28 ธันวาคม 2549 11:32 น.

** ฟ้าเพียงดิน (บทที่ ๓) **

แก้วประเสริฐ


                                                      บทที่  ๓

     เมื่อเรื่องของลูกชายคุณ พิริยะวดีผ่านเข้ามาบรรดาคุณหญิงคุณนายก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นทันที ว่าคงจะไป
ติดสาวๆกระมัง ป่านนี้แล้วยังไม่เห็นมาคงแน่ๆทีเดียว   เพราะปกติแล้วหากไม่มีเรื่องเล่นไพ่   เรื่องอวดแหวนเพชร
ก็มักจะชอบเอาเรื่องโน้นบ้างนี่บ้างมาคุยกัน   บ้านโน้นเป็นอย่างนี้บ้านนี้เป็นอย่างโน้นเสมอๆ  และมักจะเป็นในวงไพ่
หากไม่มีเรื่องนี้แล้วก็จะเป็นเรื่องผิดปกติไปทันที  ดังนั้นเมื่อข่าวนี้เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ คนที่นำลูกสาวมาก็จะรีบไป
รายงานข่าวให้กับบรรดาสาวๆรู้ ข่าวจึงได้แพร่สะพัดไปในกลุ่มผู้ที่มาในงานทันที
       เวลาผ่านไปสักครู่หนึ่ง ยามหน้าประตูบ้านก็วิ่งเหยาะๆเข้ามาหาคุณหญิงพิริยะวดีพร้อมทั้งยกมือวันทยหัตถ์แล้วรายงานว่า
   “ประทานโทษครับคุณหญิง  มีชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งตัวไม่ค่อยสุภาพนั่งรถแท็กซี่จะเข้ามาในบ้าน  กระผมไม่ยอมให้เข้ามา
เขาบอกว่าจะมาหาคุณหญิงกับคุณอัศวโรจน์ มีเรื่องสำคัญจะขอพบครับกระพ้ม” แล้วยกมือที่วันทยหัตถ์ลงข้างตัว
    “หรือจ๊ะ ไม่เป็นไรหรอกปล่อยให้เขาเข้ามาได้จ๊ะ ขอบใจมากนะ”  คุณหญิงกล่าวกับหัวหน้ายาม เพราะรู้แล้วว่าเป็นใคร
   “ครับพ้ม”  หัวหน้ายามยกมือวันทยหัตถ์อีกครั้งแล้วหันหลังกลับวิ่งเหยาะๆ จากไปพร้อมยกมือถือแจ้งไปยังยามที่ประตู
หน้าบ้านสั่งงานทันที   
         ต่อมาสักครู่มีรถแท็กซี่สีเขียวเหลืองวิ่งเข้ามาช้าๆมาจอดยังบริเวณหน้าบ้าน  ร่างชายหนุ่มก้าวลงมาจากรถแท็กซี่ผมเผ้า
กระเซิงใส่เสื้อแขนยาวสีเทาปล่อยชายไว้นอกกางเกงยีน ใส่รองเท้าแตะยาง  หันมามองกลุ่มที่มาในงานเล็กน้อยแล้วหันหน้า
กลับหมายเดินเลี่ยงไปข้างบ้านหลังใหญ่  
    ทันใดนั้นผู้ที่มาในงานทุกๆคนต่างมองดูเป็นจุดเดียว  ที่อยู่ๆมีรถแท็กซี่วิ่งเข้ามาในงานผ่านเข้าสู่หน้าบ้านใหญ่ ซ้ำผู้ที่ก้าวลง
มาก็แต่งกายรุ่มร่ามมิได้สนใจใยดีกับงานนี้ผ่ากลางงานเข้ามา   
     ร่างพลันหยุดชะงักทันทีเมื่อเสียงเรียกชื่อเขา
    “นี่ๆพ่อกานต์!!!   จะรีบไปไหนมาหาแม่ก่อนซี??” 
เสียงเรียกลูกชายของคุณหญิงพิริยะวดีดังขึ้น 
ร่างนั้นยืนสักครู่ก็ก้าวเดินมาหาคุณหญิงอย่างช้าๆ พลางส่ายหน้าไปทางซ้ายทีขวาที  จนร่างคุณหญิงก้าวมาถึงตัวเขา
    “งานอะไรหรือครับคุณแม่?”  ชายหนุ่มหันมาทางคุณหญิงแล้วดึงร่างคุณหญิงไปสวมกอดจูบที่แก้มทันที
    “ก็งานเลี้ยงการกลับมาของลูกนะซิ  คุณพ่อเขาจัดขึ้นไม่มีใครหรอกนอกจากคนสนิทๆเท่านั้นเอง”  คุณหญิงยิ้มตอบ
    “โน่นๆ!!! คุณพ่อเขาเดินมาแล้วล่ะ”
             ชายหนุ่มหันไปมองพร้อมผละจากการสวมกอดคุณหญิง  วิ่งเข้าไปยกมือไหว้ พร้อมสวมกอดคุณอัศวโรจน์ทันที
พร้อมก้มศีรษะหอมแก้มซ้ายขวา  เล่นเอาคุณอัศวโรจน์เผยอยิ้มไม่ยอมหุบทีเดียว  คุณอัศวโรจน์ดึงร่างลูกชายให้ถอยห่างไป
พร้อมมองตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า พลางหัวเราะลั่น
    “ เออๆๆๆให้ได้มันอย่างนี้ซิว๊ะ ไอ้ลูกรัก  ดีดี...ไปไป..ไปหาเพื่อนๆพ่อหน่อย ไปอย่างนี้แหละ”  
 คุณอัศวโรจน์กล่าวอย่างชอบใจ   เมื่อแลเห็นการกระทำของลูกชาย ดึงร่างลูกชายแล้วหันไปทางคุณหญิงหัวร่อลั่น
     “ไปอย่างนี้หรือคุณ”  คุณหญิงหันไปกล่าวกับสามี
     “ก็ไปอย่างนี้แหละ เก๋ไก๋ดี ฮ่าๆๆๆ”  คุณอัศวโรจน์หัวร่ออย่างถูกอกถูกใจ
    “โถเอ๊ย...ช่างเหมือนกันเลยนะพ่อลูกคู่นี้” คุณหญิงหัวร่อ แต่ก็มิได้ว่าอะไรอีก พลางหันไปทางลูกชาย
     “ถ้าอย่างนั้น ไปทั้งหมดกันนี่แหละ”  คุณหญิงกล่าวพลางดึงร่างพ่อกับลูกเพื่อจะเดินไปในงาน  
     “จะดีหรือครับคุณพ่อคุณแม่”  ชายหนุ่มหัวร่อ ที่เห็นบิดามารดาชอบใจในการกระทำของเขา 
             คราวนี้เขารู้สึกเขินขึ้นเหมือนกัน  ผิดความคาดหมายไปอย่างสิ้นเชิง  เขารีบมองตัวเองทันที 
 เอาล่ะเป็นไงเป็นกัน เขาคิด
งานครั้งนี้เขารู้แล้วว่าจะมีการจัดงานต้อนรับเขา   คุณพ่อกับคุณแม่ก็มิได้แจ้งให้เขารู้แต่ประการใดจึงเกิดความคิดสนุกๆขึ้นเมื่อ
เขาโทรศัพท์ไปที่บริษัทฯ  เลขาส่วนตัวคุณพ่อแจ้งว่ากลับไปบ้านแล้วไปงานเลี้ยงต้อนรับลูกชายที่กลับมาจากต่างประเทศ
เขาจึงจัดเปลี่ยนซื้อผ้าใหม่หลังจากกลับจากบ้านแม่นม ทำเผ้าผมกระเซิงไม่ได้หวีให้เรียบร้อย
 เพราะต้องการจะดูอากัปกิริยาของผู้ที่มาในงาน และคุณพ่อคุณแม่ด้วย หวังให้เกิดเซอร์ไพร์สขึ้น   
              โดยแวะไปที่บ้านเพื่อนที่ชื่อกนก แจ้งความประสงค์กับแม่บ้าน    ซึ่งก็ได้รับการช่วยเหลือเป็นอย่างดี
 แม่บ้านแจ้งว่าคุณหนกเดินทางมาในงานเรียบร้อยแล้ว
    “ครับ โอ้ เวอรี่กู๊ดส์ๆๆๆจริง  ฮ่าๆๆๆๆ”  เขาหัวร่อเสียงดังๆโดยแกล้งดัดเสียงกระดี๊กระด้าสำเนียงฝรั่งขึ้นทันที 
 เล่นเอาคุณอัศวโรจน์กับคุณหญิงต่างมองหน้ากันและกันแล้วก็พากันหัวร่อร่วนเปลี่ยนอากัปกิริยาความชราหายไปทันที
ต่างเข้าประกบลูกชายไว้กลางและพากันเต้นรำแบบฝรั่งเข้าไปสู่งาน ท่ามกลางงุนงงแก่ผู้มาร่วมงาน
ที่เห็นอากัปกิริยาของเจ้าของบ้านกระทำเช่นนี้   ส่วนดีเจที่จัดเพลงก็รีบเปลี่ยนเพลงประสานรับจัดเพลงแนวลาตินอเมริกัน
บรรเลงเพลงการเต้นรำแบบโบราณที่พวกฝรั่งมังค่าทั้งหลายเวลามีงานปาร์ตี้มักจะเต้นรำเสมอๆๆ
             ยิ่งทำให้สามพ่อแม่ลูกยิ่งสนุกสนานกันกระหย่องกระแหย่งเต้นไปสู่งาน  เมื่อบรรดาผู้มาร่วมในงาน
ครั้นเห็นเจ้าของบ้านกระทำเช่นนี้    ก็เกิดอาการร่วมสนุกต่างชูแก้วและเต้นวนไปรอบๆโต๊ะที่ตั้งไว้
 ทำให้เกิดบรรยากาศครึกครื้นรื่นเริง 
     บรรดาคุณหญิงคุณนายที่ถือตัวต่างอ้าปากตาค้างไปตามๆกัน  ฝ่ายกลุ่มผู้ชายเมื่อเห็นดังนี้ก็เข้าไปโค้งฝ่ายหญิงสาว
ที่จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ มีบ้างก็เข้าร่วมเต้น ส่วนผู้ที่ไม่ยอมก็ถูกกลุ่มที่เต้นวนไปรอบๆจนอดรนทนมิได้ก็ร่วมด้วย
เนื่องจากถูกเพื่อนต่างคะยั้นคะยอทำให้เกิดความเป็นกันเอง งานนี้เลยเป็นงานปาร์ตี้ที่สนุกสนานไปโดยปริยาย
       หลังจากที่คุณอัศวโรจน์นำลูกชายไปแนะนำให้เพื่อนๆรู้จักเพื่อการทำงานต่อไปในอนาคตซึ่งเขาจะมอบทุกสิ่งทุกอย่าง
ให้ลูกชายดำเนินกิจการแทน และขอให้เพื่อนๆช่วยสนับสนุนด้วย  ซึ่งก็ได้รับปากกันเกือบๆทุกๆคน  
 ตอนแรกบรรดาเพื่อนๆบางคนที่ยังถือตัวเพียงแต่แค่รับไหว้เฉยๆใช้สายตาเมียงมองแต่ตอนหลัง
เมื่อทราบว่าเขาเรียนจบด้านบริหารธุรกิจถึงขั้นกิตติมศักดิ์สูงสุดของสถาบันที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศเป็นที่ยอมรับ
ของคนทั่วโลก ก็เกิดความสนเท่ห์จึงให้ความสนใจขึ้น
        หลังจากนั้น  เขาก็ถูกคุณหญิงนำไปให้เพื่อนๆได้รู้จัก ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นคนเชยๆ หลุกหลิกๆไปหา
 แต่ทุกๆคนก็หาได้สนใจไม่เพราะทราบเป็นอย่างดีว่าถึงจะทำตัวอย่างไรแต่งกายอย่างไรแต่เงินที่รองรับเขา
เป็นเกราะกำบังได้เป็นอย่างดีต่างก็ให้ความสนิทสนมถึงขั้นเรียกกันว่าลูกๆทุกๆคน บ้างก็นำลูกสาวมาให้รู้จัก
 เขาแกล้งทำตัวเหมือนฝรั่งเข้าไปจับมือแล้วยกขึ้นจูบหลังมือตามธรรมเนียมฝรั่งทุกประการ
 ยิ่งสร้างความกระดี๊กระด๊าแก่สาวๆ บ้างแสร้งทำสะเทิ้นอาย บ้างก็ถึงกับจูงมือแล้วโอ้อวดแก่เพื่อนๆกันทำตัวสนิทสนม
ยังกับจะเป็นเจ้าของ  ผ่านไปสักพักชายหนุ่มก็ขอตัวเดินไปหาเพื่อนสนิทที่ยืนจับกลุ่มแต่มองมา
ทางเขามิคลาดสายตาพากันส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำของเขา 
  ชายหนุ่มที่ชื่อกนกและสยามต่างก็เดินเข้ามาหาพลางยื่นแก้วเหล้าส่งให้เขา  พร้อมเอ่ยปากทัก
   “ ร้ายจริงๆนะโว้ยไอ้ห่ากานต์  มึงนี่ร้ายจริงๆแต๊ะอั๊งสาวๆไปทั่ว โอ้ยกูชักอิจฉาเสียแล้วซี” หนุ่มที่ชื่อสยามเอ่ยปาก
    “กูแกล้งไปยังงั้นๆเองแหละว๊ะ มึงดูหน้าซิว่าพอกแป้งยังกับพวกงิ้วแถวเยาวราชแน๊ะ”  กล่าวจบชายหนุ่มก็หัวร่อลั่น
     “เออมึงทำตัวแบบฝรั่ง คนมีเงินอย่างมึงใครจะไปรังเกียจล่ะ จริงไหมว๊ะไอ๊หยาม” ชายที่ชื่อกนกหันไปทางเพื่อน
     “ช่างกูเฮอะ ตอนนี้น้ำขึ้นโว้ยไม่รีบตักไปตักที่หลังกูก็เป็นข่าวใหญ่โตซิว๊ะ จริงไหมว๊ะไอ้โรจน์” 
เขาหันไปหาเพื่อนอีกคนหนึ่งที่ยืนยิ้มอยู่ เขาชื่อวิโรจน์เป็นเพื่อนร่วมมหา’ลัยด้วยกัน
แต่ไม่ค่อยสนิทสนมเท่ากับกนกและสยาม แต่มาร่วมด้วยอีกคน
      “อืมมๆ!!!ก็ว่างั้นแหละกานต์ เราเห็นแต่แรกแล้วที่แกยังไม่มา  แต่ก็สวยๆดีนี่”  ชายหนุ่มชื่อวิโรจน์ยิ้มตอบ
      “จริงหรือเปล่าว่า ไอ้รุจน์”  เขาหันไปถามเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งมัวแต่ดื่มแต่เหล้ากำลังหยิบของขบเคี้ยวเข้าปากตุ๋ยๆ”
      “ ก็ว่างั้นแหละว๊ะ กูไม่สนหรอก กูสนแต่เหล้าอย่างเดียวไม่มีปัญหาว๊ะ      อีกอย่างอ้ายห่าเมียกูดุฉิบหายเลย
         ขนาดเพื่อนพาสาวมาหาที่บ้านกูเพียงให้ความสนใจหน่อยเดียว  พอมันกลับไปบ้าน โอ้ยไอ้กานต์มึงเชื่อไหมว๊ะ
         บ้านกูเกือบไม่เป็นบ้านเชียวล่ะ  แม่งมันส์!!!ฝากรอยจารึกบนหัวแก่กูจนถึงทุกวันนี้แหละ”
  มันว่าพลางก้มหัวให้เขาดู  ซึ่งหัวมันผมน้อยออกจะล้าน ยังมีรอยแผลเป็นให้เห็นอยู่
      “นั่นซิไอ้รุจน์กูถึงไม่ยอมข้องเกี่ยวกับหญิงมากนักโว้ย  มึงดูไอ้หนกกับไอ้หยามซิ อีกหน่อยมันจะรู้สึกว่านรกมีจริงฮ่าๆๆๆ”
ชายหนุ่มหัวร่อลั่น 
       “เฮ้ยพวกมึงดูขนาดกูพูดไม่ขาดคำ  มึงดูอ้ายหยามซิมันไปโน่นแล้วล่ะ”
      ทุกๆคนมองตามชายหนุ่มชี้นิ้ว  เห็นร่างเพื่อนที่ชื่อสยามเดินไปอยู่ในกลุ่มสาวๆต่างส่งเสียงหัวเราะกันเจี้ยวจ๊าวดังลั่น
        “ไอ้หนกอีกคน  มึงเชื่อไหมว๊ะแอร์โฮสเตสเอาใจมันยังกะอะไรดี  คิดว่ามันคงฟันมาแล้วมากกว่าว๊ะ” 
 ชายหนุ่มหันไปบอกกับเพื่อนที่ชื่อวิโรจน์
       “ ไม่รู้ซิ กูเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน เมื่ออาทิตย์ที่แล้วแม่งมันส์ตื้อกูจนต้องหนีไปต่างจังหวัดตั้งเป็นเดือน”
หนุ่มที่ชื่อวิโรจน์เอ่ยปากบอกเพื่อน
         “มึงก็อีกคนเหมือนกัน ไอ้ห่าเจ้าชู้ดีนัก ได้ข่าวแม่มึงจะจัดการหมั้นลูกสาวแม่กิมย้งให้มิใช่หรือ” ชายหนุ่มถาม
         “นั่นซิไอ้กานต์กูกลุ้มใจทุกวันนี้แหละ  กูไม่ได้รักนางหม๋วยมันหรอกว๊ะ   ก็ไอ้รุจน์เองแหละมันว่ากูไม่แน่จริง
แดกเหล้าเข้าไปพนันกับกูว๊ะ  หากกูฟันอีนางวิจิตราได้เมื่อไหร่มันจะกราบตีนกู คนหยั่งกูไม่มีปัญญา  ไอ้ห่าพอกูฟันมันไป
ครั้งเดียวไหง๋ดันท้องเสียได้ แม่มันไปฟ้องแม่กูถึงต้องระเห็จไปต่างจังหวัดว๊ะ”  ไอ้โรจน์ทำหน้าเศร้าๆ
       “แล้วมึงจะทำยังไงว๊ะไอ้โรจน์”  
       “มึงก็รู้ว่ากูรักแม่กูขนาดไหน กูก็ต้องตามใจแม่กูซิ เสียดายความโสดว๊ะ   พูดแล้วเศร้าว๊ะ มึงอย่าพูดเรื่องนี้เลยว๊ะ
เดี๋ยวงานไม่สนุกโว้ย”  ชายหนุ่มพูดตัดบท
       “ก็ดีแล้วนี่หว่า ได้เป็นเจ้าของร้านทองแถวเยาวราช เป็นเฒ่าแก่ไม่ดีหรือว๊ะ จริงไหมไอ้รุจน์”
  เขาหันไปทางหนุ่มชื่อรุจน์   ที่กำลังยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม
      “อืมมๆๆๆกูก็ว่ายังงั้นแหละ เวรใครเวรมันโว้ย”
  ชายหนุ่มตอบพร้อมที่แก้มทั้งสองมันยังมีของเต็มทั้งสองข้าง
      “ งั้นกูขอตัวไปเข้าบ้านก่อนนะโว้ยรำคาญรองเท้าแตะยางเสียจริงๆว๊ะ เดี๋ยวกูออกมา” 
 ชายหนุ่มหัวร่อแล้วรีบเดินจากไปทันที
           บริเวณงานเต็มไปด้วยความครึกครื้นสนุกๆสนานนับแต่ลูกชายเจ้าของบ้านกลับมา ซึ่งทุกๆคนคิดว่าเขาคงจะวางตัวเหมือน
กับนักเรียนนอกทั่วๆไป  แต่เมื่อทั้งเจ้าของบ้านและลูกชายทำตัวเป็นกันเองไม่มีการถือตัวเหย่อหยิ่ง
 งานนี้จึงมีบรรยากาศที่เสมือนงานปาร์ตี้ที่สนุกๆ   บ้างก็ออกไปเต้นรำกัน ที่ไม่มีคู่ก็กับได้คู่สนทนากัน
บรรดาคุณหญิงคุณนายทั้งหลายต่างก็ไม่ทำตัวเสมือนดังหงส์ ต่างพากันหัวร่อสนทนากัน 
จนงานผ่านไปเกือบเที่ยงคืน งานจึงได้ค่อยๆยุติลง  เมื่อต่างคนต่างลาเจ้าของบ้านกลับ
          คงเหลือแต่กลุ่มชายหนุ่ม เพียง 5 คนที่ยังนั่งจับกลุ่มดื่มสุราสนทนาเรื่องสัมพะเรเหระส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่อง
เกี่ยวผู้หญิงเป็นส่วนมาก ต่างกระเซ้าเหย้าแหย่กันจนถึงเวลาเกือบตีสามจึงได้จากไป
          ภายในบริเวณบ้านจึงกลับคืนสู่ปกติอีกครั้งหนึ่ง   มีเพียงบรรดาผู้รับใช้ต่างช่วยกันเก็บสิ่งของที่วางเกลื่อนกราด
นำไปเก็บและจัดการทำความสะอาดบริเวณบ้านให้ดูเรียบร้อย
      ชายหนุ่มเดินตุปัดตุเป๋อ้อมบ้านหลังใหญ่เดินไปยังบ้านเล็กระหว่างทาง    เขาได้คายสิ่งที่กินเข้าไปยามหัวค่ำเสียเกือบหมด 
ทำให้รู้สึกสิ่งที่ทำให้อึดอัดแน่นไปทั่วค่อยๆคลายลง  ร่างกายรู้สึกสดชื่น  กระปรี่กระเป่าขึ้น 
 เมื่อไปถึงที่พักแล้วก็รีบไปชำระล้างร่างกายเพื่อผ่อนคลายนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ สิ่งหนึ่งผุดขึ้นมาทำให้เขา
รู้สึกชักสงสัยตัวเองขึ้นมา   คือภาพของหญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งกายเรียบๆไม่หวือหวานุ่งผ้าถุงธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา
ในลักษณะของการวางตัวคำพูดที่ดูออกจะฉาดฉานระหว่างการสนทนากับแม่แย้มของเขา  ที่เขาหรี่ตาแอบมองดู
     เขารีบสะบัดศีรษะเบาๆให้ความคิดได้หลุดพ้นออกไป  แต่ก็ยังวนเวียนอยู่ตลอดเวลา  จึงรีบลุกขึ้นหยิบยาแก้ปวดศีรษะมาทาน
และเข้าไปนอนพักผ่อนจนกระทั่งผล๊อยหลับไป
 จนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นต่อมาหลังจากอาบน้ำชำระล้างร่างกายเรียบร้อยแล้ว  เขาก็ก้าวออกไปสู่บ้านใหญ่เพื่อเข้าร่วมรับทานอาหาร
ร่วมกับคุณพ่อคุณแม่  ซึ่งนั่งคอยเขาอยู่จึงได้รีบกล่าวขอโทษทันที
       “คอยผมนานไหมครับ ขอโทษนะครับ”   ชายหนุ่มกล่าว
       “ไม่นานนักหรอกลูก  พึ่งมานั่งได้สักครู่เท่านั้นเองแหละ”  คุณอัศวโรจน์เอ่ยปากบอกลูกชาย
       “เมื่อคืนนี้ผมหนักไปหน่อยครับ กว่าจะหลับได้ก็เกือบสว่าง”  ชายหนุ่มบอกแก่บิดา
        “ช่างเถอะ!!!  วันนี้จะไปไหนหรือเปล่าล่ะลูก!!???”  บิดาถามขึ้น
         “คงจะไม่ครับ ผมว่าจะพักผ่อนก่อนสักสองสามวัน เมื่อคืนนี้ไอ้โรจน์มันก็ชวนไปเที่ยวเหมือนกัน”  ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
				
25 ธันวาคม 2549 09:48 น.

** ฟ้าเพียงดิน (บทที่ ๒) **

แก้วประเสริฐ


                                                 บทที่  ๒

“ใช่จ๊ะแม่ “
    “อ้าวแล้วอีกคนล่ะหายไปไหนหรือลูก”  หญิงชราถามถึงอีกคน
     “อ้อไอ้หยามหรือแม่ ”
     “นั่นแหละ ใช่แล้ว  เด็กตัวผอมๆเกร็งนั่นแหละ”
     “ตอนนี้มันกลับมาเปิดบริษัทใหม่จ๊ะ เห็นว่าเป็นบริษัทเกี่ยวกับการส่งของเข้าออกในประเทศจ๊ะ”  เสียงชายหนุ่มแผ่วเบา
หญิงชราเสยผมเบาๆบนศีรษะชายหนุ่มก้มหน้ามองใบหน้ายาวเล็กน้อยผมหยิกหยักศกน้อยๆด้วยความรักใคร่เอ็นดู
ใบหน้านี้เมื่อก่อนเป็นเด็กเล็กที่แกเลี้ยงดูมากับมือเป็นใบหน้ากลมๆขี้อ้อนงอแง บัดนี้กลับเป็นหนุ่มใบหน้าคมสันรูปงาม
หาเล่นละครจัดได้ว่าเป็นพระเอกรูปงามได้คนหนึ่งเชียว  แกรำพึงในใจหรือบางทีจะสู้วงหน้าที่นอนหนุนตักแกไม่ได้
เพราะแกเองเป็นคนที่ชอบดูละครมากคนหนึ่ง เนื่องจากมีเวลาว่างมากนั่นเอง อยู่กับคนสองสามคนที่มาช่วยดูแลสวน
เท่านั้น ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ทำอะไรนอกจากไปสั่ง ให้ลุงแช่มกับยายเป้าสองสามีภรรยาทำโน่นทำนี่เท่านั้น ส่วนใหญ่
แล้วมักจะขลุกกับการดูแลต้นไม้ดอก  บ้านหลังนี่จึงอยู่เพียงคนเดียว ส่วนสามีภรรยาก็อยู่เรือนถัดไปใกล้จึงมีเวลาว่างมาก
       หญิงชรามองดูใบหน้าที่กำลังหลับตาพริ้มแล้วส่งเสียกรนเบาๆ ป้าแย้มรู้สึกเมื่อยเหมือนเหน็บชาจะกินขาแก จึงเบี่ยงตัว
เอี้ยวหยิบหมอนพิงมาค่อยๆวางหนุนศีรษะชายหนุ่มแล้วชักขาแกออก ลุกขึ้นสะบัดแข้งขา เดินไปหยิบผ้าห่มผืนบางๆในตู้
นำมาห่มร่างแล้วหันหลังเข้าครัวเตรียมจัดหาอาหารไว้คอยต้อนรับ เมื่อลูกชายที่แกเลี้ยงมาตื่นขึ้น  ขณะที่มัวขลุกอยู่ในเรื่อง
ทำอาหาร เสียงร้องเรียกดังขึ้นที่ประตูหน้าบ้าน จึงรีบหันตัวออกมาดู
     “ป้าแย้มค่ะ  ป้าแย้ม  อยู่หรือเปล่าค่ะ  เอ๊ะ????”  เสียงร้องเรียกขาดหายไป
     “ป้าอยู่นี่จ๊ะ หนู พิมพ์หรือ”  เสียงหญิงชราขานตอบ พร้อมเดินไปหา
     “ใครหรือจ๊ะป้า ที่นอนอยู่นั่น”   เสียงหญิงสาวไต่ถาม
      “อ้อลูกชายป้าเองแหละจ๊ะ
      “อ้าวไหงเขาว่าป้าตัวคนเดียวนี่นา ไหนมีลูกล่ะจ๊ะ?”  หญิงสาวถามด้วยความสงสัย
     “อ้อ ลูกกานต์หรือ ป้าถือว่าเป็นลูกเพราะเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กๆจ๊ะ  เขาพึ่งกลับมาจากเมืองนอกแน๊ะ”  หญิงชราอธิบายให้ฟัง
       “งั้นหรือจ๊ะป้า  นี่ขนมหนูซื้อเอามาฝากเห็นป้าชอบจ๊ะ”  หล่อนกล่าวแล้วเดินไปหาพร้อมส่งถุงใส่ขนมให้
  แต่อดมิวายเหลือบสายตามองดูร่างที่นอนอยู่อย่างสนเท่ห์ใจ  นี่หรือนักเรียนนอกไหงแต่งตัวธรรมด๊า ธรรมดาจริงน๊ะ
หล่อนรำพึงในใจ  ไม่เห็นมีเค้าวี่แววเสียเลย ด้วยหล่อนพบมามักจะเหย่อหยิ่งและแต่งตัวภูมิฐานยิ่งนัก
       “ขอบใจจ๊ะ แล้วหนูพิมพ์อยู่เป็นเพื่อนป้าก่อนซิจ๊ะ อย่าพึ่งไปไหนนะ  ว่างมิใช่หรือเย็นนี้ทานข้าวด้วยกันนะ” หญิงชรากล่าว
       “ป้ามีแขกแล้วนี่จ๊ะ เห็นจะไม่หรอกป้า ไว้วันหลังก็ได้นะ เพราะต้องรีบไปจัดเอกสารจะเข้าประชุมพรุ่งนี้ด้วยล่ะ
เห็นท่านประธานเรียกประชุมใหญ่จ๊ะ”  หล่อนกล่าว แล้วหันมายิ้ม พลางถอยหลังอดที่จะเพ่งใบหน้าชายหนุ่มเสียไม่ได้
      “ฮึๆๆ หล่อจัง”  หล่อนรำพึงในใจ แล้วหันหลังเดินจากไป
      “พรุ่งนี้แวะมาใหม่นะจ๊ะ  ขอบใจมากจ้าสำหรับขนมนะ”  หญิงชรากล่าว แล้วหันหลังเดินกลับไปยังครัวทันที
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นทันทีเมื่อร่างของแม่แย้มเดินเข้าไปในครัว   ทุกๆคำพูดเขาได้ยินชัดเจนเพียงแต่แกล้งทำเป็นนอนหลับ
เพราะไม่อยากทำให้การสนทนาขาดชะงักไป หันไปมองร่างของหญิงสาวที่กำลังเดินผ่านออกไปจากรั้วบ้าน 
    “อืมม!!!”  เราก็มาหลายๆครั้งแล้วแค่จากไปไม่กี่ปีนี่นา หล่อนเป็นใครหรือรู้สึกสนิทสนมกับแม่แย้มจริงๆ  เขารำพึง 
รีบกระวีกระวาดลุกขึ้นเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา เสร็จแล้วเดินเข้าครัวเห็นแม่แย้มกำลังวุ่นอยู่กับการทำอาหาร
ตอนแรกคิดจะลากลับเพราะนี่ก็มานานแล้ว เดี๋ยวคุณแม่คุณพ่อซึ่งคอยที่บ้านจะเป็นห่วงเห็นหายไป  แต่ก็ต้องเกรงใจหญิงชรา
ที่อุตส่าห์ทำอาหารไว้คอย   จึงเดินไปแล้วส่งเสียงกระแอมเบาๆ
     “ทำอะไรอยู่ครับแม่”  ชายหนุ่มเสไสแสร้งถาม
หญิงชราสะดุ้งหันมาพลางร้องถาม
      “อ้าวตื่นแล้วหรือลูกกานต์ แม่กำลังทำอาหารให้ทานนี่ก็เสร็จแล้วเหลือนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
      “โถๆๆแม่ไม่ต้องทำก็ได้ผมจะรีบกลับนี่ก็มานานแล้วเดี๋ยวคุณแม่คุณพ่อเป็นห่วง เมื่อลงเครื่องก็รีบมาหาแม่แย้ม
ก่อนใครเลยล่ะคิดถึงแม่จริงๆจ๊ะ”  ชายหนุ่มตอบพลางอมยิ้ม
        “นั่นซิน่ารักจริงลูกแม่  ไม่ได้น๊ะต้องทานข้าวก่อนนิดๆหน่อยๆก็ยังดี” หญิงชราหันมายิ้มหน้าบาน
        “จ๊ะๆๆดีเหมือนกันไม่ได้ทานอาหารแม่มานานหลายปีแล้วล่ะ”  พลางเข้าไปสวมกอดหญิงชรา  พร้อมหยิบอาหาร
ในจานที่จัดเรียงไว้ยกขึ้นใส่ปากทันที
        “นี่แน๊ะ”  ว่าพลางหญิงชราก็ตีมือแปะ
       “เดี๋ยวก็ได้ทานแล้ว  เสร็จพอดี”
       “ผีมือแม่ไม่ตกเลยนะ อร่อยเหมือนเดิม” ว่าแล้วเอื้อมมือจะไปคว้าหยิบอีก  แต่หญิงชราปัดมือเสียก่อน
       “ทำตัวเป็นเด็กเล็กๆไปได้ นี่โตแล้วนา”  หญิงชราหัวร่อ
        “กี่ปีโตอย่างไรผมก็เป็นเด็กเล็กๆแม่เสมอล่ะ”  ว่าแล้วเขาหัวร่อรีบถอยหลังทันเมื่อแม่แย้มยกฝ่ามือทำท่าจะตีเอา
ทั้งสองต่างกระเซ้าเย้าแหย่ส่งเสียงหัวร่อ  บรรยากาศสุขสดชื่นมืนต่างคนต่างป้อนอาหารให้แก่กันเล่าถึงสิ่งต่างๆแต่ละคน
ให้ฟังกันในระหว่างทานอาหารบนโต๊ะอาหาร จนได้เวลาชายหนุ่มก็รีบขอตัวกลับก่อน  บอกว่าจะรีบกลับมาอีกครั้ง
ก่อนจะจากไปเขาหันมาถามแม่แย้มว่า
         “แม่ครับ แล้วคนที่มาหาแม่นั้นเป็นใครหรือครับ?” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย 
        “อ้อๆ...หนูพิมพ์เป็นลูกสาวคนเดียวของคุณแม้น เจ้าของสวนทุเรียนเกือบทั้งหมดในสวนเมืองนนท์นี่แหละจ๊ะ
รู้สึกว่าจะมีฐานะมั่งคั่งกว่าใครๆทุกๆคนในแถบนี่แหละ  ถามทำไมหรือจ๊ะ?”  หญิงชราชักสงสัย
         “ไม่มีอะไรหรอกแม่  ถามดูไปอย่างงั้นๆอย่างงั้นเองแหละ เห็นสนิทสนมกับแม่มาก”  ชายหนุ่มหันมายิ้มพลางลุกขึ้น
เดินออกไป
         “ไปล่ะนะแม่  หากว่างพรุ่งนี้จะมาใหม่ครับ  สงสัยจะโดนคุณพ่อคุณแม่บ่นแน่เลยล่ะ”   ชายหนุ่มโบกมือแล้วรีบ
เดินออกไป
         “อ้าวเดินไปหรือ เดี๋ยวให้ลุงแช่มขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งไม่ดีกว่าหรือลูก”  หญิงชราเป็นห่วง
          “ไม่ต้องหรอกแม่เดินเดี๋ยวเดียวก็ถึงถนน แล้วนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปหารถแท็กซี่จ๊ะ บายๆไปล่ะแม่”  ว่าแล้ว
ชายหนุ่มรีบสาวเท้าเดินจากไปอย่างรีบเร่ง
            หญิงชรายืนมองดูลูกชายที่แกเลี้ยงมาเดินหายไปตามทางถนนบนทางเดินตามร่องสวนจนร่างนั้นลับสายตาไป 
จึงได้หันกลับไปเก็บจานบนโต๊ะเพื่อนำไปล้างในครัว พลางรำพึงในใจว่าชายหนุ่มช่างสูงใหญ่มากจริงหลังจากกลับ
จากต่างประเทศมาผิดกับพ่อแม่ราวฟ้ากับดินเชียว  อืมมๆๆเด็กสมัยนี้ช่างโตเร็วจังเลยด้วยท่าทีกิริยาอิ่มอกอิ่มใจยิ้มน้อย
ยิ้มใหญ่ที่สำคัญเด็กคนนี้ก่อนไปและหลังกลับก็ไม่เปลี่ยนแปลงนิสัยใจคอเอาเสียเลยทำให้แกภาคภูมิใจยิ่งนัก............
             ณ  บ้านอัศวราชิน ที่ปลูกภายในเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่กว่าเห็นจะได้ รูปทรงบ้านผสมผสานสมัยเก่าสมัยใหม่
อารยะธรรมตะวันตกตะวันออกกลมกลืนกัน เป็นบ้าน 3 ชั้นด้านล่างออกในลักษณะทรงจีนสมัยเก่าใหม่ ชั้นสองเป็น
แบบทางตะวันตกและชั้นบนสุดเป็นลักษณะบ้านทรงไทยแต่ทั้งสามแบบนี้ผสมผสานในลักษณะกลมกลืนกันยิ่งนัก
หน้าบ้านมีบริเวณเป็นครึ่งวงกลมรอบๆทำเป็นซุ้มปลูกกุหลาบหนูต่างสีสันต์ออกดอกบานสะพรั่งทอดยาวออกสู่
ประตูหน้าบ้านซึ่งติดถนนสัญจรไปมาตรงครึ่งวงกลมมีทางให้รถยนต์ออกได้สองทางทั้งซ้ายและขวาเป็นครึ่งวงกลม
เช่นเดียวกันตัดกันคล้ายๆกลับวงกลมสามวงซ้อนกันแต่เป็นเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น  รอบข้างหน้าบ้านเป็นลานที่ปลูก
ด้วยหญ้าที่ถูกตัดไว้เตียนทั้งสองข้างตรงกลางเป็นบ่อน้ำพุมีรูปนางฟ้าแบบฝรั่งทั้งชายหญิงรินเทน้ำใส่ยังน้ำพุที่พุ่งขึ้นสูง
ประมาณสองสามเมตรเห็นจะได้รอบๆบ่อน้ำพุเลี้ยงปลาหลากหลายตัวโตหลากสีว่ายไปมา  ส่วนทางด้านขวาก็เช่นเดียว
กันเป็นรูปนางฟ้าไทยและจีนในลักษณะเดียวกัน  ด้านกำแพงบ้านมีซุ้มนั่งเล่นผสมผสานอารยะธรรมทั้งสามแบบเหนือ
ซุ้มปลูกต้นการเวกที่ออกดอกผสมกับดอกกุหลาบที่บานสะพรั่ง  ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างผสมผสานอารยะธรรมตะวันออกและตก
ทั้งสิ้น ส่วนด้านหลังบ้านนั้นเป็นสวนดอกไม้นานาพันธุ์ หลังสวนดอกบ้านมีบ้านหลังเล็กๆแบบเรียบง่ายในลักษณะเดียวกัน
จัดลักษณะคล้ายคลึงบ้านใหญ่ทุกประการ กลับเป็นที่พักประจำของคุณพีระกานต์ซึ่งไม่ยอมไปพักที่บ้านหลังใหญ่  ใช้เป็น
ที่พักอาศัยส่วนตัวแยกจากบ้านใหญ่ต่างหาก บ้านใหญ่จึงมีเพียงคุณอัศวโรจน์และคุณหญิงพิริยะวดีกับคนใช้ส่วนตัวเท่านั้น
เขามักจะอ้างกับคุณพ่อคุณแม่ว่า อยากอยู่อย่างสงบเสรีอิสระส่วนตัวไม่อยากวุ่นวายนัก เพราะบ้านหลังใหญ่มักจะมีเพื่อนของ
คุณพ่อคุณแม่มาเยี่ยมเยียนเสมอๆ ซึ่งคุณอัศวโรจน์และคุณหญิงฯตามใจเขามานานแล้วจึงอนุญาตเพียงแต่ว่าเวลาทานข้าวขอให้
มาทานอาหารร่วมกันเท่านั้น  ดังนั้นจะพบกันก็ต่อเมื่อเวลาอาหารเช้าและค่ำเท่านั้นที่จะมานั่งสนทนาปราศรัยซึ่งกันและกัน
ส่วนใหญ่ชายหนุ่มมักจะขลุกอยู่แต่ภายในบ้านหลังเล็ก ซึ่งมีตาแจ้งกับยายผันสองสามีเท่านั้นที่คอยดูแลทำความสะอาด
บางครั้งตลอดจนอาหารพิเศษคอยรับใช้ปรนนิบัติเสมอ  เหตุดังนี้บ้านเล็กหลังนี้จึงได้ถูกตัดขาดจากบ้านใหญ่มิกล้ามีผู้ใดเข้า
มาย่างกรายจนถือได้ว่าเป็นเขตหวงห้ามไปโดยปริยายเป็นที่รู้กันในหมู่ผู้รับใช้ทั้งหลาย ยกเว้นสองสามีภรรยาที่สามารถเข้าออก
บ้านนี้ได้
               วันนี้เป็นวันในกรณีพิเศษ   บริเวณหน้าบ้านหลังใหญ่จึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย  ด้านซ้ายมือของน้ำพุจัดวางไว้ด้วย
ซุ้มอาหารประมาณ ห้าหกซุ้ม  มีทั้งเครื่องดื่มนานาชนิดที่ผู้รับใช้  ใช้สำหรับเสริฟอาหาร ส่วนด้านขวามีโต๊ะเก้าอี้จัดวางไว้รอบๆ
ซุ้มดอกไม้นานาพันธุ์ เพื่อต้อนรับบรรดาแขกสนิทมิตรสหายต่างๆ หน้าบ้านจึงเต็มไปด้วยรถยนต์นานาชนิดจอดเรียงราย
เป็นระเบียบเรียบร้อย  หน้าประตูบ้านซึ่งทำไว้ใหญ่โตผสมผสานกันไว้มียามรักษาการณ์ตรวจเข้มตลอดเวลา ปกติแล้วจะมี
ยามรักษาการณ์ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่วันนี้จึงมียามมากกว่าปกติคอยให้บริการเกี่ยวกับรถยนต์ไว้ด้วยและความปลอดภัย
เพื่อใช้เลี้ยงต้อนรับการกลับมาของลูกชายคนเดียวเจ้าของบ้าน  นับแต่บัดนี้ยังไม่ปรากฏร่างของลูกชายเจ้าของบ้านขึ้นมาแต่
ประการใด อากาศก็มืดสลัวๆ หน้าบ้านจึงเปิดไฟส่องสว่างจ้า  แขกพากันนั่งบ้างยืนบ้างรับประทานอาหารกัน เป็นกลุ่มๆบ้าง
ต่างสนทนากันอย่างครื้นเครง  ส่วนคุณหญิงก็อยู่ในกลุ่มแม่บ้านกัน คุณอัศวโรจน์ก็อยู่ในกลุ่มของพวกนักธุรกิจการค้ากัน
พวกหนุ่มๆสาวๆต่างก็แต่งตัวประชันโฉมอย่างกับมีงานประกวดนางสาวไทยก็มิปาน  บรรดาลูกสาวลูกคุณหญิงคุณนาย
ทั้งหลายต่างก็มาเพื่อหวังใกล้ชิดคุณพีระกานต์  ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวเจ้าของบ้านดั่งรจนาเลือกคู่ ด้วยต่างรู้
ดีว่าหากได้เป็นศรีสะใภ้บ้านนี้แล้วเปรียบเสมือนได้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้และเข้ามานั่งอยู่บนกองเงินกองทองซึ่งเป็นจำนวน
เงินนับหมื่นๆล้านเชียว  บรรยากาศภายในบ้านจึงครึกครื้นรื่นเริงเสียงจ๊อกแจะจอแจดังเซ็งแซ่ไปทั่ว คลอด้วยเสียงเพลงทาง
เครื่องเสียงขนาดใหญ่บรรเลงเพลงของสุนทราภรตลอดงาน 
       “เฮ้ยไอ้หนก!!!  ไอ้กานต์มันหายหัวไปไหนว่ะ กูยังไม่เห็นหน้ามันเลยว๊ะ????..”  เสียงเพื่อนยืนจิบค้อกเทลถาม
       “นั่นซิไอ้หยาม   มึงก็อยู่กับกูนี่แหละยังไม่เห็นมันเหมือนกัน”  คนที่ชื่อกนกเอ่ยขึ้นเช่นกัน
        “กูว่ามึงไปสอบถามคุณแม่ไม่ดีกว่าหรือว๊ะ ไอ้ห่าป่านนี้มุดหัวไปไหนหว่า??”  คนทีชื่อสยามเอ่ยบอก
        “เออดีเหมือนกันว่ะ งั้นมึงกับกูไปถามพร้อมๆกันดีกว่านะ” เพื่อนที่ชื่อสนับสนุนทันที
        “เฮ้ยๆๆๆมึงดูพวกสาวๆพวกนี้ซิว่าหน้าหลอกแหล๋กๆ ยังกับอีวอกไม่ผิดเชียว”  คนที่ชื่อสยามชี้มือให้เพื่อนดู เมื่อเห็น
บรรดาสาวๆทั้งหลายปากสนทนากันแต่สายตาคล้ายมองหาคนบางคนกันเดี๋ยวไปทางซ้ายทีขวาทีวุ่นไปหมด
         “เออๆๆๆ....จริงของมึง ไอ้ห่านี้ตาสับปะรดเชียวนะมึง”  พูดลางหัวร่อพลางพร้อมจูงมือเดินจากกลุ่มเพื่อนๆเข้าไป
หาคุณหญิงพิริยะวดีทันที   ซึ่งคุณหญิงกำลังยืนสนทนากับเพื่อนๆอยู่ เมื่อไปถึงชายหนุ่มทั้งสองยกมือไหว้พร้อมสอบถาม
         “ขอโทษครับ  คุณแม่ ทำไมผมไม่เห็นหน้าเจ้ากานต์เลยครับนี่ก็เกือบจะทุ่มแล้วครับ”  ชายหนุ่มชื่อกนกเอ่ยปากขึ้น
  ทุกๆคนในกลุ่มชะงักทันที คุณหญิงหันมามองพร้อมยกมือไหว้รับตอบ
        “นั่นซิพ่อกนก เห็นเขาบอกว่าไปประเดี๋ยวเดียว ชั้นหรือก็ลืมสอบถามไปเสียด้วยซิว่าไปธุระอะไร” คุณหญิงเอ่ยตอบ
        “ครับคุณแม่..ผมก็เห็นนี่นานแล้วยังไม่พบเลย  คุณแม่มีเบอร์โทรศัพท์มือถือไหมครับเดี๋ยวผมจัดการเอง” 
 หนุ่มชื่อกนกถาม
       “เออๆๆจริงซินะคุณหญิง  ตั้งแต่มานี่ยังไม่เห็นพ่อกานต์เลยนี่นา” บรรดาคุณหญิงคุณนายหันมาถามเหมือนจะนึกได้
เพราะมัวแต่คุยกันเพลินไป
      “อ้าว  แล้วนี่คงเป็นเพื่อนคุณกานต์ทั้งสองคนใช่ไหมจ๊ะ หน้าตาดีนี่ทั้งสองคน”  คุณนายที่รวมอยู่ด้วยหันมาสอบถาม
      “ใช่แล้วแม่พัช...ทั้งสองคนนี้เป็นเพื่อนลูกกานต์มานานแล้วล่ะตั้งแต่สมัยยังเรียนมหา’ลัยมาที่นี่บ่อยๆจ้า”
 คุณหญิงพิริยะวดีหันมาตอบ  ชายหนุ่มทั้งสองเลยต้องหันมายกมือไหว้คุณหญิงคุณนายทั้งหมด
      “ มีจ๊ะแต่เขาไม่ได้เอาเครื่องไป ทิ้งไว้ในเป๋าเดินทางนี่แหละ มีคนโทรมาหาเหมือนกัน บอกว่าไม่อยู่” คุณหญิงตอบ
      “ขอบคุณครับเห็นจะต้องรอๆกันต่อไปนะครับ ”  ชายหนุ่มกล่าวจบก็ขอตัวเดินจากไป
     “นั่นซิแล้วงานนี้มิเป็นหมันไปหรือ คุณหญิง” กลุ่มเพื่อนคุณหญิงสอบถาม
     “แล้วพ่อโรจน์รู้หรือยังล่ะจ๊ะ”  เพื่อนอีกคนหนึ่งถาม
     “คงจะรู้แล้วล่ะจ๊ะ  เห็นพ่อเขายังเฉยๆนี่นา”  คุณหญิงพิริยะวดีตอบ  เพราะรู้นิสัยใจคอพ่อลูกคู่นี้ดี
				
21 ธันวาคม 2549 10:30 น.

** ฟ้าเพียงดิน **

แก้วประเสริฐ


                                        **  ฟ้าเพียงดิน  **
                                                 บทที่ ๑

 “ พีระกานต์   อัศวราชิน “  
   หนุ่มลูกชายคนเดียวของนักธุรกิจที่ประกอบการค้าทั้งในและนอกประเทศ
เชื้อสาย จีนปนไทย  กิจการครอบครัวร่ำรวยมหาศาลเป็นที่ยอมรับของคนในสังคมวงการทั่วๆไป
   เขาจึงเป็นชายหนุ่มเนื้อหอมที่ได้รับการสนใจจากหญิงสาวในตระกูลคหบดีทั้งหลาย หมั้นหมายปอง
ที่จะเข้ามาสู่ตระกูล “อัศวราชิน” ซึ่งพึ่งสำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศระดับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์สูงสุด
ด้านบริหารธุรกิจระหว่างประเทศของสถาบันที่มีชื่อเสียงทำให้ครอบครัวอัศวราชิตได้รับการต้อนรับการไป
มาหาสู่จากต่างตระกูลมากผิดปกติ  ด้วยความเป็นหนุ่มโสดลูกชายคนเดียวที่จะครอบครองสมบัติมหาศาลต่อไป
           วันนี้เป็นวันอาทิตย์..............
เป็นวันที่เขาต้องเดินทางกลับเมืองไทยหลังสำเร็จการศึกษามาหมาดๆและท่องเที่ยวพักผ่อนมาพอประมาณ
            ที่ห้องต้อนรับภายในสนามบินซึ่งเนืองแน่นไปด้วยคนทั้งหลายที่มาต้อนรับผู้ที่จะเดินทางมาในเที่ยวบินนี้
 เมื่อเสียงเครื่องบินครางกระหึ่มเข้าจอดยังรันเวย์ตรงตามวันเวลาดังกล่าวไม่ผิดพลาดเวลาของเที่ยวบินมาถึง
ในห้องพักผู้รับโดยสารเจ้าหน้าที่สนามบินประกาศเที่ยวบินดังกล่าวมาถึงแล้ว   ผู้โดยสารกำลังเช็คอินท์อยู่  
        ภายในห้องจึงเกิดเสียงดังจอแจเซ็งแซ่  ผู้โดยสารทั้งหมดต่างก็ทยอยออกมาจากประตูพร้อมลากขน
สิ่งของสัมภาระผ่านไปคนแล้วคนเล่า  บางกลุ่มก็แสดงความดีอกดีใจสวมกอดกันและกันบางคนก็หาได้มีคนมา
ต้อนรับไม่   ทุกๆคนต่างกระวีกระวาดเดินผ่านกลุ่มของผู้ที่มาต้อนรับชายหนุ่มพีระกานต์ซึ่งยืนคอยเป็นกลุ่มใหญ่
มีทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวต่างแต่งตัวประกวดโฉมกันในมือซึ่งมีพวงมาลัยประดับสวยงามถือไว้
      จนกระทั่งห้องผู้รับผู้โดยสารเหลือเพียงแต่กลุ่มของคุณหญิงพิริยะวดีเท่านั้นที่ยังยืนรอคอยการกลับมาของเขาอยู่ 
เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปนานจนผิดสังเกตุ  ก็มีคนในกลุ่มเดินไปสอบถามเจ้าหน้าที่เพื่อเช็คผู้โดยสารที่มากับเครื่องบิน
เที่ยวนี้ว่ามีคนชื่อพีระกานต์เดินทางมากับเที่ยวบินนี้หรือไม่   เมื่อได้รับการตอบยืนยันก็เข้ามาแจ้งกับคุณหญิงทันที
   “ไม่ผิดพลาดหรอกค่ะ.. คุณอา”  หญิงสาวแต่งกายฉูดฉาดทันสมัยกล่าวขึ้น
   “เจ้าหน้าที่แจ้งว่าคุณพีระกานต์เดินทางมาในเที่ยวบินนี้แน่นอนค่ะ เจ้าหน้าที่เขายืนยันพร้อมให้ดูเอกสารด้วย”
คุณหญิงพิริยะวดี  หันมาส่งยิ้มให้แล้วกล่าวขอบใจหญิงสาวดังกล่าว
     “ขอบใจมากจ้า...แม่นุช  เดี๋ยวคงจะออกมากระมังคงติดขัดข้องบางอย่างล่ะ”
เวลาได้ผ่านไป คนกลุ่มดังกล่าวก็เกิดความกระวนกระวายขึ้นทันที เสียงคุยกันก็เริ่มจะเงียบเสียงไป
ป่านนี้แล้วยังไม่ปรากฏเขาเดินออกมา จนเวลาล่วงผ่านไปคนบางคนก็ขอลากลับไปบ้าง และบ้างชวนคุณหญิงกลับ
แต่ได้รับการยืนยันจากคุณหญิงว่าจะรอสักครู่ให้ผู้มีธุระกลับกันไปก่อน     คงมีอะไรผิดพลาดจะขออยู่เพื่อสอบถาม
ให้แน่ใจก่อน  เวลาก็ผ่านลุล่วงไปอีกนานจนคนที่เหลือต่างก็มาลาคุณหญิงขอกลับก่อนจนหมด  คุณหญิงก็ส่งยิ้ม
พลางขอบใจผู้มารอรับ  คงเหลือไว้เพียงคุณหญิงและเด็กสาวที่ช่วยถือของยืนอยู่ข้างๆคงมองจ้องไปที่ประตู
ขาเข้าผู้โดยสาร  เพื่อความแน่ใจคุณหญิงก็เดินไปสอบถามเจ้าหน้าที่อีกเมื่อได้รับการยืนยันก็กลับมานั่งคอยอย่างสงบ
     สักครู่ใหญ่ต่อมา ก็ปรากฏร่างชายหนุ่มรูปร่างขาวสูงไว้ผมยาวแต่ผมถูกขมวดไว้ด้านหลังมัดด้วยโบวสีแดง
เดินคู่มากับชายหนุ่มอีกคนแต่งกายเป็นพนักงานในเครื่องบิน ต่างสนทนากันอย่างครื้นเครงแต่หาได้มีสิ่งสัมภาระใดๆ
ไม่นอกจากกระเป๋าเดินทางสะพายพาดห้อยไว้บนไหล่เท่านั้น เมื่อเขาแลเห็นคุณหญิงก็หันไปกล่าวกับเพื่อนซึ่งเดินมา
     “เฮ้ยไอ้หนก!!!...แม่กูมาคอยรับโน่นขอตัวก่อนโว้ย”  ชายหนุ่มหันไปกล่าวกับเพื่อน
     “ไอ้กานต์...แน่ะนำให้กูด้วย กูไม่ได้พบท่านมานานแล้วโว้ย”  ชายหนุ่มอีกคนกล่าวขึ้น
     “เออๆ  งั้นมึงมากับกู  ไปด้วยกันว่ะ”   เขากล่าว พร้อมนำหน้าเพื่อนเดินไปจนถึงหน้าคุณหญิง
     “คุณแม่คอยผมนานไหมครับ  ผมมัวแต่ไปคุยกับไอ้หนกมันอยู่บนเครื่อง ให้คนเขาผ่านไปก่อน ขี้เกียจเบียดคนครับ”
ชายหนุ่มกล่าวขึ้นพร้อมยกมือกราบบนทรวงอกคุณหญิงทันที พร้อมหันไปแนะนำเพื่อนให้คุณหญิงรู้จัก
      “สวัสดีครับ..คุณแม่” ชายหนุ่มรูปงามอีกคนยกมือไหว้
      “สวัสดีจ้าพ่อหนุ่ม  ทำงานบนเครื่องบินหรือ”  คุณหญิงหันมายกมือไหว้ตอบพร้อมซักถาม
    “ครับ..คุณแม่ผมเป็นนักบินที่สองรองกัปตัน อ่านรายชื่อผู้โดยสารเห็นมีชื่อ ไอ้กานต์มันเดินทางกลับเมืองไทย
จึงได้ชวนมันคุยด้วยครับจึงช้าไปหน่อยครับ”  ชายหนุ่มน้อมกายตอบ
    “นั่นซิถึงได้คอยช้าจังเลย เป็นห่วงพ่อกานต์เขา  เมื่อได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ว่าเขามาเที่ยวบินนี้ คนมารับ
อื่นๆก็ต่างพากันกลับไปหมดแล้วเหลือเพียงฉันและหนูอัญชลีนี้แหละจ๊ะ”  หญิงสูงอายุตอบ
    “ผมบอกแม่แล้วไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก  ผมกลับเองได้ไม่นึกว่าแม่จะมาด้วยครับแม่ก็รู้นิสัยผมดีผมไม่ชอบ
พิธีเอิกเกริกอะไรๆทั้งสิ้นชอบอิสระทำตัวสบายๆสำคัญชอบไปคนเดียวเสมอๆแหละครับ” ชายหนุ่มผู้เป็นลูกกล่าวตอบ
   “นั่นซิพ่อกานต์ข้อนี้แม่รู้ดี แต่พวกสาวๆซิขยั้นคะยอว่าจะมาคอยต้อนรับแก แม่เองทนรบเร้าไม่ได้จึงได้มานี่แหละ”
   “ใครหรือครับพวกสาวๆนั้น”  ชายหนุ่มแสดงสีหน้าสงสัย
   “ก็ลูกสาวคุณอภิรักษ์ คนหนึ่งล่ะ  ลูกสาวคุณหญิงผกามาศอีกคนแล้วก็ลูกสาวคุณฉวีวรรณ ซึ่งเคยเรียนมหาวิทยาลัย
เดียวกับลูกๆจำมิได้หรือ”  คุณหญิงหันไปตอบ
    “อ้อๆๆ...ยายหน้าไข่เจียว ยายหน้าเต้าหู้และยายหน้าขนมเค้กหรือครับแม่”  เขากล่าวแล้วพลางหัวเราะลั่น 
    “จำได้นะจำได้ครับ เป็นอย่างไรบ้างล่ะตอนนี้ ได้ข่าวว่าสังคมจัดไม่ใช่หรือครับ”
    “จะบ้าหรือตากานต์ดูซิ  ไปว่าลูกสาวเขาหน้าอย่างโน้นอย่างนี้ เดี๋ยวเขาได้ยินเข้าจะว่าอย่างไรล่ะ” คุณหญิงอมยิ้ม
   “เชอะๆๆผมไม่สนหรอกครับคุณแม่  เมื่อก่อนนี้นะหยิ่งจะตายไปถือว่าพ่อแม่ร่ำรวย เมื่อก่อนผมไปมหา’ลัย
เขานั่งรถเก๋งไปผมนั่งรถประจำทางไปถือตัวดีนัก “เรียกผมไอ้ตี๋หน้าจืด”  ผมยังจำได้ครับ”  เขาอมยิ้มรำลึกความหลัง
     “ช่างเถอะๆ...ไปกลับบ้านกันดีกว่า  พ่อหนุ่มไปด้วยกันนะไปทานข้าวที่บ้านด้วยกัน”  คุณหญิงหันมาทางเพื่อนลูกชาย
     “ไม่หรอกครับคุณแม่  ผมต้องไปรายงานผลการเดินทางก่อนครับ ไว้ว่างๆผมจะแวะไปกราบคุณแม่ครับ”  ชายหนุ่มตอบ
     “เฮ้ยไอ้หนก มึงเสร็จงานแล้วเย็นนี้แวะไปบ้านกูด้วยนะโว้ย เรียกไอ้หยามไปด้วยบอกกูมาไปนั่งถองเหล้าสักหน่อย”
     “เออๆ...แล้วกูจะบอกให้ ไปก่อนนะโว้ยไอ้กานต์”  ชายหนุ่มนักบินตอบ พร้อมหันไปยกมือไหว้คุณหญิงพร้อมเดินจากไป
                ระหว่างเดินทางกลับออกมาจากห้องพักผู้โดยสารภายนอกคุณหญิงหันไปถามลูกชาย  
     “แม่จำไม่ได้เพื่อนลูกคนนี้คลับคล้ายคลับคลานะลูก”  คุณหญิงเดินพลางถามพลาง
     “อ้อ!!!  ไอ้หนก ก็คือ กนก ส่วนไอ้หยาม คือ สยาม เพื่อนลูกที่เรียนมหา’ลัยเคยไปมาหาสู่ที่บ้านเราเมื่อครั้งยังเรียน
อยู่มีสามคนแม่จำไม่ได้หรือครับ
     “อ้อๆๆจำได้แล้วล่ะ ตอนนั้นไม่สูงใหญ่เหมือนอย่างนี้นี่นา”  คุณหญิงรำพึง
     “ครับ หลังสำเร็จมันไปเรียนการบินต่อแล้วไปสมัครงานสายการบินทำงานเป็นนักบิน บินระหว่างกรุงเทพ-ยุโรปครับ”
ชายหนุ่มกอดเอวแม่ขณะก้าวเดินตอบ
     “แล้วสยามล่ะลูกเป็นอย่างไรบ้าง” หญิงผู้เป็นแม่ถาม
     “ไอ้หยามมันจบมาก็ไปต่อที่อังกฤษได้ปริญญาโท แล้วมันก็กลับมาช่วยพ่อมันทำธุรกิจการค้าได้ข่าวว่ามันเปิดบริษัท
ใหม่อยู่ครับ  ส่วนผมก็งมงายเรียนจนจบนี่แหละยังไม่เป็นโล้เป็นพายสักที”  ชายหนุ่มหัวร่อร่วนตอบมารดา
           ทั้งหมดเดินมาถึงที่จอดรถยนต์  ตาแจ้งรีบเข้ามายกมือไหว้ชายหนุ่ม พลางกล่าวว่า
     “สวัสดีครับคุณชาย  โอ้โฮ???...หล่อจังครับสูงใหญ่เสียด้วย”
     “สวัสดีครับลุงแจ้ง...ยังหนุ่มเหมือนเดิมนะ ฮ่าๆๆๆ”  ชายหนุ่มหัวร่อพลางเดินเข้าไปตบไหล่ชายชรา
     “ดีใจจังที่คุณชายกลับมา” ชายชราหัวร่อจนเหงือกบาน
     “ไปได้แล้วล่ะตาแจ้ง”  คุณหญิงหันมากล่าวตัดบท
    ชายชรารีบเดินไปเปิดประตูหลังรถเก๋งคันงาม คุณหญิงจูงมือลูกชายหวังให้ไปนั่งด้วยกัน แต่ถูกดึงมือกลับพร้อม
เขากล่าวขึ้นว่า
     “คุณแม่กลับไปก่อนนะครับ ให้ผมไปทำธุระสักพักก่อนแล้วจะตามไปบ้านที่หลัง” ชายหนุ่มดันคุณหญิง
ให้เข้าไปนั่งในรถทันทีพร้อมกับเด็กสาวที่ไม่เคยกล่าวอะไรเลยตามไปนั่งข้างหน้าข้างคนขับ
     “อ้าวไม่กลับพร้อมแม่หรือ?  แล้วจะไปไหนอีกล่ะลูกพึ่งมาถึงนะ ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนมิดีหรือ”
     “ผมต้องไปธุระสักพักก่อนนะครับ  น่าๆๆๆแม่ผมไม่ให้แม่ต้องคอยนานหรอกครับ” เข้ากล่าวพร้อมก้มหน้าลง
ไปหอมแก้มคุณหญิงเพื่อประจบ
    “เป็นอย่างนี้ทุกทีเลย โถแม่อุตส่าห์มารับนึกว่าจะไปด้วยกัน” คุณหญิงหันมาค้อนลูกชาย แต่ก็ต้องปล่อยตามใจ
เพราะตามใจมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยไม่เคยขัดใจลูกคนนี้สักทีเพราะทนสายตาออดอ้อนเสียไม่ได้  
    “รีบไปรีบมานะแม่จะคอย พ่อเขาก็คอยรับอยู่ที่บ้านด้วยล่ะ”
   “ครับๆๆๆผมรีบไปรีบกลับครับไม่นานหรอก” ชายหนุ่มตอบ พร้อมโยนเป๋เดินทางใส่ไว้ข้างตัวมารดา พลางเดิน
ไปที่รถแท็กซี่ของสนามบินแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่ง ซ้ำยังหันมาโบกมือไหวๆกับมารดา
เมื่อรถทั้งคู่ขับออกมานอกสนามบิน พอถึงทางแยกต่างก็พากันไปคนละทางจนลับสายตาหายไป

       บ้านเรือนไม้สองชั้นปลูกอยู่ภายใต้ร่มมะม่วงในบริเวณเนื้อที่สวนที่แน่นขนัดไปด้วยไม้ผลดอกนานาพันธุ์
ทอดเป็นแนวยาวออกไปทางหลังบ้านภายในเนื้อที่ประมาณ 5ไร่กว่าๆ บริเวณหน้าบ้านเป็นลานกว้างมีรั้วไม้ขัดแตะ
เตี้ยๆรอบๆรั้วจัดปลูกไว้ด้วยพืชไม้ดอก ข้างๆรั้วจัดเป็นซุ้มจัดตั้งไว้ด้วยเก้าอี้โยกได้บนซุ้มปลูกด้วยไม้ดอกการเวก
ข้างๆมีกระถางใบใหญ่ใส่กุหลาบที่กำลังออกดอกบานสะพรั่งวางไว้ทั้งสองข้างทางเดินเข้าสู่บ้านปลูกด้วยไม้ดอก
เตี้ยๆส่งกลิ่นหอมโชย   
          ร่างชายหนุ่มตัดผมรองทรงกำลังเดินผ่านประตูรั้วเตี้ยๆเข้ามา   เสียงสุนัขเห่าเสียงขรมวิ่งเข้ามาประมาณ
สองสามตัว ครั้นวิ่งมาถึงร่างชายหนุ่มพลันชะงักเข้าดมแล้วกระดิกหางเสมือนจะจำได้ บางตัวก็กระโดดโลดเต้น
ไปมารอบๆร่างเขา  หน้าประตูบ้านยืนไว้ด้วยหญิงชราค่อนข้างอ้วนท้วมกำลังส่งเสียงเรียกสุนัข แต่มันไม่ยอมกลับ
กลับกระโดดไปๆมาๆ  ขณะที่ชายหนุ่มสาวเท้าเดินเข้ามาหาเมื่อเห็นหน้าเขาก็ยิ้มและรีบวิ่งเข้ามาหาพร้อมกับโอบ
ร่างเขาทันที
     “สบายดีหรือแม่แย้ม ไม่ได้เจอกันเสียนาน หลายปีแล้วล่ะ”   เสียงชายหนุ่มกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
    “ค่ะ!! มาถึงเมื่อไหร่ล่ะคุณกานต์” หญิงชรากล่าวด้วยอาการดีใจพร้อมเขย่าตัวไปมา
     “เมื่อเช้านี้เองแหละจ๊ะ  คิดถึงแม่แย้มจังเลยพอลงเครื่องก็รีบมานี่แหละ”  ชายหนุ่มโอบกอดพร้อมยกตัวหญิงชรา
ลอยขึ้น
     “อุ้ยๆ..ปากหวานจังคุณกานต์ ปล่อยๆเถอะแน่ะ หายใจไม่ออกแล้ว”  หญิงชรากล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
         ชายหนุ่มวางร่างหญิงชราลงกับพื้นพร้อมประคองเดินเข้าไปในบ้าน   แม่แย้มหรือนางแย้มอดีตเป็นแม่นมของ
ชายหนุ่มซึ่งแกเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังนอนเบาะ เป็นสาวแก่ไม่มีลูกมีผัวเมื่อชายหนุ่มโตเข้ามหา’ลัย แกก็ขอตัวลากลับบ้าน
คุณหญิงพิริยะวดีกับคุณอัศวโรจน์พยายามอ้อนวอนขอให้อยู่  แกบอกว่าพ่อแก่มากแล้วต้องไปช่วยดูแลไม่มีใครดูแล
สวนและใครปรนนิบัติจนกระทั่งพ่อเสียชีวิตมอบสวนให้แก   คุณกานต์หรือพีระกานต์มักจะติดตามแกมาอยู่เสมอๆ
เมื่อยามปิดภาคการเรียน ส่วนใหญ่มักจะดูหนังสือที่นี่เพราะเป็นสถานที่เงียบสงัดเหมาะแก่การทำวิทยานิพนธ์ดูตำรา
ต่างๆ จนกระทั่งชายหนุ่มเดินทางไปต่างประเทศเพื่อทำปริญญาต่อจึงขาดหายไปหลายปี แต่ก็ได้รับจดหมายจากคุณกานต์
อยู่เสมอๆมิได้ขาด  นิสัยคุณกานต์จึงมาทางแม่แย้มมากคือมีนิสัยสมถะชอบสันโดษไม่ฟุ้งเฟ้อทะเยอทะยานทั้งๆที่ฐานะ
ทางบ้านก็ถือได้ว่าร่ำรวยมหาศาล  แม้แต่ไปเรียนมหาวิทยาลัยทางบ้านจะซื้อรถยนต์ให้เขาไม่ยอมบอกว่า
ไม่สมควรใช้เพราะยังเป็นนักศึกษาอยู่ ยังหาเงินหาทองไม่ได้   หากทำงานแล้วนั่นแหละจึงสมควร  
ควรจะทำตัวให้ลำบากไว้บ้างเพื่อเป็นการฝึกนิสัยตนเองด้วย    คุณอัศวโรจน์จึงภูมิใจลูกชายคนนี้ยิ่งนัก เมื่อก่อน
คุณอัศวโรจน์ก็มิได้มีฐานะมั่งคั่งเช่นปัจจุบันนี้ เพียงแต่เข้าช่องทางค้าขายถูกจึงทำให้กิจการรุ่งเรืองมาจนบัดนี้ เมื่อเห็น
ลูกชายคนเดียวมีนิสัยมาทางแก  ก็ทำให้เกิดความเชื่อมั่นต่อลูกชายคนนี้มากและมักจะให้โอกาสแสดงความคิดเป็นของ
ตัวเองยิ่งได้แม่นมซึ่งเป็นญาติห่างๆมาช่วยเลี้ยงดูอบรมด้วยก็ยิ่งสบายใจ มุ่งมั่นในทางการทำมาหากินอย่างเดียว
       เมื่อทั้งสองเข้าไปในบ้าน  ชายหนุ่มก็รีบดึงตัวแม่แย้มของแก ให้นั่งลงพร้อมกับนอนหนุนบนตักบอกว่า
   “แม่กานต์ขอนอนแบบนี้สักพักนะแม่  ไม่ได้นอนมานานแล้วตั้งใจว่ากลับมาเมื่อไร จะมานอนให้ได้อย่าขัดใจนะแม่”
  “เมื่อคืนทั้งคืนก็ไม่ได้ค่อยได้นอน มัวแต่คุยกับไอ้หนกมันบนเครื่องอยู่  แม่จำได้ไหมไอ้หนกก็คนรูปร่างค่อนข้างดำ
ผมหยิกๆนั่นแหละ”  ชายหนุ่มหลับตาพูด
   “อ้อๆ..เด็กซนคนนั้นหรือที่ชอบปีนต้นไม้ ...ใช่ไหมลูก”  หญิงชราตอบ คงปล่อยให้เขานอนหนุนตัวมิได้ขัดขืนอย่างใด
				
14 ธันวาคม 2549 14:34 น.

** เสี้ยวรักหักอารมณ์ **

แก้วประเสริฐ


                                       **    เสี้ยวรักหักอารมณ์   **

       ฐิตินัย วิริยะกุล ชายวัยฉกรรจ์หยิบจดหมายเปิดผนึกที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานขึ้นมาอ่าน
ด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างจะเคร่งขรึมแต่ยังแฝงรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปาก พร้อมเก็บจดหมายดังกล่าว
ใส่ในซอง ก้มหน้าก้มตาเก็บเอกสารที่จำเป็นและสิ่งของเล็กๆน้อยลงในกระเป๋าเอกสารใบไม่
ใหญ่นักวางลงบนโต๊ะทำงาน  ท่ามกลางสายตาแปลกใจของพนักงานที่ต่างหันมามองด้วยเห็น
ความผิดปกติของเจ้านายมิได้เคยกระทำดังนี้มาก่อนตั้งแต่ทำงานร่วมกันมา
     “ คุณ อรสา บ่ายนี้ช่วยบอกทุกๆคนด้วยนะครับว่า ผมของดการประชุมเพราะมีธุระด่วน”
เขาหันไปสั่งเจ้าหน้าที่ด้านซ้ายมือที่ทำหน้าที่เป็นเลขานุการประจำตัว
     “ค่ะๆ?? ทำคุณจะไปไหนหรือค่ะ”  หญิงสาวที่ชื่อ “อรสา” ถามขึ้นเบาๆ  ด้วยความสงสัย
     “เดี๋ยวผมต้องไปพบกับคุณธเนศยังไม่รู้ว่าเราจะได้ร่วมกันทำงานอีกต่อไปหรือไม่ครับ”
เขาหันมายิ้มตอบเพียงสั้นๆ
     “คงไม่เป็นไรนะครับ ขอให้ทุกๆคนทำงานให้เต็มความสามารถก็แล้วกัน ผมขอฝากไว้ด้วย”
     เขาก้าวลุกขึ้นพร้อมหยิบกระเป๋าเอกสารเดินไปตามโต๊ะพนักงานสนทนาเบาๆ บางครั้งก็ตบ
ไหล่เจ้าหน้าที่ ก่อนจะออกจากห้องไป เขาหันกลับมามองยังเหล่าพนักงานพลางค้อมศีรษะลง
ส่งยิ้มแล้วโบกมือเสมือนจะอำลาจากไป  ยิ่งทำให้ทุกๆคนแสดงสีหน้าเลิกหลักสงสัยยิ่งนักเกิด
การวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นถึงกับเสียงดังเซ็งแซ่ไปหมด
     ก๊อกๆๆๆ เสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้นเบาๆ
 “เชิญ”  เสียงดังจากภายในก้องออกมา
    ร่างชายนั้นพลันก้าวผ่านประตูเข้าไป พร้อมทั้งก้มศีรษะทำความเคารพ เห็นภายในห้องนั่งไว้
ด้วยร่างชายหนุ่มใบหน้ายาวมีหนวดประดับไว้เหนือริมฝีปากพองามยังโต๊ะทำงานใกล้ริมหน้าต่าง
  “เชิญนั่งคุณฐิตินัย”  เขากล่าวขึ้นด้วยสำเนียงเคร่งขรึม
  เมื่อชายกลางคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงกล่าวต่อขึ้นว่า
   “จากผลงานที่คุณทำมาแล้วให้นึกเสียดายจริงๆที่ผมจำเป็นต้องพักงานคุณไว้ชั่วคราวเนื่องจาก
ระยะนี้เศรษฐกิจกำลังตกต่ำทำให้ค่าใช้จ่ายของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากรายจ่ายสูงกว่ารายรับ การ
ติดต่อกับด้านต่างประเทศก็ขาดทุนอย่างมาก แต่มิใช่ความผิดของคุณหรอก หวังว่าคุณฐิตินัยคงจะรู้ดี
   หากบริษัทเราดีขึ้นกว่าเดิมผมจะติดต่อขอให้คุณมาช่วยทำงานให้แก่เราอีกด้วย คิดว่าคุณคงจะเข้าใจดี
อ้อ..นี่เงินเดือนคุณพร้อมโบนัสประจำปีและเงินค่าแรง 6 เดือนตามกฎหมายแรงงาน” เขากล่าวพร้อม
ยื่นซองยาวสีขาวมอบส่งให้แก่ชายกลางคน
    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเองก็คิดจะวางมือเรื่องงานนี้สักพักครับ งั้นผมขอลาไปเลยนะครับ”
เขายื่นมือมารับซองขาวนั้นใส่ลงในกระเป๋าเอกสาร พร้อมกับลุกขึ้นก้มศีรษะทำความเคารพแล้ว
หันหลังก้าวเดินออกจากห้องไป  เมื่อพ้นหน้าบริษัทฯเขาหันมาหยุดยื่นมองเสมือนจะอำลา
บริษัทนี้เริ่มต้นก่อตั้งด้วยเขากับหญิงสาวเจ้าของบริษัทมีเพียงสองคนเท่านั้นที่เริ่มดิ้นรนขนขวาย
จากตึกห้องแถวที่เช่ากันมาจนกิจการรุ่งเรืองค่อยๆขยับขยาย  ไปซื้อเนื้อที่เล็กๆปลูกสร้างขึ้นต่อมา
การค้าด้านต่างประเทศให้ความเชื่อถือ    จนได้รับเอกสิทธิ์เป็นตัวแทนจำหน่ายผู้เดียวในประเทศก็ผัน
เปลี่ยนไปจัดหาเนื้อที่กว้างขวางเป็นไร่จัดการสร้างบริษัทฯและโรงงานจนใหญ่โตการค้าได้รับความ
เจริญรุ่งเรืองมาจนถึงบัดนี้  หญิงสาวพยายามอ้อนวอนเขาให้มีชื่อร่วมด้วยแต่ด้วยความรักที่มีและ
เกรงครหานินทาจากคนในสังคมเขาจึงได้ปฏิเสธความหวังดีนั้นอย่างสิ้นเชิง การวางตัวปฏิบัติมิได้
เย่อหยิ่งเสมอต้นเสมอปลายในความสมถะของเขาแม้แต่รถยนต์ที่เขาพอจะมีปัญญาซื้อหาได้ก็มิได้
สนใจใยดี คงอาศัยรถประจำทางมาทำงานจนผ่านล่วงมา 40 กว่าปีจนหญิงสาวที่เขาเฝ้าหลงรักหันเห
ชีวิตเปลี่ยนไปสู่ในสภาพแวดล้อม แม้กระทั่งลืมคำมั่นสัญญาที่ให้กันไว้เสียสิ้นไปแต่งงานกับหนุ่ม
สังคมมีหน้ามีตาเขาก็ยังไปร่วมในงานแต่งงานด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสอวยพรคู่บ่าวสาว ครั้งนั้น
ยังจำได้ว่าระหว่างการรดน้ำสังข์นั้นเขาเห็นหยาดน้ำตาเล็กๆไหลคลอเบ้าตาหญิงอันเป็นที่รัก  จนเขา
อดเสียมิได้ที่จะเอื้อมมือไปซับหยาดน้ำนั้นด้วยผ้าเช็ดหน้าของเขา ทุกๆวันนี้ผ้าน้อยผืนนี้เขายังเก็บรักษา
ไว้แนบกายเสมอมิได้ขาดหายไปไหนพกติดตัวตลอดเวลา   
       กาลเวลาเปลี่ยนแปลงไปมาสู่ปัจจุบันนี้  คุณธเนศบุตรชายคนเดียวของ คุณยุพดีหญิงที่เขาใฝ่ปอง
เข้ามาดูแลกิจการแทนแม่ของเขาซึ่งบิดาได้เสียชีวิตไปในระหว่างเดินทางไปต่างประเทศ เมื่อเศรษฐกิจ
ผันแปรไปตามจังหวะการเมืองเข้าแทรกซ้อนกิจการก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงของ
คุณธเนศที่หันเหชีวิตเข้าสู่การเมือง บริษัทเริ่มคลอนแคลนแต่ด้วยประสบการณ์ชีวิตของเขาที่ผ่านมา
ทำให้บริษัทมิได้ผันแปรเปลี่ยนไปตามกระแสร์วิถีทาง  เขายืนมองบริษัทด้วยน้ำตาคลอเบ้าพลางพรึ่มพรำ
   “ลาก่อนยุพดี..บริษัทที่รัก”    แล้วหันตัวเดินจากไปในที่สุดท่ามกลางฝูงชนขวักไขว่ไปมา
             บ้านพักน้อยใหญ่ตั้งเรียงรายเหนือเชิงผาริมเนินเขาที่อุดมไปด้วยพฤกษานานาพันธุ์ ไม้ดอกที่ขึ้น
ตามป่าเขาบ้าง ที่ปลูกจัดเป็นบริเวณบ้างสีสันหลายหลากสีส่งกลิ่นหอมวนเวียนด้วยหมู่แมลงต่างๆที่พา
กันไต่ตอมดอกเกสรของหมู่ไม้ เสียงนกต่างๆพากันร้องเซ็งแซ่ เหนือขึ้นไปยังยอดเขาเห็นลิงไต่ตามกิ่ง
ไม้แกว่งตัวไปมา บริเวณกว้างที่รายรอบด้วยบ้านพักต่างๆนั้นเทลาดลงสู่ชายหาดทะเลแลไกลสุดขอบฟ้า
บ้างแลเห็นหมู่เกาะเป็นตะคุ่มๆไม่ห่างไกลมากนัก  มีเรือและสิ่งละเล่นจอดริมชายหาดไว้ให้นักท่องเที่ยว
ใช้เป็นที่สนุกสนานสำราญกัน ทุกๆบ้านอยู่ภายใต้ต้นสนล้อมรอบร่มรื่น เสียงน้ำทะเลซัดสู่ชายหาดเป็น
ระยะๆ  ในยามเย็นพระอาทิตย์ยามอัสดงจะทอดตัวลงยังเหนือน้ำทะเลเป็นจุดมุมมองที่น่าทัศนายิ่ง
มีเหล่าคนงานจำนวนมากกำลังแยกย้ายกันทำความสะอาดบริเวณบ้านพักต่างๆและชายหาดให้ดูสะอาด
ร่างของชายค่อนข้างวัยชราแต่ท่าทางกระฉับกระเฉง ยืนทอดสายตาเหม่อมองท้องทะเลเหนือโขดหินริม
ชายหาดโดดเด่นเดียวดาย  จนกระทั่งร่างชายชราสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเรียกของเด็กสาวที่กำลังวิ่งเข้า
มาหาพลางโอบกอดเอวไว้   
    “แม่เรียกจ๊ะพ่อ ให้หนูมาตามด้วยล่ะ  ”  เด็กสาวอายุราวประมาณ 14-15 ปีกล่าวเร่ง พร้อมดึงมือผู้
เป็นพ่อให้รีบไป
    “มีคนมาขอเช่าบ้านพักจ๊ะพ่อ มากันหลายๆคนด้วยล่ะ”  เด็กสาวกล่าว
    “อ้าว!!! แล้วแม่บ้านล่ะลูกเขาทำไมไม่ต้อนรับล่ะ” ชายมีอายุถามด้วยความสงสัย
    “อ้อ??? เขามาถามคนที่ชื่อฐิตินัย หนูไม่รู้จักบอกกับเขาแล้วว่ามีแต่คนที่ชื่อ ทัศน์นัยจ๊ะ แต่เขาบอกว่า
ไปสำรวจแล้วว่าบ้านพักเหล่านี้เป็นของคุณฐิตินัยแล้วมาเปลี่ยนชื่อภายหลัง หนูก็งง แม่บอกว่าพ่อเคยอยู่
กรุงเทพฯอาจจะเปลี่ยนชื่อเสียงก็ได้ ให้มาตามพ่อดีกว่าจ๊ะ”  เด็กสาวกล่าวด้วยความสงสัย
     “แล้วมันเกี่ยวกับฐิตินัยกันทำไมล่ะหนู จะเช่าก็เช่าไปซิทำไมต้องถามหากันด้วยล่ะ” เขาถามด้วยสงสัย
     “ไม่รู้ซิพ่อ เห็นหญิงกลางคนแต่สวยจริงๆจ๊ะ เขาว่าอยากพบคุณฐิตินัยจ๊ะ” เด็กสาวเบิ่งตาโตตอบ
     ชายกลางคนสะดุ้งแต่รีบปิดอาการมิให้ลูกสาวจับได้ แสร้งทำเป็นหงุดหงิดทันที
      “ยุ่งจริงพวกนี้”   เขากล่าวพลางกอดไหล่ลูกสาวก้าวเดินออกไป  แต่นึกสังหรณ์ในใจหรือว่าจะเป็น
ยุพดี    ใบหน้าของสาวคนรักเก่าในอดีตผุดขึ้นมาทันที รอยยิ้มที่ช่างตราตรึงเสียเหลือเกิน ปากน้อยๆถ้อยเจรจา
ที่เขายากจะลืมเลือนเสียได้ผุดขึ้นในโสตแว่วกังวานมิรู้เลือน   ช่างเถอะบัดนี้มันเปลี่ยนไปเสียแล้ว
ยากจะหวนคืนมาได้อีก  เขาก้าวเดินกลับบ้านพักที่จัดไว้เป็นที่ติดต่อของนักท่องเที่ยวทั้งหลาย
ก็แลเห็นภรรยายืนกวักมือเรียกไหวๆอยู่   หน้าบ้านพักที่ใช้เป็นที่ทำงาน เต็มไปด้วยคนเรียงราย
บ้างยืนบ้างนั่งบ้างกระจายเต็มไปหมด  เขาก้าวมาหน้าห้องรับรองพร้อมด้วยลูกสาว หันไปทักภรรยา
      “อ้าวแม่พัชร  มีอะไรหรือจ๊ะทำไมเขาไม่พอใจอะไรหรือ?”  เขาหันมายิ้มกับหญิงสาวสวยรูปร่างคล้ำอายุ
อานามห่างกับเขาหลายปีนัก
     “บอกเขาแล้วล่ะพ่อ แต่เขายืนกรานว่าขอพบกับคุณฐิตินัยก่อนจะเข้าบ้านพักนะ” หญิงสาวรูปร่างได้สัด
ได้ส่วนสวยงามเพียงแต่ผิวร่างกายดูออกจะคล้ำไปเท่านั้นเอ่ยขึ้น
     “เขาบอกว่า คุณฐิตินัยกับคุณทัศน์นัยนั้นคนๆเดียวกันคือนามสกุล วิริยะกุลเหมือนกันจ๊ะพ่อ” หล่อน
ตอบพร้อมจ้องตาเขม็งมองหน้าเขา
      “ใช่แล้วพัชร พ่อเองนั้นก่อนชื่อฐิตินัยแต่พ่อมาเปลี่ยนเป็นทัศน์นัยเพราะพ่อทิ้งอดีตไปหมดสิ้นแล้ว
ที่ไม่บอกกับแม่นั้นเพราะไม่อยากรื้อฟื้นอดีตเก่าๆอีกจ๊ะ แม่คงไม่โกรธพ่อนะ เพราะตอนนี้พ่อมีเพียงแม่
และลูกเท่านั้นเองจึงลืมชื่อ ฐิตินัยไปตั้งนมนานแล้วจ๊ะ”  เขาหันมากล่าวแล้วเข้าโอบกอดภรรยาไว้
     “ช่างเถอะพ่อ อดีตคือแค่เพียงความฝันเท่านั้นต่างก็มีอดีตกันทั้งสิ้น แม่เองก็ลืมไปหมดสิ้นแล้วเช่นกัน
คงมีพ่อและยายนันท์ เราสามคนเหลือเท่านี้ก็เพียงพอแล้วจริงไหมจ๊ะพ่อ”  หล่อนหันมายิ้มกับสามี
     “จ้า  ชีวิตนี้พี่มอบให้แก่แม่และลูกหมดสิ้นแล้ว ถึงมันจะหวนกลับมาก็เพียงแค่รำลึกกันเท่านั้นมัน
หมดสิ้นจริงๆไปแล้วจ๊ะ ”  เขาหัวเราะเบาๆพร้อมจูบลงบนใบหน้าภรรยา 
      “อิ้วๆๆๆน่าไม่อาย”  ลูกสาวหยิกตรงแขนพ่อเบาๆ แล้วหัวร่อพลางวิ่งเข้าไปข้างในห้องทันที
     “ไปเถอะแม่ พ่อสังหรณ์ใจว่าจะเป็นคนในอดีตที่เคยชอบกันไว้จ๊ะ แม่อย่าหึงนะจ๊ะ อดีตก็คืออดีต
พ่อไม่หวนกลับไปอีกแล้วล่ะจ๊ะ”  เขาตอบพร้อมดึงร่างภรรยาก้าวเดินเข้าไปข้างในด้วยกัน
      ภายในห้องที่จัดไว้ด้วยโต๊ะเก้าอี้รับแขกและ เคาสเตอร์จัดเอกสารที่ยืนไว้ด้วยแม่บ้านที่คอยต้อนรับ
เขาหันไปสอบถามแม่บ้านทันที
      “มีอะไรหรือ พิม?”   หญิงวัยกลางคนหันมายกมือไหว้ พร้อมผายมือกล่าวขึ้นว่า
      “คุณเธอคนนั้น...เขาอยากพบคุณชายเจ้าค่ะ”
    ทันทีที่เขาก้าวเข้ามาพร้อมพัชราและฐิตินันท์  หญิงวัยกลางคนที่นั่งรออยู่ก็เบิ่งตาโต ยกมือขึ้นปิดปาก
เผลอคำอุทานขึ้นทันที
     “คุณนัย !!!  คุณนัยนั่นเอง”  พร้อมลุกขึ้นรีบก้าวเข้ามาหา ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำที่เบ้าตา
  “สวัสดีครับคุณยุพดี  สบายดีไหมครับ ไม่ได้พบกันกันนาน นี่ครับ พัชราภรรยาผม และโน่น ฐิตินันท์
ลูกสาวผมเองครับ”  เขายกมือขึ้นไหว้หญิงวัยกลางคน แล้วหันมาทางภรรยาและลูกสาว ซึ่งยืนมองแต่
ก็รีบหันมายกมือไหว้ด้วยกันทั้งสองคน   เห็นหญิงวัยกลางคนชะงักแล้วหันมาจ้องภรรยาและลูกสาว
เขาด้วยท่าทีเหม่อลอย แต่ก็ยังยกมือไหว้ตอบ
   “สวยทั้งแม่ลูกเลยนะคุณนัย”  หล่อนหันมากล่าวกับเขา
   “ว่าจะมาขออาศัยพักผ่อนสักระยะหนึ่ง ได้ข่าวว่าที่นี่เป็นทำเลที่สวยงามมากติดภูเขาและทะเลร่ำลือไป
ถึงกรุงเทพฯ แหมแต่กว่าจะมาได้นี้ก็ไกลโขนะ นัย ”
    “ครับ...ที่ดินบริเวณนี้เป็นของภรรยาผมทั้งหมดครับ ผมเองเพียงแค่มาปรับปรุงแต่ก่อนเป็นป่าติดชาย
ทะเลครับรกร้าง ผมมาพบเห็นว่าเหมาะแก่การท่องเที่ยวจึงได้ดำเนินแต่ยังไม่ดีเท่าที่ควรนักครับอาจจะ
ไม่สะดวกสบายเหมือนในกรุงเทพฯครับ”  เขากล่าวขึ้น
    “โอ้..ขนาดนี้ก็นับได้ว่าเยี่ยมแล้วล่ะนัย  ยุพฯเองก็เชื่อในความสามารถนัยเสมอ นับว่าโชคดีของคุณพัชร
และนันท์จริงๆนะที่ได้พ่อที่แสนประเสริฐเช่นนี้  ยุพฯเองวาสนาน้อยเหลือเกิน” หล่อนกล่าวด้วยน้ำตานอง
หน้า
      “ช่างเถอะครับอดีตที่ผ่านไปแล้วมันกลับมามิได้อีกแล้ว นอกจากเป็นแค่ความทรงจำอันดีเท่านั้นเอง
แล้วทางบริษัทฯเป็นอย่างไรบ้างคุณยุพดี”
      “ตั้งแต่เจ้าธเนศให้คุณออกจากงาน มิได้บอกกล่าวแก่ยุพฯเลย  ยุพฯเสียใจมากทะเลาะกันใหญ่ แล้วไล่มัน
ออกจากบ้านไป แต่อย่างไรก็สงสารคิดว่าเป็นลูกจึงให้คนไปตามกลับมาแต่ไม่ให้บริหารงานบริษัทอีก
มันขอโทษว่าไม่รู้ว่าคุณกับยุพฯนั้นก่อตั้งบริษัทขึ้นมาจากเราทั้งสองคนไม่มีอะไรจนใหญ่โตได้  อีกทั้งคุณ
บอกมิให้แจ้งแก่เจ้าธเนศไว้ยุพฯก็ทำตามเสมอๆ   เขาไปเล่นการเมืองก็แทบจะหมดตัว ตอนนี้บริษัทเราแย่
มากๆจำต้องปิดบริษัทไว้ชั่วคราว ที่เป็นตัวแทนต่างประเทศเขาก็ขอคืนไปให้คนอื่นทำแทนแล้วล่ะ พึ่งจะ
มาเปิดใหม่ก็ได้ประมาณปีกว่าๆ  นี่นำพนักงานบริษัทมาพักผ่อนและพยายามสืบหาคุณตลอดเวลาจนเจ้า
ธเนศมันสืบให้จึงรู้ว่าคุณเปลี่ยนชื่อแล้วมาทำกิจการอยู่ที่นี่”  หล่อนกล่าวพลางยกมือก้มตัวไหว้ขอโทษ
ต่อเหตุการณ์ทั้งหมด
      “ไม่คิดว่าคุณมาทำกิจการที่นี่ ตอนแรกตั้งใจจะให้คุณกลับไปช่วยบริหารงานบริษัท แต่ว่าตอนนี้เปลี่ยน
ใจเสียแล้วล่ะ”  หล่อนกล่าว
      “อ้าวแล้วคุณธเนศมาด้วยหรือเปล่าล่ะ”  เขาถาม
      “มาจ๊ะแต่ไม่กล้าเข้าหน้าคุณ ว่าตอนค่ำๆจะขับรถมาขอโทษคุณเอง คงอายคุณล่ะมั๊ง”
     “แล้วคุณยุพฯจะมาพักสักกี่วันล่ะครับ ผมจะได้ให้เขาจัดการต้อนรับอย่างเต็มที่”  พร้อมหันไปทาง
ภรรยาและลูกสาวให้เข้ามาพบปะคุยกันด้วย
     เมื่อทั้งหมดเข้าคุยกันและแลกเปลี่ยนสนทนาก็เกิดความสนิทชิดชอบซึ่งกันและกันด้วยอัชฌาสัย
ตลอดคุณยุพดีนั้นเป็นนักธุรกิจย่อมเข้าใจชำนาญในการเจรจายิ่งนักนั่นเอง จนถึงกับมีเสียงหัวเราะต่อ
กระซิกกันอย่างสนุกสนานต่างก็ไม่มีข้อขุ่นข้องหมองใจกันและกัน สร้างความปิติยินดีแก่เขาเป็นอย่างยิ่ง
     “คุณนัย  นี่เป็นรายจ่ายของบริษัทให้คุณและคุณพัชรคิดในอัตราปกตินะ อย่ามีพิศกพิเศษอะไรทั้งสิ้น”
หล่อนหันมากล่าวกับเขา
    “เราไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันนะคุณยุพฯ เอาอย่างนี้ดีกว่าคนล่ะครึ่งทางดีไหมครับ คือว่า ค่าที่พักทั้งหมด
เรางดเก็บยกเว้นค่าอาหารเท่านั้น จะพักกี่วันก็ได้ตามใจคุณ  และวันสุดท้ายขอเป็นวันพิเศษสำหรับผม
และครอบครัวจะจัดเลี้ยงดูให้ทั้งหมดถือว่าผมเองก็ได้มีส่วนช่วยเหลือบริษัทที่เราสองต่างก็ก่อตั้งขึ้นมา
ก็แล้วกันนะครับ  ดีไหมล่ะแม่”  เขากล่าวพร้อมหันมาทางภรรยาเพื่อขอคำตอบ
      “แล้วแต่พ่อซิจ๊ะ แม่ว่า เราควรจะยกเว้นในกรณีพิเศษทั้งหมดไม่ดีกว่าหรือจ๊ะพ่อ”  หญิงสาวกล่าวพร้อม
หันมายิ้มกับเขาและคุณยุพดี
      “อย่าเลยนะแม่พัชร ค่าใช้จ่ายของเด็กๆตั้งหลายคนที่ต้องกินต้องใช้ในการต้อนรับ แค่นี้ก็ถือเป็นบุญคุณ
มากแล้วล่ะ  ถ้าครั้งต่อไปขอให้ดำเนินการตามปกตินะอย่าได้ทำแบบนี้อีก ครั้งนี้ถือว่าเราทั้งหมดต่างพึ่งมา
พบกันจึงยกเว้นไว้นะจ๊ะ”  หล่อนหันมาโอบร่างของพัชราเข้ามากอด พร้อมดึงร่างของนันท์ลูกสาวเขามา
กอดด้วย  ทั้งหมดแสดงความยินดีต่อมิตรไมตรีของกันและกัน
      “นี่พิม...จัดการต้อนรับพวกคุณๆทั้งหมดอย่าให้มีสิ่งขาดตกบกพร่องขึ้นได้นะจ๊ะ ถือว่าเขาทั้งหมด
เป็นญาติๆของเราไว้ด้วยแล้วสั่งพนักงานทุกๆคนด้วยให้อำนวยความสะดวกตลอดจนเรือและเครื่องเล่น
ต่างๆด้วยนะ”  หญิงสาวเจ้าของสถานที่หันมากล่าวแก่แม่บ้านของหล่อน  แม่บ้านซึ่งยืนฟังการสนทนา
ย่อมเข้าใจอะไรๆได้ดี น้อมกายรับคำทันที
       “จ๊ะแม่หญิง” พร้อมทั้งถือเอกสาร ไปหาเหล่าพนักงานและแจ้งให้ทราบว่าสมควรจะพักบ้านหลังใด
    ทุกๆอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยจวบจนถึงวันสุดท้ายของการพักผ่อน ที่ทางเจ้าของสถานที่จัดไว้
ต้อนรับอย่างมโหฬารเกิดขึ้น ณ ริมชายหาด ประดับประดาด้วยโคมไฟหลายหลากสี มีดนตรีที่ถูกจัดขึ้น
ลักษณะแบบพื้นเมืองปนกับดนตรีสมัยใหม่ บรรเลงตั้งแต่หัวค่ำไปจนดึกดื่นเที่ยงคืน ท่ามกลางเสียงน้ำ
ทะเลที่ซัดสู่ชายหาดเคล้าเสียงดนตรีกลมกลืนกัน  พระจันทร์ส่องสว่างกลางท้องฟ้าท่ามกลางดวงดาว
ที่ส่งแสงระยิบระยับ แสงจันทร์เป็นประกายในท้องทะเลที่ส่งเสียงคลื่นค่อยๆทยอยเข้ากระทบฝั่ง
 ทุกๆคนต่างรื่นเริงบันเทิงใจ  ออกไปเต้นรำกันบ้างร้องเพลงกันตามคนหนุ่มๆสาวๆเป็นที่สนุกสนาน
 คุณธเนศเข้ามากราบที่ตักของเขาพร้อมกล่าวคำขอโทษผิดทั้งปวงที่ได้ล่วงกระทำโดยไม่รู้มาก่อนพึ่งจะมา
ทราบภายหลังจากคุณแม่พร้อมฝากเนื้อฝากตัวซักถามปัญหาต่างๆเพื่อกลับไปแก้ไขดัดแปลงเมื่อกลับไป
จะนำไปใช้กับทางบริษัทอีกครั้งหนึ่ง  ด้วยเห็นการบริหารงานของสถานที่นี้ได้ถูกจัดขึ้นเป็นระบบตลอด
จนพนักงานทุกๆคนต่างขยันหมั่นเพียรอ่อนน้อมยิ่ง ยากนักที่จะสร้างสิ่งนี้ได้โดยง่ายอีกทั้งสถานที่ก็ถูก
จัดการอย่างยอดเยี่ยม นอกจากนักบริหารชั้นโปรฯเท่านั้นที่ถึงจะดำเนินการเช่นนี้ได้  เขารู้สึกทึ่งและเกิดความ
เสียดายยิ่งนักที่ได้คนมีฝีมือเช่นนี้ไว้แต่หาได้รู้จักถึงคุณค่ากลับหลงงมงายปล่อยปะละเลยด้วยความ
เย่อหยิ่งหลงในสิ่งที่ป้อยอจนขาดความคิดอ่านรอบคอบไป  ซึ่งทางฐิตินัยเองก็หาได้ถือสาความใดๆไม่ตาม
นิสัยของตนกลับแนะนำบางสิ่งบางอย่างที่ประสบการณ์รอบรู้ให้แก่คุณธเนศจนหมดสิ้น เพียงแค่กำชับ
ไว้ข้อหนึ่งว่า “ให้รู้เขารู้เรา รู้จักประมาณตัวเอง หมั่นศึกษาตรวจสอบทั้งก่อนทำและหลังทำไปแล้ว
ค้นหาแนวทางต่างๆอย่าได้หยุดชะงักให้ทันสมัยอยู่เสมออย่าหลงแก่ตัวเองเป็นอันขาด 
หาทางหนีทีไล่หลบหลีกปัญหาที่จะมาในภายหน้าเพื่อใช้เป็นวิถีทางในการดำเนินกิจการต่อไป
เป็นสำคัญยิ่ง”  ซึ่งคุณธเนศก็รับฟังและให้สัญญาต่อหน้าแม่ของเรา คุณธเนศยังกล่าวว่าจะขอน้องสาว
ไปร่วมทำงานด้วย  เขาได้แต่อมยิ้มบอกให้โตเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ก่อนแล้วจะค่อยพิจารณาอีกที อีกทั้งงาน
ทางด้านนี้เขาเองก็ชรามากแล้วอยากให้ลูกสาวมาช่วยดูแลปกครองจะหาความสบายในบั้นปลายชีวิตกับ
คุณพัชราเสียมากกว่า   ส่วนคุณยุพดีก็กล่าวว่าหากทุกๆอย่างเรียบร้อยแล้วอยากจะมาขอพักอาศัยที่นี่
ด้วยคนและจะขอปลูกบ้านเล็กๆไว้ที่ริมเขาเพื่อใช้ชีวิตตอนบั้นปลายศึกษาธรรมไว้ด้วย ขอความเห็นว่า
จะสมควรหรือไม่   เขาและภรรยาก็ยิ้มต่างบอกว่ายินดีเสมอ เมื่อกาลเวลานั้นมาถึงเราต่างก็จะทิ้งชีวิต
บั้นปลายหนีทางโลกทิ้งไว้   ต่างก็จะพากันขึ้นเขาไปหาสถานที่เงียบสงัดอยู่กัน ทั้งหมดก็พากันหัวร่อ
และให้สัญญากันไว้ จวบจนดึกดื่นได้เวลาพักผ่อน ต่างก็ทยอยกันเข้านอน ยกเว้นเขาและภรรยาต่างพา
กันเดินไปยังริมชายหาดทั้งสองกอดเอวหันหน้าเข้าหากันยิ้มต่อกัน เขาค่อยๆบรรจงก้มลงจูบภรรยา
อันเป็นสุดที่รัก ถึงแม้ว่าจะต่างวัยกันและความรักศรัทธาซึ่งกันและกันหาได้มีอุปสรรคใดจะมาขวางกั้น
แต่หนทางนี้ได้   จวบพระจันทร์จะลับสู่ขอบฟ้าแต่เขาทั้งสองยังนั่งเคียงคู่มองท้องฟ้าและทะเลรับลมโชย
พัดมาปล่อยอารมณ์ท่องเที่ยวไปด้วยกันตราบนานแสนนาน.ฯ

                                                            ***   แก้วประเสริฐ.   ***
				
10 ธันวาคม 2549 07:31 น.

** ทัศยุราชันย์(เสวยสวรรค์ราชสมบัตินาครินทนาคร) (จบบริบูรณ์) **

แก้วประเสริฐ


                                                บทที่ ๓๒
                               เสวยสวรรค์ราชสมบัตินาครินทนาคร

ว่าเอ็งห้ามเปิดโดยเด็ดขาดหากข้าคนของข้ายังไม่ไป  ยกเว้นเข้าและป้าตลอดคน
ทั้งหลายของข้าได้กลับไปแล้ว นั่นแหละเอ็งถึงจะเปิดดูสิ่งของภายในได้ อย่าลืมเสียล่ะ”
พระองค์ทรงรับสั่งกำชับไอ้เจนไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะ   เมื่อไอ้เจนรับสิ่งของมาแล้วก็ชักชวน
ให้พระองค์และเจ้าหญิงกับทหารทั้งหลายให้มาร่วมกันกินข้าวด้วยกัน
  แต่พระองค์ทรงปฏิเสธบอกว่าจะกลับแล้ว  ไม่ต้องห่วงในเรื่องเหล่านี้ 
ทางฝ่ายไอ้เจนและไอ้จ้อยตลอดลูกสะใภ้นึกว่าพระองค์จะเดินทางกลับกรุงเทพ
        “ อ้าวปู่จะไม่ค้างคืนก่อนหรือ  รถเข้ากรุงเทพไม่มีแล้วหมดเวลามันแล้ว
ต้องคอยเป็นพรุ่งนี้ตอนสายๆถึงจะมีรถออกจากหมู่บ้านไปที่ท่ารถต่อเข้ากรุงเทพจ๊ะ 
 หากปู่และป้าจะกลับจริงๆ   ข้าก็จะไปหาเพื่อให้มันเอารถของมันออกมารับ
ไปส่งปู่ที่ท่ารถให้จ๊ะ”
   องค์ทัศยุราชันย์ทรงพระสรวล แล้วทรงตรัสว่า
           “ไม่เป็นหรอกไอ้เจนเอ๋ย  ปู่มาได้ก็กลับได้   แต่อย่าลืมล่ะดูแลพ่อเอ็ง
ให้ดีๆนะปู่เป็นห่วงมันมากเลี้ยงดูมันตั้งแต่นอนแบเบาะ ตอนนี้ไม่มีเวลามาดูแล
ไม่ใช่ลูกก็เหมือนลูก แม่มันทิ้งไปตั้งแต่เล็กๆ พ่อมันก็หายสาบสูญไปตั้งนมนาน
ไม่ได้ข่าวคราวเลยป่านนี้คงจะตายไปแล้วล่ะ เออเอ็งเป็นหูเป็นตาแทนปู่ด้วยนะ
  เพราะปู่ต้องไปไกลมากพวกเอ็งไปหาไม่ได้หรอกแล้วก็ไปไม่ได้เสียด้วย”  
 แล้วพระองค์ทรงหันมาทางไอ้จ้อยพลางตรัสขึ้นว่า
           “ไอ้จ้อย  ในห่อนั้นมีสมุนไพรให้มึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ให้เอามาเล็กน้อย
มาฝนกับน้ำค้าง  เอ็งควรรองเก็บเอาไว้ใช้ในคราวจำเป็น แล้วเอามากิน  
 ห้ามนำมาใช้สุ่มสี่สุ่มห้านะหมดไปก็หาไม่ได้อีกแล้ว ส่วนของที่มอบให้
เอาไปแลกมาเลี้ยงชีพให้หลานๆมันจะได้ดีกว่าเป็นอยู่นี้
        นี่ก็ได้เวลาแล้วที่ข้าควรต้องไป  ไม่รู้ว่าจะมาเยี่ยมเอ็งได้อีกหรือเปล่านะ
 คิดถึงข้าก็เอาของที่ข้าให้ไว้มีบางอย่างไม่ต้องเอาไปขาย   เพราะเป็นของสำคัญ 
เก็บไว้คุ้มครองป้องกันเอ็งและลูกหลานจะไม่มีอันตรายมากล้ำกรายเอ็งได้ 
 เพียงเอ็งเก็บไว้ในที่สูงๆก็จะคุ้มครองได้แล้วหากเวลาจะออกนอกบ้าน
ให้บอกกล่าวกับเขาก็พอเขาก็จะคอยปกป้องเอ็งและลูกหลาน  อย่าลืมจำคำของข้าล่ะ”
  พระองค์ทรงตรัสสั่งกำชับ
          “จ๊ะลุง เพียงเป็นของลุง ไอ้จ้อยก็ชื่นใจแล้วจะเก็บรักษาไว้” แล้วหันไปทางลูกแก
“ส่วน มึงก็เหมือนกันไอ้เจนหากกูยังไม่ตายมึงห้ามขายของปู่มึงโดยเด็ดขาด” 
พร้อมกล่าวแล้วไอ้จ้อยก็ก้มลงกราบองค์ทัศยุราชันย์ทันที
ด้วยความรักและเคารพยิ่ง  อาการสั่นเทาไปตามร่างกาย พระองค์ทรงตรัสว่า
           “เมื่อข้ากลับไปแล้วไอ้จ้อยมึงก็เอาสมุนไพรที่กูให้ไว้
มากินสักแค่องคุลีนิ้วแล้วกลืนกับน้ำลายมึงก็ได้   อย่าลืมคำกูเสียล่ะ”
           “จ๊ะลุง  ลุงสั่งอย่างไรไอ้จ้อยเชื่อฟังหมดจ๊ะ” 
 ชายชรากล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ
            “อ้อๆ  ของอื่นๆขายได้นะไอ้เจน ยกเว้นมีของสิ่งหนึ่งซึ่งผิดแผก
ไม่เหมือนของอื่นๆทั้งสิ้น   แล้วมึงก็จะเห็นเองแหละส่วนอื่นๆขายเอามาใช้เลี้ยงดูกัน
  อีกชิ้นมึงเก็บไว้ในที่สูงจะได้คุ้มครองปกป้องภัยให้แก่พวกมึง
 อย่าลืมเสียล่ะ แล้วสมุนไพรนั้นก็ให้เก็บรักษาไว้ให้ดีมันไม่มีวันสลาย
ไปหรอก เวลาลูกหลานเป็นอะไรให้ใช้ฝนกับน้ำค้างเท่านั้นกินก็จะหายเจ็บไข้
รักษาได้สารพัดโรคนะมึง พอกูไปแล้วไอ้เจนเอาให้พ่อมึงกินด้วยตามที่สั่งไว้”  
 พระองค์กำชับกลัวลืม
             ครั้นได้เวลาพอสมควร พระองค์ก่อนที่จะกลับให้นึกสงสารไอ้เจนพลางหัน
ไปทางไอ้เจนและเมียมัน   เรียกให้เข้ามาใกล้ๆ  แล้วพระองค์ทรงหลับพระเนตร
ตบลงบนศีรษะทั้งสองเบาๆทันที   ปรากฏร่างกายหญิงชายพากันสะดุ้งสุดตัว
ทำให้ไอ้เจนและอีกสร้อยมีความรู้สึกว่าร่างกายช่างเบาหวิวและก่อเกิด
พลังอย่างหนึ่งแผ่ซ่านไปทั่วๆรอบร่างกายความอ่อนล้าอันตรธานหายสิ้น
สายตารู้สึกว่าสว่างไสวผิดปกติขึ้นมาในทันที  ทั้งสองรีบก้มลงกราบปู่
ด้วยความเคารพยิ่ง พลางคิดว่าปู่นี้คงจะมีวิชาอาคมมอบให้แน่นอนมิฉะนั้น
ร่างกายของตนคงไม่รู้สึกเกิดผิดปกตินี้ขึ้นได้    ครั้นแล้วพระองค์ทรงหัน
ไปทางไอ้จ้อย  พลางลูบศีรษะเบาๆกล่าวคำอวยพรให้อยู่เย็นเป็นสุข
อายุมั่นขวัญยืน จงพ้นจากเจ็บไข้ได้ป่วยโรคภัยทั้งสิ้น  ไอ้จ้อยร้องไห้ทันที
เมื่อรู้ว่าลุงที่มันรักเคารพมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยจะต้องจากไปอีกครั้งแล้ว
        น้ำตาชายแก่หลั่งไหลมิหยุดสิ้น สะอึกสะอื้นตลอดเวลาตรงเข้ากอดรัด
องค์ทัศยุราชันย์มิยอมปล่อยวาง  จนพระองค์ต้องเกาะมือออกแล้วทรงตรัสว่า
        “จ้อยเอ๋ยสิ่งใดได้มา สิ่งนั้นย่อมหลุดสิ้นสลายไปตามกาลเวลานะจ้อย
สิ่งทั้งหลายมิได้จีรังยั่งยืนหรอก มันเป็นวัฏฏะจักรเวรกรรมของมนุษย์เรา 
เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ตั้งอยู่ เมื่อตั้งอยู่แล้วก็ต้องเปลี่ยนแปลง เมื่อเปลี่ยนแปลงแล้ว
ก็สิ้นสลายไปทุกรูปหมู่นามหรอก หาได้เป็นอมตะไปสิ้นเว้นไว้แต่สามารถ
สร้างในสิ่งบางอย่างเพื่อคุ้มครองหลุดพ้นจากกิเลสของมนุษย์แล้วเท่านั้น
ถึงจะสามารถเอาตัวรอดพ้นจากเวรกรรมนี้ได้ มันเป็นอนิจจัง ทุกขังและ
อนัตตาตามคำพระดำรัสขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกรูปทุกนามแหละ
         ฉะนั้นเอ็งจงละเสียวางเสียในสิ่งที่ควรวางอย่าได้เกิดความคิดไปในทาง
โลภ โกรธ หลง  พะวงอยู่ในหมู่ตัณหาที่มันรบกวนจิตใจของเอ็งทุกๆเสี้ยววินาที
มิยอมให้จิตเอ็งพักผ่อนรวมตัวกันได้  หากเอ็งเชื่อข้าจงหมั่นประกอบความดี
สร้างแต่ในทางผลบุญทานละเว้นในทางโลภได้ประการหนึ่งจิตเอ็งก็จะผ่อน
คลายลงได้บ้าง  หมั่นถือศีลภาวนาเพื่อชำระล้างจิตที่เอ็งประกอบเอาไว้จะได้
ผ่อนคลายลงเสียบ้าง  แต่ข้าเลี้ยงเอ็งมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยย่อมเข้าใจจิตเอ็งได้ดี
เห็นว่าเอ็งนั้นจิตใจผ่องใสยิ่งนักสะอาดบริสุทธิ์จะมีบ้างก็เพียงแค่เศษธุลีผง
หากมาดแม้นเอ็งทำตามที่ข้าสั่งไว้ ไม่ช้าหรอกเอ็งจะพบทางสุขคติที่สมควร
ไปแล้วบางทีเอ็งอาจจะได้ไปอยู่รวมกับข้าก็ได้  เอ็งจำคำของข้าไว้ให้ดีนะ
หากทำตามที่ข้าสั่งนี้  ข้าคิดว่าไม่ช้าไม่นานหรอกเอ็งคงได้ไปอยู่รวมกับข้า
ตามที่เอ็ง พึงปรารถนาทุกประการแล้วพระองค์ก็ทรงตบเบาเตือนสติมิให้
ชายชราที่กำลังสะอื้นร่ำไห้ อยู่   ครั้นชายชราได้รับฟังคำกล่าวทั้งหมดก็
ให้รู้สึกซาบซ่านผ่านเข้าสู่จิตใจทันที ให้รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจอย่างไรพิกล
รำลึกนึกถึงคำสั่งสอนให้ไว้จดจำมิให้ตกหล่นหายไปไหนเสียได้  ครั้นเมื่อได้
เวลา  องค์ท่านท้าวทัศยุราชันย์ก็ทรงลุกพระวรกายยืนขึ้น ทรงหันไปยิ้มกับ
เจ้าหญิงทั้งสามแล้วออกทอดพระบาทล่วงหน้าติดตามด้วยเจ้าหญิงและ
เหล่าทหารหญิงทั้งหมดก้าวพ้นออกจากอาณาเขตบ้านทันที  พอพ้นสายตา
ก็ทรงคืนร่างพระวรกายคืนกลับเป็นองค์ทัศยุราชันย์และเจ้าหญิงทั้งสามพร้อม
ด้วยเหล่าทหารหญิงพากันเหาะกลับไปยังนาครินทนาครทันที
              ครั้นองค์ทัศยุราชันย์พร้อมด้วยเจ้าหญิงและเหล่าบริวารกับไปแล้ว
นายเจนก็แก้ห่อผ้าดูสิ่งของที่ปู่มอบหมายเพื่อจะเอาสมุนไพรมาให้พ่อได้กิน
ทุกๆคนก็ตกตะลึงพึงเพริศไปตามๆกัน เพราะสิ่งของนอกจากสมุนไพร
ซึ่งไม่เคยพบเห็นในดินแดนแถบนี้แล้ว ก็ประกอบไปด้วยเพชรนิลจินดามณี
ต่างๆส่งประกายสดใสแวววาวตลอดจนทองคำเป็นแท่งๆเหลืองอร่าม
มากมายนักจัดเรียงไว้เป็นระเบียบมิได้ปะปนกันโดยแยกเป็นสัดส่วน 
มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนและแปลกกว่าใดๆทั้งสิ้นส่งแสงประกายเจิดจ้า
สว่างไสวไปทั้งบริเวณ เป็นรูปดาวเจ็ดแฉกปลายของดาวนี้เป็นรูปดาว
ดวงเล็กทั้งเจ็ดมุมตรงกลางเป็นดาวขนาดใหญ่มีวงกลมภายในดาวเห็น
เป็นรูปสัตว์ต่างๆผิดแผกกับสัตว์ที่เคยเห็นมาคล้ายๆคชสีห์ ราชสีห์
 หงส์ทอง พระยานาค วานร ปักษียักษ์ และบรรดาอาวุธต่างๆเล็กๆกำลัง
ลอยละล่องในหมู่เมฆหมุนเวียนสลับเปลี่ยนเวียนวนไปมาภายในรูปวงกลม
วัตถุนี้มีฐานทองคำประดับด้วยเพชรนิลจินดาเป็นประกายวูบวาบเรืองรอง
รองรับวัตถุนี้ไว้ลวดลายช่างสวยงามวิจิตรตระการตายิ่งนัก สิ่งนี่เองที่ปู่ทัด
คงจะแจ้งไว้  ทั้งหมดพลางยกขึ้นจบเหนือหัวทันที ปรากฏเหตุพิสดารเกิด
ขึ้นทันทีมีกระแสคล้ายประกายไฟฟ้าพุ่งเข้าสู่ร่างจนสะท้านไปทั่วทั้งสาม
ที่ต่างได้ยกขึ้นไว้บนศีรษะ ด้วยความศรัทธาพลางก้มลงกราบสิ่งนี้ทันที
 ไอ้เจนก็รีบนำเอาสมุนไพรมาหักตามที่ปู่ทัดสั่งไว้ส่งให้พ่อจ้อยกิน  พอตัว
ยาตกลงสู่ท้องนายจ้อยก็เกิดอาการสะท้านไปทั่วร่างกระตุกไปมาทั่วตัว
จนไอ้เจนและอีสร้อยพากันตระหนกตกใจร้องกันลั่น  แต่สักครู่หนึ่งร่าง
ของพ่อจ้อยก็ค่อยๆผ่อนคลายลง  อาการที่เกิดขึ้นสร้างสิ่งมหัศจรรย์แทบ
ไม่น่าเชื่อร่างของพ่อที่เคยโก่งงอคุ้มตลอดเวลากับยึดร่างตรงได้ราวอัศจรรย์
พลางสะบัดแขนขาได้คล่องแคล่วว่องไว้กับราวมีพลังหนุนเสริมดังคนหนุ่ม
ก็มิปาน  ทำเอาไอ้จ้อยและภรรยาพากันตาเบิกค้างงวยงงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
สำเนียงพ่อที่กล่าวก็แปรเปลี่ยนสิ้นเชิงกลับเหมือนสำเนียงของคนวัยกลางคน
มิได้สั่นเครือเหมือนแต่ครั้งเก่าก่อน   พลางได้ยินพ่อจ้อยคอย พร่ำรำพันเสียงดัง
        “ลุงกูเป็นเทวดาแน่เลยไอ้เจนอีสร้อย หากมิฉะนั้นร่างกูคงจะไม่เป็นดังนี้”
พร้อมส่งเสียงหัวร่อด้วยความยินดี  มึงไอ้เจนไปดูซิว่าลุงกูไปถึงไหนแล้ว
ไอ้เจนได้ฟังดูก็อยากรู้ความวิ่งหายไปสักพักกลับมาด้วยเหงื่อท่วมตัวพลางพูดว่า
         “ไม่รู้ปู่หายไปไหนแล้วไม่มีร่องรอยเหลือไว้เลยจ๊ะ “ ไอ้เจนรายงาน
         “นั่นซิกูก็ต้องว่าอย่างนั้นมิฉะนั้นกูคงไม่เป็นอย่างนี้แน่เลย แล้วมึงมันก็เคย
เป็นพรานเก่าถิ่นทางแถวนี้ชำนาญยิ่งการแกะรอยแล้วกูเชื่อมึง” พ่อเฒ่ากล่าว
          “กูเองก่อนก็สงสัยอยู่เชียว รูปร่างปู่เอ็งมันช่างมีราศีผิดคนธรรมดาถึงจะ
แต่งตัวเหมือนแบบพวกเราแต่ก็มิอาจปิดบังราศีได้ “ชายชรารำพึงพร้อมก้มลงกราบ
ชายหนุ่มหญิงสาวเห็นก็ทำตามทันที  ตั้งแต่นั้นมานายจ้อยก็หมั่นทำบุญรักษาศีล
นั่งภาวนาทำสมาธิไหว้พระสวดมนต์แผ่กุศลให้กับลุงและป้าและสัตว์อื่นๆมิได้ขาด
ด้วยเชื่อคำสั่งเสียของลุงอย่างยึดมั่นถือมั่นแม้แต่ลูกแกและลูกสะใภ้ก็ปฏิบัติเยี่ยงแก
เลิกทำความชั่วทั้งปวงประพฤติตนอยู่ในศีลห้าอย่างเคร่งครัด   ช่วยเหลือเผื่อแผ่
ให้ทานคนด้อยกว่า ขยันหมั่นเพียรสร้างแต่ความดีใช้จ่ายสินทรัพย์ ในทางอดออม
ขวนขวายหาสินทรัพย์ในทางสุจริตจนเกิดความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง ร่ำรวยทันตาเห็น
โดยที่มิได้เกี่ยวกับสิ่งของที่ให้ไว้แต่ประการใด  ต่างถือว่าเป็นของที่เทพยาดานำมาให้
 คงเฝ้าเก็บรักษาไว้บูชาทุกๆวันมิได้ขาด  เพียงแต่คำนึงถึงว่าจะได้มีโอกาสไปพบลุง
กับปู่ดังที่เคยพบเห็นมาแล้วและต่างเล่าให้ลูกๆหลานๆฟังเป็นตำนานมาตราบเท่าทุกวันนี้
           เมื่อท่านท้าวองค์ทัศยุราชันย์และพระองค์หญิงดาริกาเจ้าหญิงมณีกานต์และเจ้าหญิง
ปทุมวดีพร้อมเหล่าทหารหญิงครั้นเสด็จถึงยังพระนครเรียบร้อยแล้วก็ทรงประกาศแต่งตั้ง
เจ้าหญิงดาริกาเป็นพระอัครมเหสีฝ่ายขวา เจ้าหญิงมณีกานต์เป็นพระอัครมเหสีฝ่ายซ้าย
 เจ้าหญิงปทุมวดีเป็นพระอัครชายา  และท่านมหาราชครูสิริปัญญาเป็นพระชนกนาถ 
โดยประกาศแต่งตั้งอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่งตลอดจนทรงเฉลิมฉลองสมโภชงานนี้
อย่างมโหฬาร มีแขกต่างเมืองมากันมากมาย ดั่งพระยุพราชสิงหะฤทธากับเจ้าหญิงเฌอมาลย์
พระมเหสีในพระองค์  พระยุพราชโกเมศกุมารกับเจ้าหญิงอรุณรัศมีพระมเหสีในพระองค์
พระยุพราชวานนรินทร์กับเจ้าหญิงอุทัยเทวีพระมเหสีในพระองค์ เจ้าชายอหิงสากุมารทรงขึ้น
เป็นกษัตริย์แห่งเมืองอหิงสากะนคร เจ้าชายนิละกาสูรย์ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งเมืองกาฬคีรีนคร
ต่างเป็นพระสหายรักขององค์ท้าวทัศยุราชันย์ และเจ้าเมืองทั้งหลายต่างๆ  ส่วนเจ้าหญิงทั้งหมด
ทรงจับกลุ่มสนทนากันอย่างมีความสุขเกษมสำราญยิ่งนัก ส่วนเจ้าชายทั้งยุพราชและกษัตริย์ต่าง
สนทนาวิสาสะล้วนถูกพระอัชฌาสัยกันถึงกับทรงพระสรวลเกษมสำราญเป็นที่ครื้นเครง
กระเซ้าเย้าแหย่ถึงเจ้าหญิงต่างๆอย่างสนุกสนานพระราชหฤทัยจนไม่อยากจะลาจากกัน
          เมื่อสิ้นสุดงานเฉลิมฉลอง   ต่างพระองค์ก็ทรงทูลลาท่านท้าวเธอเสด็จกลับพระนครไป
องค์ท่านท้าวทัศยุราชันย์ก็ทรงมั่นคงต่อเจ้าหญิงทั้งสามยิ่งนักมิได้ใฝ่หาหญิงใดๆมาเป็นพระชายา
และพระสนมอื่นอีกแต่ประการใดก็หาไม่  ล้วนทรงหมั่นดูแลเพียรเฝ้าปกครองเหล่าอาณาเขต
ชาวอาณาประชาราษฎร์ให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข  ปราศจากภัยพิบัติทั้งปวงเป็นที่พระเกษมสำราญ
พระราชหฤทัยองค์ทัศยุราชันย์และเจ้าหญิงทั้งสามพระองค์อย่างยิ่ง  ทรงบังเกิดพระราชบุตร
พระราชธิดากับทุกๆพระองค์หญิง  ทรงพระร่วมทุกข์ร่วมสุขกันไปตราบพระชนม์ชีพนิจนิรันดรฯ

                                         “  จบบริบูรณ์  ”

        บทส่งท้าย.....สิ่งที่บังเกิดเป็นความโลภ  ความโกรธ และความหลง  อันซึ่งเป็นสิ่งที่
ไม่บังควรจะได้หากได้มาโดยมิชอบด้วยเหตุใดๆ   หรืออาจได้มาเองนั้นย่อมทำให้เป็น
ที่เดือดเนื้อร้อนใจไม่มีวันสิ้นสุดเกิดขึ้นได้   สิ่งนั้นย่อมผันแปรเปลี่ยนไปมิเกิดสันติสุข
ดูดั่งท่านท้าวนิลกาฬและเหล่ากษัตริย์บางนคร  ซึ่งพระองค์มีพร้อมในทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง
ทั้ง ยศถาบรรดาศักดิ์ เกียรติยศชื่อเสียงตลอดจนอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากมาย ไพร่พลมาก
ยากยิ่งจะหาผู้ใดทัดเทียมได้ เป็นที่เกรงกลัวของเหล่าแว่นแคว้นอาณาเขตต่างๆ
         แต่ด้วยเพียงแค่เกิดความโลภในสิ่งอันมิควรจะได้มาจนต้องเกิดความเดือดร้อนระทม
ทุกข์หาความสุขมิได้ตลอดเวลาแล้วยังต้องเส้นสังเวยสิ้นชีวิตตกตายไป  มิสมดังเจตนารมณ์
จนต้องสูญสิ้นเกือบทุกๆอย่างไป   แล้วเหตุไฉนใยพวกเราล่ะจะประพฤติปฏิบัติตนอย่างไร 
เพื่อใช้เป็นหลักเข้ายึดเหนี่ยวจิตใจไว้เพื่อให้พ้นจากความโลภ โกรธ และหลงนี้  เพียงพอแล้ว
หรือที่จะปล่อยชีวิตในการดำรงชีพอยู่นี้ให้ล่องลอยไปในกระแสกรรมนั้นๆ  จะหาอะไรบ้างละ
ให้เพียงพอที่จะใช้ยึดมั่นเป็นหลักค้ำประกันแก่พวกเราได้บ้างดั่งเทพนิยายเรื่องนี้
      ขอได้โปรดมีสติพิจารณาไตร่ตรองให้ดี  ดั่งตัวละครในเรื่องนี้ที่ใช้ชีวิตโลดแล่นไปตาม
อำเภอน้ำใจของแต่ละตัวละคร หลงใหลในสิ่งที่กล่าวมานี้บ้าง หยุดยั้งเพียงพอบ้าง
อัน “เทพนิยาย” เรื่องนี้ข้าพเจ้ามาดแม้นมิได้สอดแทรกไว้มากนัก เพียงให้คิดเองเพื่อเน้น
เนื้อหาสาระรสชาติของเนื้อเรื่อง แค่ให้สนุกเพลิดเพลินบันเทิงใจเท่านั้น เพียงแค่ปรารถนา
ให้ผู้อ่านทุกๆคนได้สนุกสนานไตร่ตรองขบคิดกันเอาเอง  ไม่ต้องการให้คิดมากมายอะไรนัก
 ย่อมต้องขาดตกบกพร่องบางสิ่งบางอย่างไปบ้าง  ด้วยรวบรัดเนื้อเรื่องมากเกินไปให้กะทัดรัด
 เน้นเนื้อหาสาระมิได้เน้นเนื้อหาคำพูดแต่ประการใดไม่
       ฉะนั้นจึงมีสิ่งที่ขาดตกบกพร่องเกิดขึ้นได้ เพราะเนื้อหาคำพูดแล้วย่อมสามารถสอดแทรก
บางสิ่งบางอย่างได้อย่างมากมาย     กรณีนี้ผู้เขียนเอง ก็รู้เพียงแค่เล็กๆน้อยๆดุจปลาเล็กปลาน้อย
ปลาซิวปลาสร้อยในกระชัง  หาสามารถจับปลาใหญ่ในแม่น้ำท้องทะเลมหาสมุทรอย่างไรได้
ยิ่งกริ่งเกรงกลัวจะทำให้เกิดความผิดพลาดมากยิ่งขึ้น  เนื่องจากเป็นแค่ความคิดจินตนาจิตตัวเอง
      อีกประการหนึ่งเรื่องนี้ที่จริงแล้วควรจะเป็นเนื้อเรื่องที่ยาวมากไม่เหมาะกับคอลัมน์ที่ว่า
เป็นเรื่องสั้นหากจะคิดแต่งเขียนขึ้นมากกว่านี้อีกก็เกรงใจเจ้าของคอลัมน์นี้จะเกลียดชังว่ากล่าวได้
 จึงคิดเพียงแค่รวบรัดเท่าที่ข้าพเจ้าจะทำได้  หากมีกรณีใดที่ผิดพลาดเกิดขึ้นในเรื่องราวเหล่านี้
จำต้องขออภัยไว้ใน ณ ที่นี้ด้วย    งานเขียนนี้ก่อเกิดจากเรื่องสั้นๆก่อนแล้วค่อยมาเป็นเรื่องยาวๆ
ในเทพนิยายนี้    จึงได้ทดลองเขียนดูเพราะเห็นว่ามีผู้เข้ามาอ่านชมดูพอประมาณ   เมื่อเขียนขึ้นแล้ว
ครั้นจะวางมือเสียไปทำงานด้านอื่นก็เกิดความเสียดายในความคิดอ่าน จึงต้องทนๆเขียนให้จบเรื่อง
        ซึ่งชื่อ*ทัศยุราชันย์*เทพนิยายเรื่องนี้  ข้าพเจ้าตั้งใจไว้ในชื่อนี้แล้วตั้งแต่ ครั้งแรก   เพียงเพื่อ
ข้าพเจ้าทดลองใช้ชื่อเรื่องว่า *เธออยู่ไหน* เพราะเป็นความฝันของหนุ่ม ทัด ทัดบ้านป่าก่อน
ต่อมาได้ดัดแปลงเปลี่ยนไปตามเนื้อหาของเรื่องนี้จนเหมาะสมกว่าชื่อเดิม   จึงได้เปลี่ยนชื่อถาวร
       ทัศยุราชันย์เทพนิยายเป็นการเขียนเรื่องแรกในชีวิตของข้าพเจ้าที่ได้ทดลองขึ้นตามจินตนาการ
ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างนั้นล้วนแล้วแต่ก่อเกิดสร้างสรรค์ขึ้นจากภายในใจของข้าพเจ้าทั้งสิ้นมิมีอื่นใด
 แม้แต่ชื่อของตัวละครจะมีบ้างแต่ได้เกริ่นขออนุญาตไว้แล้วนอกนั้นข้าพเจ้าตั้งขึ้นเองประดิษฐ์ค้น
คิดตามสถานการณ์ในเนื้อเรื่องเป็นหลักสำคัญ  แต่ก็พยายามอย่างยิ่งมิให้ซ้ำกับชื่อของบุคคลใดๆ
อาจจะมีบ้างคิดว่าคงจะมีเล็กๆน้อยๆเท่านั้นที่ผู้เขียนคาดคิดมิถึง ผู้อ่านก็มิได้ทักท้วงติงประการใด 
         หากเกิดซ้ำก็ขอกราบประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าด้วย  ที่ได้จาบจ้วงโดยมิได้มีเจตนาจะลบหลู่หรือ
กระทำการอันใดๆให้บังเกิดความเสียหายเกิดขึ้นแก่ท่านทั้งหลายได้
       ขอขอบพระคุณทุกๆท่านที่ได้ผ่านอ่านชมดูผลงานของข้าพเจ้า  หากมาดแม้นมีสิ่งใดผิดพลาด
สามารถมาติชมได้ทุกประการ  กรุณาแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบด้วยจักเป็นพระคุณยิ่ง  
       ด้วยความเคารพนับถืออย่างยิ่งขอรับทุกๆท่าน      ขอบคุณ...สวัสดีครับ. 
                                                
                                                   ***   แก้วประเสริฐ.  ***
                                        เขียนเรื่องจบ เมื่อ  ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๙
                                                        เวลา  ๑๖.๐๐ นาฬิกา.
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ