นิทานก่อนนอน : สินไชยปราบงูซวง (The Story of Pegasus)

Prayad

กาลครั้งหนึ่งในอดีต ยุคดึกดำบรรพ์ ณ แดนดินถิ่นฐานย่านเอเชีย ยังมีเขตแคว้นแดนกันดาร ขนานนามว่า
ภูเวียระ ที่นั่นเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ประหลาดดุร้ายตัวหนึ่ง ซึ่งผู้คนเรียกกันว่างูซวง ลมหายใจของมันนั้น
สามารถพ่นออกมาเป็นไฟและไอควันโดยผ่านทางรูจมูกอันใหญ่ นอกจากนั้นมันยังสามารถที่จะกลืนกินใคร
ก็ตามที่บังอาจผ่านเข้าไปใกล้ๆ ไม่ว่าจะเป็น ช้าง ม้า วัว ควาย ผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กๆ ตลอดทั้งสัตว์ป่าอื่นๆ 
ผู้คนทั้งหลายจึงพากันหวาดกลัวและไม่กล้าที่จะออกจากบ้าน ส่วนพระราชาผู้เป็นใหญ่ก็ไม่อาจจะบรรทมหรือ
ทรงพระสำราญอยู่ได้ ด้วยเป็นกังวลว่าจะกำจัดสัตว์ชั่วร้ายตัวนี้ออกไปจากบ้านเมืองได้อย่างไร ใครกันเล่าจะมี
ความกล้าหาญชาญชัย พอที่จะรับงานอันน่าหวาดกลัวเช่นนี้ เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้มันมีไม่ต่ำกว่าสาม
หัว ซึ่งได้แก่ หัวแพะ หัวสิงโต และหัวอสรพิษ นอกจากนั้นมันยังสามารถพ่นเปลวไฟต่างลิ้นยาวๆของมันออก
มาเผาผลาญป่าเขา หรือเหย้าเรือนให้วอดวายไปได้อย่างกว้างไกล ลำตัวของเจ้างูซวงนั้นคล้ายคลึงกับของมังกร
ส่วนหางของมันนั้นเหมือนกับของงูเหลือม
ในเวลานั้นยังมีหนุ่มน้อยผู้กล้าหาญอยู่คนหนึ่งนามว่า สินไชย ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระราชา ชายหนุ่มผู้นี้เองที่มี
ความปรารถนาใคร่แสดงความกล้าหาญเยี่ยงวีรบุรุษ ครั้นพระราชาทรงเสนอให้เขาออกไปทดสอบความแข็ง
แกร่ง โดยการเข้าต่อกรกับเจ้างูซวง เขาก็ยิ่งมีความกระตือรือร้นและขันอาสาที่จะรับภาระงานอันยิ่งใหญ่นี้ เขา
จึงกราบทูลแก่พระราชาว่าเขาจักบั่นมันให้แดดิ้นหรือไม่มันก็จักต้องพินาศสิ้นลงด้วยกำลังของเขา
แต่ทว่าสินไชยเองก็รู้อยู่เต็มอกว่า เขาไม่สามารถที่จะบั่นมันให้บรรลัยด้วยลำพังแห่งกำลังเขาเพียงคนเดียว 
ก่อนที่จะได้เข้าประชิดตัว เขาคงจะถูกไฟบรรลัยกัลป์ของมันเผาผลาญกลายเป็นเถ้าถ่านเป็นแน่แท้ แต่เขาก็
ทราบดีอีกด้วยว่า มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะสามารถให้ความช่วยเหลือแก่เขาได้ ผู้นั้นก็คือ ม้าปีกมหัศจรรย์ 
แต่ว่าเขาจะจับม้าวิเศษตัวนั้นได้อย่างไร เพราะมันสามารถโผบินได้ราวกับนกอินทรีย์และเหินลอยอยู่สูงลิบ
เหนือหมู่เมฆ อีกทั้งไม่คุ้นเคยกับการบังคับขับขี่หรือมีบังเหียน พาชีผู้มีปีก ซึ่งชาวตะวันตกรู้จักในนาม 
พีกาซัส เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นสัตว์แห่งสรวงสวรรค์ และจะลงมายังพื้นโลกก็ต่อเมื่อต้องการดื่มน้ำจากสระ
อโนดาตแต่เพียงเท่านั้น
ในราตรีหนึ่งขณะที่สินไชยกำลังนอนหลับอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ เขาได้ฝันไปว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในชุดอัน
เหลืองอร่ามด้วยทองคำ สวมใส่มงกุฎส่งประกายระยิบระยับ เหาะลอยตรงมาที่เขา แล้วนางก็กล่าวต่อสินไชยว่า 
“เธอจงตื่นนอนเถิด แล้วจงไปจับเอาม้าปีก เวลาที่เขาลงมาดื่มน้ำจากสระอโนดาต” 
พร้อมกันนั้นนางก็ยื่นสายบังเหียนและลูกบังเหียนทองคำ ซึ่งสะท้อนแสงอยู่แวววาว ให้กับเขาและกล่าวอีกว่า 
“ทันทีที่เธอใส่ลูกบังเหียนทองคำไว้ระหว่างฟันและสวมสายบังเหียนลงที่หัวของเขา ม้าปีกก็จะเชื่อฟังในคำสั่ง
และพาเธอเดินทางอย่างปลอดภัย  เพื่อไปยังดินแดนของงูซวง” 
ครั้นสินไชยตื่นนอน เขาก็เห็นสายบังเหียนและลูกบังเหียนทองคำวางอยู่ข้างๆตัว เขาจึงเชื่อว่าผู้หญิงที่มาในฝัน
นั้น ย่อมเป็นนางฟ้าผู้ปรารถนาดี ซึ่งถูกส่งลงมาให้ความช่วยเหลือแก่เขาอย่างแน่นอน
หลังจากรอนแรมมาหลายเพลา จนกระทั่งในวันหนึ่ง สินไชยก็เดินทางมาถึงยังสระอโนดาต เขาจึงเข้าไปซ่อน
ตัวอยู่ระหว่างโขดหินและเฝ้าคอยทีม้าปีกจะลงมา จนเวลาผ่านไปนานพอสมควร เขาก็ได้ยินเสียงกระพือปีก
กำลังแหวกม่านผ่านเมฆลงมา ทันใดนั้นม้าสีขาวจ้า จนพร่าแก่สายตาที่จ้องมองก็ค่อยๆปรากฏตัวขึ้นอย่างละมุน
ละไม มันค่อยๆม้วนพับเก็บปีกเข้าที่ แล้วก็ลงเหยียบสัมผัสพื้น และยืนอยู่ข้างธารทิพย์  ชั่วอึดใจนั้นสินไชยต้อง
แสงมหัศจรรย์อันเจิดจ้าจนพร่ามัว เกินกว่าที่จะเพ่งมองได้ เขาจึงจดจ้องมองจากเงาของม้าที่อยู่ในน้ำแทน ทันที
ที่ม้าปีกก้มหัวลงต่ำเพื่อจะดื่มน้ำ รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ สินไชยพุ่งทะยานออกจากที่กำบังด้านหลัง และตวัด
สายบังเหียนครอบหัวของมันพร้อมๆกับกระโดดขึ้นคร่อมขี่บนหลังของมันโดยฉับพลัน 
ในเวลาเดียวกันกับเจ้าพาชีผู้มีปีก ก็ทะยานขึ้นสู่เวหาด้วยพลังปีกของมันเพียงกระพือเดียว โอ!วิวที่เห็นจากเบื้อง
บนมันช่างสุดแสนจะสวยวิเศษอะไรเช่นนี้  เจ้าสัตว์สีขาวเจิดจ้าสง่างาม มีหางและแผงที่ปลิวสะบัด กำลังพาเขา
ล่องเหินไปในอากาศและมันก็กำลังดิ้นรนเพื่อสลัดให้ผู้ขับขี่ตกไปจากหลังของมัน มันพุ่งตัวไปอยู่เช่นนี้และเพิ่มความเร็วอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น จนสินไชยแทบจะหายใจไม่ทัน มันบิดตัวและทะยานใส่หมู่เมฆกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า แต่
เขาก็พยายามเกาะเอาไว้ไม่ให้หลุด ต่อมามันก็พาพุ่งเหินขึ้นสูงลิบและยังสูงขึ้นไปอีกในเมฆา จากนั้นมันก็แสดง
ความบ้าระห่ำ ด้วยการหกคะเมนตีลังกา และตีปีกอยู่ไปมาอย่างน่าหวาดกลัว พลันมันก็พุ่งหลาวลงสู่เบื้องต่ำอีกครั้งหนึ่ง แต่สินไชยก็ยังเกาะแน่นอยู่บนหลังของมันอย่างมั่นคง และคราวนี้ล่ะที่เขาได้โอกาสใส่ลูกบังเหียนวิเศษ 
สอดเข้าไปในระหว่างฟันของมัน ทันทีที่เขาทำสำเร็จ มันก็กลับอาการเป็นสงบนิ่งและตอบรับการสัมผัสจากผู้ขับขี่อย่างน่าอัศจรรย์ 
สินไชยจึงลูบไล้มันเพียงเบาๆ และกล่าวอย่างนุ่มนวลแต่เป็นการด่วนว่า 
“ฉันต้องการความช่วยเหลือจากท่าน พาชีผู้มีปีก หากปราศจากท่านเสียแล้ว ฉันก็ไม่สามารถจะบั่นคอเจ้างูซวง
และกำจัดซึ่งความหวาดกลัวออกไปจากแดนดินถิ่นภูเวียระได้”
คราวนี้พาชีผู้มีปีกจึงเริ่มโบยบินไปอย่างนุ่มนวล แล้วก็พาเขาร่อนกลับลงมายังบริเวณสระอโนดาต ในมือเขายัง
กุมบังเหียนเอาไว้ ขณะที่กระโดดแผล็วลงจากหลังเจ้าพาชี เขาก็สังเกตเห็นสองตาของมันเอ่อท้นไปด้วยน้ำตา 
ความกล้าหาญที่มีจึงกลับกลายเป็นความโศกสลดและสงสาร เขารู้ตัวว่าเขาได้ดักจับเอาสัตว์มหัศจรรย์แห่งฟาก
ฟ้า และพรากไปเสียซึ่งความเป็นอิสรภาพของมัน เขาจึงไปถอดเอาบังเหียนออกแล้วกล่าวแก่มันว่า 
“ท่านพาชีผู้มีปีก มันไม่เป็นการบังควรเลยที่ฉันจะเอาไปเสีย ซึ่งความเป็นอิสรเสรีของท่าน ในการท่องนภา
และเหินฟ้าไปในหมู่เมฆโดยปราศจากบังเหียน” 
เขากล่าวพลางม้าปีกก็ทะยานขึ้นสู่อากาศ พออยู่ในระดับความสูงราวเหนือยอดขุนเขา สินไชยก็จำต้องเบือนหน้า
หนีด้วยความเศร้าเสียดาย แต่อีกใจหนึ่ง เขาก็รู้สึกปลื้มปิติและยินดีที่ได้ให้ไปซึ่งความเป็นอิสระแก่ม้าชั้นยอด 
แต่แล้วทันใดนั้นเอง ความสุขและความรู้สึกลิงโลดใจอย่างบอกไม่ถูกก็บังเกิดขึ้น เมื่อเขาได้ยินเสียงกระพือปีก
อยู่ข้างหลัง และพลันส่วนหัวของเจ้าพาชีก็มาซุกอยู่ใต้แขนของเขา ครั้นเห็นเช่นนั้น สินไชยจึงปักใจเชื่อว่าเจ้า
พาชีผู้มีปีกได้กลับมาหาเขาเอง และเป็นไปตามความปรารถนาของมัน เพื่อจักได้ให้ความช่วยเหลือแก่เขาใน
ภาระงานอันยิ่งใหญ่
นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พาชีผู้มีปีก ก็ให้ความเชื่อฟังแก่ผู้ขับขี่ทุกประการแม้แต่เพียงการสัมผัสและกระซิบ
เบาๆ ดังนั้นคนและม้าจึงได้เริ่มต้นฝึกฝนวิทยายุทธ์ด้วยกัน ประหนึ่งว่ากำลังต่อสู้อยู่กับศัตรูจริงๆ พวกเขาเหยาะ
ย่างไปในอากาศ เอี้ยวตัวกลับอย่างฉับพลันและโผนทะยานขึ้นสูงลิ่ว แล้วกลับพุ่งปราดปลิวถลาลง จากนั้นหยุด
ยืนทรงตรงนิ่งอย่างสงบอยู่เหนือหมู่เมฆ การฝึกฝนเช่นนี้ได้ดำเนินติดต่อกันไปเป็นเวลาหลายวัน จนกระทั่ง
สินไชยและพาชีผู้มีปีกต่างก็เรียนรู้กันจนสิ้นและรู้ใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี
เมื่อวันเวลาแห่งการพบกันของสินไชยและงูซวงมาถึง เขาก็ฉวยเอาดาบอันวาววับกับโล่กำบังแล้วก็กระโดดขึ้น
ขี่หลังเจ้าม้าปีก ทะยานขึ้นเวหา ถลาบินข้ามทะเล ถิ่นกันดาร ด่านสิงขร ดอนป่า และถิ่นศิลาแลง จนกระทั่งมาถึง
เถื่อนถ้ำอันห่างไกล ที่ซึ่งไม่มีสิ่งใดให้เห็นเลย นอกเสียจากซากกระดูกสุมกันอยู่มากมาย ณ ที่ตรงนี้เองคือถ้ำ
ของสัตว์ชั่วร้าย สินไชยจึงกระตุกที่แผงของเจ้าพาชีพลางพูดว่า 
“ท่านพาชีผู้มีปีกอันเป็นที่รัก ฉันจะไม่ขอให้ท่านก้าวล้ำเข้าไปมากกว่านี้ ฉันไม่ต้องการให้สรีระอันงดงามของ
ท่านต้องมาพิการเพราะลมหายใจของงูซวง จงปล่อยให้ฉันลงไปต่อสู้กับมันเพียงลำพังบนดินเถิด”   
แทนคำตอบ พาชีผู้มีปีก กลับหันหัวเอาจมูกมาดุนแขนของสินไชย
ความหมายเป็นนัยเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาบังเกิดความฮึกเหิม สินไชยจึงกระชับดาบแน่นไว้ในมือ แล้วพาเจ้าม้าปีก
เหยาะย่างตรงไปยังปากถ้ำ เขาทั้งสองต้องผจญกับเสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวที่สุดและถูกบดบังด้วยเปลวไฟ
และควันดำซึ่งกำลังพ่นออกมาจากปากถ้ำของงูซวง กลิ่นเหม็นของควันกำมะถันทำเอาเจ้าม้าปีกถึงกับผงะและ
สำลัก ในขณะที่สินไชยเองก็จามอย่างรุนแรงและต้องคอยปิดป้องดวงตาเอาไว้  แต่เพียงชั่วเศษเสี้ยวของวินาที
นั่นเอง พอเขาละมือที่ป้องตาออก เจ้าม้าชั้นยอดของเขาก็โผถลาลงราวกับสายฟ้าแลบ และพุ่งดิ่งไปยังตำแหน่ง
สามหัวของมัน ซึ่งกำลังส่ายไปมาอย่างเกรี้ยวกราด มองดูราวกับอสรพิษร้ายน่าเกลียดน่ากลัวถึงสามตัว ในขณะ
ที่เจ้าม้าปีกก็ผกผันกลับตัวอย่างชำนิชำนาญ และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่สินไชยได้โอกาส จึงเงื้อดาบฟันฉับลงที่
หัวๆหนึ่งของมันระหว่างที่มันกำลังพ่นเปลวไฟออกมา พอเขาเหลือบลงไปดูอีกที ก็เห็นว่าหัวที่ได้รับบาดเจ็บ
อย่างแสนสาหัส มีเลือดกำลังไหลออกมาและแน่นิ่งคลุกฝุ่นอยู่นั้นคือหัวแพะ 
เจ้าสัตว์ชั่วร้ายจึงคำรามลั่นด้วยความดุดันยิ่งขึ้น พร้อมกับฉกเข้าใส่สินไชยและม้าปีกของเขาเป็นพัลวัน กรงเล็บ
อันน่าขยะแขยงของมันก็ตะปบออกมาอยู่ปับๆ ส่วนหางก็คอยตวัดกวัดแกว่งและฟาดฟัดไปมาอย่างบ้าคลั่ง 
ขณะที่ความชาญฉลาดของพาชีผู้มีปีกนั้นก็คือ จะต้องคอยระแวดระวังไม่ให้ถูกทำร้ายหรือถูกจับได้ รวดเร็วปาน
สายฟ้า พาชีทะยานสูงขึ้นไปแล้วก็หวนพุ่งกลับลงมาอีกครั้ง จึงเป็นการเปิดโอกาสให้กับสินไชยได้ทีและฟันดาบ
ลงบั่นหัวสิงโตของมันโดยฉับพลัน
หัวสิงโตก็เป็นอันชะตาขาด ซวนซบลงไปแน่นิ่งจมกองเลือดอยู่เคียงข้างหัวแพะของมันนั่นเอง หัวงูซวงที่เหลือ
จึงเป็นหัวอสรพิษหรือหัวพญางูใหญ่ ซึ่งมีพิษมหาศาล และกำลังขู่ฟ่อๆอยู่ทีเดียว มันบิดตัวอยู่เร่าๆเพราะความ
โกรธจัด แล้วมันก็ชูลำตัวผงาดขึ้นและยืนอยู่บนหางของตัวเองเพื่อจะคอยดักจับศัตรูผู้ชาญฉลาดของมัน คราวนี้
สินไชยได้รวบรวมพละกำลังที่มีทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ควบม้าชั้นยอดตรงรี่เข้าหามันเป็นครั้งสุดท้าย เสียง
คำรามและกรีดร้องของงูซวงนั้นน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก แม้จะอยู่ห่างไกลออกไปหลายไมล์ พระราชาและ
พลเมืองของพระองค์ยังต้องอกสั่นขวัญแขวนเมื่อได้ยินเสียงของมัน อย่างไรก็ตาม คราวนี้เจ้าสัตว์ชั่วร้าย มัน
กระโจนเข้าใส่ศัตรูของมัน และเกาะติดสีข้างของเจ้าม้าปีกเอาไว้ ในขณะที่เจ้าพาชีเองก็ทะยานเหินสู่หมู่เมฆา 
เวลานี้สินไชยรู้ตัวว่ากำลังถูกหางของงูซวงรึงรัดอยู่รอบเอว และเปลวไฟอันร้อนแรงก็เผาลนอยู่ที่ใบหน้า และ
ยังเห็นมันกำลังอ้าปากหวาพร้อมจะกลืนกินเขาอยู่ลอมล่อ เขาจึงใช้โล่กำบังคอยปกป้องตัวเองเอาไว้ พอได้จัง
หวะเขาก็ใช้พละกำลังทั้งหมดจ้วงแทงด้วยดาบ โดยปักเข้าตรงคอหอยจนจมมิดด้าม และยังทะลวงลึกจนตัดขั้วหัว
ใจของมัน เจ้างูซวงกรีดร้องเสียงหลงจนหูแทบแตก พร้อมๆกันนั้นหางอันทรงพลังของมันที่พันรอบตัวสินไชย
อยู่ ก็คลายออก ส่วนที่เรียกว่าซากของสัตว์ชั่วร้ายจึงร่วงลง และลอยละลิ่วตกสู่บริเวณถ้ำของมันเองยังเบื้องล่าง 
พอตกถึงพื้นดินซากของมันก็ถูกเผาผลาญวอดวายด้วยเปลวไฟอันเกิดจากตัวของมันนั้นเอง
เจ้าพาชีผู้มีปีกจึงโผบินสูงขึ้นไปๆ อย่างสง่าผ่าเผย สู่ดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ ในขณะที่สินไชยก็อดไม่ได้ที่จะ
เหลือบดูซากสัตว์ชั่วร้ายและความพินาศของมันเป็นครั้งสุดท้าย ในเวลาต่อมาม้ามหัศจรรย์ก็ได้โบยบินกลับลง
มายังพื้นโลก ทันทีที่ถึงพื้นดินผู้ขับขี่ก็ลงจากหลังและเข้าไปสวมกอดยอดม้าผู้กล้าหาญของเขาและเอาใจใส่ดูแล
บาดแผลให้ 
ด้วยเหตุนี้ แดนดินถิ่นภูเวียระ จึงอยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากความหวาดผวางูซวง นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ทั้งนี้
ก็ด้วยความกล้าหาญและเสียสละ ของผู้ที่สมควรได้รับการขอบคุณและกล่าวขวัญถึงเป็นอย่างยิ่ง สินไชยและพาชี
ผู้มีปีก เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
comments powered by Disqus
  Prayad

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน