30 พฤศจิกายน 2549 08:30 น.

** ทัศยุราชันย์(วานนรินทร์ยุพราช) **

แก้วประเสริฐ


                                    บทที่  ๒๔
                              วานนรินทร์ยุพราช

ถึงเรื่องราวภายนอกมานะท่านพ่อปู่”  องค์ทัศยุราชันย์ทรงพระดำรัส
    แล้วก็ทรงเล่าเรื่องต่างๆให้มหาราชครูแห่งนาครินทนาครรับทราบทุกประการ
เมื่อมหาราชครูรับฟังแล้วก็นิ่งอึ้งไปสักพัก พลางกล่าวทูลว่า
      “เมื่อการเป็นเช่นนี้  เห็นทีทางปักษินนครคงจะทำศึกเพียงแค่ลวงต่อท่านท้าวนิลกาฬ
มิได้ทำศึกโดยแท้จริง หรือว่าทางปักษินนครคงจะพบเห็นเล่ห์เพทุบายที่วางกลศึกไว้   
อีกประการหนึ่งทาง   ท่านท้าววิหะคะยุราชซึ่งมีพระอุปนิสัยดุร้ายยิ่งนัก คงจะได้รับการ
หว่านล้อมจากองค์พระยุพราชวานนรินทร์จนทรงแปรเปลี่ยนพระราชหฤทัยเสียแล้ว 
หรืออาจจะมีสาเหตุอื่นใดที่ทางเราไม่รู้ได้  ก็นับว่าเป็นบุญของเมืองนาครินทนาครยิ่งนัก
ทาง เรานั้นหาได้เกรงกลัวต่อท้าวนิลกาฬและท้าวสุพพัตสุระก็หาไม่   อันพระอุปนิสัยใจคอ
ของท่านท้าวเธอนิลกาฬถึงแม้จะเหี้ยมหาญมุทะลุดุดัน  แต่ก็ขาดความละเอียดรอบคอบถี่ถ้วน
มิเห็นผู้ใดในสายตามีความลุ่มหลง โลภ ความโกรธเป็นเกณฑ์เอาแต่ใจตัวเองเป็นสำคัญ
มัวเมาอยู่แต่ในกามารมณ์ยิ่งนัก  แม้แต่พระยุพราชของพระองค์ซึ่งมีความเฉลียวฉลาดมาก
ก็ยังมิเห็นชอบด้วยคัดค้านไม่ยอมเสด็จมาในการศึกครั้งนี้  หากมาดแม้นมีองค์พระยุพราช
ของพระองค์เสด็จมาศึกครั้งนี้คงยากแก่การรับมือได้  แต่นี้เพราะองค์ยุพราชมีพระอุปนิสัย
เหมือนพระราชมารดาหมกมุ่นอยู่ในศีลธรรมจริยธรรมเพียงแค่เฝ้าปกครองนครเท่านั้น
จึงเกิดการคัดค้านขึ้นและเสด็จหนีออกจากเมืองไป จวบจนพระราชบิดามาการศึกจึงได้หวน
กลับมายังเมืองอีกครั้งหนึ่ง   ซึ่งการนี้ ผิดกับท่านท้าววิหะคะยุราชถึงแม้พระองค์จะดุร้าย
แต่พระอุปนิสัยนั้นกลับเยือกเย็นยิ่งนัก คาดการณ์คำนวณเหตุการณ์ได้แม่นยำยิ่งนัก  อีกทั้ง
พระองค์ชอบทรงไตร่ตรองได้อย่างละเอียดรอบคอบรอบรู้ทั้งตำหรับพิชัยสงคราม
และอุปนิสัยคนได้อย่างเยี่ยมยอด    นี่ซิที่เราหวั่นเกรงกว่าผู้ใดๆก็มีเพียงท่านท่านท้าวเธอ
พระองค์นี้เท่านั้น ตลอดจนยังมีพระยุพราชที่ทรงเฉลียวฉลาดมากด้วยปัญญายากจะหาบุรุษใด
มาทัดเทียมได้ รอบรู้กลศึกตำหรับพิชัยสงครามอย่างเชี่ยวชาญเล่ห์กลเพทุบายต่างๆดีเยี่ยม
        นี่แสดงถึงชาตาฟ้าดินได้เข้าคุ้มครองเมืองเราเป็นแม่นมั่นถึงทำให้ทรงแปรเปลี่ยน
พระอุปนิสัยขององค์ท้าววิหะคะยุราชได้ถึงเพียงเช่นนี้ ”  ท่านมหาราชครูกล่าวขึ้น
       “นั่นซิท่านพ่อปู่ หากแม้นการเข้ารบร่วมของเมืองปักษินนครเกิดขึ้น
เราจะทำประการใด  ที่มิให้เคืองขุ่นแก่องค์ท่านท้าววิหะคะยุราชล่ะ”
     องค์ทัศยุราชันย์ทรงตรัสถามขึ้น
       “การครั้งนี้เราคาดการว่าองค์พระยุพราชวานนรินทร์ที่พระองค์ทรงเฉลียวฉลาดยิ่งนัก
ก็จะหาทางคลีคลายเองได้   ส่วนทางเรานั้นหากมีการรบพุ่งขึ้นเมื่อใด   ก็ให้ทหารฝ่ายเรา
พยายามหลบเลี่ยงการต่อสู้กับทหารของทางฝ่ายปักษินนคร   ทำเป็นทีเข้าต่อสู้กันอย่าให้
เกิดความรุนแรงขึ้นได้เพราะจะเห็นเหตุให้เสียการศึกทั้งปวงนะพระองค์”
        “ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ควรจะนัดหมายกับองค์พระยุพราชวานนรินทร์ให้เข้าใจถึงเหตุผลนี้
แสร้งทำเป็นกลอุบายหลอกล่อต่อท่านท้าวนิลกาฬ ทำอย่างไรจะส่งข่าวให้ทราบโดยเร็วได้”
        “แล้วใครล่ะจะเป็นผู้ไปส่งข่าวนี้ให้ทรงรู้ได้ล่ะ”  องค์ท้าวทัศยุราชันย์ตรัสขึ้น
ฉับพลันพระองค์หญิงปทุมวดีทรงกล่าวขึ้นถึงการณ์นี้ว่า
       “หม่อมฉันขอรับอาสาการนี้เพค่ะ “ องค์หญิงปทุมวดีหันไปยิ้มทรงกล่าว
       “น้องหญิงจะไปเองหรือ เราไม่ให้ไปหรอกนะ”  ท้าวทัศยุราชันย์ตรัสเป็นห่วง
       “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเพค่ะ น้องหญิงคงจะให้องครักษ์หญิงไปทำการนี้หรอก
เพราะว่าได้ฝึกปรือวิทยาอาคมจนเชี่ยวชาญยิ่งนัก  สามารถล่องหนหายตัวไปทำการครั้งนี้
และก็จะ มิเป็นที่สงสัยแต่ประการใดเพค่ะ “ องค์หญิงปทุมวดีทรงแย้มพระสรวล
        “หากเป็นเช่นนี้พี่เองก็เบาใจยิ่งนัก “  องค์ท้าวเธอรำพึงเบาๆ
        “ถ้าเป็นได้อย่างนี้ ก็คงจะสำเร็จต้องรีบดำเนินการก่อนวันพรุ่งนี้นะ”  ท่าน
มหาราชครูกล่าวขึ้น
          “ถ้าอย่างนั้น ขอให้เสด็จพี่รีบตราพระราชสาสน์ถึงองค์พระยุพราชวานนรินทร์
แล้วนำมาให้หม่อมฉันเพค่ะ”  องค์หญิงปทุมวดีตรัสขึ้น
          “ถ้าอย่างนั้นพี่ก็จะทำเดี๋ยวนี้เลยล่ะ”  ว่าพลางพระองค์ก็ทรงเสด็จไปยังโต๊ะ
หนังสือของท่านพ่อปู่ราชครู ทรงร่างพระราชสาสน์ทันที เสร็จแล้วก็ทรงนำมาให้
แก่เจ้าหญิงปทุมวดี    ครั้นองค์หญิงได้รับหนังสือแล้วก็เสด็จออกไปยังนอกตำหนัก
ตรัสแจ้งแก่เหล่าสนมกำนัลที่ยืนคอยรับบัญชาให้ไปตาม วิชชุเมฆานและศรีสวรรค์
ให้เข้ามาพบพระองค์โดยด่วน   เมื่อนางสนมรับบัญชาแล้วก็รีบออกไปทันที
       ในช่วงระยะคอยกันอยู่นั้นต่างพากันปรึกษาหารือสิ่งต่างๆกับท่านมหาราชครูอยู่
   ครั้นหัวหน้าฝ่ายทหารวิชชุเมฆานและศรีสวรรค์เข้ามาถวายบังคม
องค์หญิงปทุมวดีก็ทรงมีรับสั่งทันทีทรงพระดำรัสว่า
        “นี่แน่ะ วิชชุเมฆานและศรีสวรรค์  เราจะให้ท่านทั้งสองนำพระราชสาสน์
นี้ไปพบแก่องค์พระยุพราชวานนรินทร์อย่าให้ผู้ใดจับได้เป็นอันชาด  หากมาดแม้นว่า
ทำการมิสำเร็จก็ให้ทำลายหนังสือฉบับนี้พร้อมกับทำลายตัวเองทันที แม้นหากพลาดพลั้ง
ก็ขออย่าได้กลับมาให้เราเห็นหน้าเจ้าอีกต่อไป”  องค์หญิงปทุมวดีตรัสด้วยพระพักตร์
เคร่งขรึมดุดันในพระกระแสดำรัส   จนเป็นที่หวาดหวั่นแก่ทหารทั้งสองยิ่งนัก
      “พ่ะย่ะค่ะ  เพค่ะ.....พระองค์รับไว้ด้วยเกล้า จะมิทำให้พระองค์หญิง
เสียพระหฤทัยแก่การนี้เป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ เพค่ะ” 
 หัวหน้าทหารหญิงชายและทหารหญิงศรีสวรรค์น้อมรับพระบัญชา
      “ให้เจ้าทั้งสองจงออกเดินทางได้แล้วและล่องหนหายตัวไปอย่าปรากฏตัวที่ใด
พอใกล้ๆยังที่ประทับให้ผุดดำดินไปโผล่ใกล้ๆพอเห็นองค์พระยุพราชอยู่พระองค์เดียว
ถึงจะถวายพระราชสาสน์นี้   ทุกๆประการอย่างให้เหล่าทหารได้เกิดสงสัยเป็นเด็ดขาด
พวกเจ้าทั้งสองเข้าใจหรือไม่”  องค์หญิงทรงตรัสกำชับ
       “รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ เพค่ะ”   ครั้นแล้วเมื่อวิชชุเมฆานรับพระราชสาสน์แล้ว
ทั้งสองก็พลันหายตัวจากไปทันที ต่อหน้าองค์ทัศยุราชันย์และองค์หญิงดาริกาตลอดจน
ท่านมหาราชครูที่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็ต่างพากันเอ่ยปากชมเชยทหารขององค์หญิงปทุมวดี
เป็นเสียงเดียวกันถึงความเด็ดขาดและความสามารถของทหารชายหญิงทั้งสองมิขาดปาก
       “หากเป็นเช่นนี้ทางเราก็รู้สึกสบายใจเพียงแต่ต้องรอการติดต่อกลับเท่านั้น”
ท่านมหาราชครูปรารมภ์ขึ้นเบาๆ
        ฝ่ายขุนทหารชายและหญิงครั้นออกจากพระนครก็เหิรเดินอากาศสู่ฟ้ามุ่งหน้าเข้า
ไปยังภูเขาติรังคะคีรี ผ่านทหารของนครสินธุนครที่กระจัดกระจายอยู่แถวตามเชิงเขา 
 ก็หลีกหลบพอถึงที่เปลี่ยวก็รีบลงพื้นดิน พากันปรึกษาคาดคำนวณเห็นพ้องต้องกันแล้ว
ก็พากันชำแรกร่างลงสู่พื้นดินเลาะไปตามกระแสน้ำที่ไหลมาจากยอดเขาแทรกร่างผ่าน
ขึ้นไปยังยอดเขาผ่านกองทหารปักษินนครเข้าสู่ห้องพลับพลา ครั้นโผล่ขึ้นมาเห็นทั้งสอง
พระองค์นั่งอยู่บนพระเก้าอี้มีโต๊ะตั้งไว้อยู่ริมหน้าต่าง  ทั้งสองก็รีบแอบยังม่านบังตาทันที
 เนื่องด้วยองค์ท้าววิหะคะยุราชกำลังปรึกษากับองค์พระยุพราชวานนรินทร์อย่างเคร่งเครียด
 ได้ยินท่านวิหะคะยุพราชท้าวเธอทรงตรัสเบาๆ  
     “หากลูกพ่อคิดดีแล้ว พ่อเองก็ตามใจลูก เพียงแต่ว่าทางเมืองนาครินทนาครนั้นเมื่อได้รับ
การติดต่อแล้วจะมีความคิดอ่านประการใดนั้นแก่เราหรือไม่พ่อเองก็ยังคาดการณ์มิถูก” 
   ครั้นแล้วพระองค์ทรงหยุดชะงักมิทรงกล่าว  พลางหันไปทางม่านที่ขุนทหารหญิงชายกำบัง
ร่างแอบอยู่   พระองค์ทรงตวาดด้วยพระสุระเสียงเบาๆกึ่งเสียงดัง
      “นั่นใครบังอาจนักมาแอบฟังเราสองพ่อลูกที่หลังม่าน ให้รีบปรากฏตัวออกมาโดยเร็ว”
       องค์พระยุพราชวานนรินทร์ก็ทรงผินพระพักตร์หันมาจ้องมองดูพร้อมชักอาวุธพระขรรค์
เพชรออกจากพระวรกายผุดลุกขึ้นยืนทันทีบังร่างองค์วิหะคะยุราชไว้
      ขุนทหารวิชชุเมฆานและทหารหญิงศรีสวรรค์  เห็นดังนี้ก็ให้เกิดความสะดุ้งตกใจยิ่งนักมิคาด
ว่าองค์ท่านท้าววิหะคะจะทรงทราบได้อย่างไรเนื่องจากได้กำบังร่างไว้มิได้เกิดพิรุธเกิดขึ้น
ก็ยังสามารถตรวจสอบพบเห็นได้  แสดงถึงพระพละพลานุภาพอันแกร่งกล้ายิ่งนัก 
ทั้งที่มิได้ระคายให้ผิดสังเกตพบเห็นได้แต่ประการใดจึงพากันกลับคืนร่างแล้ว พร้อมก้าวมา
โน้มกายเข้าถวายบังคมองค์ท้าวเธอทันที   ที่ยืนเฝ้ามองมาท่าทางขึงขัง
      “ขอถวายพระพรพระเจ้าข้า  กระหม่อมเป็นทูตมาจากเมืองนาครินทนาคร
เพื่อนำพระราชสาสน์ขององค์ท่านท้าวทัศยุราชันย์มาถวายให้ทรงทอดพระเนตร
ควรมิควรทรงพระกรุณาโปรดเกล้าด้วยพระเจ้าข้า”
       องค์ท้าวเธอและพระยุพราชเมื่อได้ทรงฟังเช่นนั้นก็ทรงเก็บพระขรรค์
พระพักตร์คลายความตึงเครียดลงทันที  ท่านท้าวเธอทรงแย้มพระโอษฐ์ตรัสขึ้นว่า
     “กระนั้นหรือท่าน  มาแบบนี้ทำให้เราเกิดความสงสัยยิ่งนักไหนๆส่งมาให้ข้าดูหน่อยนะ 
 อือๆพวกเจ้าช่างเก่งกล้าสามารถอาจหาญยิ่งนัก  ที่สามารถผ่านทหารของนคร
ท่านท้าวนิลกาฬและเหล่าทหารของข้าที่เฝ้าอารักขาอย่างเข้มงวดกวดขันมาได้ 
 หากมีคนดั่งพวกเจ้ามากมายเช่นนี้เห็นที่ยากยิ่งนักที่จะปกป้องตัวเองได้ เหอะมี
ทหารหญิงมาด้วยหรือนี่”
 พระองค์ทรงตรัสชมเชยทหารทั้งสองที่เฝ้าหมอบรับพระบัญชาทรงแคลงพระทัยนัก
    “ทรงพระกรุณาธิคุณแล้วพระเจ้าข้า”  วิชชุเมฆานและศรีสวรรค์ยกมือขึ้นน้อมก้ม
ถวายพระบังคม พร้อมยื่นพระราชสาสน์ส่งให้ท่านท้าวเธอทันที
     เมื่อท่านองค์ท้าวเธอรับพระราชสาสน์มาทอดพระเนตรก็ทรงพระสรวลพลางยื่น
ส่งให้องค์พระยุพราชทันที
     “เขามีหนังสือมาถึงลูกนะ  อ่านดูซิ”  พระองค์พลางยื่นให้องค์พระยุพราช
     “ ทางเขาช่างมีอัชฌาสัยดียิ่งนะ”  พระองค์ทรงดำรัสต่อ
 องค์พระยุพราชวานนรินทร์ครั้นรับหนังสือมาอ่านทบทวนแล้วก็ทูลแก่องค์ท้าวเธอ
     “เสด็จพ่อทรงเห็นเป็นประการใดในพระราชสาสน์นี้พระเจ้าค่ะ”
     “แล้วแต่ลูกซิ  ส่วนพ่อนั้นเห็นว่าเขาคงมิได้มีเล่ห์เพทุบายประการใดไม่
เพราะในหนังสือนั้นก็กล่าวอย่างชัดแจ้งมิได้มีข้อเบี่ยงเบนเล่ห์ตามตำรา
พิชัยสงครามอยู่แต่ประการใดไม่ เพียงรอคำตอบจากเราเท่านั้น”
      “ถ้าเป็นอย่างนั้นลูกคิดว่าควรตกลงกระทำการให้สอดคล้องซึ่งกันและกันแต่
ทว่าอาจจะมีการล้มหายตายเจ็บกันบ้างนะเสด็จพ่อ”   องค์ยุพราชตรัสขึ้น
       “ก็เป็นธรรมดาในการศึกเช่นนี้ย่อมต้องเสียไปบ้างทั้งสองฝ่ายเพียงแต่ว่า
รักษาส่วนใหญ่ไว้ก็เพียงพอย่อมมิเป็นที่คลางแคลงใจแก่ฝ่ายตรงข้ามใดๆได้”
       “ถ้าเสด็จพ่อเห็นด้วย ลูกก็จะตอบพระราชสาสน์นี้ให้ท่านทูตนำไปทูล
ถวายแก่องค์ท้าวเธอทรงทราบถึงแผนการพระเจ้าข้า”
        “ดีแล้วล่ะลูกแล้วนัดหมายวันที่เราทั้งสองจะเข้าต่อสู้กันให้ชัดเจนด้วย
        “พระเจ้าข้า”   องค์พระยุพราชรับสนองพระบัญชา  ทรงเสด็จไปยังโต๊ะ
หนังสือพลางเขียนพระราชสาสน์ตอบแก่องค์ทัศยุราชันย์ เมื่อเสร็จสรรพก็ทรง
นำมายืนให้แก่ขุนทหารวิชชุฆานทันที
				
29 พฤศจิกายน 2549 10:46 น.

** ทัศยุราชันย์(เสด็จนครพระราชสวามี) **

แก้วประเสริฐ


                                     บทที่  ๒๓
                            เสด็จนครพระราชสวามี

         กาลก่อนกระโน้นนั้นหาได้ประดับด้วยธงทิวแต่ประการใดไม่ และเพราะเหตุใด
พระองค์ท่านพระมาตุลาองค์วานิระหะกับเจ้าหญิงเฌอมาลย์พระสหายเราทรงเสด็จไป
ที่ใดเล่าทั้งๆที่เป็นพระราชอาณาเขตในการปกครองของพระองค์หรือว่าทรงจะทรงได้
รับเหตุอันตรายนั้นเสียแล้วหรือ”     องค์เจ้าหญิงมณีกานต์ทรงรับสั่งถาม
       “นั่นซิเสด็จพี่  หากเป็นดังนี้เห็นทีจะต้องเข้าไปตรวจสอบดูก็ดีนะเพค่ะ”
องค์หญิงปทุมวดีทรงเอ่ยตรัสตอบ
        “ดีเหมือนกันน้องหญิง  จะได้ทราบแล้วหาทางช่วยเหลือหากทราบอย่างไรให้รีบ
กลับมาส่งข่าวให้พี่รู้ส่วนพี่จะรออยู่ตรงนี้นะ”  องค์หญิงมณีกานต์ทรงตรัสขึ้น
       เมื่อทรงดำรัสแล้วก็ทรงหันไปทางทหารชายหญิงทรงเรียกให้ สินธุกาฬ 
วารินสีห์  เกศแก้ว และปิ่นมณี    รีบติดตามพระขนิษฐาพระองค์เหาะลงไปยังยอดเขา
นิละวานรคีรีมาศทันที  ครั้นเจ้าหญิงปทุมวดีเสด็จลงไปก็พบทหารของเมืองสิงหะนคร
เข้ามาขวางกั้นมิยอมให้เสด็จผ่านเข้าไป   องค์เจ้าหญิงปทุมวดีพระองค์ซึ่งมีพระอุปนิสัย
หุนหันพลันแล่นอยู่แล้วก็ทรงขัดเคืองพระหฤทัยยิ่งนักมิได้สอบถาม พลันตวาดเสียงลั่น
พระองค์จึงทรงรับสั่งให้ สินธุกาฬและปิ่นมณี เข้าสู่รบกับทหารของสิงหะนครทันที
  สินธุกาฬและปิ่นมณีก็มีนิสัยดั่งเจ้าหญิงปทุมวดีต่างชักอาวุธประจำตัวประกอบด้วย
ดาบประกายสีทองประกายแวววับและมีดคู่ประกายเขียวดั่งมรกตส่งประกายแวววาว
เมื่อทั้งสองชักอาวุธออกมาพ้นฝักด้วยอำนาจอาวุธทั้งสองพลันส่งประกายโชติช่วง
สว่างไสวไปทั่วบริเวณเกิดพลังพายุหมุนเข้ากระแทกเหล่าทหารสิงหะนครต่างปลิว
กระเด็นไปทั่ว  ทำให้ทหารสิงหะนครต่างพากันส่งเสียงร้องเอะอะโวยวายดังสนั่นลั่น
เสียงดังกึกก้อง  แต่ก็มิยอมหยุดยั้งเมื่อตั้งตัวได้ต่างก็รีบทะยานพร้อมชักอาวุธตรงเข้า
เพื่อเข้าสู้รบกับทหารของเจ้าหญิงปทุมวดีทันที   หาได้มีความเกรงกลัวต่ออำนาจพายุ
ทั้งปวงก่อนที่การต่อสู้จะถึงเข้าปะทะกันจนถึงแก่จะถึงเสียเลือดเนื้อไปนั้น
     เสียงร้องของเหล่าทหารได้ยินกึกก้องดังไปถึงองค์พระยุพราชและเจ้าหญิงเฌอมาลย์
 ทั้งสามพระองค์ให้สงสัยเสียยิ่งนัก  จึงได้รีบเสด็จออกมาทันทีครั้นทรงแลเห็นเจ้าหญิง
ปทุมวดีก็ทรงพระปรีดิ์เปรมฤทัยยิ่งนัก  รีบตรงเสด็จไปห้ามทหารของพระองค์ที่กำลังต่อสู้
และรีบเสด็จส่งเสียงทักทายไปยังเจ้าหญิงปทุมวดีทันที เมื่อเจ้าหญิงปทุมวดีทอดพระเนตร
เหลือบแลมาเห็นเจ้าหญิงเฌอมาลย์ก็ทรงแปลกพระหฤทัยยิ่งนัก ตรัสสั่งให้สินธุกาฬและ
ปิ่นมณี ถอยออกมา  ครั้นทหารหญิงชายทั้งสองต่างพากันเก็บอาวุธเข้าฝักแล้วรีบถอยทันที  
        เจ้าหญิงปทุมวดี หันมาทักทายเจ้าหญิงเฌอมาลย์ด้วยพระพักตร์ยิ้มแย้มทรงตรัสว่า
   “อ้าวหญิงใยจึงมาอยู่ที่นี้ล่ะ นึกว่ามีศัตรูบุกรุกอาณาเขตบนแนวเขานี้จัดตั้งเป็นกองทัพ
อ้าวนั่นใครล่ะที่ยืนอยู่ข้างหญิงนะ”
       เมื่อทรงตรัสแล้วก็รีบตรงเสด็จเข้ามาหาพร้อมน้อมพระวรกายทำความเคารพเจ้าหญิง
เจ้าหญิงเฌอมาลย์ก็รีบเสด็จมาเข้าสวมกอดเจ้าหญิงปทุมวดีด้วยความดีพระทัยยิ่งนัก 
 พลางทรงหันไปแนะนำเจ้าชายสิงหะฤทธาและเจ้าชายโกเมศกุมารให้เจ้าหญิงปทุมวดีได้รู้จัก
พร้อมแจ้งถึงเหตุการณ์ต่างๆถึงความพระประสงค์ของเจ้าชายทั้งสองที่จัดตั้งกองทัพบนเขา
ให้เจ้าหญิงปทุมวดีทรงทราบทุกประการ  ครั้นเมื่อเจ้าหญิงปทุมวดีทรงทราบกระจ่างดีดังนั้น
เจ้าชายทั้งสองซึ่งยืนรับฟังอยู่ก็เข้ามาแสดงความคาราวะแก่เจ้าหญิงปทุมวดีเพราะทราบก่อน
แล้วว่าเป็นพระชายาขององค์ท่านทัศยุราชันย์แห่งนาครินทนาครซึ่งมีฐานันดรสูงกว่าพระองค์นัก
    ครั้นเหตุการณ์เป็นดั่งฉะนี้แล้วเจ้าหญิงปทุมวดีก็ทรงตรัสแก่ปิ่นมณีซึ่งยืนเฝ้ารักษาเจ้าหญิง
      “ปิ่นมณี   เจ้าจงไปทูลอัญเชิญองค์หญิงมณีกานต์ตลอดจนไพร่พลให้เสด็จลงมายังสถานที่นี้
ได้แล้ว  เราและเจ้าพี่หญิงตลอดองค์พระยุพราชทั้งสองจะรอเฝ้าพระองค์เสด็จยังที่นี้นะ ”  
     “เพค่ะ”  ปิ่นมณีรับพระบัญชา ก็รีบเหาะกลับไปเฝ้าเจ้าหญิงมณีกานต์ทันที
       ครั้นเจ้าหญิงมณีกานต์ทรงทราบก็นำกองทัพเหาะลงมายังพลับพลาแล้วก็ทรงแลเห็น
เจ้าหญิงปทุมวดี เจ้าหญิงเฌอมาลย์และเจ้าชายทั้งสอง  กำลังยืนรอเฝ้ารับเสด็จพระองค์อยู่
เมื่อถึงทั้งหมดยืนอยู่   องค์พระยุพราชสิงหะฤทธา ก็ทรงน้อมพระวรกายทูลถวาย
บังคมพร้อมเจ้าชายโกเมศกุมารและเจ้าหญิงเฌอมาลย์ทันที อัญเชิญเข้าสู่ยังพลับพลาก่อน
 ด้วยองค์ชายสิงหะฤทธาทรงทราบแล้วว่าเจ้าหญิงมณีกานต์ทรงเป็นกษัตริย์แห่งรัตนานคร
อีกทั้งพระองค์ยังเป็นพระอัครมเหสีฝ่ายซ้ายขององค์ทัศยุราชันย์แห่งนาครินทนาคร
      ครั้นดำเนินมาถึงพลับพลาอัญเชิญเข้าภายในทรงประทับเป็นที่เรียบร้อย ต่างก็พากัน
ถามไถ่สาเหตุทุกข์สุขต่างๆกัน    ครั้นพระองค์ทรงทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่าง
เจ้าชายสิงหะฤทธากับเจ้าหญิงเฌอมาลย์แล้วพระองค์ทั้งสองก็ทรงพึงพอในพระราชหฤทัย
ยิ่งได้สนทนาปราศรัยกันก็ยิ่งทรงชื่นชมในพระอัชฌาสัยขององค์พระยุพราชทั้งสอง
 ถึงกับพระองค์ทรงตรัสชมเชยเจ้าหญิงเฌอมาลย์ที่มีพระเนตรทัศน์วิสัยกว้างไกลมาก
และทรงพระหยอกล้อเจ้าหญิงเป็นที่ขวยเขินแก่เจ้าหญิงเฌอมาลย์  จนพระองค์ทรงมี
พระพักตร์แดงฉาน เมื่อทรงความเป็นไปมากันกระจ่างดีแล้วก็ทรงร่วมเข้าปรึกษาวาง
แผนการต่างๆ และทรงเห็นด้วยที่จะให้องค์พระยุพราชทั้งสองจะวางกำลังไพร่พลไว้ที่นี้
เพื่อคอยประสานทางด้านนอกไว้และคอยเข้าโจมตีทหารของท้าวนิลกาฬและเจ้านครต่างๆ
เมื่อได้โอกาสอำนวยดีกว่าจะยกทัพเข้าเมืองนาครินทนาคร อาจทำให้องค์นิลกาฬสงสัย
รู้ตัวแล้วเปลี่ยนแปลงกลศึกเสียใหม่ก็จะทำให้ลำบากยากยิ่งขึ้น
      ส่วนพระองค์และเจ้าหญิงปทุมวดีจะเข้าไปยังเมืองนาครินทนาครพร้อมกับกองทัพ
พร้อมจะทูลให้องค์ทัศยุราชันย์ทรงทราบความเป็นไปมาด้วยพระองค์เอง  ถึงเหตุผลต่างๆ
ที่ได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนจากองค์พระยุพราชทั้งสอง   ครั้นได้เวลาพอสมควรแก่การเวลา
เจ้าหญิงมณีกานต์และเจ้าหญิงปทุมวดีก็กล่าวลา พร้อมเสด็จขึ้นยังพระยาราชสีห์และคชสีห์
นำทหารชายหญิงมุ่งตรงเข้าสู่กำแพงแก้วนครนาครินทนาคร  เมื่อครั้นทรงเสด็จมาถึงบริเวณ
     รัศมีที่คอยคุ้มครองนครก็ค่อยผ่อนคลายอำนาจลงยินยอมให้เอกอัครมเหสีและพระชายา
ในส่วนเหล่าทหารชายหญิงนั้นต่างก็ได้รับทานผลไม้วิเศษและน้ำอำมฤตจากท่านมหาราชครู
เป็นอำนาจที่ใช้ผ่านทางเข้าเมืองได้   เมื่อลุล่วงผ่านเข้าสู่กำแพงเมืองแล้วก็ทรงนำเหล่าทหาร
มุ่งเข้าสู่พระตำหนักด้านในทันทีผ่านทหารรักษาเมืองก็ให้การถวายการต้อนรับผ่านไป
        ภายในพระตำหนักก็ทรงแลเห็นเจ้าหญิงดาริกาพร้อมองค์ท้าวทัศยุราชันย์กำลังทรง
ยืนรอรับเสด็จอยู่หน้าพระตำหนัก ด้วยพระพักตร์ยิ้มแย้มแจ่มใสยิ่งนัก
 เจ้าหญิงทั้งสองครั้นแลเห็นก็รีบเสด็จลงจากราชพาหนะก็น้อมพระวรกายถวายบังคม
ท่านท้าวทัศยุราชันย์และเจ้าหญิงดาริกาซึ่งตรงเข้ามาสวมกอดองค์หญิงทั้งสอง
ทั้งสองพระองค์  พลางองค์ท้าวเธอทรงตรัสด้วยความดีพระทัยว่า
      “รบกวนน้องหญิงทั้งสองยิ่งนักแล้ว พี่นั้นเฝ้าคิดถึงอยู่ตลอดเวลาจนน้องดาริกาทรงเย้า
หลังจากที่ฟื้นคืนกลับมานี้ยังไม่ได้ประสบพบเห็นน้องอย่างแต่ประการใด ครั้นจะไปพบ
ยังเมืองน้องหญิงก็พอดีมาเกิดเหตุทางนี้เสียก่อน  หวังว่าน้องหญิงคงจะเข้าใจเราดีนะ”
 พร้อมทั้งหันพระพักตร์ไปกล่าวแก่เหล่าสนมกำนัลให้นำทหารชายหญิงและราชพาหนะ
ของเจ้าหญิงทั้งสองไปยังที่สถานรับรองต้อนรับทรงกำชับอย่าให้ขาดตกบกพร่องอย่างใด
        เจ้าหญิงมณีกานต์และเจ้าหญิงปทุมวดี ทรงเขม่นมองพระวรกายองค์ท้าวเธอเห็น
พระวรกายแจ่มใสประกายสีทองเจิดจ้าหลากสียิ่งนัก ต่างก็ทรงรำพึงถึงอดีตความหลัง
ก่อนเก่าหาได้มีประกายเจิดจ้าดั่งฉะนี้   ยิ่งทรงแปลกพระราชหฤทัยในพระองค์ยิ่งนัก
 ก็ยิ่งทรงปลาบปลื้มในองค์พระสวามีกว่าเดิมอีก พระวรกายทั้งสองพระองค์ก็เริ่มสั่นสะเทิ้ม
ภายในทั้งจิตใจก็ยิ่งหวั่นไหวนัก    ยามเมื่อองค์ท่านท้าวเธอทรงเข้าประคองพระวรกายโอบ
เจ้าหญิงทั้งซ้ายขวาไว้ในอ้อมพระหัตถ์ก็ยิ่งทรงสั่นสะท้านพระหฤทัยจนถึงกับหลั่งน้ำพระเนตร
สะอึกสะอื้นไห้พลางซบพระพักตร์เข้ากับพระอุระทรงพระกรรแสงมิได้ขาด  จนองค์หญิงดาริกา
ที่ยืนเฝ้าทอดพระเนตรดูก็ทรงที่จะอดหลั่งน้ำพระเนตรตามไปด้วยอีกพระองค์หนึ่ง
         ท่านองค์ท้าวเธอทัศยุราชันย์ก็ทรงพระดำรัสเฝ้าปลอบประโลมเจ้าหญิงทั้งสามพระองค์ว่า
   “น้องหญิงทั้งสามจงฟังไว้  พี่นี้จะขอให้สัจจะวาจาแก่เธอทั้งหลายว่า ต่อแต่นี้เป็นต้นไป
หากมาดแม้นมิสิ้นพระชนม์ชีพไปในงานศึกครั้งนี้แล้ว จะขออยู่เคียงเธอมิหนีหายไปไหน
อีกแล้ว”   
เมื่อทรงตรัสแล้วก็ดึงร่างองค์หญิงทั้งสามเฝ้าลูบไล้ปลอบประโลมใจจนเจ้าหญิงทรงสร่างลง
เมื่อเห็นว่าเจ้าหญิงทั้งสามทรงมีพระอาการดีมากขึ้นแล้วพระองค์ก็ทรงตรัสขึ้นอีกว่า
     “ต่อไปนี้เราจะมิให้น้องหญิงมณีกานต์และปทุมวดีพรากจากเราอีกอยู่ร่วมกันที่นี่
พร้อมๆกันมิให้ห่างหายไปไหนได้อีกแล้วล่ะอยู่ร่วมกันทั้งหมดนี่แหละนะ”
    เมื่อตรัสแล้วก็ทรงประทับจูบลงบนพระพักตร์เจ้าหญิงทั้งสามทันที  สร้างความ
ปลาบปลื้มประโลมใจยิ่งนักแก่เจ้าหญิงจนทรงพระสะอื้นพากันซบพระพักตร์บน
พระอุระพระอังสาองค์ทัศยุราชันย์ทุกๆพระองค์
       มวลเหล่านางสนมกำนัลทั้งหลายก็ค่อยๆทยอยออกไปจากพระตำหนักจนหมดสิ้น 
เพื่อออกไปรอรับพระบัญชายังนอกพระตำหนัก คงปล่อยให้ทรงพระเกษมสำราญปรับทุกข์สุข
ต่อซึ่งกันและกัน  องค์หญิงมณีกานต์และเจ้าหญิงปทุมวดีต่างก็พากันเล่าเรื่องถึงองค์ชายแห่ง
สิงหะนครและทันทะกะนครอันมีเจ้าหญิงเฌอมาลย์จะทรงเข้ามาช่วยเหลือในการศึกครั้งนี้ 
โดยมีเจ้าหญิงเฌอมาลย์เป็นผู้ประสานงานร่วมด้วย จัดตั้งกองกำลังยังบนยอดเขาทั้งสอง
 ก่อนจะมานั้นองค์ยุพราชทั้งสองก็ทรงแจ้งให้ทราบว่าได้รับหนังสือลับจากองค์พระยุพราช
วานนรินทร์แห่งปักษินนครส่งมาว่าจะขอเข้าร่วมเป็นพระพันธมิตรอีกทางหนึ่งด้วยอีกพระองค์หนึ่ง
      เมื่อองค์ท้าวเธอทัศยุราชันย์และเจ้าหญิงดาริกา  ครั้นได้รับทราบจากองค์หญิงทั้งสอง
ก็ให้ทรงพระเกษมฤทัยยิ่งนักทรงตรัสขึ้นอย่างดีพระทัยว่า
      “ถ้าอย่างนั้นเราเห็นทีศึกครั้งนี้ที่คิดว่าหนักหนาสาหัสนัก ซึ่งคงจะเป็นไปตามฟ้าดินได้ลิขิต
เช่นนี้ทำให้เมืองทั้งสามนั้นทรงแปรเปลี่ยนพระหฤทัยแล้ว หรืออาจจะเป็นกระแสกรรม
ของท่านท้าวนิลกาฬที่จะถูกลงโทษโดยฟ้าดินมิอำนวยในการกระทำซึ่งครั้งนี้นั้น เราคิดว่า
เหตุการณ์คงจะเบาบางลงมิสาหัสหนักหนาดังที่คิดคาดไว้แล้วแต่ประการใด  อันเนื่องด้วยเป็น
เพียงแค่ทำศึกเพียงสองด้านเท่านั้นเอง  เห็นว่าเราทั้งหมดควรจะไปแจ้งให้ท่านพ่อปู่ราชครูทราบ
ด้วยตัวเองเพื่อฟังคำท่านพ่อปู่จะมีความคิดเห็นว่าดีร้ายเป็นประการใด  น้องหญิงเห็นชอบด้วย
ประการใดหรือไม่ล่ะ”
       “ถ้าอย่างนั้น เราก็ไปเสียบัดนี้ทั้งหมดดีไหมเพค่ะ” องค์หญิงดาริกาทรงดำรัส
        “เห็นด้วยที่พี่หญิงดาริกาทรงตรัสมาเพค่ะ”  เจ้าหญิงทั้งสองต่างทูลพร้อมเพรียงกัน
    เมื่อเป็นดังฉะนี้แล้วองค์ท้าวเธอจึงรีบทรงนำเจ้าหญิงทั้งสามเสด็จเข้าไปพบท่านพ่อปู่ราชครู
ยังพระตำหนักด้านหลังทันที
        ครั้นมาถึงที่ยังพำนักของท่านมหาราชครู ต่างพระองค์ก็เสด็จเข้าไปข้างในก็แลเห็น
ท่านมหาราชครูกำลังนั่งอ่านหนังสือตำราพิชัยสงครามอยู่  ท่านพ่อปู่มหาราชครูครั้นแลเห็น
เหล่าหน่อกษัตริย์เสด็จมาก็รีบลุกขึ้นน้อมก้มกายแล้วทรงเชิญเข้าประทับยังพระราช
อาสน์  กล่าวขึ้นว่า
       “ลมอันใดหรือที่ทรงนำมหาราชและองค์หญิงทั้งหลายเสด็จมาด้วยเหตุอันใดฤา”
       “เรามีเรื่องที่ต้องขอคำแนะนำจากพ่อปู่ ด้วยได้รับทราบจากน้องหญิงทั้งสอง
				
27 พฤศจิกายน 2549 10:31 น.

** ทัศยุราชันย์(ร่วมศึกนาครินทนาคร) **

แก้วประเสริฐ


                                        บทที่  ๒๒	
                               ร่วมศึกนาครินทนาคร

ของทหารทั้งสองฝ่าย เวลาผ่านไปนานๆเข้าตั้งแต่ราตรีเข้าจรดเย็นมืดค่ำ 
จึงต่างพากันถอยทัพกลับ  รวมทั้งทัพต่างๆของเหล่าอสูรมิอาจะทำอาจรุกไปได้
        ท่านท้าวนิลกาฬ เมื่อเห็นการสู้รบเป็นไปเช่นนั้น  ก็ให้บังเกิดความโกรธ
ขุ่นข้องหมองใจยิ่งนักมิได้เป็นไปในความคาดหมาย  ยิ่งได้รับรายงานจากทหารว่า
  เหล่าทหารของเมืองสิงหะนครและทันทะกะนคร เฝ้ายืนดูการรบมิได้เข้าไปช่วย
ร่วมรบและช่วยเหลือแก่นครต่างๆของพระองค์ เพียงแต่ส่งเสียงร้องสนับสนุนใน
สถานการณ์เท่านั้น   ก็ยิ่งทรงให้ขุ่นเคืองพิโรธโกรธากระทืบพระบาทตวาดเสียง
ดังกึกก้อง    จึงหันไปตรัสสั่งให้นายทัพนายกองทั้งหลายว่า
      “ เฮ้ย!!!  นี่แน่ะท่านนิลพาหุแม่ทัพหน้า ท่านจันทะเสน  ท่านอสุระฤทธา
และท่านวิรุเดชะ  จงรีบนำกำลังพลแยกเป็นสองทาง    ให้ท่านนิลพาหุและ
ท่านจันทะเสนนำทหาร ยกเข้าไปตีกำหลาบฝ่ายสิงหะนคร ส่วนท่านอสุระฤทธา
กับท่านวิรุเดชะ ให้ท่านอสุระฤทธา ท่านนิลพาหุเป็นแม่ทัพคุมกำลังพล
เข้าโจมตีฝ่ายทันทะกะนครเดี๋ยวนี้  อย่าให้มีผู้ใดเหลือรอดชีวิตแม้สักผู้เดียว”  
       “พ่ะย่ะค่ะ ”  เหล่าอสูรที่ได้รับพระบัญชา รับสนองแล้วรีบนำกำลังพล
แบ่งกำลังพลต่างพากันแยกย้ายกันไปทางทิศตะวันออกและทิศใต้ทันที
       ครั้นถึงยังแนวสมรภูมิ  นิละพาหุและจันทะเสนต่างก็นำทหารเข้ารวมพล
กับทุระคานครและคีตตะระนครแล้วยกพลทั้งสองฝ่ายเข้ารายล้อมสั่งทหารโจมตี
ทัพองค์พระยุพราชสิหะฤทธาทัน  โดยมิยอมเจรจาใดๆ เสียงโห่ร้องดังกึกก้อง
องค์พระยุพราชสังเกตเห็นความผิดปกติของทหารนิลกาฬ   พระองค์ทรงทราบ
ในท่าทีของทหารกาฬคีรีนครที่มีใบหน้าดุดันส่งกำลังต่างพุ่งรุกเข้ามาหาทาง
ทหารของพระองค์   ก็ทรงรับสั่งให้เหล่าทหารถอยไปตั้งหลักบนขุนเขา
นิละวานรคีรีมาศก่อนแล้ว    ทรงสั่งให้ ปรศุเดชะ สุระพยัคฆา สุระติณนะกะ
 นิระกำพลและสุระกำพลแบ่งกำลังแยกย้ายกันเข้าต่อสู้กับทหารกาฬคีรีนคร
และเหล่านครต่างๆแบ่งแยกเป็นทางปีกซ้ายและปีกขวาลงมาต่อต้านสู้รบกับทัพ
ของท้าวนิลกาฬและเมืองต่างๆอย่างชุลมุน
    โดย ฝ่ายทาง ปรศุเดชะก็เข้าสู้รบกับนิละพาหุ ส่วนทางด้านจันทะเสนก็เข้ารบ
กับสุระพยัคฆา ทหารทั้งสองฝ่ายต่างพุ่งเข้าหาต่อสู้รบกันสนั่นกึกก้องสนั่นหวั่น
ไหวเป็นที่ชุลมุน   มิได้หวาดหวั่นเกรงกลัวอย่างไรจนล้มตายกันไปทั้งสองฝ่าย 
ทางท่านปรศุเดชะชักขวานเพชรเข้าฟาดฟันนิละพาหุซึ่งมีกระบองเพชรวิเศษ
ยามเข้าปะทะเกิดประกายไฟของอาวุธเพชรทั้งสอง   ยามปะทะกันพลันบังเกิด
เป็นอสุนิบาศก์เสียงดังประกายแวบวับไปทั่วบริเวณ    ส่วนจันทะเสนนำอาวุธ
กระบองโลหะสีดำสนิทเข้าสู้รบกับสุระพยัคฆาที่ใช้ดาบเป็นอาวุธต่างเข้าต่อสู้
กันพัวพัน ด้วยแรงปะทะระหว่างอสูรกับมนุษย์เทพกึ่งราชสีห์ต่างมิตกเป็นรอง
ซึ่งกันและกัน พากันล้มลุกคลุกคลานตกตายไปเลือดไหลนองไปจนทั่วบริเวณ
ท่านปรศุเดชะครั้นได้ทีก็ฟันขวานเพชรเข้ายังทรวงอกนิละพาหุจนขาด สะพายแล่ง
ขาดแยกจากกันล้มลงถึงแก่ความตายทันที    ทางสุระพยัคฆาที่เข้าประชิดติดพันกับ
จันทะเสน  ก็ถูกกรงเล็บราชสีห์ตระปบใส่ใบหน้าของจันทะเสนจนศีรษะยุบขาดหาย
แตกกระจายเลือดไหลนองล้มลมสิ้นชีวิตไปอีก  ส่วนทางสุระพยัคฆาก็ถูกกระบอง
สีดำฟาดเข้าระหว่างด้านข้างจนทรุดลงไปกองกับพื้นหาแต่หาได้เป็นอันตรายใดไม่
     เมื่อทหารทางฝ่ายกาฬคีรีนครเห็นแม่ทัพนายกองเสียชีวิตก็พากันเสียขวัญกำลังใจ
รีบพากันวิ่งหนีหายลงเขาไป   ส่วนทางด้านตันติยะนครและทุระคานครซึ่งสู้รับติดพัน
 ต่างก็โดนกรงเล็บราชสีห์ของท่านสุระพยัคฆาและขวานเพชรของท่านปรศุเดชะเข้า
ฟาดกันและถูกตระปบด้วยฝ่ามือกรงเล็บราชสีห์จนถึงแก่ชีวิตในเวลาถัดต่อมา 
        ส่วนทางด้านท่านสุระติณนะกะ  นิระกำพลและสุระกำพลต่างพากันชักอาวุธวิเศษ
 ของตน รีบนำทหารเข้าต่อสู้กับฝ่ายไพร่พลต่างๆของเหล่าอสูรจนแตกพ่ายยับเยิน 
 ในระหว่างนั้นก็ถูกเหล่าฝูงทโมนไพรซึ่งนำโดยทโมนไพรร่างยักษ์ทั้งสองตัวซึ่ง
นำไพร่พลทโมนที่ดุดันเข้าทำลายทหารอสูรอีกทางหนึ่งจนทหารฝ่ายนิลกาฬ ยิ่ง
ล้มตายแทบจะไม่เหลือเป็นกองทัพอีกต่อไปจะมีหนีเล็ดรอดไปได้บ้างเพียงเล็กน้อย
แล้วรีบเข้าไปรายงานกับท่านท้าวนิลกาฬให้ทราบในการเข้าต่อสู้รบพุ่งกันครั้งนี้
        ทางด้านกองทัพที่นำโดย  ท่านอสุระฤทธาและท่านวิรุเดชะซึ่งนำกำลังรี้พล
เข้ามาทางทิศใต้  เมื่อมองแลเห็นสภาพสะบักสะบอมของทหารเหล่าปัจฉิมนคร
และวิรุราคินนคร    ก็เกิดความโกรธแค้นยิ่งนักรีบนำกำลังพลทั้งสองรีบดาหน้า
เข้ารบพุ่งกับทหารทันทะกะนครที่เฝ้ายืนดูอยู่ทันที    ครั้นองค์พระยุพราช
โกเมศกุมารที่ทรงเฝ้าเหตุการณ์อยู่   จึงสั่งให้แม่ทัพใหญ่วะสินธุนาคะนำแม่ทัพ
นายกองประกอบไปด้วยท่าน นาคียะ ทาระกะ สินาระและ นาศยะ  แบ่งกำลังพล
เป็นปีกซ้ายและปีกขวา    ท่านนาคียะและทาระกะก็เข้าสกัดต่อสู้กับอสุระฤทธา
ส่วนทางด้านท่าน สินาระและนาศยะเข้าต่อสู้กับวิรุเดชะอย่างดุเดือดชุนมูล
           ทั้งสองฝ่ายต่างเข้ารบพุ่งกันเป็นพัลวันประกายอาวุธแวบวับสนั่นหวั่นไหว
 ทางฝ่ายทหารของทันทะกะ ซึ่งมีกำลังกำลังใจดีกว่าทางด้านฝ่ายกาฬคีรีนคร
ซึ่งต้องรีบเร่งเดินทางมาก็ตกเป็นรองทหารของฝ่ายทันทะกะต่างพ่นไฟออก
เป็นไฟประลัยกัลป์เข้าเผาผลาญทหารของเหล่าอสูรลุกไหม้ตกตายไปตามๆกัน
อสุระฤทธาอสูรเห็นดังนั้นก็โกรธยิ่งนัก ชักคทาแก้วประจำตัวพลางร่ายมนต์
ขว้างเข้าใส่ทหารทางฝ่ายทันทะกะทันที   คทาแก้วพลันกายเป็นปักษียักษ์มหึมา
จำนวนมากพุ่งลงจิกตีขย้ำด้วยกรงเล็กอันแหลมคม ยังให้ทหารทันทะกะแตกพ่าย
ไปด้วยอำนาจปักษีกริ่งกลัวในตัวของปักษียักษ์หนีจนชุลมุนวุ่นวายไปทั่วกองทัพ
         ครั้นนาคียะเห็นปักษีมนต์เข้าทำลายทหารของตนก็รีบล้วงหยิบศรแก้ววิเศษ
ออกมาพลางร่ายมนต์แล้วโยนใส่ฝูงปักษีมนต์ทันที  ปรากฏเป็นลูกศรจำนวนมาก
มหาศาลพากันเข้าทิ่มแทงเหล่าปักษียักษ์ล่วงหล่นวอดวายไปสิ้น  แล้วพุ่งตรงเข้า
ใส่เหล่าทหารของท่านอสุระฤทธาทันที  แต่ศรแก้วไม่สามารถเข้าทำร้ายอสุระฤทธา
ได้ศรแก้วถูกตีหักแหลกละเอียดไปเป็นจำนวนมาก    ศรแก้วก็ลอยกลับคืนสู่เจ้าของ
นาคียะเห็นดังนั้นก็คืนร่างเป็นพญานาคตัวมหึมาเกล็ดสีเขียวขจี หงอนสีแดงเพลิง
สอง ตาเขียวดั่งมรกต สูงใหญ่ยาวเท่าภูเขาพุ่งเข้าโอบรัดท่านอสุระฤทธาทันที 
 ฝ่ายอสุระฤทธาเห็นดังนี้ก็กลับคืนเป็นอสูรร่างกายใหญ่โตเท่าภูเขาตีด้วยคทาแก้ว
 แต่หาได้ทำลายร่างเกล็ดสีเขียวได้ ร่างที่ถูกรัดมัดแน่นพลาดท่าก็ถูกปากพญานาค
ขบกัดเข้าตรงศีรษะหายเข้าปากพญานาคไปซ้ำยังถูกไฟกรดที่พ่นออกมาเข้าเผาผลาญ
ร่างของอสุระฤทธาก็ถึงกาลสิ้นชีพแล้วร่างกายมอดไหม้เป็นผุยผงทันที  ทางด้านฝ่าย
วิรุเดชะครั้นเห็นอสุระฤทธาเสียชีวิตก็ตกใจนัก ครั้นมองไปยังทหารฝ่ายตนล้มตายแทบ
จะไม่เหลือ    พอได้จังหวะถอยออกจากการรบกับท่านสินาระและนาศยะที่กำลังรุมต่อสู้
ก็มองเห็นเหล่าอสรพิษร้ายแห่งขุนเขาสินธุคีรีมาศที่เข้ามาช่วยรบในการครั้งนี้เลื้อย 
เพ่นพ่านไปทั่ว แต่ละตัวขนาดใหญ่กว่าลำแขน  ต่างพากันช่วยขบกัดทหารฝ่ายตนล้มตาย
เป็นจำนวนมากมายซึ่งไม่อาจทนต่อ ฤทธิ์พิษร้ายของอสรพิษมีฤทธิ์กว่าอสรพิษธรรมดา
 พอได้โอกาสก็รีบนำกำลังพลที่เหลือเหาะหนีกลับทันที   องค์พระยุพราชทรงควบคุม
ทัพหลังจากชำนะศึกครั้งนี้ พระองค์รีบแบ่งทัพออกเพื่อไปช่วยเหลือทางด้านสิงหะนคร 
 โดยมอบให้แม่ทัพใหญ่วะสินธุนาคะคุมกำลังไปพำนักอยู่ที่ขุนเขาสินธุคีรีมาศเสียก่อน
 ส่วนพระองค์จะนำทัพไปช่วยเหลือท่านองค์พระยุพราชสิงหะฤทธาต่อไป
        ครั้นเสด็จมายังบริเวณการต่อสู้ เห็นเหล่าทหารสิงหะนครกำลังสาระวนอยู่ช่วย
กันทำความสะอาดบริเวณภูเขานิละวานรคีรีมาศอยู่   ก็เสด็จตรงไปเข้าเฝ้าองค์พระยุพราช
สิงหะฤทธาทันที   ครั้นทั้งสองพระองค์พบก็ทรงเข้าสวมกอดกันและเล่าเรื่องราวต่างๆ
ให้ทราบซึ่งกันและกัน ต่างพากันทรงพระสรวล ครั้นแล้วองค์ยุพราชสิงหะฤทธาก็ทรง
แนะนำเจ้าหญิงเฌอมาลย์แห่งนิละวานรนครให้เจ้าชายโกเมศกุมารทรงรู้จักเจ้าหญิง
  เจ้าชายโกเมศกุมารก็ทรงน้อมพระวรกายเข้าบังคมคาราวะแด่เจ้าหญิงเฌอมาลย์ทันที  
         เจ้าหญิงเฌอมาลย์ทรงแลเห็นรีบน้อมพระวรกายรับการคาราวะตอบจากเจ้าชาย
 ครั้นแลเห็นพระวรกายของเจ้าชายโกเมศกุมารก็ทรงพอพระราชหฤทัยในองค์เจ้าชาย
ถึงกับเอ่ยพระโอษฐ์ชมเจ้าชายโกเมศกุมารแห่งทันทะกะนครทูลแก่องค์พระยุพราช
สิงหะฤทธาทรงตรัสว่า เจ้าชายโกเมศกุมารที่จะมาเป็นพระขนิษฐภาดาในพระองค์นั้น
ช่างสง่างามสมเป็นชายชาตรียากหาใครเปรียบเทียบได้ยิ่งนัก  บุคลิกช่างองอาจห้าวหาญ
ไม่แตกต่างไปกว่าองค์พระยุพราชสิงหะฤทธาแต่ประการใดก็หาไม่ แล้วทรงแย้มยิ้ม 
ทำให้ทั้งสองพระองค์ถึงกับทรงพระสรวลลั่นเป็นที่ถูกพระราชหฤทัยเป็นยิ่งนัก
        หลังจากนั้นทั้งหมดก็เข้าไปที่ประทับยังพลับพลาทรงร่วมกันปรึกษาหารือเพื่อ
ที่จะเข้าไปยังนครนาครินทนาครแจ้งจะขอเข้าร่วมการศึกครั้งนี้ต่อไป
      เจ้าหญิงเฌอมาลย์ตรงตรัสว่าเป็นหน้าที่ของพระองค์เองที่จะส่งพระราชสาสน์ครั้งนี้
ด้วยติดต่อกันอยู่เนืองๆ     และทรงกล่าวว่าหากยึดที่มั่นเหล่านี้ไว้ก็จะเป็นการดีกว่าที่จะ
นำกองทัพเข้าไปอยู่ในนครนาครินทนาคร  เพราะภูมิประเทศเหมาะแก่การเข้าสนับสนุน
ดีกว่า สามารถช่วยกันตีกระหนาบทัพของท่านท้าวนิลกาฬได้อีกทาง  องค์พระยุพราช
ทั้งสองก็ทรงเห็นชอบด้วยตกลงในความคิดอ่านของเจ้าหญิงเฌอมาลย์และไต่ถามทุกข์สุข
กันและกันทั้งสามพระองค์เป็นที่ทรงพระเกษมสำราญยิ่ง
        จะย้อนกล่าวถึงทางเมืองรัตนานคร   ครั้นเดือนเพ็ญศิวะราตรีบรรลุมาถึงวันมีศึก
เจ้าหญิงมณีกานต์ พระองค์ก็ทรงมอบหมายให้เอกอัครเสนาบดี สุระบดินทร์แม่ทัพใหญ่
และท่านปุโรหิต หิตตายะเป็นผู้รักษาเมืองรัตนานคร    โดยให้ท่านสุระบดินทร์เข้า
ควบคุมดูแลฝ่ายทหารมีอำนาจเต็ม      ส่วนท่านปุโรหิต หิตตายะเป็นฝ่ายควบคุม
ดูแลฝ่ายพลเรือน  หากเกิดปัญหาใดๆจงรีบส่งข่าวไปยังทางเมืองนาครินทนาครทันที
เพื่อพระองค์จะได้รีบเสด็จกลับมาช่วยอีกแรงหนึ่ง
           เมื่อพระองค์ทรงมอบหมายการดูและนครแล้ว  ก็ทรงให้เจ้าหญิงปทุมวดีรีบตรง
ไปยังหุบเขาลับ  ให้รีบนำเหล่าทหารหญิงชายที่ทรงฝึกฝนไว้เป็นพิเศษ พร้อมราชพาหนะ
อันมีพระยาราชสีห์และพระยาคชสีห์มาเพื่อใช้ในการเดินทางนำกองทัพเพื่อเข้าสู่ยัง
นครนาครินทนาครต่อไปเพื่อช่วยเหลือพระราชสวามี   ครั้นลุล่วงฤกษ์อันเป็นมหามงคล
แล้วพระองค์ทั้งสองก็คุมเหล่าทหารหญิงและชาย องค์เจ้าหญิงมณีกานต์ทรงพระยาราชสีห์
องค์เจ้าหญิงปทุมวดีทรงพระยาคชสีห์ทรงนำเหล่าทหารหญิงชายที่ทรงสร้างไว้เป็นพิเศษ
เหาะไปในทางอากาศผ่านแมกไม้ทิวเขานานาตลอดมหาสมุทรเข้าสู่อาณาเขตนาครินทนาคร
บรรลุยังเทือกเขานิละวานรคีรีมาศ  พลันพระองค์ทรงแลเห็นบนยอดเขาถูกประดับประดา
ด้วยทิวธงต่างๆพลิ้วไสวไปมาก็ให้บังเกิดความสงสัยแก่เจ้าหญิงมณีกานต์เป็นยิ่งนัก 
พระองค์จึงตรัสถามแก่เจ้าหญิงปทุมวดีว่า
        “นี่แน่ะน้องหญิง พี่เองให้รู้สึกสงสัยเหลือเกินว่าอันยอดเขานิละวานรคีรีมาศเมื่อ
				
24 พฤศจิกายน 2549 08:11 น.

** ทัศยุราชันย์(ศึกอสูร เทพมนุษย์ ยุพราช) **

แก้วประเสริฐ


                                     บทที่  ๒๑
                           ศึกอสูร เทพมนุษย์ ยุพราช

ด้วยเถิดพระเจ้าข้า”   วิษณุเดชะน้อมกายถวายหนังสือถึงแผนการต่างๆ
ในการปกป้องพระนครแด่องค์ราชันย์
         “ส่วนทางด้านพลเรือนนั้น ข้าพระพุทธเจ้าได้แจ้งไปยังหน่วยงาน
รับผิดชอบแจ้งแก่ประชาราษฎร์ทั้งหลายมิให้ตื่นตระหนกตกใจซึ่งเหล่า
ประชาราษฎร์ทั้งหลายมีขวัญกำลังดีมากพระเจ้าข้า”  อัครเสนาบดีฝ่าย
พลเรือนทูลถวายรายงาน
    องค์ทัศยุราชันย์รับรายงานมาทอดพระเนตรและรับฟังรายงานจาก
ฝ่ายพลเรือน พลางหันมาทางพ่อปู่ราชครู ทรงเอ่ยตรัสถามว่า
       “แล้วพ่อท่านราชครูมีสิ่งใดจะแนะนำแก่ข้าพเจ้าบ้างไหมท่านพ่อปู่”
  ท่านพ่อปู่ราชครูหันมาทูลว่า
        “ขอเดชะ  เนื่องด้วยเป็นวันเพ็ญศิวะราตรี  ที่ทำให้กำลังเมืองของเรา
อ่อนแอลงทำให้เมืองต่างๆที่หมายปองน้ำอมฤตต่างมิได้เกรงกลัวจึงได้ยก
ทัพมาในครั้งนี้นั้น  ได้ตรวจดวงชะตาเมืองแล้วเห็นว่ายังไม่เป็นที่น่าวิตก
แต่ประการใดไม่  ตามลักษณะราศีของดวงดาวประจำเมืองนั้น บ่งบอกว่า
ศึกครั้งนี้จะมีการแบ่งแย่งถือดีเด่นซึ่งกันและกัน มิอาจจะรวมตัวกันได้ดั่ง
แต่แรก  และจะมีคนมาช่วยเหลือทางเมืองเราด้วย พระเจ้าข้า”
       “แต่ว่าเราก็ไม่ควรจะประมาทนะท่านพ่อปู่”  พระองค์ทรงตรัส
       “ ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ  เพียงแต่กำลังส่วนใหญ่ให้เฝ้ารักษาพระนคร
เอาไว้มิได้ประมาท  โดยมอบหมายให้เหล่าทหารที่รักษากำแพงพระนคร
แต่ละชั้นเฝ้าผลัดเปลี่ยนเสริมกำลังมิให้ขาด  และจัดส่งทหารออกไปนอก
กำแพงเมืองบ้างเพื่อทดสอบกำลังของฝ่ายตรงกันข้ามบ้าง เพื่อหยั่งเชิงใน
การศึกครั้งนี้   เพื่อนำมาปรับปรุงกลยุทธ์ใช้ในการปกป้อง  ศัตรูนั้นก็ยาก
ยิ่งที่จะตีพระนครเราแตกได้  เพราะชัยภูมิที่จะเข้าตีพระนครนั้นสามารถ
มองเห็นได้ทุกๆด้าน จะเข้ามาทางอากาศและใต้ดินมิได้พระเจ้าข้า” 
 ท่านพ่อปู่ราชครูทูลถวาย
       “ดังนั้นเราขอมอบหมายให้ท่านวิษณุเดชะ เป็นแม่ทัพใหญ่มีอำนาจ
ในการจัดกำลังพลเฝ้ารักษาพระนครไว้  และให้ท่าน วีระพิชัย เป็นผู้ช่วย
อีกแรงหนึ่ง  หากเห็นว่าควรที่จะจัดส่งทหารออกนอกกำแพงเมืองก็รีบ
ให้รายงานแก่เราโดยด่วนด้วย  อย่าลืมว่าศึกครั้งนี้ล้วนแล้วแต่หนักหนา
ยิ่งนัก เพราะต้องประกอบด้วยเทพอาวุธทั้งหลาย ฤทธาของเหล่าปัจจามิตร
มิใช่ศึกธรรมดาทั่วๆไป”  พระองค์ทรงมอบหมายงาน
        แล้วพลางหันมาทางอัครบดีฝ่ายพลเรือน ทรงกล่าวว่า
    “ให้ท่านดูแลและสร้างขวัญกำลังใจแก่เหล่าอาณาประชาราษฎร์อย่าให้ได้
ตื่นตระหนกตกใจ  ตลอดจนจัดเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ในการรบทั้งหลายให้แก่
ท่านแม่ทัพใหญ่อย่าได้ขาดตกบกพร่องแต่ประการใดนะท่าน”
     “ รับด้วยเกล้าพระเจ้าข้า “   อัครบดีฝ่ายพลเรือนทูลรับพระบัญชา
      “ท่านพ่อราชครู ศึกครั้งนี้เห็นทีจะให้ท่านช่วยเหลือในด้านวางแผนรบ
แก่เหล่าขุนทหารทั้งหลายด้วยแล้วล่ะ  ด้วยอาศัยประสบการณ์ของพ่อปู่
ที่ชำนาญยิ่งนักในตำราพิชัยสงครามมากกว่าผู้ใดทั้งสิ้น ตลอดจนข้าพเจ้า
ก็วางใจแก่ท่านยิ่งนัก”   พระองค์หันมาทางท่านพ่อปู่ราชครู
        “ขอพระองค์ทรงวางพระราชหฤทัยเถิด พระเจ้าข้า” ท่านมหาราชครู
รับพระบัญชา
        “ข้าพเจ้าพอจะรับทราบมาว่า การศึกครั้งนี้เห็นทีจะต้องใช้ทหารหญิง
เสียเป็นส่วนมาก หากวันใดได้ทำศึกกับท่านท้าวนิลกาฬเสียแล้ว ด้วยท่าน
ท้าวเธอมิได้เกรงกลัวทหารฝ่ายชายแต่ประการใดแต่กลับเกรงกลัวเหล่า
ทหารหญิงมาก   ฉะนั้นขอน้องดาริกาช่วยเป็นธุระทางด้านนี้  จัดเตรียม
รวบรวมทหารหญิงเข้าเป็นกองทัพรอไว้ เร่งฝึกปรือให้เชี่ยวชาญกว่าเก่า
หากวันใดทำศึกกับท่านท้าวนิลกาฬเห็นทีจะต้องใช้เหล่าทหารหญิงทั้งหมด
ส่วนศึกอื่นด้านทหารชายเราเองจะนำทัพออกต่อสู้ด้วยตนเอง เพื่อหาแนวทาง
อื่นๆไว้ด้วย เพื่อประกอบแผนการที่ป้องกันไว้”    พระองค์ทรงหันไปตรัส
กับเจ้าหญิงดาริกาอัครมเหสีทันที
       “ขอรับใส่ไว้ด้วยเกล้า  เพค่ะ”  เจ้าหญิงดาริกาทรงน้อมพระวรกายรับ
       “ เราได้ข่าวมาว่าทางน้องหญิงมณีกานต์และน้องหญิงปทุมวดีนั้น
ก็ทรงมีทหารหญิงที่เกรียงไกรไว้โดยเฉพาะด้วย อยากให้น้องเราช่วยแจ้ง
ข่าวนี้ไปทางโน้นด้วยนะ”  องค์ทัศยุราชันย์ทรงตรัสถึง พร้อมมองพระพักตร์
องค์หญิงเห็นปรากฏรอยยิ้ม ก็ทรงพึงพอพระราชหฤทัย
        “ด้วยอำนาจฌานวิเศษของน้องหญิงคงจะทราบแล้ว   ป่านฉะนี้คงจะ
ร้อนรนพระราชหฤทัยยิ่งนักที่การศึกครั้งนี้เกิดกับพระสวามีสุดที่รักเพค่ะ”
       องค์เจ้าหญิงดาริกาหันมายิ้มพลางค้อนพระพักตร์ด้วยท่าทางล้อเลียน
       “อย่างนั้นก็เถอะหากไม่แจ้งให้ทราบอาจจะนึกว่าเราลืมเขาเสียแล้ว
นะน้องหญิง”  พระองค์ทรงตรัสแล้วหันมาทางเหล่าขุนทหารทั้งหลาย
       “เห็นทีเราจะต้องออกศึกนี้ด้วยตนเองเสียแล้วล่ะ  ขอท่านทั้งหลายจง
ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดอย่าได้เกิดความประมาทเป็นอันขาดตามที่เรามอบหมาย
ให้ท่านด้วย  หากไม่มีข้อสงสัยแล้วเราขอเลิกประชุมเชิญท่านทั้งหลายเถิด”
       องค์ทัศยุราชันย์พลางกล่าวแก่เหล่ามุขอำมาตย์ทั้งหลายพร้อมเสด็จเข้า
ตำหนักด้านใน  เหล่าขุนทหารทั้งปวงก็รีบกลับไปจัดเตรียมกำลังพลเพื่อ
ปกป้องนครตามพระราชดำรัสทันที
        ท่านมหาราชครูก็ตามเสด็จเข้าไปแล้วทรงปรึกษาให้ความแนะนำแก่
ทัศยุราชันย์ถึงแผนการต่างๆไว้ให้รับทราบ ถึงการแบ่งกำลังออกเป็นสี่ฝ่าย
ตามความสามารถของเหล่าขุนทหารทั้งหลาย  และแจ้งว่าได้รับหนังสือลับ
จากทางนครปักษินนครและทันทะกะนครที่จะร่วมช่วยเหลือลับๆแก่ทางนี้
           ครั้นแล้วท่านมหาราชครูก็เล่ารายละเอียดทั้งหมดที่ได้รับจาก
เจ้าหญิงเฌอมาลย์ถึงการเสด็จมาของยุพราชสิงหะฤทธาและเจ้าชาย
โกเมศกุมารที่ทรงร่วมปรึกษาแล้วว่าจะช่วยเหลือในทางลับแก่นครนี้
ตลอดจนเหล่าเทพยาดาที่เฝ้ารักษานครนี้ทั้งหลายอีกด้วย
        องค์ท้าวทัศยุราชันย์ทรงรับฟังก็ให้แสนจะดีพระทัยยิ่งนัก ทรงตรัสว่า
     “หากแม้นเป็นดังพ่อท่านปู่กล่าวมานี้ เห็นทีว่าเราจะทำศึกกันเพียง
สามนครใหญ่และกับเหล่านครต่างๆที่เป็นบริวารท่านท้าวนิลกาฬเท่านั้น
และทั้งยังได้กำลังช่วยจากนครปักษินและทันทะกะทั้งนครของเจ้าหญิง
เฌอมาลย์อีก เห็นทีว่าศึกครั้งนี้คงจะไม่ใหญ่หลวงนักนะท่านพ่อปู่”
     “แต่ก็อย่าพึ่งไว้วางใจมากนักเพราะท่านท้าวนิลกาฬกับท้าวอีกสองนคร
นั้นต่างก็มีฤทธิ์เดชเดชาเกรียงไกรยิ่งนักเป็นที่ลือไปทั่วแคว้นต่างๆของ
บริเวณเชิงเขาไกรลาสยิ่งนักนะมหาราช”  พ่อปู่ราชครูกล่าวพลางรำพึง
       “ข้าพเจ้าก็คิดดั่งพ่อปู่เหมือนกัน เพราะว่าหากมาดแม้นมิดีจริงก็คงจะ
ไม่กล้ามารุกรานทางเราหรอก  แต่ทางเราก็หาได้อยู่ในความประมาท
ฉะนั้นจึงต้องขอรบกวนท่านพ่อปู่จงช่วยวางแผนหาทางรับมือครั้งนี้
ด้วยเถิด ถึงแม้ว่ากำลังพลเราจะมีไม่มากนักแต่ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นความสามารถ
ของพ่อปู่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องคุ้มครอง เพียงแต่ตามคำรำลือ
ถึงมหาศาสตราอาวุธที่องค์เทพยาดาที่เฝ้ารักษาจะผ่อนคลายลง 
 แต่ก็หาทำให้ฤทธานั้นถดถอยแต่ประการใดไม่”
 องค์ทัศยุราชันย์ทรงปรารมภ์ขึ้น
          “ทางเรานี้ได้รับการตอบรับจากเจ้าหญิงมณีกานต์และเจ้าหญิงปทุมวดี
องค์พระชายาของพระองค์ เริ่มแรกทีเจ้าหญิงมณีกานต์จะมิทรงเสด็จมา  
แต่ไม่ทราบด้วยเหตุประการใด พระองค์ยืนยันมาแล้วว่าจะเสด็จมา
ร่วมปกป้องพระนครนี้ด้วยทั้งสองพระองค์แล้ว แต่อาจจะล่าช้าสักหน่อย” 
 ท่านมหาราชครูกล่าวรายงานให้องค์ทัศยุราชันย์ทราบคร่าวๆ
           ครั้นราตรีวันเพ็ญศิวะราตรีมาถึง  ทางกองทัพทั้งสี่ทิศทาง
ก็ต่างระดมกำลังเข้าโจมตีอาณาเขตนาครินทนาครทันที
ทั้งทางบกและทางอากาศอย่างดุดันเว้นแต่ทางด้านทิศตะวันออก
และทิศใต้เท่านั้นที่การปกป้องพระนครจะทุเลา  เพียงมีแต่เมืองต่างๆ
ภายในอาณัติของท่านท้าวอสูรเท่านั้นที่ทำการอย่างเหี้ยมหาญมิได้
เกรงกลัวต่ออำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กระแสอ่อนลง ทุกทิศทางต่าง
ผ่านพ้นอำนาจนั้นมาได้ จนถึงอาณาเขตประตูเมือง  กระจายกำลังเข้าโอบล้อม
ทั้งสี่ด้านทันที แต่หาได้ผ่านเข้ามาทางอากาศและทางใต้พื้นดินก็หาไม่
เพียงส่งกำลังรี้พลโจมตีทางบกเท่านั้น รัศมีควบคุมเมืองยังคงเปล่งประกาย
เจิดจ้าเข้าบั่นทำลายผู้ที่จะผ่านเข้ามาไม่สามารถผ่านเข้ามาในกำแพงเมืองได้
คงเกิดการสู้รบกันภายในลานล้อมรอบกำแพงเมือง ชุนมูนวุ่นวายไปหมด
          ทางเมืองนาครินทนาครที่ได้จัดส่งทหารเข้าต่อสู้กับทางทัพอสูรต่างก็
เข้ารบมิได้เกรงกลัวแต่ประการใด   อาวุธวิเศษทั้งหลายก็ถูกนำออกมาใช้
แผ่กระจายเต็มท้องฟ้าส่งแสงประกายวูบวาบคำรามหวั่นไหวไปทั่ว
อาวุธวิเศษแต่ละฝ่ายได้เข้าต่อสู้หักล้างซึ่งกันและกัน  ทหารที่หลบรอดได้ก็
ต่างหนีกันเป็นพัลวัน บางก็สิ้นชีวิตภายใต้รัศมีของอาวุธต่างๆเหล่านั้น
       จนกระทั่งอาวุธวิเศษเหล่านั้นต่างแตกหักทำลายไปทั้งสองฝ่ายตกลงมา
 บนท้องฟ้านั้นคำรามเต็มไปด้วยเสียงสนั่นปานสายฟ้าฟาด
ที่ส่งเสียงคำรามประกายไฟวูบวาบเหมือนในยามฤดูฝนโปรยปรายสายฝน
ก็มิปาน ประกายไฟของอาวุธวิเศษได้แผ่กระจายตกลงมาต้องเหล่าทหาร
ทั้งสองฝ่าย เบื้องบนฟากฟ้าต่างก็เต็มไปด้วยอาวุธนานัปการที่เข้าห้ำหั่น
 ส่วนทางภาคพื้นดินเหล่าทหารก็พากันเข้าประชิดเข้าต่อสู้กันล้มตาย
เป็นที่ชุลมุนอลหม่านไปทั่ว  มีทั้งมนุษย์กึ่งเทพ อสูรยักษ์ เหล่าปักษาวายุ
 และสัตว์ทั้งหลายที่เจ้าครองนครทั้งหลายส่งเข้าสู้รบ   รุกไล่ตะปบ
กัดเหล่าทหารของนาครินทนาคร แต่มนุษย์กึ่งเทพก็หาได้เกิดความ
หวาดกลัวแต่ประการใดไม่คงเข้าต่อสู้อย่างสุดชีวิต เพื่อปกป้องนคร
 จนไม่สามารถผ่านเข้ามายังแนวกำแพงประตูเมืองจนได้เป็นที่ล้มตาย
				
23 พฤศจิกายน 2549 09:59 น.

** ทัศยุราชันย์(ก่อนคืนเพ็ญศิวะราตรี) **

แก้วประเสริฐ


                                                   บทที่ ๒๐
                                           ก่อนคืนเพ็ญศิวะราตรี

จะมีศึกกับทโมนไพรนี้จะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ พระเจ้าข้า”   องค์ชายกราบทูล
        “ในข้อนี้ไม่ต้องกังวลไปหรอก  เราได้ส่งทหารไปช่วยเหลือท่านนั้นล้วน
แล้วแต่ฝีมือกล้าแข็งยิ่งนัก อีกประการหนึ่งหากเราได้เคลื่อนทัพเมื่อใด 
ก็ไม่จำเป็นต้องพักพิงสถานที่เหล่านี้อีกต่อไปแล้ว กำหนดคงจะเป็นพรุ่งนี้
หรือมะรืนนี้แล้ว  ตอนนี้เรามาร่วมปรึกษากันดีกว่า  ว่าใครมีความคิดเห็น
เป็นประการใด “  พระองค์ตรัสมิได้สงสัย พลางหันไปทางเหล่านครต่างๆ
      “แล้วทางท่านท้าว สุพพัตสุระและท่านท้าว วิหะคะยุราช พรองค์
มีความคิดเห็นเป็นประการใดล่ะ” ท้าวนิลกาฬทรงตรัสถาม
        “เราเห็นว่าเมื่อจันทร์เพ็ญดิถีมาถึงก็ควรจะเข้าตีพร้อมๆกัน ก็จะก่อเกิด
ความสับสนกังวลแก่ทัศยุราช  ยากแก่การระวังซึ่งมีทหารที่จะรักษาเมืองจำกัด
มิได้มากมายดุจดังพวกเราที่ยกกำลังรี้พลมา”   ท้าวสุพพัตสุระทรงกล่าว
         “เราก็มีความคิดเห็นดั่งท่านนะ  แล้วท่านท้าววิหะคะยุราชล่ะเห็น
เป็นประการใดรึ”   ท้าวนิลกาฬหันไปทางท่านท้าวปักษินนคร
          “ส่วนเรามีความเห็นว่าทางยุพราชแห่งสิงหะนคร ไพร่พลทหาร                                                      
ก็ล้วนบาดเจ็บมากมายเช่นนี้ ควรให้เหล่านครที่มาช่วยนั้นเข้าเสริมทหาร
แก่นครท่านด้วยก็จะเป็นการดี  และอีกอย่างหนึ่งไพร่พลทางทหาร
ของเมืองทันทะกะนครก็มีไม่มากนัก ก็ควรให้นครเหล่านั้นเข้าช่วยเหลืออีก
แรงหนึ่งนะ”  ท่านท้าววิหะคะยุราชทรงกล่าวเสริม
ซึ่งก็ตรงตามเจนารมย์ของท้าวนิลกาฬยิ่งนักถึงกับทรงพระสรวลลั่น
        “ในเมื่อการเข้าตีนครนาครินทนาคร กระหม่อมเห็นว่าควรที่จะให้นคร
ของพระองค์เป็นทัพหน้าเข้าตีเมืองพร้อมๆกันมิดีกว่าหรือพระเจ้าข้า”
    เจ้าชายวานนรินทร์แห่งปักษินนครทรงให้ความเห็นในที่ประชุม
         “หากเป็นเช่นดังองค์ชายวานนรินทร์ทรงตรัสเช่นนั้น 
 กระหม่อมก็เห็นสมควรด้วยว่าควรให้ทางเมืองนครของนิลกาฬนคร
เป็นผู้เข้าตีทางด้านกระหม่อมก่อนเนื่องจากรับฟังว่าเก่งกาจยิ่งนัก พระจ้าข้า” 
      องค์ยุพราชแห่งสิงหะนครทรงกล่าวเสริม  พลางหันมาส่งยิ้ม
กับองค์ชายวานนรินทร์แห่งปักษินนคร ที่ทรงนั่งข้างพระบิดาพระองค์
ทำให้ยุพราชแห่งปักษินนครทรงยิ้มแย้มแจ่มใสทันที ที่มีรู้ร่วมรู้พระทัยพระองค์
เห็นด้วยกับข้อเสนอของพระองค์ที่ทรงพระดำรัสขึ้นเช่นนี้   ดังนั้นพระองค์ก็เกิด
ความรู้สึกเป็นมิตรก็ขึ้นแก่เจ้าชายแห่งสิงหะนครทันที  ทรงหันมายิ้มตอบ
  ทำให้เหล่านครภายใต้บารมีของท้าวนิลกาฬใบหน้าเบิกบานขึ้นทันที
          “ข้าพเจ้าก็เห็นด้วยกับทางยุพราชสิงหะฤทธาและยุพราชวานนรินทร์
ด้วยพระเจ้าข้า ว่าในเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แล้วทางข้าพเจ้าก็ยินดีให้เหล่า
ทหารนครต่างๆที่มาช่วยของพระองค์ดำเนินการได้ทางทิศที่กระหม่อม
ด้วยพระเจ้าข้า”      องค์ชายโกเมศกุมารก็ทรงกล่าวเช่นเดียวกัน
          “มิใช่เราจะระแวงต่อท่านทั้งหลายก็หาไม่  เราได้ใคร่ครวญแล้วเห็นว่า 
เคยปรารมภ์ไว้ก่อนแล้วและทางท่านก็ได้รับบาดเจ็บมาและอีกประการหนึ่ง
มีไพรพลจำนวนน้อย อาจจะต้องการความช่วยเหลือบ้าง  เราเองก็เห็นตาม
ท่านอหิงสากะนครกับปักษินนครที่แสดงความคิดเห็นนี้ไม่ก่อนนะท่านยุพราช
เพราะแต่ละเมืองนั้นเราหวังจะให้เหล่านครของเราเข้าร่วมศึกกันด้วยกันทุกเมือง
ซึ่งก็จะเป็นการช่วยผ่อนแรงเหล่าทหารของท่านทั้งหลายได้อีกทางหนึ่ง”
  องค์ท้าวนิลกาฬทรงกล่าว  แต่ในพระทัยเกิดความระแวะสงสัย ที่ยุพราชทั้งสาม
ทูลเห็นพร้องต้องกัน  ส่วนทางด้านสิงหะนครและทันทะกะนครทั้งสองนครนี้
ทรงสงสัยอยู่แล้วที่ไม่เห็นท่านท้าวเสด็จมาเอง  อีกประการหนึ่งยังหนุ่มแน่น
มิได้เชี่ยวชาญชำนาญศึกซ้ำยังมีรี้พลมาในการครั้งนี้น้อยผิดธรรมดาก็ทรงกังขา
 เพียงแต่พระองค์มิได้กล่าวสิ่งใดให้หนักไปกว่านี้ได้จะทำให้เสียแผนการไป
          “ถ้าเป็นพระประสงค์พระองค์ ก็แล้วแต่พระองค์ทรงคิดเถิด พระเจ้าข้า”  
องค์ยุพราชทั้งสามทูลถวาย  องค์วานนรินทร์ทรงหันไปยิ้มกับพระราชบิดา
ซึ่งหันมามองดูการกระทำของราชบุตรอยู่ แต่ก็มิได้กล่าวแต่ประการใด
           “แล้วทางท่านเจ้าเมืองต่างๆที่มาช่วยเรานั้นมีความคิดเห็นประการใดรึ”
ท่านท้าวนิลกาฬ ซึ่งมีบริวารมาร่วมรบทั้งหมดหกนคร ทรงหันมาถาม
       เมืองทั้งหกนครอันได้แก่  ทุระคานคร  ปัจฉิมนคร  วิรุราคินนคร 
 สินธุนคร  ตันติยะนครและ คีตตะระนคร ซึ่งเป็นนครภายใต้การปกครอง
ของท่านท้าวทั้งสิ้นก็ต่างพากันสนองรับองค์ท่านท้าวนิลกาฬ
แล้วพากันกราบทูลโดยพร้อมเพรียงกัน
         “ทางกระหม่อมพร้อมที่จะทำตามพระองค์แล้ว พะย่ะค่ะ  ”
   “หากเป็นเช่นนั้นก็เป็นที่ตกลงกันนะ  คือทางท่านเจ้าเมืองแห่ง
ทุระคานครกับท่านเจ้าเมืองคีตตะระนคร  ให้ไปช่วยทางด้าน
ยุพราชสิงหะฤทธา ส่วนทางท่านเจ้าเมืองปัจฉิมนครและวิรุราคินนคร
ให้ไปช่วยทางด้านยุพราชโกเมศกุมาร  อีกนครคือสินธุนครให้ไป
ช่วยทางท่านท้าวปักษินนคร   ด้านตันติยะนครให้ไปช่วย
ทางเมืองอหิงสากะนคร  จ้าวนครทั้งหลายเห็นเป็นประการใดรึ”
     เหล่าเมืองต่างๆทั้งสี่เมือง อันได้แก่ ปักษินนคร  อหิงสากะนคร
ทันทะกะนครและสิงหะนคร ต่างมองพระพักตร์ซึ่งกันและกัน
แต่ก็มิได้กล่าวขัดแย้งแต่ประการใดไม่  คงเพียงนิ่งและยินยอมรับ
ในข้อเสนอแนะแต่ก็ให้รู้สึกสงสัยภายในใจเท่านั้น  ด้วยทางเมือง
ปักษินนครและอหิงสากะนครต่างก็นำไพร่พลมามากใยต้องให้
เมืองภายในอาณัติของท่านท้าวนิลกาฬมาช่วยอีกเล่า
        “หากแม้นทางท้าวเห็นชอบดั่งนี้ คิดว่าคงจะไม่เป็นปัญหาใดๆหรอก
ท่าน”  ทางฝ่ายปักษินนครกล่าวขึ้นแทนทุกๆพระองค์
        “ถ้าเป็นดั่งนี้แล้ว พรุ่งนี้เพ็ญศิวะราตรีให้ทุกๆท่านเคลื่อนพลเข้าบุก
กำแพงเมืองตามทิศต่างๆได้ หากผลประการใดขัดข้องอย่างไรหรือไม่
ค่อยๆมาปรึกษาหารือกันอีกที ”  ท่านท้าวนิลกาฬสรุปผลทันที
          ทางจ้าวเมืองต่างๆรวมทั้งนครทั้งหลาย ก็พากันทูลลา  ต่างคนต่างพากัน
คิดสงสัยในการดำเนินการของท่านท้าวนิลกาฬยิ่งนัก
     ทางด้านองค์ยุพราชวานนรินทร์หลังจากเสด็จพ้นจากที่ประชุมก็
ทรงหันมาตรัสกับองค์ท่านท้าววิหะคะยุราชพระราชบิดาว่า
     “เสด็จพ่อลูกเองนี้ให้สงสัยเป็นยิ่งนัก ดูจากใบหน้าและการวางกำลังแล้ว
ก็ยิ่งเกิดพิรุธขึ้นมา เห็นว่าการครั้งนี้คงจะเป็นเล่ห์เพทุบายของท่านท้าวนิลกาฬ
เป็นแน่แท้  บางทีองค์ยุพราชทั้งสองของเมืองสิงหะนครและทันทะกะนคร
อาจจะรู้ความก่อนเราเสียเป็นแม่นมั่น  การทุ่มกำลังรี้พลของเราเห็นทีจะสูญเปล่า
แน่พระเจ้าข้า”
        “นั่นซิพ่อเองก็ให้เกิดสงสัยเช่นเดียวกัน เพียงแต่ยังขบคิดไม่ออก
ยิ่งได้รับฟังจากลูกแล้วจึงได้กระจ่าง   ดังนั้นการครั้งนี้เราควรจะหยั่งกำลัง
ในการศึกครั้งนี้ก่อน  หากเป็นประการใดเราจะได้หาทางแก้ไขได้ทันท่วงที”
  องค์ท้าววิหะคะยุราชทรงดำรัสขึ้น
       “หากเป็นได้ประการใด  ลูกใคร่จะหยั่งเชิงกับทางยุพราชทั้งสองดูว่า
ดีร้ายอย่างใด  อีกประการหนึ่งสังเกตว่าทางยุพราชทั้งสองสนิทสนมยิ่งนัก
ท่าทางไม่มีเล่ห์เหลี่ยมร้ายใด  หากทางเราได้ไว้เป็นพวกก็ย่อมง่ายต่อการนี้
เสด็จพ่อเห็นเป็นประการใดพระเจ้าข้า”  องค์ยุพราชวานนรินทร์ทรงตรัสถาม
       “อือๆ  เห็นทีเป็นหน้าที่ของลูกก็แล้วกัน  ที่พ่อเอาเจ้ามาครั้งนี้เพื่อที่จะให้
ทราบถึงประสบการณ์ต่างๆตลอดจนการแก้ไข  เมื่อได้รับฟังข้อคิดเห็นแยกแยะ
แล้วพ่อก็รู้สึกสบายใจ ตามใจลูกคิดเห็นอย่างไรก็ทำตามใจเถิดนะ พ่อเองก็จะ
เป็นแค่เพียงสนับสนุนในความคิดของลูกเท่านั้น”  องค์ท้าวปักษินนครทรงตรัส
พระแย้มพระสรวลยกมือกุมพระอังสาพระโอรสด้วยความปลาบปลื้มยินดี
      “ถ้าอย่างนั้นการศึกครั้งนี้ลูกขออนุญาตเสด็จพ่อดำเนินการหากผิดพลาด
เสด็จพ่อโปรดยกโทษให้ลูกด้วย”  องค์ยุพราชทรงดำรัส
      “เอาเถอะๆ  พ่อเองก็แก่แล้วที่มานี้เพียงมาให้กำลังใจแก่ลูกและอาศัย
ประสบการณ์เข้าช่วยเหลือเท่านั้น  พ่อเองตอนนี้ก็คิดจะวางมือเหมือนกันสิ่งใดๆ
ที่ผ่านไปมาไตร่ตรองแล้วมันไม่ให้ผลดีเลย  กลัวจะตกทอดถึงลูกจึงต้องคอย
ตักเตือนหากเจ้าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่านี้สักหน่อย พ่อเองก็จะวางมือมอบทุกๆสิ่ง
ทุกๆอย่างแก่เจ้าดูแลปกครองปักษินนคร ยิ่งเห็นท่านท้าวนิลกาฬและท่านท้าว
สุพพัตสุระแล้วก็บังเกิดความท้อแท้ยิ่งนักมิได้เกรงกลัวต่อสิ่งกระทำเลย
หากได้มาซึ่งน้ำอมฤตแล้วก็จะยิ่งกำเริบสืบสานไปกว่านี้    แม้แต่นครของเรา
ก็จะมิได้เห็นอยู่ในสายตารวมทั้งนครอื่นๆด้วย  ทำให้พ่อรำลึกนึกถึงบรรพบุรุษ
ที่เล่าถ่ายทอดมาถึงความผิดพลาด ก็ยิ่งทำให้อดสูใจยิ่งนัก  เมื่อก่อนพ่อก็มี
ความนึกคิดเห็นคล้อยตามไปด้วย เมื่อมาถึงครั้งนี้ตลอดระยะเวลาและมองเห็นลูก
ก็ยิ่งทำให้เกิดความคิดผิดแผกไป เหมือนสมัยพ่อยังหนุ่มๆไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่
ลูกพ่อมีความละเอียดรอบคอบเหมือนแม่กว่าพ่อเท่านั้นเอง” ท่านท้าวทรงรำพึง
     “ลูกจะไม่ทำให้พ่อและชาวปักษินนครเสียใจเพราะลูกเป็นอันขาดพระเจ้าข้า”
 องค์ยุพราชวานนรินทร์ทรงตรัสรับสั่ง
        องค์ท้าววิหะคะยุราชเมื่อได้รับฟังก็ทรงพระสรวลยิ่งขึ้นโอบพระอังสาแล้วพา
กันเหาะไปยังยอดเขาที่ตั้งแห่งกองทัพทันที

          จะขอกล่าวทางด้านนาครินทนาคร  ครั้นทราบข่าวการศึกครั้งนี้ที่มาประชิด
ล้อมรอบพระนคร   องค์ทัศยุราชันย์ก็ได้เรียกประชุมท่านพ่อปู่ราชครูและเหล่า
มุขอำมาตย์ข้าราชบริพารทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนทันที เพื่อจัดวางกำลังพลในการ
รับศึกทั้งสี่ทิศนั้นทันที   ทรงตรัสแก่เหล่าทหารและพลเรือนภายในท้องพระโรง
ถึงการปกป้องพระนครตลอดจนวางกำลังพลครั้งนี้ว่า
      “ ท่านแม่ทัพใหญ่ วิษณุเดชะ เล่ามีความเป็นประการใดหรือท่าน”
      “กราบทูลมหาราช  การครั้งนี้เกล้ากระหม่อมทราบแล้วพระเจ้าข้า
พร้อมทั้งได้จัดเตรียมทหารเข้ารักษาประตูเมืองทั้งสี่ด้านไว้พร้อมเพรียง
พร้อมยุทโธปกรณ์ตลอดจนแผนการต่างๆ ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตร
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ