14 สิงหาคม 2549 17:37 น.

** ภาพชีวิต **

แก้วประเสริฐ


                              **  ภาพชีวิต  **

                     สกาวพร่างกระจ่างไว้ในราวฟ้า
                 ห้วงนภาเปรียบไปคล้ายภาพฝัน
                 สะท้อนจิตคิดถึงอดีตพลัน
                 เหมือนรักฉันเจิดจ้ามาต๊องแต่ง.

       ติ๊กต๊อก...ติ๊กต๊อก..เร็วๆตื่นๆๆ  เสียงนาฬิกาส่งเสียงลั่น
ฉันนอนไม่หลับ..ฟังเสียงเจ้าติ๊กต๊อกๆท่ามกลางความเงียบสงัด
ความฟุ้งซ่านแผ่กระจายไปในห้วงความคิด...นึกถึงสิ่งต่างๆนาๆ
ที่สอดแทรกเข้ามา  ย้อนอดีตตอนชมภาพเก่าๆในช่วงกลางวัน
          ความสนุกสนานร่าเริงที่ชายหาดทะเลสวย  น้ำทะเลสีคราม
ทรายขาวเป็นเกล็ดแก้วระยิบระยับพร่างพรายไล้สีสันต์หลากสี
คลื่นพลิ้วละลิ่วเป็นระลอกๆ  ใหญ่บ้างเล็กบ้างวิ่งเข้าหาฝั่งที่ลาด
ทอดลงสู่ทะเล   
             มีบ้างคลื่นพุ่งเข้าหาโขดหินที่โผล่ขึ้นเป็นแนวกระทบ
จนเกิดเป็นละอองขาวแผ่กระจายยามกระทบแสงตะวันทอแสง
ยามเย็น   บังเกิดเป็นประกายรุ้งแพรวพรายหลากสีต่างๆรายรอบ
หญิงสาวที่นั่งเหนือเนินโขดหินเท้าแกว่งน้ำเล่นไปมาช่างงดงาม
ปานประหนึ่งเทพนารีที่มาลงเล่นน้ำทะเลก็มิปาน
             ฉันเก็บภาพเหล่านี้ไว้แต่ไม่เคยเลยที่จะนำมาแสดงให้
หล่อนได้รับรู้ชมดู  ช่วงนั้นในความนึกคิดว่าจะไม่ต้องการ
ให้หล่อนได้รับรู้ในอิริยาบถของหล่อนต่อธรรมชาติที่ร่วมแสดง
นอกจากสักวันหนึ่งที่เจ้าหล่อนยอมรับไมตรีฉันอย่างแท้แน่นอน
แน่ล่ะภาพนั้นฉันได้เก็บใส่กรอบรักษาไว้เป็นอย่างดี
           ตั้งไว้ตรงหัวเตียงนอนในบ้านบังกะโลที่ฉันซื้อไว้เป็น
สมบัติส่วนตัว   ในพื้นที่ประมาณไร่เศษๆจะมีก็เป็นเพียงตายาย
ที่ฉันดูแลและให้คอยทำความสะอาดพักพิงเท่านั้น  ยังไม่เคยที่
จะพาใครๆมาพักผ่อนเลยนอกจากฉันคนเดียวที่มักจะหาเวลาว่าง
ในวันหยุดสัปดาห์หลายๆวันติดต่อ เพื่อหนีพ้นจากความวุ่นวาย
ต่างๆนาๆ   บ้านและเนื้อที่ที่ไม่ห่างไกลจากกรุงเทพฯเท่าใดนัก
ติดกับชายหาดที่ปราศจากคนพลุกพล่าน  จึงเป็นชายหาดที่สมบูรณ์
สวยสดด้วยธรรมชาติพร้อมมูล
            บางครั้งฉันจะมากับเพื่อนๆมีทั้งหนุ่มๆสาวๆทั้งหลายมาพักพิง
ซึ่งเป็นที่พักให้เช่าแต่ก็อยู่ห่างจากบ้านฉันไกลพอประมาณ สามารถเดิน
ไปมาหากันได้   แต่ฉันสั่งตากับยายไว้เสมอๆว่าหากเจอฉันมากับคนอื่น
ก็อย่าแสดงตัวรู้จักฉันเป็นอันขาด  เพราะฉันไม่อยากให้ใครทราบว่าฉัน
มีบ้านอยู่แถวๆนี้   จึงเป็นที่สบายใจเมื่อบางครั้งที่ฉันและเพื่อนๆเดินเล่น
จนมาถึงบ้านของฉันและพบตากับยาย แกเพียงแต่ส่งยิ้มให้เท่านั้น
       หน้าบ้านพักฉันปลูกไม้ที่ร่มรื่นตลอดจนไม้พื้นเมืองออกดอกสะพรั่ง
ลานทอดสู่ชายหาดเยื้องๆมีแนวโขดหินน้อยใหญ่ดูแลงามมักจะมีประกาย
รุ้งที่เกิดจากละอองน้ำซัดเข้าหาตัดเป็นมุมกับตะวันเสมอๆ  จนทำให้เพื่อนๆ
ที่มาพากันร้องระงมด้วยความตื่นเต้น บ้างวิ่งไปแนวโขดหินเพื่อจับสายรุ้ง
แล้ววิ่งกลับสลับไปสลับมาด้วยอารมณ์สดชื่นระคนเสียงหัวร่อดีอกดีใจกัน
บ้างชี้ไม้ชี้มือไปยังบ้านฉันแล้วหันมาถามฉันว่าบ้านนี้สวยจริงๆนะเก๋ไก๋จริง
ปลูกแบบบังกะโลสลับบ้านไทยคล้ายบ้านในยุโรปจัง  หน้าบ้านก็งามติด
กับชายทะเลใสสวยสดและมีประกายรุ้งกินน้ำในมุมมองอีกแบบหนึ่ง
      คนถามเป็นหญิงสาวแล้วหล่อนหันหน้าไปรอบๆบริเวณแถวนั้น...
จริงซิน๊ะ..ไม่เห็นมีบ้านอื่นอีกเลยนอกจากบ้านหลังนี้หลังเดียว...ฮึๆ...
สงสัยจะเป็นของคนร่ำรวยมาซื้อปลูกทิ้งไว้  ใช้สำหรับพักผ่อนน่าอิจฉาจัง
หญิงสาวกล่าวรำพึงและอุทาน
   อ้าวคุณ...คุณเรวดีซื้อไว้ซิครับ บางทีผมอาจจะมาขอพักอาศัยพักผ่อนบ้าง
ฉันตอบแก่หญิงสาว  พลางอมยิ้ม...
  อยากได้นะอยากได้หรอก...แต่ไม่รู้เขาจะขายหรือเปล่านะ..คุณวิวัฒน์..เพราะ
ที่ทำเลก็เหมาะเจาะงดงามอย่างนี้นะ  หล่อนตอบพร้อมหันหน้ามามองฉัน
   เขาอาจจะขายให้คุณก็ได้นา..เพราะต้องเกรงใจคุณพ่อคุณซึ่งออกใหญ่โต
เช่นนี้   หรือเขาอาจจะยกให้ฟรีๆก็ได้นะยิ่งคนซื้อสวยๆแบบนี้  ฉันเย้าเล่น
    จะบ้าหรือคุณวัฒน์นี่...พูดเล่นไปได้  หล่อนหันมาค้อนแต่อมยิ้ม 
    จริงๆนะครับ...ผมพูดจริงๆ...อย่างนี้ดีกว่าผมขอถ่ายรูปคุณหน่อยนะครับ
อยากให้คุณไปนั่งเล่นน้ำที่โขดหินโน้นที่มีประกายรุ้ง  ภาพคงจะสวยงามมากครับ
      ได้ซิวัฒน์... แล้วขอรูปไว้ด้วยนาอย่าลืมล่ะ  หล่อนพูดพร้อมเดินไปยังโขดหิน
       อากาศเริ่มเย็นลงเย็นลงเพราะดวงตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่ยังมีแสงพอ
ที่จะเห็นทางจากการสะท้อนแสงกับท้องทะเล ซึ่งบางแห่งก็ดูสลัวๆกันแล้ว
ซึ่งต่างคนต่างกระวีกระวาดกันกลับ บางคนบ่นเสียดายเวลาจัง  ช่างมืดเร็ว
 บางคนว่าจะต้องมาเที่ยวกันอีก  ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆนาๆ
       ส่วนคุณเรวดียังยืนจ้องบ้านน้อยหลังนี้ ดูเสมือนจะจำไว้อย่างมิรู้ลืมจนฉันต้อง
เอ่ยปากร้องเตือนหล่อน นั่นแหละเธอถึงจะหันหลังเดินตามพวกๆเราไป
พวกเราต่างคนต่างคุยกันไปแต่ละมุมมองที่ประทับใจกัน ส่วนคุณเรวดีนั้นกลับ
เงียบเสียงไปจนผมต้องร้องแหย่หล่อน
     สงสัยบ้านนี้คงจะติดใจคุณมากใช่ไหมครับ
     นั่นซิวัฒน์...ไม่รู้เป็นอะไรใจนะคิดอยากได้จัง...เอ.ใครน๊ะเป็นเจ้าของอยากรู้จริงๆ
     หากเป็นเช่นนั้น..คุณก็บอกคุณพ่อคุณซิครับ  เพื่อนท่านมีมากมายล้วนแต่
ผู้หลักผู้ใหญ่กันทั้งนั้นนี่นา  ฉันบอกหล่อน
      อืมม!!...กลับไปคราวนี้จะลองคุยกับคุณพ่อดู  แล้ววัฒน์ช่วยสืบๆให้หน่อยนะ
     ครับๆผมจะพยายามครับ  ฉันอมยิ้มในใจ
            นับจากวันนั้นผ่านไป...เราสองก็สนิทสนมกันยิ่งขึ้นไปเที่ยวไหนมาไหน
ด้วยกันเสมอๆ  จนบางครั้งเพื่อนๆล้อเลียนว่าคงจะไม่แคล้วกันเป็นมั่นเป็นเหมาะ
แต่วงจรชีวิตคนเราไม่แน่นอนเสมอ  สิ่งที่ตั้งใจไว้ก็พลาดไปความไม่ตั้งใจกับได้มา
วนเวียนสับสนจนจะหาความแน่นอนมิได้  เรามาเที่ยวกันที่นี่เสมอๆยามมีเวลาว่าง
แต่ทว่าไม่เคยได้เข้าไปพักที่บ้านฉันสักครั้งเดียว  ฉันตั้งใจไว้ว่าจะให้เป็นเซอร์ไพร์ส
กับหล่อนในวันที่เราตกลงเป็นคนๆเดียวกันเท่านั้น
            หล่อนและคุณพ่อพยายามติดต่อหาเจ้าของบ้านนี้  แต่ก็ผิดหวังเพราะตากับยาย
นั้นเป็นคนท้องถิ่นและก็กว้างขวางพอประมาณจึงได้ช่วยเหลือฉันในเรื่องนี้  แน่ล่ะ
หากวันนั้นมาถึงคงมีปัญหาเหมือนกันแต่ฉันก็ได้เตรียมคำตอบไว้เรียบร้อยแล้ว
แต่ทว่าเหตุการณ์มิเป็นไปตามที่ฉันคิด  ไม่นานนักหล่อนก็ถูกบังคับให้แต่งงานไป
กับลูกชายเพื่อนคุณพ่อเธอเหตุผลทางการเมือง  เราสองก็มีความสัมพันธ์แค่ทางเพื่อน
เท่านั้นเอง    แต่ภาพถ่ายที่ฉันถ่ายไว้ก็ยังวางบนหัวเตียงนอนฉันเสมอมา  ยามที่ฉัน
มาพักผ่อนมักจะมองภาพเธอเสมอๆมันเป็นภาพสะท้อนในรักฉันที่ห้อยต๊องแต่ง
แขวนไว้บนใยแมงมุมก็มิปาน
             นาฬิกาติ๊กต๊อกๆพร้อมเสียงปลุกจนฉันต้องลุกขึ้นจากที่นอน  หันไปมอง
นอกหน้าต่าง  ท้องทะเลที่มืดครึ้มแต่ส่องประกายระยิบระยับจากแสงของดวงจันทร์
ที่ส่องสว่างไสวกระทบคลื่นในทะเลและหาดทราย  ฉันยืนขึ้นพร้อมหันมายิ้ม
โดยส่งยิ้มไปยังภาพถ่ายเทพธิดาแห่งสายรุ้ง ที่ยิ้มตอบฉันก่อนที่จะสาวเท้าก้าว
เดินออกจากประตูหน้าบ้านไปยังชายหาดที่ระคนด้วยเสียงน้ำสาดแผ่วเบาลมพัดแรง
จนกระทบเสื้อนอนที่ใส่พลิ้วไปๆมาๆ  คืนนี้เป็นคืนเดือนเพ็ญช่างงดงามนักปราศจาก
ดาวต่างๆที่พร่างพรายคงเหลือไว้เพียงดวงเล็กๆที่อยู่ใกล้ๆจันทร์เพียงดวงเดียว 
คงจะรักจันทร์มั่นคงเสียนัก   ฉันสะท้อนใจให้นึกถึงเธอที่เปรียบเสมือนดวงจันทร์
ตัวฉันเล่าคงจะเป็นแค่ดาวดวงนั้นที่ได้แต่คอยมองจ้องเธอที่สวยสดงดงามเท่านั้น
มิอาจที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้อีกแล้วนะ   ฉันทอดถอนใจสายตาเหม่อมองดู
         คงอีกนานซินะที่ฉันจะหาคนที่ถูกใจเยี่ยงเธอได้อีก  และคงเป็นภาพที่จะมา
ทดแทนภาพที่ฉันได้ตั้งไว้บนหัวเตียงนอนฉันซึ่งจะมาเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้เสียที
อีกไม่ช้าเราคงจะได้มีเด็กเล็กๆที่น่ารักอันเป็นสายใยผูกพันใจเราทั้งสองไว้
มาคอยวิ่งเล่นโดยมีเราสองคอยจ้องมองดูภาพชีวิตที่น่ารักเหล่านี้  เก็บภาพที่ประทับใจ
ไว้แก่เราทั้งสองชั่วกาลนาน   โอ้ๆๆแล้ว..ใครล่ะจะเข้ามาทดแทนที่ฉันเพ้อฝันเหล่านี้กับ
เธอได้อีกล่ะ   ฉันยืนรำพึงปล่อยภาพในอารมณ์ให้ล่องลอยไปสู่ยังท้องทะเลอันเวิ้งว้าง
จนสุดปลายขอบฟ้าดั่งจะค้นหาสิ่งนั้นๆมาช่วยปลอบประโลมขวัญวิญญาณแห่งฉันนี้
พร้อมที่จะพลีให้เธอเสมอชั่วนิจนิรันดร.

                                                   ***   แก้วประเสริฐ.  ***
				
3 สิงหาคม 2549 09:48 น.

** ชีวิตของดิฉัน. **

แก้วประเสริฐ


                                 ชีวิตของดิฉัน 

          เพราะดิฉันเป็นลูกสาวคนเดียวของคุณพ่อคุณแม่ จึงได้รับการเอาใจใส่ดูแลและตามใจ
ทุกๆอย่างตั้งแต่เยาว์วัยที่จำความได้ว่า  หากดิฉันต้องการสิ่งใดแล้วท่านจะพยายามหามาให้
ไม่เคยขัดใจดิฉันเลยสักครั้งเดียว  แม้กระทั่งวัยล่วงเลยเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม  
         ฉะนั้นจึงเกิดเป็นนิสัยที่ติดตัวมาจนกระทั่งบัดนี้  เมื่อสิ้นทั้งคุณพ่อคุณแม่ซึ่งท่านก็ทิ้ง
สมบัติพัสถานต่างๆอันพอที่จะทำให้ดิฉันสามารถเลี้ยงชีวิตไปได้ตลอดชั่วชีวิตนี้
        เมื่อขาดคนเอาใจใส่ดูแลจำเป็นที่จะต้องดิ้นรนขวนขวายเลี้ยงชีพด้วยตัวคนเดียว  แต่ก็ได้
อาศัยป้าซึ่งมีวัยชรามากเป็นผู้คอยช่วยเหลือดูแลทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง ด้วยป้านั้นตัวคนเดียวขาดญาติ
พี่น้องและเคยดูแลเลี้ยงดิฉันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยจนกระทั่งเติบใหญ่ ก็ยังคอยดูและในสิ่งจำเป็นบาง
อย่าง เหตุที่ป้าขาดญาติพี่น้องได้อาศัยคุณพ่อคุณแม่ซึ่งท่านได้รับอุปการะมาตั้งแต่ป้ายังสาวๆ
ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็ยังฝากฝังไว้แก่ดิฉันว่าให้ถือเสมือนเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งอย่าคิดว่าเป็นคนอื่น
ว่ากล่าวตักเตือนดิฉัน ก็ควรจะรับฟังไว้พิจารณาอย่าถืออำนาจเกินเลยไปจนทำให้ป้าเสียใจเด็ดขาด
หากท่านมิกล่าวไว้  ดิฉันก็ยังคิดเหมือนท่านเพราะดิฉันผูกพันรักใคร่ประดุจญาติผู้ใหญ่จริงๆของ
ดิฉันนั่นเอง   
          หลังจากกลับจากทำงานดิฉันมักจะซื้อของมาฝากป้าเสมอๆ ส่วนใหญ่แล้วป้าขอร้อง
เป็นพิเศษ คือ หมากพลูและบางครั้งอาจจะมียาเส้นเสริมบ้างในบางโอกาส ป้าไม่เคยเรียกร้องอะไร
มากไปกว่านี้  เสื้อผ้าหรือหากขาดก็จะปะชุนเย็บด้วยมือ  ไม่เคยที่จะไปจ้างใครๆเขามาช่วยเย็บปะชุน
          ดิฉันบอกว่าป้าทิ้งไปเถอะนะเดี๋ยวจะซื้อให้ใหม่ไม่ต้องไปเสียดมเสียดายหรอก  
ป้ากลับย้อนดิฉันว่า    เมื่อใช้ได้ก็ควรจะใช้อย่าหัดเป็นคนสุรุ่ยสุร่าย  ควรที่จะกระเหม็ดกระแหม่ไว้
เพราะว่าเงินทองเดี๋ยวนี้นั้นใช่ว่าจะหากันได้ง่ายเสียเมื่อไหร่ล่ะ   กว่าจะได้มาทั้งทีก็ต้องทั้งเหนื่อยกายและใจเรา
ยิ่งป้าแก่แล้วด้วยจะรับจ้างพิเศษก็ไม่ไหวเลยใช้ของเก่าๆนี่แหละอีกอย่างมันไม่คันด้วย 
ของใหม่ที่คุณหนูซื้อมาให้ป้านะ  ใส่แล้วมักจะคันจนเกาเป็นแผลเลยล่ะต้องเสียเงินซื้อยามาใส่อีก ใช่ว่าป้าจะรังเกียจนะ  ถ้าจะใช้ต้องซักหลายๆน้ำจนกว่าขนมันจะหลุดนั่นแหละถึงจะค่อยยังชั่วหน่อย  ป้าแกว่าให้ฟัง
      กลับเป็นอย่างงั้นไป  ดิฉันคิด  หากมาคิดในมุมกลับก็จริงอย่างที่ป้าแกบอกเพราะดิฉันออกจะหรูหราฟุ่มเฟือย
ด้วยต้องเข้าไปในวงสังคมกับผู้ใหญ่ในที่ทำงาน   บางครั้งต้องออกนอกสถานที่ตระเวนไปทั่วตามบริษัทต่างๆ 
แทบเรียกว่าหาโอกาสนั่งในบริษัทน้อยมาก  เหนื่อยก็เหนื่อยลำบากทุกอย่างผิดกับสมัยยังเด็กๆอยู่
ที่มีแต่ความสุขสบาย จะสบายจริงๆก็ได้อยู่บ้านเท่านั้น แต่ก็ต้องอยู่คนเดียวเพราะป้าเองก็ไม่ค่อยจะมา
สุงสิงเท่าใดนัก  จนบางครั้งเหงามากคิดร้อยแปดพันเก้า แต่ก็ผ่านมาจนล่วงเข้าอายุเกือบจะสี่สิบเข้าไปแล้ว
            ใช่ว่าดิฉันจะเป็นคนที่รูปร่างขี้เหร่ก็หาไม่ด้วยคนในบริษัทด้วยกันยังอิจฉาดิฉัน มักจะได้รับการทาบทาม
จากหนุ่มๆทั้งไม่หนุ่มเสมอมา  แต่หนุ่มและไม่หนุ่มเหล่านั้นหาได้รับการแยแสสนใจไม่แม้แต่เพียงคนเดียว
ด้วยดิฉันคิดว่าเขามิได้รักดิฉันจริงหรอก    เพียงคงหวังในสมบัติที่ดิฉันมีอยู่ บ้านหรือก็ออกใหญ่โต ปลูกใน
เนื้อที่เกือบสองไร่ รถยนต์ใช้มีตั้งสามคัน ล้วนเป็นรถที่ได้รับความนิยมชั้นสูงทั้งสิ้น  หากดิฉันไม่ทำงาน
ก็คงไม่เป็นปัญหาใดๆแก่ดิฉันหรอก  เพียงแค่เงินที่ฝากธนาคารเอาดอกเบี้ยมาใช้ก็เพียงพอกับดำเนินชีวิตแล้ว
แต่ด้วยเลือดของคุณพ่อที่มีอยู่ในตัวดิฉันคงจะมากจึงทำให้ต้องดำเนินชีวิตหาเลี้ยงตัวเอง 
        ครั้งหนึ่งคุณพ่อที่ยามสมัยมีชีวิตอยู่มักจะอบรมดิฉันในเรื่องนี้เสมอๆ จนเลยวัยศึกษามหาวิทยาลัยแล้ว
แม้กระทั่งในบ้านยังมีป้ายที่เขียนติดไว้ที่ห้องรับแขกซึ่งยังแขวนอยู่ติดกับฝาผนังจนกระทั่งบัดนี้ 
เป็นป้ายขอบทองลายน้ำลวดลายไทยทำด้วยไม้สักลงทองลายรูปเป็นรูปสิงห์และรูปคชสีห์ในป่าอยู่ด้านล่าง
ส่วนด้านขอบบนเป็นรูปนางกินรี อยู่ใกล้ๆริมสระ  บ้างสรงน้ำ บ้างยืน บ้างกำลังบิน ด้านข้างเป็นลวดลายกนก 
ภายในเป็นแผ่นไม้แกะสลักจารึกอักษรลงทองปิดด้วยกระจกอย่างดี  อักษรแกะสลักเขียนข้อความไว้ว่า 
                         ชีวิตคนเราเกิดมาอยู่ด้วยการต่อสู้  อดทน  ขยันหมั่นเพียร ละเอียดรอบคอบ 
พิจารณาขบคิดปัญหาอยู่เสมอ จงคิดว่าปัญหาคือสิ่งที่นำเราไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง จงตีปัญหาให้แตก
แล้วนำปัญหานั้นมาเป็นหนทางปฏิบัติสู่แนวทางในการดำเนินชีวิตของตน 
         ก่อนจะไปทำงานดิฉันมักจะยืนอ่านและพิจารณาอยู่เสมอๆ หากมีปัญหางานเกิดขึ้นก็มักจะย้อน
คิดถึงข้อความเหล่านี้  แล้วนำมาพิจารณาค้นหาสาเหตุและผลต่างๆทำให้สามารถแก้ไขปัญหานั้น
ผ่านไปได้ด้วยดี   ถึงแม้บางครั้งอาจจะไม่ดีนัก แต่ก็ได้รับผ่านความเห็นชอบของผู้ใหญ่เสมอๆมา
เหตุฉะนี้ดิฉันจึงได้รับความไว้วางใจจากท่านผู้ใหญ่  แม้บางครั้งดิฉันจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ในสิ่งไม่ควร
ทิฐิถือดื้อรั้นตามอุปนิสัยที่ติดตัวของดิฉันก็ตามที โต้เถียงในสิ่งที่ตนเองคิดว่าถูกต้อง แต่ที่จริงๆแล้วยัง
ขาดความรอบคอบตรวจตราอย่างละเอียด เพราะเพียงแค่อ่านงานอย่างคร่าวๆก็ยังได้รับความเมตตา
    อาจจะถูกต้องของเธอก็ได้ แต่เธอลองช่วยพิจารณา
   ข้อความที่ส่งมาหน่อยซิ ผมอาจจะผิดก็ได้นา   ท่านกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มๆ แล้วส่งเอกสารคืนให้ดิฉัน
ดิฉันกลับโต้เถียงย้อนท่านอีก ทั้งๆที่ไม่สมควรว่า
      ดิฉันได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่าถูกต้องแล้วนี่เจ้าคะ  กล่าวพร้อมยื่นเอกสารให้อีกที
     น่าๆๆคุณ...ถือว่าผมขอร้องเถอะนะครับ ลองอีกครั้งคงไม่เสียเวลาเสียหายอะไรนี่นา  ท่านกล่าวขอร้องอีก
      ได้ค๊า...ได้ๆๆๆๆ  จะลองตรวจดูอีกทีน๊ะเจ้าคะ พร้อมทั้งหยิบเอกสารเดินตุ๊บป๊องๆเดินกลับไปที่โต๊ะ
ทำงานซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลจากโต๊ะท่านผู้ใหญ่มากนัก   แล้วรีบลงมีตรวจอย่างละเอียดเสมือนประชดประชัน
      ภายหลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ยิบถึงสองครั้งสองคราจึงได้พบสิ่งผิดพลาดซึ่งซ่อนอยู่ภายใน
อักษรอันเป็นภาษาที่ใช้ผิดลักษณะความหมายไปคนละอย่างกับเนื้อหา หากไม่พิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว
ก็จะคิดว่าเป็นการใช้ภาษาที่ถูกต้องกับเนื้อหางานทุกประการ   
     ดิฉันยิ้มกับตนเอง พร้อมนึกอยู่ในใจ
    ฮึๆๆช่างละเอียดนักนะ หล่อนรำพึง
     ภายหลังจากได้ทำการแก้ไขให้ถูกต้องทั้งความหมายและเนื้อหางานแล้ว ก็ยังอุตส่าห์แกล้งทิ้งงานไว้
บนโต๊ะทำงานทั้งๆที่รู้ว่างานชิ้นนี้เป็นงานเร่งด่วนมากต้องใช้ภายในวันนี้ช่วงบ่ายๆเพื่อเข้าประชุมใหญ่
ระดับประธานบริษัทก็ตามที ด้วยมานะทิฐิจะกลั่นแกล้ง  ดิฉันคิดว่าจะนำไปส่งให้ก่อนประชุมสัก
ประมาณ 15 นาทีเพื่อตรวจสอบรายงาน ดูว่าจะตรวจสอบอีกหรือไม่
แต่ความคิดดิฉันผิดพลาดอีก  หลังจากที่เขาได้รับรายงานแล้วเขา นั่งพิจารณาไปยิ้มไป บางครั้งหัวร่อเบาๆ
    อะไรจะปานนั้น...จะบ้าหรือไง  ดิฉันแอบมองและนำมาคิด พร้อมทั้งนั่งทำหน้าบึ้งๆอยู่แกล้งไม่สนใจ
  ประมาณสักครู่ ท่านได้เดินมาที่โต๊ะดิฉัน พร้อมกล่าวคำขอโทษและขอบคุณดิฉัน
    หากผมไม่ได้คุณเห็นจะแย่เหมือนกันคิดไม่ออกจริงๆว่าคุณแก้ไขโดยใช้อักษรที่เปี่ยมความหมายรัดกุม
ได้ดีอะไรเช่นนี้  เดี๋ยวผมจะให้เจ้าหน้าที่ช่วยซีล๊อกซ์เพื่อแจกจ่ายในที่ประชุมด้วย ขอบคุณครับ ท่านกล่าว
   เขาบ้าหรือเราบ้าว๊ะ ดิฉันคิดนั่งงงเป็นไก่ตาแตก
   หรือประชดเราว๊ะ  ดิฉันคิดไปไกลกว่านั้นอีก
            นี่ก็เป็นหนึ่งปัญหาที่ดิฉันได้รับความเมตตาจากท่าน  แต่ด้วยความที่ได้รับความไว้วางใจและน้ำใจที่
เปี่ยมไปด้วยความเข้าใจเห็นใจทำให้ดิฉันอยู่ที่บริษัทนี้ไปได้นาน ทั้งๆที่เงินเดือนหรือก็ไม่มากนัก จะพูดได้ว่า
ยังไม่พอค่าน้ำมันรถและค่าเสื้อผ้าที่ดิฉันสวมใส่เลย  บางครั้งคิดจะลาออกเพื่อพักผ่อนที่บ้านดีกว่า เพราะงานนี้
ทั้งเหน็ดเหนื่อยทั้งร่างกายและสมอง อารมณ์ชั่ววูบทำให้คิดไป  เราหรือก็มีเงินมากมายซ้ำยังใช้ไม่หมดจะมานั่ง
ทำงานทั้งในนอกสถานที่ไปทำไม นอนกินทั้งชาติก็ไม่หมด แต่ความรู้สึกบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในใจดิฉัน
ได้คัดค้านอารมณ์นี้ตลอดมา พร้อมกับนึกถึงคำพูดของคุณพ่อคุณแม่ที่พยายามเฝ้าอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เล็กๆ
ให้เป็นคนสู้ชีวิต อย่าได้ยอมแพ้กับอุปสรรคใดๆทั้งสิ้น  
        หากมิฉะนั้นเกิดมาอายหมามันนะลูก   ลูกดูซิหมามันยังไม่ยอมนอนเฉยๆเลยขนาดเราเลี้ยงดูมันอย่างดีนะ
ไม่ต้องเดือดร้อนไปหาเศษอาหารเยี่ยงหมาตัวอื่นๆที่นอกบ้านเรา    ถึงเวลามันก็ได้กินและกินก็เป็นอาหารดีกว่า
มันยังอุตส่าห์นอนขวางประตูบ้าน หากใครมายังเห่าบอกคนในบ้านได้รับรู้ก่อนเรารู้เสียอีก ซ้ำถึงเวลามันยังช่วย
คาบผ้าที่เราแขวนไว้มาให้เราเพื่อใช้เข้าห้องน้ำหากเราลืม  มันจะคอยสังเกตความเป็นไปในบ้านตลอดเวลา
และแต่ละบุคคลไม่ยอมอยู่เฉยๆ   เราซิเป็นสัตว์ที่ประกอบไปด้วยภูมิปัญญาเฉลียวฉลาดกว่ามัน 
มีทั้งสมองและร่างกายที่ตรง  ไม่พิการเยี่ยงมันที่ขวาง  แต่มันกลับไม่ขวางทางโลก และมีความซื่อสัตย์
ไม่เหมือนคนบางคนที่ชอบขวางทางโลกด้วยกัน  ไม่สู้งานซ้ำยังเอารัดเอาเปรียบคนอื่นทำแทน คนประเภทนี้ซิ
น่ากลัว ขนาดตัวของตัวเองยังไม่ช่วยตัวเองคอยเอาแต่ความสุขสบาย  คนประเภทนี้ซิน่าอายยิ่งนักจะเทียบกับหมา
ก็ยังไม่ได้  หมามันยังดีเสียกว่าที่มันไม่เคยให้คนอื่นช่วยมันจะช่วยตัวมันเองเสมอ  สู้มันจะสู้เสมอเพื่อตัวมันเอง
และคนที่มีพระคุณแก่มัน  อดทนก็อดทนยิ่งกว่า  มันไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือจากใคร ขยันหรืออ้าวมันก็ขยันกว่ามันจะตื่นก่อนใคร  ฝึกมันลำบากยากเข็ญอย่างไรมันจะทำไม่ยอมหยุด พ่อคิดว่ามันคงทำแบบสนุกสนานต่องานของมันนะลูก   ความพยายามหรือมันก็มีความพยายามหากมีปัญหาเกิดกับมันมันจะพยายามทุกวิถีทาง
เพื่อช่วยให้มันเอาตัวรอดไปได้ทุกครั้ง  
           ลูกลองคิดดูซิว่าคนที่ไม่คิดสู้งาน อดทน   ขยันหมั่นเพียร  จะสู้หมาในบ้านเราได้หรือไม่จ๊ะลูก
เมื่อดิฉันเกิดมีอารมณ์แบบนี้ขึ้นมาทีไร  ก็จะนึกถึงคำพูดของคุณพ่อเสมอๆมา  อย่าอายหมานะลูก 
เพียงแค่คำนี้คำเดียวก็เปลี่ยนแนวความคิดของดิฉันไปหมดสิ้น อีกอย่างหนึ่งคือป้ายที่คุณพ่ออุตส่าห์ทำไว้
ในห้องรับแขกก็เป็นอุทาหรณ์สอนใจดิฉันได้ตลอดเวลา ลบล้างปัญหาต่างๆที่ซับซ้อน สุมไว้ในสมองดิฉัน
     เรื่องคู่ครองของดิฉันก็เหมือนกันคุณแม่สอนไว้อย่างสม่ำเสมอ ให้ไตร่ตรอง คิดให้รอบคอบเสียก่อน
ที่จะมีเหย้าเรือน  ผู้ชายนะไม่ใช่ว่าจะมีแค่คนเดียวนะลูก มีให้เราเลือกตั้งหลายๆแบบ และแบบไหนล่ะที่ควรเป็น
ผู้นำครอบครัวเรา  ลูกต้องให้เกียรติเขาแล้วนั่นแหละเขาถึงจะให้เกียรติแก่ลูก ไม่จำเป็นหรอกที่จะต้องเป็น
คนร่ำรวยล้นฟ้า และก็ไม่จำเป็นเหมือนกันที่จะต้องมีคุณวุฒิที่เพียบพร้อมไปด้วยดีกรี หากมีนิสัยไม่ดีขาดคุณธรรมจริยธรรมประจำใจ ลูกได้ไปก็เปรียบเสมือนลูกเข้าสู่ประตูนรกที่มีแต่ความเดือดร้อนเนื้อร้อนใจตลอดเวลา  จะหาความสุขสบายยั่งยืนในชีวิตของลูกก็แสนจะยาก จะเกิดความลำบากมิรู้สิ้นสุด
      ฉะนั้นคนที่ลูกควรมองควรเป็นคนที่มีทั้งคุณธรรมและจริยธรรมเสมอต้นเสมอปลาย มิใช่เพียงเปลือกนอกดั่งที่เขาออกรายการในทีวีก็เยอะแยะไป หรือหนังสือพิมพ์ก็ประโคมข่าวเกือบจะเป็นรายวันไป 
 คนผู้นั้นต้องพร้อมเสมอทุกๆสถานการณ์ไม่ต่อหน้าและลับหลัง ถึงแม้จะไม่ร่ำรวยหรือประกอบไปด้วยคุณวุฒิดีกรีมาก หากเขาผู้นั้นเป็นบุคคลที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ซื่อตรง ขยันอดทน หมั่นเพียรพยายามอยู่เสมอๆ 
 พูดจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมและไม่ปลิ้นปล้อนหลอกลวง มีความนึกคิดต่อสู้ชีวิตเพื่อตนเองและครอบครัว  แม่ว่านั่นแหละควรจะเป็นผู้นำครอบครัวเรานะลูก   สิ่งที่เป็นความยากจนแม่คิดว่าเขาผู้นั้นก็สามารถสร้างฐานะได้เองแหละ  ลูกดูคุณพ่อของลูกซิเขาก็มิได้มาจากตระกูลที่ร่ำรวยและก็ไม่ได้มีดีกรีมากมายอะไร เพียงแค่ใบเดียวพ่อก็สามารถให้ความสุขและหาเลี้ยงครอบครัวสร้างฐานะได้เป็นปึกแผ่นให้แก่ครอบครัวได้อย่างดีมีสุขได้เป็นอย่างดีดังที่ลูกได้รับและเห็นตลอดชีวิตของลูก  ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตที่พ่อมีอยู่แม้ว่าจะออกจากงานไปแล้วก็ยังได้รับเชิญไปเป็นที่ปรึกษาด้านการงานในบางโอกาส  ชีวิตการทำงานของพ่อเจ้าได้สร้างชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเราจนได้รับการยกย่องเสมอมา  จนเป็นที่กล่าวขวัญของคนทั่วๆไป แต่พ่อลูกก็มิได้หลงไปในสิ่งเหล่านี้ เพราะมีจริยธรรมคุณธรรม มิได้ยกตนข่มท่านถือแนวคิดปฏิบัติตามคำสั่งสอนในพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัดตลอดมา
          นี่ก็เป็นอีกหนึ่งคำสอนหนึ่งของคุณแม่ที่ถ่ายทอดให้แก่ดิฉันไว้คิดหากจะมีครอบครัว  มาจนกระทั่งบัดนี้
ดิฉันยังหาคนที่ดีและใกล้เคียงกับคำพูดของคุณพ่อและคุณแม่ไม่ได้เลยจวบจนกระทั่งเดี๋ยวนี้  ใช่ว่าดิฉันจะเป็น
คนชาเย็นหรือก็หาไม่  ไม่เข้าสังคมหรือก็เปล่า ถนอมเนื้อถนอมตัวหรือก็ไม่เชิงเพราะงานบางงานก็ย่อมมีการ
แตะเนื้อต้องตัวบ้างถือเป็นธรรมดาในสังคมยุคนี้ แต่ไม่ควรเกินเลยปล่อยเนื้อปล่อยตัวปล่อยใจไปโดยไม่รักตัวสงวนตัว หลงระเริงไปในสิ่งยวนยั่วทั้งหลาย  อันอาจจะเป็นการทำลายความเป็นลูกผู้หญิงที่พึงมี  และพึงกระทำตนในสิ่งไม่สมควรพึงทำของลูกผู้หญิง   ซึ่งดิฉันเห็นมามากต่อมากทั้งเด็กและผู้ใหญ่จนเป็นข่าวเกรียวกราว
สร้างความเสื่อมเสียแก่ตัวเอง  แก่วงศ์ตระกูล  สร้างความต่ำต้อยในสังคมของผู้ที่เกิดมาอย่างไม่ถูกต้องทำนองคลองธรรม จนเกิดสิ่งไม่ดีงามกระจายไปทั่วโลกถึงการกระทำของลูกผู้หญิง อับอายขายหน้าชนต่างชาติ ซึ่งประเพณี วัฒนธรรมที่ดีของเรา  สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ที่สู้อุตส่าห์สะสมสร้างสิ่งดีงามไว้ให้ลูกหลาน อันเป็นเหตุเกิดเป็นภาระแก่สังคมอย่างเช่นในปัจจุบันนี้
           ใช่ซินะเมื่อดิฉันเข้าสังคมทุกระดับชั้นมากเพียงใดก็ยิ่ง ได้เห็นการกระทำทุกๆระดับนั้น  ทำให้ดิฉันเกิดความรู้สึกนึกคิดไปต่างๆนาๆ เกิดความเบื่อหน่ายในการครองเรือนมากเท่านั้น และยิ่งสะท้อนคำพูดของคุณพ่อคุณแม่แล้วก็ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกที่คัดค้านอารมณ์ความต้องการที่แฝงในร่างกายจิตใจดิฉันไปเสียสิ้น
           ถึงแม้จนกระทั่งดิฉันจะขึ้นคานทองอย่างคนที่เขาพูดล้อเล่นเสมอๆ ดิฉันคิดว่าก็ยอม  ยังดีเสียกว่าจะต้องถลำตัวไปกับสิ่งที่มีแต่ความหลอกลวง เอารัดเอาเปรียบ หากเขาล่ะเป็นผู้นำครอบครัวของดิฉันแล้ว วันข้างหน้า
จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง   ดิฉันนึกหลับตาลงด้วยความอ่อนล้าแห่งใจที่กำลังพุ่งเข้าสู่อารมณ์นาๆประการที่ประดังขึ้นมา   แล้วสมบัติพัสถานต่างๆล่ะจะทำฉันท์ใดอีกล่ะหลังจากที่ดิฉันสิ้นไปจากโลกใบนี้ ผุดแทรกขึ้นมาอีก
          จะยากอะไรเล่าเธอ..ใจหนึ่งบอกแก่ดิฉัน เราก็ทำพินัยกรรมแบ่งออกช่วยเหลือสังคมที่ต้องทนทุกข์ทรมานซึ่งมีอีกมากมายที่ยังรอการช่วยเหลืออยู่  หรือจะสร้างสาธารณะประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรมก็ได้เพื่อเป็นบันไดก้าวล่วงไปยังภพข้างหน้าสร้างเป็นสมบัติแห่งกรรมดีติดตามตัวเราไปมิดีกว่าหรือ อารมณ์แห่งคุณงามความดีกล่าวขึ้น   
           อย่าๆๆนะ อย่าทำเธอจงเที่ยวให้สนุก ใช้ชีวิตให้สุขสบายในสมบัติที่เธอมีซิ โน่นแน๊ะเห็นไหมเขาไปเที่ยวกันยังต่างประเทศเอย เที่ยวตามคลับเอยแล้วก็สนุกสนานกับเกมส์ชีวิตแลกเปลี่ยนชีวิตกันและกันเอย เยอะแยะนะ
ของสนุกๆสนานทั้งนั้น เธอทำซิแล้วเธอจะรู้ว่าชีวิตนี้มีความสุขจริงๆนะ  อารมณ์อีกอารมณ์หนึ่งแทรกขัดขึ้นมา
          ดิฉันตลึงในความคิดแปลกๆที่แทรกซ้อนเข้ามาเกิดความลังเลขึ้นในอารมณ์ที่ฟุ้งซ่านเหล่านี้ พลันนึกถึงห้องพระที่คุณพ่อและคุณแม่ต้องเข้าไปสักการบูชาสวดมนต์เป็นประจำทั้งเช้าและก่อนนอน ขจัดอารมณ์ทั้งสองหายไป  ใช่ซินะเราเองตั้งแต่ทำงานมานี้ห้องพระถูกปิดตายยังไม่เคยเข้าไปสักการบูชาพระเลยสักครั้งเดียว
    เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ทำให้เกิดอารมณ์ผ่องใสขึ้นอย่างประหลาด เกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที เห็นทีจะต้องเข้าไปบูชาสักครั้ง ดิฉันคิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน  ความอิ่มเอิบแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจและร่างกาย ความสดชื่นเกิดขึ้น
ความห่อเหี่ยวและสิ่งที่คิดต่างๆนาๆละลายจางหายไปเสียสิ้น
          ดิฉันค่อยๆก้าวผ่านประตูห้องพระ จัดการทำความสะอาดด้วยตนเอง เปิดหน้าต่างให้ลมผ่านเข้ามาไล่ความอับชื้น  ตรงไปหน้าโต๊ะหมู่บูชาที่ตั้งอยู่หน้าพระประธานองค์ใหญ่ที่คุณพ่อสร้างไว้ ความรู้สึกบอกว่าขนาดหน้าตักท่านคงประมาณสามศอกเห็นจะได้ส่วนสูงๆเกือบจะจรดเพดานห้อง เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยสมัยสุโขทัย
พระพักตร์แย้มยิ้มให้แก่ดิฉัน จนบังเกิดความปิติ ขนลุกพองอย่างกะทันหัน  ดิฉันจุดธูปบูชาด้วยธูปหอมส่งกลิ่นหอมรวยริน ช่างชื่นใจยิ่งนัก บังเกิดอารมณ์ที่เปี่ยมไปด้วยความแน่วนิ่งปราศจากความคิดใดๆแทรกซ้อนเข้ามา
หลังจากบูชาพระเรียบร้อยแล้ว ดิฉันนั่งเพ่งพินิจมองพระพุทธรูปด้วยความปิติสดชื่น พลันสายตาเหลือบไปเห็นตู้หนังสือที่จัดวางไว้ข้างผนังมุมห้องด้านหนึ่ง คงจะเป็นหนังสือพระที่คุณพ่อสมัยมีชีวิตเก็บรักษาไว้หรืออ่านในยามที่เข้ามาเป็นประจำหลังสวดมนต์เสร็จกระมัง   ดิฉันกวาดสายตาไปรอบๆพลันสดุดกับหนังสือเล่มหนึ่งที่ถูกวางไว้ใต้แท่นบูชา  จึงได้ก้มเอื้อมมือไปหยิบมาเป็นหนังสือคำสอนของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เกี่ยวกับการทำทาน  โอ้ช่างตรงกับอารมณ์สองฝ่ายที่แนะนำดิฉันจังหรือว่าเป็นบุญมาช่วยขจัดปัญหาที่รุมเร้าให้แก่ดิฉันนั่นเอง
ดิฉันยกมือกราบบนหนังสือหน้าปกเป็นรูปพระภิกษุสงฆ์นั่งขัดสมาธิรูปร่างสูงโปร่งใบหน้าไม่ยิ้มแต่ดูคล้ายจะยิ้ม
แล้วค่อยๆเปิดหนังสือขึ้นอ่านอย่างละเอียด ความนัยหนังสือขจัดปัญหาต่างๆให้แก่ดิฉันหมดสิ้น ณ ที่นี้เอง
               พบแล้ว...ดิฉันพบแล้วหาทางออกให้แก่ชีวิตของดิฉันได้แล้วไม่ว่าจะเป็นสมบัติพัสถานต่างๆหรือแม้แต่กระทั่งร่างกายจิตใจของดิฉันเอง 
               แน่ล่ะต่อแต่นี้ไปดิฉันจะยึดมั่นถือปฏิบัติต่อคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ที่ทรงคุณอันประเสริฐยิ่งที่ถูกถ่ายทอดจากพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตเถระ โดย ยึดถือเป็นหนทางต่อแนวทางการดำเนินชีวิตของดิฉันตราบชั่วชีวิตนี้ที่ยังมีลมหายใจอยู่  ตราบจนลุล่วงสู่สัมปรายภพนิจนิรันดร์กาล....

                                                ***   แก้วประเสริฐ.   ***
                                                        xxxxxxxxxxxxx
                                                     ๒ สิงหาคม ๒๕๔๙
				
2 สิงหาคม 2549 00:16 น.

** ขอเพียงแค่ฝัน **

แก้วประเสริฐ


                                  ขอเพียงแค่ฝัน  

     ค่ำคืนนี้...ทำไมๆหนอทำให้รู้สึกหม่นหมองไปเสียเหลือเกิน 
                 จะว่าเรื่องการงานหรือก็มิใช่
                 จะเหนื่อยมากเกินไปหรือก็เปล่าเสียอีกล่ะ 
                 จะเป็นเรื่องสุขภาพหรือก็ไม่เชิง เราตรวจสุขภาพสม่ำเสมอนี่นา
                 จะเกี่ยวด้วยความยากจนก็หาได้ทำให้พะวงต่อสิ่งนั้นก็หาไม่
             หรือว่าจะเป็นด้วยความผูกพันในสิ่งที่พึงปรารถนาหรือก็มิเชิง
      ทำไมๆหัวใจเราจึงอ่อนไหวเสียมากมายอะไรเช่นนี้  ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย
 เกิดความรู้สึกที่ช่างหดหู่  อารมณ์สุดจะเหงาปราศจากสิ่งกระตือรือร้นไปเสียสิ้น.....
      แม้แต่คืนเดือนเพ็ญเด่นกระจ่างสดใส ดาวปลายฟากฟ้าทอแสงเป็นประกายงดงามยิ่ง
โธ่เอ๋ย..โธ่ๆ....ใจเอ๋ยใจ..ใยจึงเป็นเช่นนี้ไปเล่า  หรือว่าเราพบพานในสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
ใช่แล้ว...อาจเป็นด้วยปัญหานี้ก็ได้นะที่จะทำให้เราเกิดอารมณ์ที่แปรผันไปจากเดิมเสีย
จนเกิดความท้อแท้...เบื่อหน่ายมองสิ่งใดหรือก็คล้ายจะไม่พึงปรารถนา
อารมณ์สดใสที่เคยสัมผัส...มักจะมาพบหาได้เสมอในยามช่วงเวลานี้ตลอดที่ผ่านมา
       จันทร์เอ๋ยจันทร์สุดสวย...ช่วยบอกข้าฯทีได้ไหมนะจันทร์ที่รัก...
เหตุใดหนอทำไมเล่า...หัวใจใยจึงได้เปลี่ยนแปลงเป็นไปได้ถึงเพียงนี้....
     ดาวเอย...เหตุใดจึงได้จ้องมอง...หรือจะพากันเยาะเย้ยจึงมิได้กระพริบทอประกาย
 หากจะมองออกว่าสิ่งที่ได้รับกำลังเศร้าหม่นหมองใจ จริงหรือดาว
     ลมนั้นเล่า...เหตุใดช่างใจดำเสียเหลือเกิน..เมื่อก่อนเคยพัดโชยทำให้ผ่อนคลายสร้าง
สิ่งที่ชื่นใจจนเบิกบานหายจากความเหงาที่มักเกิดขึ้นเสมอๆมา....
     ใบไม้แลหรีดหริ่งเรไรก็อีกล่ะ...ก่อนนี้เคยร่วมส่งประสานเสียงไพเราะ หวานซึ้ง
เยือกเย็นจับใจยิ่งนัก    กล่อมหัวใจจนต้องเข้าร่วมร่ำร้องเพลงแห่งราตรีกาลนี้
เสมือนประหนึ่งช่วยปลอบเตือนให้กำลังใจ  ในยามที่โหยหาอารมณ์เหงาเป็นอย่างดี
   โอ้...บัดนี้เล่า   แม้แต่เสียงก็ขาดหายไป ใบไม้หรือก็หยุดนิ่ง มิได้คำนึงถึงสิ่งที่เคยทำ  
ผิดกับคราวที่ออกมาเฝ้ายืนชมจันทร์และดาว   เคยเป็นเพื่อนร่วมร่ำร้องเคล้าคลอเพลง
บรรเลงกล่อมราตรีอันสดใสและยาวนานเกือบตลอดทั้งคืน  จนต้องอำลากันและกัน
      ใยมาบัดนี้..แต่ทำไมเล่าเจ้ากลับไร้ในสิ่งที่เคยร่วมกันสร้างสิ่งอันเร้าใจ  ประทับใจ
ในคืนอันที่พึงปรารถนาไปเสียสิ้น  แม้แต่สิ่งต่างๆหรือก็พากันเฝ้าหยุดนิ่งไปเสียหมด....
มิดูดีดูดายอีกแล้วล่ะหรือ  คงปล่อยให้ต้องยืนเฝ้าสะท้อนอารมณ์เสียจริงๆ....
หรือจะสมน้ำหน้าซินะ  ที่ไม่นำพาในสิ่งที่เคยอยู่เคียงคู่คืนกลับมาในฟ้าแห่งค่ำคืนนี้หรือ
โถๆๆ...สิ่งอันเป็นที่รักทั้งหลายเอย  ใยใช่ว่าจะละเลยไม่พึงปรารถนาร่วมเคียงก็หาไม่
เพียงแม้นแต่เขายังคำนึงถึงสิ่งที่รอคอย    แต่สิ่งที่หวังต้องการยังหาได้พบเพียงแม้แต่เงา
     หรือๆว่า...เขาลืมเราไปเสียแล้วกระมัง จึงมิอาจได้เห็นแม้กระทั่งความต้องการที่ผ่านเข้ามา
เพียงแต่หวังลมๆแล้งๆ...ด้วยเราได้เคยตกลงสัญญากันว่าจะพบกันในยามจันทร์เพ็ญกระจ่าง
อาจจะมีเหตุการณ์ผันแปรในเรื่องเหล่านี้ที่คาดคิดมิถึงก็เป็นได้   แต่เนื่องด้วยสองเราต่าง
ก็เข้าใจกันแล้ว ฤาจะมีอะไรอีกเล่าหรือ?...อันเป็นเหตุให้ต้องยืนเฝ้าระทมแต่เดียวดาย
     มาดแม้นเพียงสิ่งที่ประสบพบเห็นในช่วงกลางวันนั้นก็ตาม ก็เป็นเพียงธรรมดาที่การคบหา
สมาคมย่อมมีขึ้นในระหว่างหนุ่มสาว  มิอาจก้าวก่ายล่วงเข้าสู่วาระแห่งการต้องสูญสิ้นพันธะ
บางทีอาจจะมีสิ่งจำเป็นบางประการที่ไม่สามารถมาร่วมในค่ำคืนนี้ได้กระมัง...
      ย้อนกลับสิ่งพบเห็นก็อดที่จะสะทกสะท้อนล่วงลงเข้าส่วนลึกภายในใจมิได้
กระนี้นะหรือจึงเป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวาย ฟุ้งซ่านแห่งอารมณ์ยากที่จะข่มลงไป
 แม้กระทั่งก่อนนอนของเราก็ตามที   ก็ยังที่จะอดคิดๆนึกถึงอยู่เสมอๆมา
ถึงจะเป็นแค่ในสิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ตามที  ก็ยังเฝ้าหลอกหลอนมิยอมจางหาย
จวบจนเราเข้านอนก็ไม่ค่อยจะหลับนัก   คอยแต่มัวพะวงเฝ้าคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ
    หากแม้สิ่งที่เรานึกคิดนี้เป็นความจริง     ดั่งคนที่เราเคยได้พบเห็นเสมอๆล่ะ
    แต่ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วเราจะทำฉันท์ใดดีหนอ???.....
โอ้ๆๆๆ..ขอเพียงแค่นึกคิดเท่านั้นนะ    อย่าได้เป็นไปตามคิดฝันอีกเลย...
    ไม่เป็นไรขอลืมเสียเถิด...ฉันเชื่อใจเธอเสมอมา
 เชื่อในคำมั่นสัญญาที่มีไว้ต่อกันในค่ำคืนเพ็ญแจ่มจรัสโดยมีพระจันทร์และดวงดาว
ร่วมเป็นสักขีพยานเรา   ในท่ามกลางน้ำค้างที่เฝ้าผูกพันธะใจในครานั้น
     พลางสั่นศีรษะเบาๆ...แหงนหน้ามองดูเดือนและดาวคล้ายจะถาม   แต่จันทร์ก็ยัง
ทอแสงนวลใยประกายส่องแสงสดใส  ดาวหรือก็กระพริบแสงคล้ายดั่งจะบอกเรา
เงียบแม้แต่ลมและใบไม้หรีดหริ่งเรไรที่เคยร้องก็ดูช่างเงียบหายไปเสียหมดสิ้น
    สังหรณ์ใจเกิดวูบขึ้นมาในจิตห้วงสำนึก เกิดขึ้นเป็นลางที่คล้ายจะบอกบางสิ่ง
บางอย่างแก่เราแล้วหรือไร   จึงทำให้เกิดความวังเวงแทรกเข้ามาแทนที่ภายในใจ
     ใช่แล้วเงียบเสียจริงๆ  เว้นแต่หัวใจและความคิดเราซิกลับฟุ้งซ่านไปอย่างเร่าร้อน
กระวนกระวายไปเสียทุกๆอย่าง  ทำให้ย้อนรำลึกถึงใบหน้าสาวน้อยที่งดงาม รอยยิ้ม
อันหวานฉ่ำ ลักยิ้มข้างแก้มอันขาวผ่องแดงระเรื่อของหล่อนช่างฝังลึกในใจเราเสียจริงๆ
      หรือว่า หลง  อ๊า..อ๊ะๆ!!???...หึงหวงรึ???...ใช่เราอาจจะหลงจริงๆแหละนะ 
หลงในความอ่อนหวาน งดงามในอากัปกิริยาและหึงหวงในความเอาใจดูแลเอาใจใส่
ห่วงหาอาทรเสียจนทำให้เราคะนึงคิดถึงอยู่ตลอดเวลา  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้เคยพบ
โอกาสอย่างที่เราไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อนเลย   ช่วงชีวิตผ่านมาจวบจนถึงปัจจุบันนี้ 
     แต่..อนิจจา..สิ่งที่เราพบล่ะ?  มันทำให้เราช่างแปลบปวดร้าวเสียจริงๆเสียแล้วหรือ...
  คืนนี้กับคืนนั้นมันช่างแตกต่างกันเสียจริงๆ  คืนนั้นเป็นคืนที่เราสองสุขสันต์ เบิกบาน
ต่างชวนชี้ชมแสงจันทร์ในคืนเดือนเพ็ญ  ออดอ้อนออเซาะรำพัน กระเซ้าเย้าแหย่ ล่วงสิ่ง
สัมผัสทั้งกายและใจ  ฝากไว้ในคำสัญญารักในฟ้าแห่งค่ำคืนจันทร์เพ็ญมิ แปรเปลี่ยน
        เราสองคนเคียงคู่ พิศเชยชม หยอกเย้าเฝ้า พลอดพร่ำรำพัน รัญจวนใจยิ่งนัก
ยิ่งด้วยน้ำคำเสียงปร่าแฝงไว้ด้วยอารมณ์แห่งเสน่หาซึ่งต่างมอบไว้ให้ ดูช่างเร่าร้อนอาวรณ์
 มิมีใดเหมือนรวมทั้งแฝงกระชั้นในสิ่งรัญจวน หวนหาภิรมย์ผูกใจซึ่งกันและกัน
 ล้วนแล้วแต่เกิดจากรักที่แนบแน่น ประทับใจ หวานซึ้งตรึงในสิ่งอันพึงปรารถนา
บรรลุถึงสิ่งอันพึงประสงค์ของเราทั้งสองภายใต้แสงจันทร์สกาวที่เป็นสักขีพยานรักเรา
ราวกับจะเสกสรรวิมานชมพูสู่ยังเรือนใจทั้งสอง  ถูกกล่อมแวดล้อมมโหรีดนตรีเสนาะ
ไพเราะไปด้วยเสียงหรีดหริ่งเรไรในธรรมชาติราตรี   เน้นห้วงพิศวาสให้งามใสกระจ่าง
เริงร่าแจ่มใสประกายรักพุ่งสู่สวรรค์วิมานเมืองแมนฉะนี้ก็มิปาน....
     เหตุบัดนี้นี่เล่า...ปมห่วงแห่งการเฝ้ารอคอยของเราจึงเป็นสาเหตุยามที่ไร้นางเคียงข้าง
ทำให้เกิดความหม่นหมองไปเสียแล้วหรือ
     ตื่นเถิดลมใบไม้เอย อีกทั้งหรีดหริ่งเรไรทั้งหลายเล่า มาเถิด มาเถิด จงมาช่วยกันร้องรำ
บรรเลงเพลงแห่งรัตติกาลด้วยราตรีอันมีพระจันทร์ดวงดาวที่ต่างช่วยกันส่องแสงนวลใย
สลายความมืดแห่งหัวใจ  เป็นสายใยแห่งความใสกระจ่างท่ามกลางแมกไม้ 
เพื่อไล่สิ่งอันเป็นความหม่นหมองไปเสียให้หมดสิ้นพ้นจากใจของพวกเราทั้งผอง
     ขอเป็นเพียงแค่ฝันที่ผ่านมาแล้วก็ย่อมล่วงเลยไป   มาร่วมช่วยสร้าง  ร่ายรำ ทำนองเพลง
ฝากไว้ในรัตติกาลค่ำคืนนี้ถึงมาดแม้นจะไม่มีนางกลางใจก็ตาม จะใช่ว่าทำให้พวกเราต้อง
เกิดความท้อแท้ หม่นหมองไปโดยเปล่าก็หาไม่ เพื่อฝากไว้ในราตรีอันแช่มชื่นชั่วนิจนิรันดร์

                               ***   แก้วประเสริฐ.  ***
   
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ