวณทรายอุ่นๆและใส่ใจที่จะพยายามให้
ศีรษะอยู่สูง กับทั้งจัดให้ใบหน้าของเขาบ่ายไปทางดวงอาทิตย์
       ในเวลาต่อมา ระฆังทั้งหมดที่มีในตึกสีขาวหลังใหญ่ซึ่งอยู่บริเวณใกล้ๆนั้น ก็ดังลั่นระงมขึ้น พร้อมกับมีสาว
น้อยจำนวนมากพากันออกมาเดินในสวน นางเงือกจึงว่ายถอยห่างออกมาจากฝั่งเล็กน้อยและก็นำตัวเองไปซ่อน
อยู่ระหว่างโขดหิน ปกคลุมอำพรางศีรษะของเธอด้วยฟองน้ำ ดังนั้นจึงไม่สามารถจะมองเห็นใบหน้าอันเล็กๆ
ของเธอได้ ในขณะที่สายตาของเธอก็คอยจ้องไปที่เจ้าชาย ชั่วเวลามิช้ามินานก็มีหญิงสาวคนหนึ่งมาพบเจ้าชาย
เข้า หล่อนถึงกับตกใจกลัวเมื่อเห็นเจ้าชายอยู่ในสภาพเช่นนั้น แต่ประเดี๋ยวเดียวหล่อนก็ได้สติแล้วก็รีบวิ่งกลับ
ไปบอกพวกพี่ๆของเธอ นางเงือกน้อยได้เห็นเจ้าชายฟื้นคืนสติอีกครั้ง กับทั้งยังได้เห็น ความปิติยินดี ยิ้มแย้ม
แจ่มใส และเป็นสุขใจจากบรรดาผู้คนทั้งหลายที่อยู่แวดล้อมพระองค์ หากแต่ว่าเจ้าชายมิได้มองหาตัวเธอเลย 
เจ้าชายไม่รู้หรอกว่า เธอคือผู้ให้ความช่วยเหลือจนกระทั่งรอดชีวิตกลับมา      ครั้นพอเจ้าชายถูกเชิญเข้าไปยัง
บ้านพัก เธอจึงรู้สึกเศร้าและเสียใจมาก จนถึงกับกระโจนพรวดลงใต้น้ำโดยทันที และหวนกลับสู่ปราสาทของ
พระบิดา ณ ก้นทะเลลึก
     ถ้าเธอเคยเป็นผู้ที่มีอุปนิสัยเงียบและสุขุมเยือกเย็นมาก่อน คราวนี้ล่ะอุปนิสัยเช่นนั้นยิ่งจะต้องมีมากขึ้นเป็น
หลายเท่าทวีคูณ ถึงแม้เหล่าพี่สาวจะถามเธอถึงสิ่งที่ได้พบเห็นจากโลกเบื้องบน แต่เธอจะให้คำตอบแก่พวกเขา
ก็หาไม่ สนธยาแล้วสนธยาเล่าที่เธอเฝ้าแหวกว่ายขึ้นไปยังสถานที่ ที่เธอเคยละเจ้าชายเอาไว้ เธอได้เห็นหิมะ
หลอมละลายลงจากภูเขา ส้มสูกลูกไม้เริ่มสุกงอม แต่เธอก็ไม่เคยพบเห็นเจ้าชายอีกเลย เธอจึงหวนคืนกลับมา
บ้านด้วยความระทมขมขื่นอยู่เสมอ มีเพียงสิ่งเดียวที่พอจะเป็นความสุขให้กับเธอได้ สิ่งนั้นก็คือ นั่งในสวนหย่อม
และจ้องดูรูปแกะสลักอันสวยงามซึ่งมีความละม้ายคล้ายคลึงกับเจ้าชายนั่นเอง เธอไม่ได้สนใจใยดีต่อมวลดอกไม้
ของเธออีกต่อไปแล้ว มันจึงเจริญงอกงามออกไปอย่างสะเปะสะปะ ปกคลุมอยู่ตามทางเดินและเกี่ยวกระหวัดไป
ตามกิ่งก้านของต้นไม้จนกระทั่งดูมืดครื้มไปหมด
         ในที่สุดเธอก็ไม่สามารถอดทนต่อไปได้อีก เธอจึงได้บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แก่เหล่าพี่สาวฟังจนสิ้น 
ไม่นานนักเรื่องนี้ก็เป็นที่รู้ไปถึงคนอื่น และหนึ่งในนั้นก็จำเจ้าชายได้เพราะเธอเองก็ได้พบเห็นการจัดงานเลี้ยง
บนเรือในวันนั้น เธอยังรู้ด้วยว่าเจ้าชายมาจากอาณาจักรอะไรและใครเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
“ไปกันเถอะ น้องสาวคนเล็ก” เหล่าเจ้าหญิงผู้พี่เอ่ยขึ้น แล้วพวกเธอทั้งหมดก็พากันเกี่ยวก้อยแหวกว่ายติด
ตามกันไปเป็นแถวยาว ชั่วเวลาไม่นานก็พากันไปโผล่ขึ้น ณ บริเวณด้านหน้าพระราชวังของเจ้าชาย
พระราชวังแห่งนี้สร้างด้วยหินสีเหลืองอร่าม มีขั้นบันไดทำด้วยหินอ่อนสีขาวยื่นออกมาและลดหลั่นลงสู่ทะเล 
ส่วนยอดโดมของพระราชวังและรูปปั้นหินอ่อนล้วนแล้วแต่ฉาบด้วยทองคำ บางครั้งจนเกือบจะเข้าใจผิดว่ารูป
ปั้นที่เรียงรายอยู่ระหว่างเสาพระราชวังนั้นเป็นคนจริงๆ หากใครมองผ่านกระจกใสของหน้าต่าง ก็จะเห็นภาย
ในห้องอันวิจิตรตระการตาด้วยม่านที่ทำจากไหมและมีภาพเขียนอันงามวิจิตร นางเงือกจึงมองผ่านหน้าต่างของ
ห้องที่ใหญ่ที่สุดห้องหนึ่ง เธอได้เห็นธารน้ำพุจำลองอยู่ตรงกลาง มีน้ำพุพุ่งกระเซ็นสูงถึงยอดโดมที่กำลังสะท้อน
แสงอยู่แวววับ ลำแสงของทินกรก็กำลังฟ้อนรำอยู่ในธารา อีกทั้งยังส่งแสงกล้าให้เห็นเหล่าพฤกษาเด่นงาม 
ซึ่งปลูกไว้ตามบริเวณน้ำพุและอยู่โดยรอบขอบชลธาร
      คราวนี้นางเงือกน้อยก็รู้แล้วว่า เจ้าชายผู้เป็นที่รักของเธอ มีที่พำนักอยู่ ณ แห่งใด จากนั้นเป็นต้นมา เธอก็
จะเพียรแหวกว่ายไปที่นั่นเกือบทุกวันในเพลาเย็น บ่อยครั้งที่เธอเข้าไปใกล้ผืนดินและใกล้กว่าที่เหล่าพี่สาวของ
เธอจะกล้าล่วงล้ำเข้าไป เธอเคยว่ายเข้าไปใกล้แม้กระทั่งคลองแคบๆที่ไหลผ่านอยู่เบื้องล่างระเบียงที่ทำด้วยหิน
อ่อน  ณ ที่ตรงนี้เองในราตรีที่สว่างไสวด้วยแสงนวลจันทร์ เธอก็สามารถมองดูเจ้าชายได้ แม้แต่ในยามที่องค์
ชายคิดว่าตนเองอยู่เพียงคนเดียวตามลำพัง ในบางคราวเธอก็เห็นเจ้าชายออกไปแล่นเรือ ด้วยเรือใบที่แต่งแต้ม
สีสันอันงดงาม มีธงทิวหลากสีโบกสะบัดอยู่ตอนบน เธอเองก็จะเข้าไปซ่อนตัวอยู่ราวป่ากกอันเขียวสดที่ขึ้นอยู่
ตามชายฝั่งและเงี่ยหูคอยฟังสุรเสียงของเจ้าชาย ค่ำคืนแล้วค่ำคืนเล่าที่เธอได้ยินพวกชาวประมงพูดคุยกัน 
ในขณะที่พวกเขาพากันไต้ไฟออกมาทอดแห พวกเขากล่าวชื่นชมและเชิดชูพระเกียรติในสิ่งต่างๆที่เจ้าชายทรง
กระทำ เธอจึงรู้สึกเป็นสุขมากและทำให้หวนคิดถึงคราวที่เธอช่วยเหลือเจ้าชาย ศีรษะที่เคยหนุนพิงอกของเธอ
และจุมพิตที่เธอได้ประจงให้ แต่อนิจจา เจ้าชายก็หาได้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ และไม่เคยแม้แต่จะฝันถึงเธอเลย
     ความเป็นมนุษย์ได้กลายเป็นสิ่งอันน่าพิสมัยสำหรับเธอเข้าไปทุกวันๆ จนกระทั่งเธอตั้งความปรารถนาอยาก
เป็นมนุษย์อยู่ร่วมกับหมู่คนเหล่านั้น ในสายตาของเธอโลกของชาวมนุษย์ดูจะกว้างขวางกว่าโลกของชาวเงือก
มาก พวกเขาสามารถแล่นเรือกางใบข้ามมหาสมุทร และปีนป่ายถึงยอดภูเขาที่สูงเหนือกว่าหมู่เมฆได้  ส่วนแนว
ป่าของพวกเขาก็ทอดยาวไกลออกไป จนสุดลูกหูลูกตา และอีกหลายสิ่งหลายประการที่เธออยากจะรู้ แต่เหล่าพี่
สาวทั้งหลายก็ไม่สามารถให้คำตอบอันเป็นที่พึงพอใจแก่เธอได้ ดังนั้นเธอจึงไต่ถามจากเสด็จย่าผู้อาวุโส ผู้ซึ่งมี
ความรู้มากกว่าใครๆเกี่ยวกับโลกเบื้องบน ซึ่งเธอเคยเรียกว่า “อาณาจักรเหนือท้องทะเล”
“ถ้าพวกมนุษย์ไม่ได้จมน้ำตาย พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ตลอดไปใช่ไหม”  เธอถามขึ้นในวันหนึ่ง
“พวกเขาตายไม่เป็น เหมือนกับที่พวกเราตายอยู่เบื้องล่างนี่หรอกหรือ” 
“ตายเป็นสิ” คือคำตอบจากเสด็จย่า
“พวกเขาก็ต้องตายด้วยเหมือนกัน อายุขัยของพวกเขาสั้นกว่าของพวกเรามาก พวกเรามีชีวิตอยู่ได้จนถึงอายุ
สามร้อยปี ครั้นพวกเราตายลงก็จะกลายเป็นฟองน้ำในทะเล จึงไม่ต้องมีสุสานหรือหลุมฝังศพสำหรับคนที่เรารัก
พวกเราไม่มีวิญญาณอันเป็นอมตะ พวกเราจึงไม่สามารถที่จะมีชีวิตอีกครั้งหนึ่งได้ เฉกเช่นเดียวกันกับต้นหญ้า
เมื่อถอดถอนหรือตัดทิ้งเพียงครั้งเดียว มันก็จะเหี่ยวแห้งไปชั่วนิรันกาล  ซึ่งแตกต่างไปจากพวกมนุษย์ พวกเขา
มีวิญญาณที่จะสืบสานไปสู่การมีชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง หลังจากที่ร่างกายกลายเป็นผุยผง อุปมาเหมือนที่พวกเราขึ้น
จากน้ำที่นี่ไปยังแดนดินถิ่นมนุษย์ วิญญาณของพวกเขาก็จะล่องลอยขึ้นสู่ดินแดนเบื้องสรวงอันวิจิตรในนภากาศ
ซึ่งพวกเราจะไม่เคยได้พบเห็นเลย”
“ทำไมพวกเราถึงไม่มีวิญญาณอันเป็นอมตะบ้างล่ะ” นางเงือกน้อยเอ่ยถามขึ้นบ้าง
“ฉันยินดีที่จะสละความมีอายุสามร้อยปีของฉันเพียงเพื่อความเป็นมนุษย์แค่หนึ่งวัน ถ้าหากฉันจะมีโอกาสได้
เข้าสู่ดินแดนสรวงสวรรค์ ณ เบื้องบน” 
“อย่าไปคิดเช่นนั้นเลย” เสด็จย่าเอ่ยขึ้น
“ที่เป็นอยู่เช่นนี้ ก็ดีกว่ามากแล้ว ที่พวกเรามีชีวิตยาวนานกว่าและมีความสุขมากกว่าพวกมนุษย์”
“นั่นก็หมายความว่า ฉันจำต้องตายไปเป็นฟองน้ำลอยฟ่องในทะเล   จะไม่เคยได้ขึ้นไปมากกว่านี้ จะไม่มี
โอกาสยลยินเสียงเห่กล่อมแห่งมหาสมุทร และจะไม่เคยได้ชื่นชมมวลบุปผชาติอันสวยสดงดงามและความเจิดจ้า
แห่งดวงสุรีย์! ได้โปรดบอกแก่ฉันเถิด เสด็จย่าผู้เป็นที่รัก มันไม่มีหนทางใดๆเลยหรือ ที่ฉันจะสามารถได้มาซึ่ง
วิญญาณอันเป็นอมตะ” 
“ไม่มีเลย” สตรีอาวุโสผู้สูงศักดิ์กล่าว
“แต่เป็นความจริงอยู่อย่างหนึ่งว่า หากมีมนุษย์มารักเธอจนสุดหัวใจของเขา และสัญญาที่จะสัตย์ซื่อต่อเธอ
เมื่อนั้นวิญญาณของเขาก็จะถ่ายเทเข้าสู่ร่างกายของเธอและเธอก็จะสามารถร่วมรับรู้ความสุขตามแบบอย่างของ
มนุษย์ แต่มันก็ไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ ก็ดูอย่างหางของพวกเรานี่สิ แม้พวกเราจะคิดว่ามันเป็นส่วนที่สวยงาม
ที่สุดในร่างกาย แต่ผู้คนบนโลกนั้นเขากลับคิดว่าเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงและไม่อาจจะทนกับมันได้ การปรากฏกาย
อันเป็นที่ต้องใจของพวกเขานั้น คือร่างกายจะต้องมีส่วนค้ำจุนอันเกะกะอยู่สองส่วนซึ่งพวกเขาเรียกกันว่า ขา”
นางเงือกน้อยถอนหายใจแล้วก็มองดูร่างกายของเธอส่วนที่มีเกล็ดอย่างโอดครวญ ซึ่งอันที่จริงมันก็งดงามอย่าง
ประณีตและมีเสน่ห์
“พวกเราก็มีความสุขดี” เสด็จย่ากล่าวสำทับ 
“พวกเราอาจจะกระโดดโลดเล่นและแหวกว่ายไปมาอย่างร่าเริงจนตลอดสามร้อยปี นั่นเป็นระยะเวลาอันยาว
นานทีเดียว และหลังจากนั้นพวกเราก็จะพักอย่างสงบในความตาย   เอาล่ะ ตอนเย็นวันนี้ที่วังมีงานสังสรรค์นะ”
งานวังสังสรรค์ที่สมเด็จย่าทรงเอ่ยถึงนั้น ช่างสุดแสนตระการตายิ่งกว่างานใดๆที่ชาวโลกจะพึงเห็น ผนังของห้อง
โถงจัดงานนั้นเป็นผลึกแก้วอย่างหนา แต่มีความโปร่งใสมาก มีเปลือกหอยขนาดใหญ่จำนวนเป็นร้อยวางเรียง
รายเป็นแนวยาวไปตามผนัง บ้างก็เป็นสีดอกกุหลาบ บ้างก็เป็นสีเขียวของหญ้า ที่สำคัญคือทุกอันล้วนแล้วแต่
สามารถส่งประกายอันเรืองรอง จึงไม่เพียงแต่ทำให้สว่างเรืองรองไปทั่วห้องที่จัดงานเท่านั้น แต่ยังสาดแสงไป
ถึงชั้นกำแพงไม้พันธุ์ต่างๆและย่านน้ำโดยรอบ พวกเขายังได้นำเอาเกล็ดปลาจำนวนนับไม่ถ้วนมาตกแต่ง ขนาด
เล็กบ้างใหญ่บ้าง หลายหลากสี มีทั้งสีม่วง สีทับทิม สีเงิน และสีทอง ทำให้ปรากฏโดดเด่นสดใสกว่าที่เคยเห็น ตรง
กลางห้องจัดงานมีสายธารอันใสแจ๋วไหลผ่านขึ้นมา หมู่ชาวเงือกทั้งหญิงและชายต่างก็พากันออกมาเต้นรำฮัม
เสียงอยู่ล้อมรอบขอบธารไหลนั้นเอง
เจ้าหญิงองค์เล็กทรงขับร้องได้อย่างหวานซึ้งกว่าใครๆทั้งมวล และได้รับการปรบมือจากพวกเขาอย่างล้นหลาม 
จึงเป็นเรื่องที่เธอโปรดเพราะเธอทราบดีว่าทั่วทั้งทะเลและบนโลกไม่มีใครจะมีเสียงไพเราะและหวานซึ้งยิ่งไป
กว่าเธออีกแล้ว  พลันความคิดของเธอก็หวนไปถึงโลกเบื้องบน เธอไม่อาจที่จะลืมเลือนเจ้าชายรูปงามได้ และ
ไม่อาจที่จะระงับยับยั้งความเสียใจด้วยเหตุที่ไม่มีวิญญาณอันเป็นอมตะ เธอจึงแอบหนีออกมาจากพระราชวังของ
พระบิดา ในขณะที่พวกเขาทั้งหมดกำลังเพลิดเพลินกันอยู่ภายใน เธอออกไปนั่งที่สวนหย่อมของเธอซึ่งถูกละเลย
ไปนาน แล้วก็ปล่อยให้ความคิดเตลิดเปิดเปิง ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเป่าแตรดังมาจากเหนือน้ำทะเลที่ไกล
ออกไป เธอจึงรำพึงกับตัวเองว่า 
“เจ้าชายกำลังจะออกไปล่าสัตว์ เขาผู้ซึ่งฉันรักมากกว่าบิดาและมารดา ฉันจะยอมเสี่ยงทุกสิ่งอย่างเพื่อเอาชนะใจ
เขาและให้ได้มาซึ่งวิญญาณอันเป็นอมตะ ในขณะที่พวกพี่สาวกำลังเต้นรำกันอยู่ในพระราชวัง   ฉันจะออกไป
พบยายแม่มดถึงแม้โดยปกติฉันจะกลัวเพียงใดก็ตาม แต่มีเพียงแกคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถให้คำแนะนำและ
ช่วยเหลือฉันได้”
     ดังนั้นนางเงือกน้อยจึงออกจากสวนหย่อมของเธอและมุ่งตรงไปยังวังน้ำวน ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของยายแม่มด 
เธอไม่เคยท่องเส้นทางนี้มาก่อน ตลอดเส้นทางไม่มีมวลดอกไม้และพืชพันธุ์ทะเลใดๆเลย เธอจำเป็นต้องเดิน
ทางข้ามพื้นที่ว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ของทรายสีเทาก่อนที่จะไปถึงวังน้ำวน ณ ที่นี้ มีกระแสน้ำหมุนวนราวกับ
กังหันลม มันสามารถที่จะปั่นเอาทุกสิ่งที่เข้าไปใกล้ให้จุ่มจมลงไปในหุบเหวซึ่งอยู่เบื้องล่าง เธอต้องผ่านบริเวณ
ขี้โคลนอันเหนอะหนะและปุ่มปมของอากาศราวกับฟองน้ำเดือด ซึ่งยายแม่มดเรียกว่า นาร้างของแก ส่วนที่พัก
ของแกตั้งอยู่ในราวป่าอันแปลกประหลาดซึ่งอยู่เลยออกไป หมู่ต้นไม้และสุมทุมต่างๆ ล้วนแต่มีปมยื่นออกมา
เหมือนมือ ดูราวกับงูร้อยหัวที่โผล่ออกมาจากพื้นดิน กิ่งก้านยาวๆและเป็นเมือกของลำต้นก็ยังมีตีนของหนอน
ไต่ยั้วเยี้ยอยู่รอบๆเต็มไปหมด ไม่ว่ามันจะเกาะเกี่ยวกิ่งก้านไหน มันก็จะกอดรัดตัวเองติดไว้อย่างเหนี่ยวแน่น
โดยไม่ยอมให้หลุดหรือเคลื่อนคลาย นางเงือกน้อยหยุดยืนนิ่ง มองดูราวป่าอันน่าสะพรึงกลัวอยู่ครู่ใหญ่ ด้วยหัว
ใจที่เต้นแรงเพราะความหวาดกลัว เธอคงหันหลังกลับอย่างแน่นอนหากไม่ใช่เพราะเรื่องของเจ้าชายและ
วิญญาณอันเป็นอมตะ ความคิดนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจทำให้เธอเกิดความกล้า เธอจึงรวบผมอันยาวสลวยเข้าไว้ 
เพื่อป้องกันไม่ให้มือเถาไม้มายุดผมของเธอ สองมือกอดผสานที่หน้าอกแล้วเธอก็พุ่งปราดผ่านไปด้วยความเร็ว
ยิ่งกว่าปลาแหวกน้ำ เธอสามารถเล็ดลอดฝ่าดงต้นไม้อันตรายไปได้อย่างหวุดหวิด ซึ่งในขณะที่แขนของมันก็
เป็นอันต้องยื่นค้างออกมาอย่างหื่นหิว เธอได้เห็นแล้วว่ามือเถาไม้เกือบทุกอันสามารถจับสิ่งต่างๆให้ติดคาไว้ใน
อุ้งได้อย่างไร ทั้งนี้ก็เพราะว่าในนั้นมันยังมีมือเล็กๆอีกจำนวนนับพัน ซึ่งทำหน้าที่ราวกับเหล็กดัดคุมขัง บริเวณ
นั้นยังเห็นโครงกระดูกมนุษย์ขาวโพลน หมวกเหล็กของนักรบ เสื้อเกราะ โครงกระดูกของสัตว์บกหรือแม้แต่
ของเงือกน้อย ซึ่งแสดงว่าเจ้าของซากคงจะถูกดักจับและติดจองจำคาอยู่ที่นี่จนตาย สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะเป็น
ภาพที่เลวร้ายที่สุดสำหรับวีรสตรีเงือกน้อยผู้น่าสงสารของเรา
ไม่นานเธอก็มาถึงทำเลที่ลุ่มอันกว้างใหญ่ มีพื้นดินอันอ่อนนุ่ม มีหอยล้วนแต่ตัวอ้วนๆคลานอยู่ย่านนั้น บริเวณ
ตรงกลางมีบ้านที่ทำจากโครงกระดูกของหมู่มนุษย์ ผู้ซึ่งโชคร้ายจากเรืออับปาง ณ ที่นี้เอง ยายแม่มดกำลังนั่งลูบ
ไล้คางคกอยู่ ด้วยอากัปกิริยาอย่างเดียวกันกับที่มวลมนุษย์เล่นกับนกที่เป็นสัตว์เลี้ยง แกเรียกหอยอ้วนที่น่า
เกลียดเหล่านั้นว่าฝูงไก่ของแก และปล่อยให้พวกมันไต่ไปทั่วทั้งตัว
“ฉันรู้ทีเดียวล่ะว่าเธอจะมาถามฉันเรื่องอะไร” แกพูดกับนางเงือกน้อย
“ความปรารถนาของเธอนี่ช่างเขลาเสียจริงนะ แต่มันก็อาจจะสมประสงค์ได้ โดยมีข้อแม้ว่ามันจะนำความโชค
ร้ายมาถึงเธออย่างแน่นอน เจ้าหญิงผู้แสนสวยของฉันเอ๋ย เธอมาได้ทันเวลาพอดี” แล้วแกก็พูดต่อ
“ถ้าแม้นเธอมาหลังพระอาทิตย์ตก ฉันก็จะไม่สามารถช่วยเหลือเธอได้เป็นเวลาต่อไปอีกหนึ่งปี   เอาล่ะ เธอจะ
ต้องแหวกว่ายไปจนถึงบนบกและนั่งลงที่ฝั่ง แล้วจึงค่อยดื่มสิ่งที่ฉันจะเตรียมให้นี้ จากนั้นหางของเธอก็จะหดหาย
กลายเป็นสิ่งที่พวกมนุษย์เรียกกันว่าขา การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้มันจะนำความเจ็บปวดมาให้เธออย่างมาก
ทีเดียว เธอจะเจ็บปวดราวกับถูกมีดคมๆทิ่มแทงทะลุผ่านร่างกายของเธอเลยล่ะ ทุกคนที่พบเห็นเธอก็จะพูดเป็น
เสียงเดียวกันว่าเธอเป็นเด็กหญิงที่น่ารักที่สุดที่พวกเขาเคยเห็น เธอจะต้องพยายามเคลื่อนไหวอย่างช้าๆและ
ระมัดระวัง ถึงแม้โดยปกติแล้วก็ไม่มีนักเต้นรำคนใดจะเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบา แต่อย่าลืมว่าทุกๆก้าวย่างของ
เธอมันจะทำให้เจ็บปวดเกินกว่าจะทนได้ มันจะเจ็บปวดราวกับเธอเดินอยู่บนคมดาบและอาบเลือดนั่นทีเดียว
เธอจะอดทนต่อความทรมานทั้งหมดนี้ได้ไหมล่ะ ถ้าทนได้ฉันก็จะทำให้ตามที่ขอ”
“ฉันอดทนได้” เจ้าหญิงตอบด้วยน้ำเสียงสะดุด เพราะเธอคิดว่าเจ้าชายอันเป็นที่รักและความเป็นอมตะแห่ง
วิญญาณอาจจะเอาชนะได้ด้วยความทนทุกข์ทรมานของเธอ
“จงจำไว้นะ” ยายแม่มดกำชับ 
“ว่าเธอจะไม่สามารถกลับมาเป็นนางเงือกได้อีก ทันทีที่เธอได้กลายร่างเป็นมนุษย์ไปแล้ว เธอจะไม่มีโอกาส
กลับคืนมาหาพวกพี่สาวและพระราชวังของพระบิดาอีกเลย เธอจะไม่มีโอกาสได้รับวิญญาณอันเป็นอมตะที่เธอ
กำลังปรารถนาเลย เว้นเสียแต่ ข้อที่หนึ่งเธอจะเอาชนะหัวใจของเจ้าชายถึงระดับที่เขาละบิดาและมารดามาเพื่อ
เธอ ซึ่งเธอก็จะเป็นส่วนหนึ่งของความคิดและความปรารถนาของเขา และข้อที่สองเธอจะต้องได้รับการผสาน
มือโดยบาทหลวงเพื่อรับรองความเป็นสามีและภรรยาของเขาและเธอ ถ้าแม้นว่าเขาแต่งงานกับหญิงอื่นเมื่อใด 
เธอก็จะต้องตายในวันถัดไป เพราะว่าหัวใจของเธอแหลกสลายด้วยความเสียใจอย่างใหญ่หลวง แล้วร่างกายของ
เธอก็จะแปรเปลี่ยนกลายไปเป็นฟองน้ำลอยฟ่องในทะเล”
“ฉันก็ยังยืนยันว่าจะทำ!” นางเงือกน้อยกล่าว ด้วยอาการสั่นเทิ้ม หน้าซีดราวกับคนกำลังจะตาย
“นอกจากนี้แล้ว ฉันก็จะต้องได้รับการตอบแทน ซึ่งมันก็ไม่ใช่สิ่งเล็กน้อยเลยนะที่ฉันขอสำหรับเป็นค่าเหนื่อย
เธอเป็นผู้มีน้ำเสียงอันไพเราะหวานซึ้งที่สุดในบรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ใต้ท้องทะเล และเธอก็คิดว่าจะใช้เป็นเสน่ห์ดึง
ดูดเจ้าชาย ก็คือน้ำเสียงของเธอนี่ล่ะ ที่ฉันอยากได้เป็นรางวัล ฉันต้องการสิ่งที่ดีที่สุดที่เธอมี เพื่อแลกกับเครื่อง
ดื่มอันวิเศษของฉัน เพราะมันได้มาจากการยอมพลีสังเวยด้วยโลหิตของฉัน เหตุนั้นมันจึงเป็นเครื่องดื่มที่อาจ
จะบาดเสมือนดาบสองคม”
“แต่ถ้าท่านเอาเสียงของฉันไปแล้ว” เจ้าหญิงพูดบ้าง
“ฉันจะมีอะไรเหลือไว้เป็นเสน่ห์เพื่อเจ้าชายล่ะ”
“ก็เรือนร่างอันนวยนาด” ยายแม่มดตอบ 
“การเยื้องกรายและสายตาสื่อความหมายของเธออย่างไรล่ะ ด้วยสิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้หัวใจอันว่างเปล่าของพวก
มนุษย์หลงรักได้ง่ายๆ ก็หรือว่าเธอไม่กล้าเสียแล้ว เอาล่ะ แลบลิ้นเล็กๆของเธอออกมา ฉันจะได้ตัดเอาแล้วก็รับ
เครื่องดื่มวิเศษของเธอไป”
“เอาสิ!” เจ้าหญิงตอบ ในขณะที่ยายแม่มดก็เอื้อมมือเอาหม้อโลหะใหญ่มาทำการผสมยา 
“ความสะอาดเป็นสิ่งที่ดี” แกเปรยขึ้นพร้อมกับจัดการขัดหม้อยาด้วยคางคกและหอยเต็มกำมือ จากนั้นแกก็
ทิ่มที่หน้าอกของตัวเองให้เป็นแผล แล้วปล่อยให้เลือดสีดำค่อยๆไหลลงในหม้อ เสร็จแล้วก็โยนส่วนผสมบาง
อย่างใส่ลงไป เกิดเป็นไอควันออกมาจากส่วนผสม ซึ่งอาจหมายถึงปฏิกิริยาแห่งความน่าสะพรึงกลัว ความทุกข์
ทรมานโอดครวญและโหยหวนอยู่ในนั้น พอได้เวลาเครื่องดื่มวิเศษก็กลายเป็นน้ำสะอาดใสแจ๋ว เป็นอันเสร็จ
เรียบร้อย
“นี่ไง รับไปสิ!” ยายแม่มดกล่าวแก่เจ้าหญิง พร้อมกับตัดเอาลิ้นของเธอออกไปโดยฉับพลัน 
นางเงือกน้อยผู้น่าสงสารจึงไม่สามารถพูดหรือร้องเพลงได้อีกต่อไป เพราะกลายเป็นใบ้ไปโดยปริยาย
“ถ้าพวกมือเถาไม้จะพยายามยุดเธอไว้ระหว่างที่เดินทางผ่านสวนน้อยของฉัน” แกกล่าวแสดงความเป็นห่วง
“เธอก็เพียงแต่สะบัดเครื่องดื่มวิเศษนี้ใส่แขนของมัน มันก็จะแตกทำลายกลายเป็นพันๆชิ้น”   
แต่ว่าเจ้าหญิงก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพราะทันทีที่พวกมันรับรู้ถึงความสว่างของขวดผลึกใส่ยาที่ส่อง
เป็นประกายราวกับดวงดาวอยู่ในมือของเธอ มันก็พากันหดหรือถดถอยกลับไป เธอจึงสามารถเดินทางข้ามพ้น
ป่าอันตราย นาร้าง และธารฟองน้ำ กลับมาได้อย่างปลอดภัย 
           ทินกรยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้า เธอก็มาถึงยังพระราชวังของเจ้าชาย ณ บริเวณที่เป็นที่รู้จักกันดี คือบัน
ไดหินอ่อนทางลงทะเล แสงจันทร์ยังสาดส่องจากท้องนภาในเวลาที่เธอดื่มยามหัศจรรย์จากขวดผลึก 
พลันเธอก็รู้สึกเหมือนกับคมมีดทิ่มแทงทะลวงกายจนถึงกับล้มลงสลบไป ครั้นดวงตะวันลอยเคลื่อนมาเยือน
อัมพร เธอจึงฟื้นคืนสติและรู้สึกปวดระบมไปทั่วส่วนล่าง พอลืมตาขึ้นเธอก็เห็นเจ้าชายรูปงามกำลังก้มมองเธอ
อยู่ ความอายบังเกิดขึ้นเต็มกำลัง เธอเหลือบมองหลบลงต่ำ แต่สิ่งที่ปรากฏแทนที่จะเป็นหางปลาอันเรียวยาวของ
เธอ บัดนี้มันคือสิ่งที่เธอต้องทนแบกรับอย่างทรมาน สิ่งนั้นก็คือขาอันเรียวงามสองขาของเธอ แต่ทว่าเธออยู่ใน
สภาพอันเปลือยเปล่า ถึงจะพยายามปกปิดด้วยผมยาวและดกของเธอก็ไร้ผล เจ้าชายทรงถามว่าเธอเป็นใคร มา
ถึงที่นี่ได้อย่างไร แทนคำตอบเธอได้แต่ยิ้มและจ้องมองเจ้าชายด้วยดวงตาสีฟ้าอันสดใสของเธอ อนิจจา! เธอพูด
ไม่ได้ เจ้าชายจึงจูงมือเธอเข้าไปในพระราชวัง ทันทีที่เธอออกก้าวเดิน เธอก็รู้สึกราวกับเหยียบย่ำไปบนคมดาบ
อันแหลมคม แต่เธอก็ทนแบกรับความเจ็บปวดด้วยความยินดี ยามเธอเยื้องย่างไปนั้นก็แสนจะแผ่วเบาดูประ
หนึ่งวาโยโบก ใครๆที่ได้พบเห็น ต่างก็ฉงนต่อการเคลื่อนไหวของเธอ ซึ่งนุ่มนวลราวกับไร้กระดูกเป็นลูกคลื่น...
comments powered by Disqus
  Prayad

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน