28 กันยายน 2551 22:52 น.

ข้าวยำ...น้ำบูดู

แจ้นเอง

มิม  เคยไปยะลาและเคยไปกินอาหารช่วงที่ชาวอิสลามกำลังถือศีลอด  พอตกกลางคืนร้านรวงแถวหน้าบ้านที่พักจะเต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด  หน้าตาน่ากินมากมาย  มิม  ตื่นเต้นมากเมื่อ ส้มชวนมิมออกไปดูและหาซื้อ
ไปมั้ย
ฮื่อ
เร็วซี่
ก็รีบอยู่นี่ไง มิมกำลังแต่งตัวอยู่ในห้อง  ส้มคนข้างบ้านเพิ่งรู้จักกันเมื่อมิมเดินทางถึงยะลาที่สถานีรถไฟ เมื่อเช้าตามคำสั่งของน้าชายว่าให้มารับมิมและให้พามาพักที่บ้านของน้าชาย ก็คือตึกแถวสองชั้นอยู่ย่านใจกลางเมืองของยะลามิมพักอยู่ ชั้นสอง
โธ่ เอ๊ยหิวจนตาลายแล้ว
มิมเปิดประตูโผล่พรวดออกมาโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียงเล่นเอาส้มแทบหน้าหงาย
โอ๊ะ!นี่จะบ้าเหรอ
ใครบ้า  ก็ทั้งเรียกทั้งเร่งไม่ให้ทำอย่างงี้ได้ไงก็อยาก...มิมเถียง
เออๆเออไปเหอะคงหิวมากเลยนะ
เค้าคว้าแขนมิมได้ก็รีบจ้ำอ้าวลงไปข้างล่าง
โอ้โฮ!ร้านขายกับข้าวเต็มไปทั้ง 2 ฟาก ถนน 
อุ  ว๊าว!
ทางนี้ๆส้มกระตุกแขนมิมขณะที่กำลังมองอาหารแปลกๆอยู่
มีอะไรเหรอมิมถามพร้อมทั้งตัวปลิวตามแรงทั้งลากทั้งฉุด
ข้าวยำส้มบอก
ข้าวยำมิมทวนคำบอกเล่าที่เหมือนเน้นๆนั้น
ฮือ!ไม่เคยรู้จักเลยรึไง
ก็แหงมิมเถียงในใจแค่ฟังชื่อก็ไม่เคยได้ยินอยู่แล้ว
เดี๋ยวจะให้ลองชิมดูเป็นอันดับแรกส้มยิ้มย่องผ่องใส
คงอร่อยน่าดูมิมทำปากเยาะๆนิดๆ
อย่าติดใจละ  กันส้มทำท่าท้าทายใช่เล่นเหมือนกัน
ข้าวยำ 2 จานส้มสั่งแม่ค้า
แม่ค้าเป็นแขกอิสลามหน้าตาสวยมากหันมามองมิมแล้วยิ้ม
เพื่อนรึแม่ค้าพยักพเยิดมาทางมิมเมื่อเอ่ยปากถามส้ม
ฮื่อ!เพิ่งมาจากกรุงเทพฯส้มตอบพร้อมปรายตามองมาทางมิม
สวยนะ  ข๊าว ขาวแม่ค้าหันมายิ้มแล้วชมซึ่งๆหน้า มิมก็ยิ้มและมองแม่ค้าที่มือก็ตักข้าวใส่จานใช้ทัพพีเกลี่ยข้าวให้เต็มจานทั้ง 2 จาน แล้วก็เอาตะไคร้หั่นฝอยโรยลงไป แตงกวาผ่าสี่แล้วหั่นเป็นชิ้นบางๆ มะม่วงดิบสับละเอียด
สะตอ(เมล็ดสีเขียวๆซอยอีกตามเคย) เมล็ดกระถิ่น  ฮื่อเหม็นเชียวอันนี้คิดในใจกลัวเสียงดัง  แล้วก็โรยกุ้งแห้งป่นหอมมากเลยคงเป็นกุ้งใหม่  มะพร้าวคั่วจนหอม
มองตาไม่กระพริบเชียวส้มหันมาพูด กระแหนะกระแหนพร้อมทั้งค้อนวงเบ้อเริ่ม
กุ้งแห้งป่นเนี่ยหอมมิมทำอาการสูดลมเข้าไปเต็มปอด
นี่พี่เค้าใช้แต่ของใหม่ๆสดๆทั้งนั้นถึงได้ชวนมาไงหือ  ถามนิดเดียวตอบซะยาวเลย คงอยากอวดสรรพคุณเต็มที่ แล้วเค้าก็ใช้ช้อนตักอะไรไม่รู้เป็นน้ำสีดำๆ
อะไรน่ะมิมรีบถามแม่ค้า
บูดูจ้าหือ
อะไรบูดูชื่อแปลกๆอีกละ
ก็น้ำบูดุนี่เป็นน้ำที่ทำมาจากปลาร้าที่เค้าหมักไว้เป็นปีๆแล้วเค้าก็กรองเอาแต่น้ำ เอามาเคี่ยวปรุงรสโดยใส่น้ำตาลปึกด้วยเพื่อให้รสชาติออกมาหวานนิดๆ
ปลาร้าเหรอมิมพูดเสียงดังเพราะตกใจก็มิมมี่กินปลาร้าไม่เป็นนี่นะ
ไม่เอามิมรีบปฏิเสธโบกมือให้แม่ค้าว่าไม่เอาน้ำปลาร้า
เอาส้มสำทับ
แต่มิมกินไม่เป็นเสียงมิมเริ่มอ่อย
ก็ลองดูมันไม่เหม็นและนี่ข้าวยำที่ไหนเค้าไม่ใส่บูดูส้มเริ่มเสียงดังแต่ก็เบาๆ ในตอนท้ายๆ
ข้าวยำกับน้ำบูดูเป็นของคู่กันส้มพูดและยื่นจานที่รับจากแม่ค้ามาวางตรงหน้ามิม
ลองกินดูส้มคะยั้นคะยอ
มิมจึงใช้ช้อนเขี่ยๆดู อืม ไม่มีกลิ่นจริงๆด้วยและก้อ  ออกจะหอมนะ
กินไงล่ะมิมมองดูส้ม
คนๆให้เข้ากัน  เออ!นี่กินเผ็ดหรือเปล่า
ไม่ปฏิเสธทันทีเพราะมิมกินเผ็ดไม่ได้
งั้นโรยพริกป่นนิดหน่อยพอ ต้องใส่นะเพราะมันจะออกรสชาติข้าวยำของแท้อวดสรรพคุณอีกแล้ว
เอ้าแม่ค้ายกจานผัก  ไม่รู้ มีผักอะไรมั่งนะจัดเป็นช่องๆส่วนใหญ่เป็นผักที่มีกลิ่นทั้งนั้น
ผักสมุนไพรพวกนี้มีประโยชน์กับร่างกายหมดเลย และข้าวยำก็อาศัยผักพวกที่มีกลิ่นคละเคล้ากันรสชาติจึงจะออกมาอร่อย ถ้าชอบรสเปรี้ยวก็บีบมะนาวอีกนิดหน่อย หรือไม่  ถ้าชอบผลไม้รสเปรี้ยวอื่นๆก็เอามาใช้ได้ เช่น ส้มโอ สับปะรด แต่ทุกๆอย่างต้องแกะต้องหั่นเล็กๆพูดแล้วก็หันมาตักข้าวยำเข้าปาก
อืม ได้ล่ะแล้วก็พยักหน้าให้มิมลอง มิมจึงตักข้าวยำใส่ปาก  อืม!  นอกจากไม่มีกลิ่นปลาร้าแล้วเจ้าผักทั้งหลายก็ให้รสชาติกลืนกันดีจัง อร่อยน่ะ  พอซักพักก็หมดจาน
แฮ่ะ! ๆขออีกจานดิมิมสะกิดส้ม พูดเขินๆ
อ้าวส้มหันมามองจานข้าวยำมิมแล้วหัวเราะ
หมดแล้ว!ไหนว่าไม่กินปลาร้าไงยิ้มชอบใจใหญ่
เออ!ก็อร่อยนี่มิมพูดเก้อๆใครจะไปนึกว่ามันจะ...อร่อย
เอ้า คนสวยนี่เลยแม่ค้าส่งข้าวยำจานใหม่ให้มิม  ทีนี้มิมก็ตักผักที่เค้าเอามาให้เพิ่มใส่ๆเข้าไป แล้วขอน้ำบูดูเพิ่ม
ขอน้ำบูดูอีกนิดค่ะมิมยื่นจานไปที่แม่ค้า
อร่อยมั้ยค้าแม่ค้าส่งยิ้มหวานที่เห็นลูกค้าใหม่  กินเป็นจานที่ 2
ค่ะ อร่อย  ไม่นึกว่าจะกินได้
หลังจากกินข้าวยำไปคนละ 2 จาน ส้มก็ชวนมิมออกมาเดินดูสินค้าและอาหาร
พรุ่งนี้จะพาไปชิมอย่างอื่นบ้าง  ว่าจะให้ชิมหลายๆอย่าง ก็เล่นล่อข้าวยำไปตั้ง 2 จาน อิ่มเชียวส้มชวนคุย
ถ้ามิมกลับกรุงเทพฯ หาซื้อน้ำบูดูให้ด้วยได้ป่าว
ได้สิ โธ่ ของแม่ตลาดทำอย่างนี้เลยพูดไม่พูดเปล่า ยกนิ้วโป้งขึ้นมาเกือบโดนหน้ามิมแน่ะ
(อุบเรื่องแม่ตลาดไว้เล่าวันหลังดีกว่า อิอิ)
แล้วทำเป็นเร้อ!มี  สบประมาทด้วย
กินเป็นแล้วก็ต้องทำเป็นสิมิมตอบด้วยความเชื่อมั่น และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆเพราะพอกลับเข้า กทม.  มิมก็ทำข้าวยำกินบ่อยๆและก่อนกินมิมก็จะอุ่นน้ำบูดูอีกที   มิมเคยไปลองกินข้าวยำที่สนามหลวง(เมื่อก่อน)ไม่อร่อยแล้วก็ไม่ค่อยกล้ากินซักเท่าไหร่ดูไม่ค่อยสะอาดน่ะ
        หลังจากซื้อของติดไม้ติดมือมา 2-3 อย่าง มิมกับส้มก็พากันกลับบ้านและทุกเย็นเราสองคนก็จะอออกไปเดินหาชิมอาหาร อิสลาม  ปักษ์ใต้ จนธุระที่มาทำสำเร็จ มิมถึงเวลากลับ ส้มมาส่งมิมที่สถานีรถไฟ บาย บาย ยะลา ลาก่อน ส้มเพื่อนใหม่ที่แสนดี
แล้วขึ้นกรุงเทพฯ เมื่อไหร่โทรหาด้วยล่ะมิมไม่วายส่งเสียงมาย้ำกับส้มอีกครั้ง เมื่อรถไฟเริ่มเคลื่อนขบวน
ไม่ลืมหรอกน่า ว่าแต่ถ้า บูดูหมดล่ะก็  บอกนะ จะส่งไปให้อีกส้มพูดพร้อมกับโบกมือหยอยๆ และวิ่งตามรถไฟซึ่งเคลื่อนขบวนช้าๆ ถึงก็ช่าง  ไม่ถึงก็ช่าง มิมได้แต่ชะโงกหน้ามองทางหน้าต่าง 
ไปเหอะ  ดูแลตัวเองนะ แล้วพบกันใหม่ มิมพูดเสียงเครือๆ การพบกันแค่ช่วงเวลาสั้นๆแต่ก็ทำให้เกิดความรู้สึกผูกพันได้ไม่น้อย
โชคดีนะ ส้มยังตะโกนไล่หลัง
ลาก่อนมิมตะโกนตอบและโบกมือจนขบวนรถไฟห่างลับตา  ไปจริงๆแล้วนะ  ฮือๆๆๆ
   จริงๆอาหารปักษ์ใต้และอิสลามอร่อยหลายอย่างแต่ที่ชอบที่ซู๊ดก็คือข้าวยำ...น้ำบูดูนี่แหละค่ะ

อร่อยมั้ยคะ อิอิ				
8 กันยายน 2551 08:07 น.

สายฝน...กันคนเดียวดาย

แจ้นเอง

ฝนพรำมาแต่กลางคืน  จนรุ่งสาง  ลุกมาดูข่าว ที วี เห็นน้ำท่วมจัหวัดน่านแล้ว  น่าเศร้าใจไม่น้อย  ผู้คนกำลังหลับใหลใครจะนึกว่าอยู่ๆ  บ้านก็พังไปทั้งหลัง  ในชั่วพริบตา  เพียงน้ำป่า ทะลักเข้ามาและใช้เป็นแค่ทางผ่านไม่กี่นาที  จะเกิดความเสียหายมากมาย  ทิ้งซากและความสูญเสียไว้เบื้องหลัง
        หลายครั้งที่นึกถึงธรรมชาติ  บ้างก็ว่าธรรมชาติโหดร้าย  ถ้าเราย้อนไปดูว่าทำไมเหตุการณ์อย่างนี้จึงเกิดขึ้นบ่อยๆ ก็ใครเล่าเป็นคนทำ  ไม่ใช่ฝีมือมนุษย์ดอกหรือที่ตัดไม้ทำลายป่า  มิใช่ฝีมือมนุษย์ดอกหรือที่มากปัญญาเที่ยวคิดค้น เทคโนโลยีทันสมัยในการทำลายล้าง  สารพัดวิธี  ทั้งล้มเก่า  และสร้างใหม่ โดยไม่คำนึงถึงอนาคต  ที่ป่าที่เขาล้วนถูกหักล้างถางพง ก่อสร้าง ครอบครองโดยถูกหรือผิดกฎหมายก็ไม่สนใจ  เอาเป็นว่ามีสิทธิ์ได้เป็นเจ้าของและก็หาลู่ทางจนสำเร็จความใคร่ได้ใคร่มีมิรู้จบรู้สิ้น  มีบางครั้งบางหนธรรมชาติยื้อยุดฉุดตัวเองไม่อยู่  น้ำทะลัก  ดินทลายผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้อง บ้างล้มตาย  บ้างสูญเสียทรัพย์สิน  ได้แต่นั่งมองด้วยนึกอนิจจัง  ครั้งแล้วครั้งเล่ามนุษย์ก็ยังไม่หยุดซึ่งกิเลสและยังกระทำต่อไป...
         เราออกมานั่งตรงระเบียงหน้าบ้าน  ฝนเพิ่งจะหยุดและแสงแดดอ่อนๆเพิ่งจะมีให้เห็นเราทอดสายตาไล้ไปตามกิ่งไม้ที่ชุ่มฝน  ดอกไม้แม้จะถูกฝนกระหน่ำมาทั้งคืน ก็ยังคงความงดงามดอกชบาสีเหลืองดอกโตต้นที่แม่ซื้อมาและบอกให้พ่อปลูกไว้หน้าบ้าน ตอนนี้ออกดอกเต็มต้น ดอกบัวฝรั่งที่ขึ้นอยู่ริมรั้วสีชมพู เรามองเลยออกไปที่หนองน้ำ  วันนี้น้ำเอ่อขึ้นมามาก ปลาได้น้ำใหม่ดำผุดดำว่ายโดยไม่กลัวคนหาปลามาเจอ  เรายังคงไล้สายตาไปเรื่อยๆอย่างเหงาๆ  ก็วันนี้น้องน้ำไปเที่ยวกับน้าสาว  มารับตั้งแต่ฝนยังไม่ซาเม็ด ทิ้งให้เราเฝ้าบ้านคนเดียวในวันหยุด  อันที่จริงเราก็น่าที่จะออกบ้านไปไหนๆบ้างแต่   เราก็ชอบที่จะเลือกอยู่บ้าน  แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับอะไรซักอย่าง บนศาลากลางน้ำ  น่าจะเป็นใครซักคน  เราเริ่มคิด  แล้วใครกันนะมานอนอยู่ที่นี่  ศาลากลางน้ำเป็นศาลาโล่งๆและอยู่ไกลจากที่เราอยู่พอประมาณมองไม่ค่อยชัดว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายแต่ท่าทางที่นอนนิ่งไม่ไหวติงคงหมดแรง  ถ้านอนตั้งแต่กลางคืน ก็แสดงว่าคงมาหลบฝน  แต่เอ   นี่ก็บ่ายคล้อยแล้ว  ทำไมยังไม่มีท่าทีจะลุกหรืออะไรเลย  เราเริ่มว้าวุ่น  กลัวหรือ  ก็น่าหรอกนะ  ผู้คนตอนนี้ไว้ใจกันได้ที่ไหน  แต่ปล่อยไว้เกิดเค้าตายเราจะทำยังไง  เราเรียก 191  หรือโทรเรียก อพปร. มาดี   แต่เอ  หนองน้ำนี้ก็มีถนนโดยรอบ ผู้คนไปตลาดก็ผ่านเส้นทางเหล่านี้ แต่ทำไมไม่มีใครสนใจที่จะซักถามว่าเขามีเหตุอันใดถึงต้องมานอนอยู่ตรงนี้ ทั้งที่ศาลานี่ก็ไม่มีที่กำบังลมเลย  อย่าว่าแต่คนอื่นเลย  เราเองก็นั่งมองอยู่ตรงนี้นานเกินไปด้วยซ้ำ  ฝนเริ่มตั้งเค้าเมฆดำทมึนแผ่คลุมไปทั่วแล้วฟ้าก็เปิดฉากคำรน  คำรามกึกก้องกัมปนาท  เราต้องรีบกลับเข้าบ้านเพราะกลัวฟ้าแลบเป็นที่สุด  และก็เริ่มเป็นห่วงร่างที่นอนนั่น  แต่ก็นั่นแหละ  หลายครั้งที่มีการจับผู้ร้ายค้ายา  ก็จะมีข่าวนายตำรวจปลอมตัวมาบ่อยๆ  หรือว่านี่ก็ใช่  แล้วความคิดของเราก็หยุดเมื่อร่างที่นอนไม่ไหวติงนั้น ลุกขึ้น  วัดจากสายตาเราที่มองอยู่เขาเป็นชายรูปร่างคงสูงเพรียวไม่น้อยแล้วเค้าก็ลุกขึ้น ใช่เค้าผอมและสูงมากทีเดียวเค้าเก็บถุงใส่อาหารหรืออะไรไม่รู้ดูไม่ออกเพราะฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว ภาพที่มองเห็นเค้าก้าวยาวๆและเดินออกจากศาลามุ่งหน้าสู่ทิศใต้  ชายผู้ไม่รู้ที่มาและที่ไป    ศาลาจึงว่างเปล่าดุจเดิมฝนตกหนักแต่ซักพักก็ซา  เรากลับออกมานั่งที่เก่าและยังไล้สายตาไปทั่วบริเวณ  วันนี้เป็นวันหยุดผู้คนคงจะพักผ่อน จึงไม่มีใครผ่านมาให้เห็น  นี่เรารู้สึกเดียวดายหรือเปล่า  กับการอยู่คนเดียว  ทั้งๆที่มันก็แทบจะเป็นปกติของเราที่ทนอยู่กับความเหงาลำพังมาหลายปี  แม้ในใจจะบอกว่าสุขอยู่เพียงลำพังก็เถอะ...บ่นไปกับสายฝน  เฮ้อ...				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแจ้นเอง
Lovings  แจ้นเอง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแจ้นเอง
Lovings  แจ้นเอง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแจ้นเอง
Lovings  แจ้นเอง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแจ้นเอง