29 ตุลาคม 2553 15:05 น.

อทิสมานกาย ๒

แก้วประเสริฐ

a22678c7c22.gif76.gif
                                 อทิสมานกาย  ๒

     มือที่ยื่นออกมาบัดนี้มันขยายใหญ่   เท่าใบตาลทั้ง 4 ใบ มุ่งหมายมาคว้าร่างกายชายหนุ่มที่ทรุดกายนั่งอย่าง
ทอดอาลัยตายอยาก ด้วยหมดหนทางจะต่อสู้  มันช่างอ่อนเปลี้ยหมดเรี่ยวแรงไปจริงๆ   เขาแหงนหน้ามองมัน
  ตาทั้งสองข้างของเขาเบิ่งโพลงกว้าง  สติสัมปชัญญะจวนจะดับวูบอยู่รอมร่อ  พร้อมเสียงร้องโหยหวน
     โบ๊วๆๆๆ......โบ๊วๆๆๆๆ!!!!.....ของเจ้าหมาภายในวัดส่งเสียงร้องรับกันเป็นช่วงๆ  มิยอมหยุดกับส่งเสียงดัง
ก้องกังวานมากยิ่งขึ้น  มีบางตัวบ้างเห่ากระโชกๆ  อากาศเริ่มที่หนาวเย็นของคืนข้างแรมแผ่เยือกเย็น ได้ยินเสียง
น้ำค้างหยด แปะๆ จากใบไม้ริมข้างทาง  ตัวของชายหนุ่มเปียกโชกด้วยละอองของน้ำค้าง 
แต่ร่างกายเขากับผสมเหงื่อไหลแตกซ่านไปทั่ว   ร่างสั่นสะท้านไหวเอนไปๆมาๆ มือไม้แขนขาอ่อนไปหมด
   
  แสงของพระจันทร์เริ่มหายๆไปด้วยเมฆมาบดบัง ทำให้บริเวณนั้นมืดครึ้ม  นอกจากแสงของไฟฉายที่เขาทำล่วง
หล่นห่างจากร่างชายหนุ่ม  แต่แสงของมันเพียงทอดต่ำไปกระทบต้นโคนไม้ใหญ่ที่ปกคลุมกิ่งก้านใบเท่านั้น   
แต่ทว่าร่างของเจ้าผีร้ายสี่ตนยังแลเห็นยืนเป็นสีขาวโพลนท่ามกลางพุ่มไม้ที่มืดมิด  บนถนนนั้นผีร้ายสองตัวร่างก็
นอนทอดร่าง ขวางถนนที่ขรุขระบางเป็นหลุมบ่ออันเกิดจาก วัวควายเกวียนหรือล้อมอเตอร์ไซค์  ร่างนั้นก็ขาว
โพลงเช่นเดียวกัน    ร่างชายหนุ่มสั่นระริกๆราวกับจะเป็นไข้  วูบหนึ่งของสติทำให้เขารำลึกนึกถึงคำของพ่อที่ก่อน
ที่ปู่จะสิ้นใจ  พร่ำกล่าวบอกหนทางแก่ปู่ เขานั่งเฝ้ามองอยู่ใกล้ๆ  ปู่นอนทอดกายบนเสื่อกระหนาบด้วยพ่อแม่เขา  

         พ่อๆๆ....พระอรหังนะพ่อ  พระอรหังๆๆๆ   เสียงปู่ พึมพร่ำเบาๆพอสิ้นคำอรหังปู่ก็หมดลมหายใจไป ตอนนั้น
เขามีอายุราวสิบกว่าขวบได้ยินคำนี้   แล้วยังถามพ่อว่า พระอรหังหมายหมายความว่าอะไรหรือพ่อ?????......
        พ่อหันมามองนัยน์ตาแดงกล่ำมีหยาดน้ำตาไหลย้อยเป็นทาง กล่าวเบาๆว่า เป็นพระจ๊ะลูก พระที่พ้นจากกิเลสแล้ว
เขานึกคำๆนี้ได้  ก่อนที่สติเขาจะดับวูบหายไป เขาจึงกล่าวคำที่พ่อเคยสอนปู่ไว้   เสียงพล่าๆด้วยลำคอตีบตันน้ำเสียง
ออกมาเพียงเบาๆ  พุทโธ  ธัมโม สังโฆ  ช่วยลูกด้วย แล้วกล่าวตามคำพ่อที่เคยสอนปู่  ซึ่งเขาจำได้อย่างแม่นยำ ด้วย
มักจะท่องเล่นเสมอๆ  จนพ่อแม่เขาต้องห้ามว่า  

      เฮ้ยๆๆๆไอ้โชติๆ...  พ่อแม่มึงยังไม่ตายนะมึงจะท่องห่าเหวอะไรล่ะ??... 
คำนี้เขาใช้บอกสำหรับคนตายเท่านั้น  เสียงแม่ตวาดมาอย่างฉุนเฉียว 
เขานึก... อะไรๆแค่กล่าวคำนี้ก็ไม่ได้ทีพระท่านพูดคำๆนี้   ไม่เห็นพ่อแม่โมโหเลยนี่นา   
แต่เมื่อเขาเกิดชอบคำๆนี้ก็เลยท่องไว้เพื่อจดจำ   เขาจึงไม่ค่อยจะเข้าใจทำไมพ่อแม่เขาจึงห้ามเขาท่อง 
 แต่บัดนี้เขานึกขึ้นมาได้  ดังนั้นเขาตะโกนเสียงเท่าที่เสียงเขาจะดังได้ มันสั่นระริกๆ  พระอรหังๆๆๆ  
เขาท่องไปเรื่อยๆพลางรวบรวมสมาธิเท่าที่จะมีหลับตาท่องๆไป ด้วยไม่อยากจะเห็นมืออันน่าเกลียดน่ากลัว
ที่มีแต่หนังหุ้มกระดูก แขนนิดเดียวแต่ฝ่ามือมันช่างใหญ่โตมโหฬารนัก ยิ่งใกล้ๆยิ่งใหญ่มากขึ้นๆ
เขาหลับตาปี๋บ้าง บางครั้งก็ลืมตาบ้างคิดว่าจะวิ่งหนีมันแต่ทำไมเรี่ยวแรงเขาหายไปหมดสิ้น......

       มือที่ใหญ่โตทั้งสี่กลับชะงักไม่อาจล่วงเข้ามาถึงตัวเขาในระยะห่างไม่เท่าไหร่    เสียงมันร้องลั่นโหยหวน 
กรี๊ดๆๆๆ!!!!!!........ เขาลืมตาขึ้นมองเห็นมือทั้งสี่ของมันปรากฏมีเปลวไฟพวยพุ่งไหม้มือมัน
เมื่อมือมันยื่นมาใกล้ๆตัวเขา  ร่างมันเริ่มเตี้ยลงๆ....แล้วค่อยๆจางหายไป  ด้วยไฟที่ไหม้มือมันลุกลาม
ไปยังร่างมันทีละน้อย ที่ละน้อยกอไผ่ที่ขวางถนนนั้นกลับหายไป    

        ความมืดยังปกคลุมบริเวณที่เขาอยู่  แม้ไฟฉายจะอยู่ห่างจากเขาไม่เท่าไหร่นัก  แต่เขาหมดเรี่ยวแรงที่จะไปเก็บ
มันได้  นอกจากนั่งมองมันตัวสั่นขนลุกชันไปทั่วทุกขุมขน   เขาหอบหายใจยาวๆเหมือนหนึ่งวิ่งมาเสียหลายกิโล
เสียงสัตว์นาๆชนิดกลับส่งเสียงระงมขึ้นอีกวาระหนึ่ง   เมื่อสักครู่นี้เสียงเหล่านี้มันหายไป  แต่หมาเจ้ากรรมในวัด
ก็ยังหอนเป็นทอดๆอยู่    ครั้นสติตั้งได้เป็นปกติแล้วเขาก้มลงกราบที่พื้นดินพลางรำลึกนึกถึงคุณพระคุณเจ้าที่มา
ช่วยเขาให้นึกคำที่พ่อบอกได้เสียก่อน   

         มิฉะนั้นเขาจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ เขาไม่คิดจะกลับบ้านอีกแล้วนึกว่าอย่างไรผีก็คงจะไม่เข้าไปในโบสถ์ได้ดัง
คนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟังเสมอๆ  เขาคิดว่าจะอาศัยนอนหน้าโบสถ์ก่อนจนกว่าจะสว่างแล้วค่อยเข้าไปบ้าน มิฉะนั้น
เขาอาจจะพบอะไรอีกที่เขามิมีทางจะต่อสู้ได้   พอหันไปในวัด เห็นกุฎีพระต่างจุดไฟกันเป็นแถวเสียงพระท่านตื่น
ขึ้นมาสวดมนต์กันใหญ่    เสียงสวดมนต์ดังลั่นไปหมดเขารู้สึกใจชื้นขึ้นมาเสียงสวดมนต์ของพระท่านทำให้เขา

         เกิดพละกำลังขึ้นอย่างประหลาด  เขาหันไปเก็บไฟฉายและพาดกระเป๋าดังเดิม ตอนนั้นทั้งกระเป๋ามันหลุดไป
จากตัวเขาได้อย่างไรก็ไม่รู้      นึกสิ่งที่พบเห็นก็จึงขยาดหวาดหวั่นยิ่งนัก  เมื่อจัดการของเรียบร้อยแล้วเขาหาทางเข้า
ไปในตัววัด เดินไปวิ่งไปความคิดที่จะนอนหน้าโบสถ์ถูกเปลี่ยนกะทันหัน  เขาวิ่งไปยังกุฎีเจ้าอาวาสที่ไม่ห่างจาก
โบสถ์เท่าใดนัก   ครั้นไปถึงหน้ากุฎีเห็นหลวงพ่อยืนคอยต้อนรับอยู่แล้ว

        เขาก้าวขึ้นไปบนบันไดพอถึงตัวหลวงพ่อก็ก้มลงกราบที่เท้าท่านพลางกล่าวว่า
    หลวงพ่อจำผมไม่ได้หรือขอรับ  กระผมไอ้โชติศิษย์หลวงพ่อไงล่ะ
 หลวงพ่อยกเทียนขึ้นส่องใบหน้าเขา  พลางกล่าวว่า
     เออ????.....กูจำไม่ได้ว๊ะ  กูมีลูกศิษย์หลายๆคน.....เสียด้วยซินะแล้วมานี่ได้อย่างไรล่ะ???...
     อ้าวๆ????....ก็ไอ้โชติที่ติดตามหลวงพ่อไปบิณฑบาตไงล่ะ พอจะนึกออกไหมครับหลวงพ่อ

     เอ๊ะๆๆ???....งั้นมึงลูกไอ้เชียรหลังวัดใช่ไหมว๊ะ???......
     ใช่แล้วครับ  ผมลูกพ่อเชียรที่มาถือศีลในวัดนี้ประจำ  แต่ผมไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯและทำงานที่นั่นไม่ได้กลับมา
หลายๆปีแล้วครับหลวงพ่อ  พอมาก็ค่ำมืดเสียแล้วเลยเจอผีมันเล่นงานผมครับหลวงพ่อ
      บุญยังคุ้มหัวมึงนะไอ้โชติ  แล้วมึงรอดมาได้อย่างไรล่ะ  กูได้ยินเสียงพวกมันแล้วจึงขึ้นมาสวดมนต์ปลุกลูกวัดให้
มาสวดมนต์แผ่กุศลให้มัน  แต่มันแปลกว๊ะมันไม่ยอมรับกุศลที่กูแผ่ให้มันเลย สงสัยมันจะกรรมหนักมากนะ..หลวงพ่อ
หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า  หลวงปู่ทองเอ่ยขึ้น

      ผมเองก็เกือบตายเหมือนกันครับหลวงพ่อ มือมันจะมาคว้าตัวผม มือมันใหญ่เท่าใบลาน แต่ตัวผอมเห็นแต่หนังหุ้ม
กระดูกสูงชะลูด  นึกถึงคำพ่อบอกแก่ปู่ก่อนจะตาย ว่าพระอรหังๆ  ผมเองสติแทบแตกเลยล่ะ  ดีนะนึกคำนี้มาได้จึงได้
ขอคุณพระคุณเจ้าช่วยเหลือ แล้วท่อง พระอรหังๆๆ ครับหลวงพ่อ
       พอผมท่องไปหลับตาไปลืมตาไปมือมันเข้ามาใกล้ตัวผมแต่ห่างประมาณสองสามวาเห็นจะได้มันร้องลั่นเลยครับ
ไม่รู้มันไปโดนอะไรเข้าผมก็มองไม่เห็น  แต่มือมันซิไฟไหม้มือลุกโชนเลยครับ     ชายหนุ่มเล่าให้หลวงพ่อฟัง

พอไฟก็ลุกไหม้ท่วมมือมันลามไปหามัน   มันก็จางหายไปทั้งสี่ตัวแหละครับ  ผมนั่งพักตั้งสติได้ก็เก็บของแล้วโกยมา
ด้วยเห็นกุฎีจุดไฟสวดมนต์อยู่ ทำให้ผมใจชื้น ตอนแรกคิดจะไม่กลับบ้านจะนอนที่หน้าโบสถ์แล้ว  เมื่อเห็นไฟตาม
กุฎีก็รีบแจ้นมาหาหลวงพ่อนี่แหละครับ
     เออๆๆๆมันทำร้ายคนมามากจนไม่มีใครกล้าเดินกลางคืนทางนี้มานานแล้ว  หลวงพ่อไม่อยากทำมันสงสัยมัน
สร้างกรรมสร้างเวรมามาก  ทั้งๆที่ภพต่อไปต้องเป็นสัตว์เดรัจฉานสบายกว่าเป็นเปรตมากนัก
แม้ตายเป็นเปรตก็ยังไม่รู้สำนึกผลเวรกรรมของมัน  ไอ้สี่ตัวนี้มันร้ายนักเห็นทีจะเอาไว้ไม่ได้เสียแล้วแต่ก็ไม่อยาก
จะผิดศีลในเรื่องนี้นะ

      อะไร????....  เปรตหรือขอรับหลวงพ่อ???....
      เออๆๆ...ที่มึงพบนี่แหละเปรตล่ะ ก่อนตายมันทุบตีพ่อแม่ แล้วทำร้ายไม่พอยังฆ่าพ่อแม่มันอีก มันพ้นจากขุมนรก
มาเป็นเปรตนึกว่าจะมาเที่ยวขอส่วนบุญเพื่อจะได้ไปเกิดใหม่ หน๋อยแน่มันกับสร้างเวรเพิ่มอีก  คงไม่นานมันต้องกลับ
ไปขุมนรกอีกล่ะ ตอนแรกหลวงพ่อก็สงสารมันไปขอร้องมัน  มันไม่ยอมรับอะไรทั้งสิ้น ครั้นจะจับมันหรือก็เกรงบาป
กรรม ก็ต้องคอยบอกแก่ชาวบ้านให้ระวังตัวไว้เอาเอง    ดีนะมีแม่ตะเคียนคอยช่วยเหลือชาวบ้านอยู่จึงค่อยยังชั่ว

        งั้นคืนนี้มึงนอนหน้าห้องกู รับรองมันไม่กล้าเข้ามาภายในวัดนี้หรอก       หลวงพ่อกล่าวขึ้น
ชายหนุ่มกราบหลวงพ่ออีกครั้งแล้วเดินตามหลังท่านไป
    เขาเดินไปนึกคำหลวงพ่อไป....แม่ตะเคียนคอยช่วยเหลือชาวบ้าน  เอ๊ะๆหรือหญิงสาวที่เขาเจอหรือเปล่านะชักสงสัย
แต่ก็ต้องทิ้งความคิดนี้เสียกลางคัน  ด้วยเสียงหลวงพ่อหันมากล่าวกับเขา
       เออๆๆมึงนอนตรงนี้เดี๋ยวกูจะไปเอาหมอนผ้าห่มมาให้  มุ้งไม่มีนะโว้ยกูไม่เคยใช้มุ้งเลย ใช้แต่กลดเท่านั้น
มึงก็เอาจีวรของกูทำเป็นกลดก็แล้วกัน นี่เชือกมึงก็ทำเป็นนี่นาเคยเป็นลูกศิษย์วัดมาก่อน

      เป็นครับหลวงพ่อ      ชายหนุ่มกล่าวพร้อมยกมือไหว้พนม
      งั้นมึงรอเดี๋ยวนะ......      
แล้วหลวงพ่อก็เดินเข้าห้องไป  สักครู่ใหญ่ๆ นานพอสมควร  
  เสียงขลุกๆขลักดังภายในห้อง  สักพักใหญ่หลวงพ่อก็เดินหอบของพะรุงพะรัง มีหมอน ผ้าห่มแล้วจีวรเก่าๆ ส่วนเชือกท่านมอบให้ก่อนแล้ว  เดินออกมาส่งให้แก่ชายหนุ่ม พลางกล่าวว่า.....
      เดี๋ยวกูก็จะทำสมาธิอีกหน่อยแล้วก็จะจำวัดล่ะ  มึงไม่ต้องห่วงอะไรหรอกนะไม่ต้องกลัว  นี่แน๊ะมึงเอาสร้อยที่กู
พึ่งทำเสร็จเมื่อกี้นี้เอง  สวมคอไว้ด้วยนะไม่ต้องถอดแม้มึงจะเข้าห้องน้ำก็ไม่ต้องถอด ของกูมันไม่เสื่อมหรอก
ยกเว้นอย่างเดียวอย่าไปยุ่งกับผู้หญิง 
 เมื่อยุ่งก็ถอดใส่กระเป๋าเสื้อไว้ก็แล้วกัน หลวงพ่อสั่งเขาไว้ ก่อนจะดินเลี่ยงเข้าห้องไป
         ครับหลวงพ่อ..........  ชายหนุ่มก้มลงกราบก่อนที่หลวงพ่อจะเดินหายไป

เขานำไฟฉายมาส่องเห็นสร้อยนั้นทำด้วยผ้าจีวรถักคล้ายหางเปีย  ที่เด็กหญิงมักถักไว้ข้างหลังเสมอ  แต่มีรอยเขียนยันต์
ด้วยหมึกสีดำพันเป็นเกลียวอยู่ด้วยร้อยด้วยพระองค์หนึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมนั่งขัดสมาธิ   เขายกมือขึ้นจบอธิษฐานขอคุณ
บารมีจงช่วยคุ้มครองเขาด้วย  แล้วค่อยสวมใส่ที่คอเขา    แล้วไปจัดการทำมุ้งโดยรวบชายจีวรตลบรวมกันนำเชือกที่
หลวงพ่อให้มาผูกเป็นปม  หันไฟฉายไปที่หลังคากุฎีซึ่งไม่สูงมากนัก   เขาเหวี่ยงเชือกลอดขื่อห้องปลายผูกเป็นสอง
ท่อน  ท่อนแรกเป็นปม แล้วอีกท่อนผูกกับจีวร   พอที่เวลาเลิกใช้จะได้จัดการเก็บได้สะดวกครั้นเรียบร้อยแล้วก็เข้า
ไปแหวกที่ช่อง  จัดการขยายนำสัมภาระมาวางกันเป็นอาณาเขตพออาศัยนอนได้ เป็นอันเสร็จ

       เขาเข้าไปนอน แต่นอนไม่หลับด้วยความตื่นเต้นต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมาหยกๆ   เขาพยายามท่องพระอรหังๆหวัง
จะให้หลับ  ยิ่งท่องกลับยิ่งไม่หลับแต่จิตใจเขาสงบมากขึ้นเท่านั้น  จึงลุกขึ้นค้นหาบุหรี่กับไฟแช๊ค เดินไปยังใกล้
บันได  จัดไฟสูบหรี่ดับความเครียด  ทอดสายตาไปยังลานกว้างทีเชื่อมต่อระหว่างกุฎีกับโบสถ์   ซึ่งเป็นลานใช้สำหรับ
จัดงานเวลาออกพรรษาเพื่อให้ชาวบ้านมาทำบุญตักบาตรเทโวกัน
      แสงจันทร์แรมต้นๆเริ่มส่องแสงสว่างชัดเจนแผ่กว้างทั่วลาน ด้วยไม่มีต้นไม้เป็นลานดินเรียบๆ  ทันใดนั้นเขาก็ต้อง
สะดุ้งสุดตัวตาค้าง บุหรี่หล่นจากมือทันที  สิ่งที่เขาแลเห็นในลานกว้างๆนั้น กับเห็นเด็กผมจุกหลายๆคนมีทั้งเด็กชาย
เด็กหญิง กำลังวิ่งเล่นกัน บ้างแยกเป็นกลุ่ม บ้างกำลังกระโดดเชือก บ้างเล่นงูกินหาง  บ้างเล่นตั่งเต  ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอย่างสนุกสนานกันทั่ว

        ตัวเขาเริ่มชาและสั่น เขารีบคว้าสร้อยพระที่หลวงพ่อให้มากำไว้ในมือทำให้จิตใจเขาสงบเยือกเย็นด้วยใจชื้นทันที
เสียงเรียกจาก   พวกเด็กๆหันหน้ามามองทางเขา    พลางกวักมือเรียกเขาเสมือนชวนเขาไปเล่นด้วย  เสียงดังลอยผ่านมา
       น้าจ๋าๆๆ....มาลงมาเล่นกับพวกหนูด้วยซิจ๊ะ    เสียงนั้นเยือกเย็นยิ่งนักแต่มันทำให้ใจเขาสะท้านเย็นเยือกทันที แต่
บัดดลไออุ่นจากสร้อยพระแผ่ซ่านมาทั่วร่างกายเขาด้วยทำให้เกิดความอบอุ่นแก่เขาแทนความหนาวเย็นนั้นๆ
       เด็กๆบางคนวิ่งมาหาเขาที่หน้าบันได แต่ไม่กล้าขึ้นมา
     น้าจ้า....ไม่ต้องกลัวพวกหนูหรอก   พวกหนูเป็นคนดูแลภายในบริเวณวัดเป็น ลูกหลานหลวงพ่อทองจ๊ะ  

เสียงนั้นกล่าวขึ้น   เมื่อก่อนนั้นน้าก็เคยอยู่กับพวกหนูนี่นาหนูยังไปนอนกับน้าอยู่เลย  แต่น้าหายไปนานจริงๆ แต่หนู
จำน้าได้   เห็นน้าเจอพวกเปรตมันจะเข้าไปช่วยน้า   แต่ว่าหนูสู้มันไม่ได้ก็ไปบอกหลวงพ่อท่านให้มาช่วยน้าจ๊ะ
       ครั้นชายหนุ่มได้ยินพวกเด็กกล่าวเช่นนี้    ความหวาดกลัวค่อยจางหายไป
 แต่ก็ยังกลัวอยู่      จนกระทั่งพวกเด็กๆคล้ายจะรู้ใจเขา  จึงกล่าวว่า
        น้าไม่ต้องกลัวหนูหรอกจ้า เราพวกเดียวกัน ถึงหนูไม่ใช่คนก็ตาม  แต่พวกหนูคอยช่วยเหลือคนจ๊ะน้าหลวงพ่อ
ท่านคอยอบรมสั่งสอนเสมอ  หากเป็นพวกผีธรรมดามันจะกลัวพวกหนูจ๊ะ  มาเถอะไม่ได้เจอกันเสียนานมาเล่นกับ
พวกหนูด้วยกันนะจ๊ะน้า
        เขายิ้มให้กับคำพูดที่ไพเราะแต่เยือกเย็นนักว่า

    ไม่หรอกจ้าน้าเหนื่อยเหลือเกิน  ไว้โอกาสหน้าหากมานอนกับหลวงพ่อก็จะไปสนุกกับพวกหนูนะ
     จ๊ะไม่เป็นไรรอกจ๊ะน้าหนูเข้าใจ  งั้นหนูไปเล่นกับพวกก่อน  อ้อๆๆเดี๋ยวหนูเรียกพวกหนูให้มารู้จักน้าไว้นะจ๊ะ
พลางเด็กตนนั้นก็เรียกพวกทันที    พร้อมกับมีเด็กทั้งหญิงและชายต่างวิ่งกันมาแล้วยืน  เขานับได้ประมาณสิบกว่าตน
เห็นจะได้  ต่างยกมือไหว้เขาและแนะนำตัวกันทุกๆคน  มีคนหนึ่งถามเขาว่าชื่ออะไร  เขาจึงกล่าวว่า
       น้าชื่อโชติจ้า  ชื่อเต็มว่า วีระโชติ
  ชื่อเพราะจังเลยนะพวกเรา  เด็กหญิงค่อนข้างจะเป็นสาวรูปร่างใบหน้าสวยงามสูงเพรียวสูงใหญ่กว่าทุกๆตน
อายุอานามคงเกือบยี่สิบหรือไม่ก็กว่ายี่สิบเล็กน้อยเห็นจะได้   พลางกล่าวว่า
       อุ๊ยๆๆ....รูปหล่อเสียด้วย  รูปร่างก็งดงามไม่เห็นเหมือนชาวบ้านแถวนี้เลยนะ ตัวข๊าว ขาว
   แหม๋ๆอยากเป็นแฟนน้าจังเลยนะ ถ้าเป็นแฟนฉันรักตายเลยล่ะ จริงๆนะ.....

     จะบ้าหรืออีอ้อย???.....   เด็กผมจุกกล่าว เอ็งเป็นสาวเป็นนางโตแล้วนะ  พูดล้อเล่นกับน้าเขา
แบบนี้ได้หรือเขาเป็นหนุ่มแล้วนา   เดี๋ยวแฟนเขาก็ตบเอาหรอกกูไม่ช่วยมึงนะ เป็นผีก็อยู่ส่วนผีซิโว้ย......
     เด็กสาวหันไปค้อนเด็กที่กล่าว แต่ไม่กล้าต่อล้อต่อเถียง   ชายหนุ่มคิดว่าเด็กคนนี้คงจะเป็นหัวหน้ากลุ่มเด็ก
กระมัง  จึงกล้าพูดเช่นนี้ทั้งๆที่ตัวก็เล็กกว่ากันแยะ   ดังนั้นเขาจึงถามว่า
          อ้าวแล้วใครล่ะเป็นหัวหน้ากลุ่มพวกหนูๆนะ
ผมเองแหละครับน้า  ผมไอ้จุกหลวงพ่อท่านให้เป็นหัวหน้าคอยดูแลควบคุมไว้จ้า
         งั้นหรือน้าก็คิดเหมือนกัน  เห็นเด็กๆเชื่อฟังหนูคนเดียว
         จ๊ะน้า....งั้นหนูไปขอเล่นกันก่อนนะ วันนี้แสงจันทร์สวยจังเลย ลานก็สว่างเสียด้วยซี
 
             ใช่ซินะคืนนี้พระดวงจันทร์ยังเต็มดวงอยู่เพียงแค่แหว่งนิดเดียว เพราะเริ่มข้างแรมต้นๆ   ชายหนุ่มกล่าวขึ้นว่า
        ไปเถอะจุกไปเล่นน้าจะคอยมอง เดี๋ยวก็จะเข้านอนแล้วล่ะ  ว่างๆไปเยี่ยมน้าบ้างนะ บ้านน้าอยู่ใกล้ๆแถวนี้แหละ
บ้านพ่อเชียร  แม่เข็มไงล่ะ......
        อ้อบ้านพ่อเชียรแม่เข็มหรือ  ท่านใจดีนะน้า   ทำบุญเก่งและมักแผ่บุญมาให้พวกหนูเสมอๆแหละจ้า 
เอ๊ะๆๆๆ....พ่อเชียรแม่เข็มก็เก่งคาถาอาคมนี่นา   ทำไมน้าไม่ร่ำเรียนกับพ่อแม่น้าล่ะ???.....
       น้าไม่ค่อยชอบจ้า  ชอบเรียนหนังสือเท่านั้น  เห็นทีคราวนี้จะขอเรียนกับพ่อแม่บ้างล่ะ

        หลวงพ่อทองท่านก็เก่งมากและพ่อเชียรก็มาร่วมกันศึกษาวิชาอาคมด้วยกัน เรียกว่าเก่งกันทั้งคู่เลย แหม๋น่าเสียดาย
น้าเป็นลูกทั้งทีน่าจะมีวิชาบ้าง  ไม่อย่างนั้นพวกเปรตมันคงทำอะไรน้าไม่ได้หรอกจ้า  หนูไปล่ะ คืนนี้จะคอยระวังน้า
ให้นะ  น้านอนตามสบายเถอะจ้า  แล้วจะกลับเมื่อไหร่ล่ะ???.....     เด็กผมจุกถาม
       คงอีกประมาณเดือนหนึ่งจ๊ะ  ลางานเขาได้เดือนหนึ่งด้วยน้าไม่เคยลาพักร้อนเลยล่ะ เลยรวบรวมพักเสียทีเดียวด้วย
บ้านอยู่ไกลๆ  คิดว่าจะมาหลายๆวันหน่อย   หนูไปเล่นตามสบายเถอะเดี๋ยวน้าก็จะนอนแล้ว      ชายหนุ่มกล่าวตอบ
       แปลกจริงๆเขาสนทนากับพวกเด็กๆอย่างไม่หวาดกลัวหรือว่าเขากลัวจนหายกลัวเสียแล้ว  แต่นี่ทั้งๆที่รู้ว่าเด็ก
พวกนี้เป็นผีเด็กก็ตามความสนิทสนมในใจกับมีมากด้วย  อาจจะคงคุ้นเคยมาก่อนเก่าก็เป็นไปได้
  แต่สภาพก็เหมือนคุยกับเด็กๆทั่วๆไป............

                                                 * แก้วประเสริฐ. *

Cartoon_Animation_08.gif692823n68ya60jv9.gif				
25 ตุลาคม 2553 19:52 น.

อทิสมานกาย

แก้วประเสริฐ

76.gif
                                                            อทิสมานกาย ๑

     เสียงรถเก่าปุเรทั่งดังสนั่น บางครั้งดังปุ๊ดๆครืดๆคราดๆ วิ่ง ขโยกเขยกมาตามถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่นสีแดง
กระจายฟุ้ง   ซ้ำควันดำปนขาวพวยพุ่งออกมาจากท่อไอเสียเป็นควันออกมาคล้ายลำทางยาวๆทอดตามหลัง
    รถวิ่งไปตามถนนดินแดงที่เล็กแคบๆคดเคี้ยวไปมาตลอดระยะทาง ถนนพอที่จะรถสวนกันได้เท่านั้น 
สองข้างทางพุ่มไม้ ต้นไม้ใหญ่เกาะเต็มไปด้วยผงฝุ่นสีแดงดุจฉาบไปด้วยสีฝุ่นมิปาน

     บรรดาผู้โดยสารที่นั่งทั้งหญิงชายต่างวัย บ้างก็เอาผ้าปิดจมูก บ้างก็ไม่ปิดแต่ที่เหมือนๆกันคือ บนหัวเต็ม
ไปด้วยฝุ่นสีแดงประหนึ่งดั่งถูกย้อมด้วยสี  ทุกๆคนนั่งสั่นคลอนไปๆมาๆตลอดระยะทางที่นั่งบนรถดังกล่าว
รถคันคันนั้นวิ่งผ่านถึงหมู่บ้านแล้วหยุดส่งผู้โดยสาร แล้ววิ่งต่อไปเช่นนี้หมู่บ้านแล้วหมู่บ้านเล่า บ้างขึ้นเขา
ลงเขาทั้งสองด้านหนึ่งของเขาเป็นหุบเหวลึกเต็มไปด้วยพืชพันธุ์นานาชนิด ทั้งต้นเล็กต้นใหญ่สลับไปตาม
ภูมิประเทศนั้นๆ

     บนรถโดยสารมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านท้ายสุดของตัวรถ ใบหน้า คมสัน สูงโปร่งค่อนข้างลำสันกำยำ
นั่งหลับตาสัปหงกโดยมิคำนึงสิ่งที่เกิดขึ้น  รถวิ่งคดเคี้ยวไปคดเคี้ยวมาจนมาถึงหมู่บ้านหนึ่ง หน้าทางเข้าหมู่บ้าน
เขียนว่า บ้านโคกอีแร้ง  เสียงเด็กกระเป๋ารถ เข้าไปสะกิดร่างชายหนุ่มดังกล่าวให้รู้สึกตัวว่าถึงจุดหมายปลายทาง
แล้วชายหนุ่มพลันลืมตามอง พลางสะบัดหัวเบาๆ   
หยิบกระเป๋าเดินทางใบย่อมๆขึ้นสะพายบนบ่าแล้วก้าวลงจากรถออกมายืนริมทาง

      รถคันดังกล่าวก็วิ่งต่อไปทอดทิ้งควันพวยพุ่งออกมาเป็นทางยาว  ชายหนุ่มยืนอยู่บนถนนพลางมองรถคันนั้น
จนหายลับไปตามโค้งของพุ่มไม้บดบังคงได้ยินแค่เสียงค่อยๆจางหายไป  ชายหนุ่มซึ่งพึ่งตื่นนอน พลาง
บิดตัวไปๆมาๆ  แล้วหันไปมองทางเดินซึ่งเต็มไปด้วยหลุมขรุขระทางเล็กๆ  เขาแหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้า
ตะวันจวนจะลับขอบพุ่มไม้ไป ซึ่งตกเป็นเวลาเย็นมากแล้ว    ดังนั้นเขาคิดว่าต้องอาศัยเดินเท้าเข้าบ้านเขา และ

     กว่าถึงหมู่บ้านคงจะค่ำมากซินะ  ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง    มิรอช้าเขารีบออกเดินทางอย่างรวดเร็ว หลบหลุม
ที่เต็มไปด้วยแอ่งน้ำ   มองไปข้างหน้าซึ่งเป็นทางคดเคี้ยวไปมา  ครั้นเขาเดินทางมาได้ครึ่งทางความมืดก็เข้าปกคลุม
ทางเดินเสียแล้ว  ชายหนุ่มปลดกระเป๋าที่สะพายบนบ่าออกมาเปิด นำเอาไฟฉายขนาดย่อมๆออกมาแล้วปิดกระเป๋า
ยกขึ้นสะพายบ่าทั้งสองข้างสัมภาระอยู่ด้านหลัง  

พลางเปิดไฟฉายส่องทางออกเดินทางต่อไป  เสียงจิ้งหรีด จักจั่นตลอดจนสัตว์นาๆชนิดส่งเสียงดังเป็นระยะๆ 
 เขาก้าวหน้าเดินต่อไป แสงจันทร์เริ่มส่องสาดแสงสีนวลใยพอจะมองเห็นทางแต่เป็นบางช่วงเท่านั้น   ชายหนุ่ม
แหงนหน้ามองท้องฟ้า ซึ่งมีดวงจันทร์ดูค่อนข้างเสี้ยวหมายถึงว่าเป็นข้างแรมต้นๆ  ปลายขอบฟ้ามีดาวระยิบระยับ
ประชันแสงส่อง     เสียงร้องโหยหวนของเหล่าหมาดังขึ้นอย่างโหยหวน เสียงมันทอดเป็นระยะๆขณะที่เขาเดินทาง

       โบ๊วๆๆๆ  หอนทอดเป็นระยะๆในระหว่างร่างเขาหลบหลุ่มที่เต็มไปด้วยน้ำ
 ร่างชายหนุ่มชะงักนิดหนึ่งแต่อาศัยที่เขาเกิดที่นี่เคยคลุกคลีกินนอนเคยมาอาศัยเรียนหนังสือกับพระจากในวัด
จึงทราบว่านี่ ใกล้หมู่บ้านแล้ว   ด้วยเสียงนี้คงดังมาจากหมาภายในวัดโคกอีกแร้ง ซึ่งวัดนี้ไม่ห่างไกลจาก
หมู่บ้านเท่าใดนัก   เขารีบเร่งเดินทาง ระหว่างทางเดินที่แสนขรุขระปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่นานาพันธุ์ด้วย อาศัย
เป็นคนถิ่นนี้โดยกำเนิดจึงไม่เกรงกลัวต่อเสียงหอนเท่าใดนัก  

     ชายหนุ่มเมื่อเรียนจบจากรร.ใกล้ๆหมู่บ้านก็ไปต่อที่ในจังหวัดแล้วก็สอบชิงทุนไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ เขาจากไป
เสียนาน จนกระทั่งเป็นหนุ่มมิเคยกลับบ้านเลยเป็นเวลาหลายปี   บัดนี้เขาได้ทำงานที่ดีและคิดถึงครอบครัวที่จากไป
เสียนานจึงกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด     ไฟฉายได้ส่องทาง  เขาเริ่มเร่งการเดินทางด้วยนี่ก็จวนสองทุ่มแล้วเมื่อ
เขายกนาฬิกาขึ้นมองเวลา   บัดดลเสียงทักทายดังขึ้นมาริมข้างทางใกล้ต้นไม้สูงใหญ่   
       จะรีบไปไหนจ๊ะ???...  เสียงเรียกช่างเยือกเย็นจับใจเสียเหลือเกิน     เขาหันไปมองแต่เพียงเห็นแค่เลือนรางเท่านั้น

     ไฟฉายได้ส่องไปยังเสียงเรียกเขาทันที    สิ่งที่พบคือร่างของหญิงสาวแต่เขาไม่เห็นใบหน้า ไฟฉายเพียงจับแค่ร่าง
ของหล่อน ครั้นฉายไปยังใบหน้า เขากลับแลไม่เห็น  รู้เพียงว่าเป็นหญิงสาวค่อนข้างจะสวยงามแต่งกายแบบโบราณ
ห่มผ้าสไบเฉียงสีเขียวขลิบลายดอกไม้   นุ่งผ้าซิ่นขลิบทองจับจีบไว้ข้างหน้า ผมสยายยาวจนเกือบจดเอว 
ทรวดทรงอ้อนแอ้น ได้สัดส่วน    ทำให้เขานึกฉงนใจทันทีว่าดึก
ปานนี้เหตุใดจึงมีหญิงสาวมายืนอย่างโดดเดี่ยวคนเดียว

     เขาฉายไฟฉายไปยังต้นไม้ใหญ่หากไม่ผิดมันคือต้นตะเคียน หรือว่า !!!!?????........   ชายหนุ่มไม่อยากคิด
รู้สึกเพียงร่างกายเย็นเยือกขึ้นมาอย่างกะทันหัน  เขาสะดุ้งในใจแต่เนื่องจากตั้งแต่เล็กเขาคลุกคลีกับวัดจึงมิได้
เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น  แม้แต่คนตายก็ยังเคยช่วยสัปเหร่อยกเข้าโลงเสมอๆ เรื่องผีสางนางไม้ก็ยังไม่เคยพบเห็นเลย
แต่นี่ๆๆ....ทำไมร่างเขาจึงเริ่มจะมีอาการสั่นขึ้น  ความหนาวเย็นเข้ามาจับหัวใจกะทันหัน พอตั้งสติได้เขาจึงกล่าวว่า

         ฉันๆฉานๆ... ด้วยเสียงกระเส่า อ้าๆ...พึ่งกลับมาเยี่ยมบ้านจ้า  อ้าวแล้วเธอมายืนทำไมคนเดียวล่ะ???...
         ฉันอยู่ที่นี่คนเดียวจ้า!!!!!.....อยู่มานานแสนนานแล้วพึ่งพบเธอนี่แหละเห็นแปลกหน้าและเร่งรีบก็เลยถามดู
          รถพึ่งจะมาถึงเมื่อตอนใกล้ค่ำนี่เอง  แต่ที่นี่ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลยน๊ะ!!!
          จ๊ะ!!!!  ยังเหมือนเดิมทุกอย่างเลย  อ้อ บ้านเธออยู่ที่ไหนหรือว่าอยู่ในหมู่บ้าน โคกอีแร้ง????....
          ใช่แล้วจ้า  บ้านฉันอยู่ที่นี่แหละ อีกไม่ไกลเท่าใดหรอก นี่ก็ใกล้วัดแล้ว อยู่ด้านหลังวัดนี่แหละ...
           หรือ???แล้วหายไปไหนมาล่ะ  ถึงได้พึ่งจะมา  ฉันก็พึ่งเคยเห็น คนในหมู่บ้านฉันเห็นมาเกือบทุกๆคนแหละ!!!

         อ้อๆ.....ฉันไปเรียนที่กรุงเทพฯและทำงานที่นั่น พึ่งได้ลาพักร้อนหลายๆวันก็เลยคิดถึงครอบครัวจ๊ะ
ไม่ได้พบกันเสียหลายปีแล้วล่ะ........
              อ้าว!!!!....คิดถึงเมียและลูกหรือไงจ๊ะ????....
             เปล่าหรอก.....ฉันคิดถึงพ่อแม่เท่านั้นท่านก็แก่มากแล้ว  เพียงแค่ส่งเงินมาให้ใช้ จะมาก็ไม่มีเวลาด้วยงาน
มันมากจ้า.....
             แล้วทางกรุงเทพฯเมียไม่ว่าหรือไงล่ะ????....
            ฉันยังไม่มีลูกมีเมียหรอกจ้า ลำพังตัวคนเดียวก็จะแย่อยู่แล้ว  เศรษฐกิจกรุงเทพฯมันของแพงๆทั้งนั้น ไม่เหมือน
บ้านเรา   มีเงินหรือไม่มีก็อยู่ได้จ้า...อ้อๆ...  แล้วเธอล่ะไม่กลัวสามีจะตามมาหรือ  เอ๊ะแต่งกายแปลกๆคล้ายพวกยี่เกนะ
            ฮิฮิๆๆๆ...  ใครบอกเธอล่ะ พึ่งจะมาก็ทำเป็นรู้ไปได้  แปลกคนเสียจริงนะคุณ.....

            เปล่าหรอก ฉันเดาเอาเห็นว่าเป็นคนสวยคงจะมีครอบครัวแล้วและอีกอย่าง  ฉันนึกว่าทางหมู่บ้านคงจะมียี่เก
 และเธอก็เล่นยี่เกด้วย บ้านอยู่ใกล้ๆคงจะมาหาลูกหาผัวจึงได้กลับมาคนเดียวสามีเธอ
หายไปไหนล่ะทิ้งไว้ในที่มืดๆคนเดียว???....ไม่ยักกับมาส่งเมียเสียอีก...????
           ฮ่าๆๆๆๆ....ฉันอยู่ตัวคนเดียวมานานแล้ว อ้อฉันชอบแต่งตัวแบบนี้แหละ ยังไม่มีใครสนใจฉันเลย  ถึงมีแต่ฉัน
ไม่สนใจหรอก???...
          งั้นหรือ!!!!....จะให้ฉันไปส่งบ้านเธอก็ได้นะ  ส่งเสร็จก็จะได้รีบกลับบ้านนี่ยังไม่ดึกเท่าไหร่หรอก
          ขอบใจมากจ้า....บ้านฉันอยู่แถวนี้แหละเดี๋ยวก็กลับได้แล้วล่ะ   ฉันจะคอยดูแลเธอให้นะจะคอยไปเป็นเพื่อน
เธอ  เธอรู้ไหมว่าแถวนี้เวลาค่ำคืน  มีอันตรายมากเสียด้วยซิ  ยิ่งเธอจากไปนานๆคงจะไม่มีใครรู้จักเธอหรอก ที่ฉัน
จะไปส่งเธอ   เห็นเธอเป็นคนดีมีน้ำใจจ๊ะ....

          ขอบใจมากจ้า   ฉันเองคิดว่าคงไม่เป็นไรหรอกข้าวของเงินทองก็มีไม่เท่าไหร่  หากจะมาปล้นหรือจี้ก็
คงได้ไม่เท่าไหร่ฉันไม่ค่อยชอบพกเงินต้ิดตัวมากๆเพราะอันตราย
         ฉันไม่ได้หมายถึงพวกนั้น แต่หมายถึงอย่างอื่นนะ???...แล้วเสียงหล่อนก็อ้ำอึ้งๆไปไม่กล่าวต่อ เพียงแค่มองหน้าแล้วอมยิ้ม
      ยิ่งทำความสงสัยให้แก่ชายหนุ่มมากยิ่งขึ้นไป  จึงกล่าวว่า
          ในเมื่อไม่ใช่พวกปล้นจี้จะมีใครอีกเล่าจ๊ะ????....
           หากฉันไม่ไปเป็นเพื่อนเธอ  ก็จะอันตรายนะ???....

           ขอบใจเธอมากจ้า  อย่าดีกว่าเพียงแค่น้ำใจเธอ  ฉันก็ซาบซึ้งแล้วล่ะ  งั้นฉันไปก่อนนะ นี่ก็รู้สึกว่าจะดึกมากแล้ว
พลางยกนาฬิกาเอาไฟฉายส่องเวลาดู
           ตามใจเธอนะ ขอให้ปลอดภัยนะจ๊ะ......เสียงนั้นแสนไพเราะแต่เหตุไฉนช่างยานเยือกเย็นนัก????.....
 
     แต่ชายหนุ่มไม่คิดอะไรมาก หลังจากสนทนากับหญิงสาวแล้ว เขาก็หันหลังก้าวเดินอย่างรวดเร็วโดยใช้ไฟฉาย
ส่องทาง สักครู่หนึ่งก็ถึงวัด ทางเข้าบ้านต้องเดินผ่านเคียงวัด   เสียงหมาเจ้ากรรมก็ยัง หอนอย่างโหยหวน ไม่ยอมหยุดหอน
ใกล้ๆวัดมีต้นกอไผ่ขึ้นเรียงรายไปรอบๆข้างทางเดิน   เขามองไปภายในวัดเห็นปิดไฟเงียบ พระท่านคงจำวัดหมดแล้ว
จะมีก็แถวปลายป่าช้าที่ใช้ฝังศพ ยังมีกระท่อมเปิดไฟอยู่แต่คงเป็นแสงเทียนด้วยแสงมันวับๆวอมๆแวมๆพลิ้วไปมา คงเป็นบ้านของสัปเหร่อ
ประจำวัด

   ไฟฉายถูกส่องนำทางเดิน เขาก้าวย่างไปเรื่อยๆ บางครั้งก็หลบหลุมที่มีน้ำขังไว้  แต่ทันใดนั้นเอง ลมไม่พัดแรงเลย
แต่กอไผ่ทั้งกองทั้งสองข้างกลับเอนลงมาขวางยังถนน    ชายหนุ่มชะงักทันทีเขามองไปยังต้นไผ่ต้นอื่นกลับยังยืนอยู่
เพียงแต่สั่นไหวไปๆมาๆ  ส่วนกอที่เอนลงมาทาบกับทางเดินซ้ายขวากลับไม่ได้หักกลางปล้องเลย เขาแปลกใจนัก
หรือว่าเขาถูกสิ่งที่มองไม่เห็นจะลองดีกับเขาแล้ว

     ชายหนุ่มใจสั่นทันทีนึกถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณทันที  พลางสวดมนต์บทสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าด้วยเสียง
ดังๆ  แล้วกล่าวแผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายทันที   เขาไม่ได้เรียนเวทย์มนต์คาถาใดๆถึงแม้ว่าอาจารย์ที่วัดท่านจะ
เชี่ยวชาญแต่สมัยเด็กๆจนหนุ่มก็ไม่ได้สนใจ  เพียงแต่สวดมนต์ได้เป็นบางบทเท่านั้นเอง คงได้ยินท่านมักกล่าวกับ
พวกที่มาทำบุญในวัดว่า โยมควรจะสวดมนต์และต้องแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ด้วยเสมอๆทุกๆครั้งนะ หรือว่าเดินทาง
หากพบสิ่งใดให้สรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้าแล้วแผ่เมตตา  เขาจำได้แค่นี้  

        แต่บัดนี้เขามาพบแล้วแต่เนื่องจากท่องมาจนขึ้นใจสมัยคลุกคลีกับวัดจึงไม่ลืมแม้จะจากไปเสียนานก็ตาม แต่ก็หา
ได้ทำให้ก่อไผ่นั้นกลับคืนก็หาไม่   เขาเริ่มตัวสั่นใจสั่นขาสั่นทันที  ครั้นจะวิ่งหนีเข้าวัดก็วิ่งไม่ออก รู้สึกว่าขาทั้งสอง
ข้างแข็งก้าวขาไม่ออก  เขายืนตะลึงมองดูสิ่งที่เกิดขึ้น หลับตาก็แล้วนึกว่าตาฝาดไป พอลืมตาก็เห็นเหมือนเดิมอีก
ทำให้นึกถึงคำหญิงสาวที่กล่าวไว้ว่าจะมาส่ง แต่เขาปฏิเสธหล่อน  ตอนนี้เขานึกถึงหล่อนทันที แต่ใจหนึ่งว่าหล่อน
จะมาช่วยเขาได้หรือ ในเมื่อเขาจากมาไกลแล้วและไม่คิดเป็นอื่นนอกจากหญิงสาวธรรมดาเท่านั้น

        เสียงกรี๊ดๆๆร้องลั่นอย่างโหยหวน  เสียงนั้นเย็นยะเยือกเข้าไปจับใจเขา  ดวงตาเขาเบิ่งมองเสียงนั้นทันทีมันยืน
อยู่หลังกอไผ่ ร่างมันสูงๆและสูงขึ้นเรื่อยๆ  พลางหันหน้ามาทางเขาตาแดงพองโตใหญ่เท่าไข่เป็ดหรือไข่ไก่เห็นจะได้
ปากเล็กนิดเดียว  ใบหน้าเล็กมากผิดกับรูปร่างที่สูงชะลูดร่างผอมแห้งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก 
 ชายหนุ่มตกใจตัวสั่นหลับตาทันที แต่ลืมตามองไปยังทางเดินที่กอไผ่ล้มขวางทาง
แต่มันแปรเปลี่ยนไปกลายสภาพเหมือนร่างของผีร้ายสองตัวที่ยืนอยู่นอนขวางทางเขาไว้
ผมบนหัวเขาตั้งชันทันทีแม้แต่ขนตามร่างกายก็ลุกชัน ร่างกายเขาค่อยทรุดลงกับพื้น

     ทันใดนั้นมืออันน่าเกลียดน่ากลัวยาวเอื้อมมือมายังร่างที่นั่งกับพื้นมาหาเขาทั้งสี่ตน   ชายหนุ่มร้องเสียงหลงคล้าย
คนขาดสติไปทันที   เมื่อมืออันน่าเกลียดมีแต่หนังหุ้มกระดูกยื่นกางนิ้วมือเข้ามาเพื่อจะคว้าร่างเขาไว้  ใจชายหนุ่มคิด
อยากจะวิ่งหนีออกจากที่นั่น   แต่เขาทำไม่ได้มันช่างอ่อนล้าสิ้นเรี่ยวแรงไปหมด  ลมหายใจชักจะติดขัด ทำท่าจะเป็นลมไปเสียให้ได้  ความหวาดกลัวเข้าสิงสู่ในใจเขา  ในชีวิตเขาไม่เคยเจอมาเลยถึงแม้จะเคยพบศพและช่วยเหลือ
พวกสัปเหร่อก็ตามที  เขาคิดว่าเห็นที่คงจะต้องตายแน่ๆเสียแล้ว

                                            * แก้วประเสริฐ. *

Cartoon_Animation_08.gif692823n68ya60jv9.gif				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแก้วประเสริฐ
Lovings  แก้วประเสริฐ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแก้วประเสริฐ