6 สิงหาคม 2549 18:32 น.

เพื่อนเก่า

แดดเช้า

05fed493.jpgชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง
ที่ต้องเกี่ยวพันกันกับมนุษย์อีกหลายๆ คน
ก่อขึ้นมาเป็น สังคม
แต่เหนือกว่าความเป็น สังคม 
นั่นก็คือ การเกี่ยวพันด้วยความรู้สึกทางใจ
ที่เรียกกันว่า ความผูกพัน


ความผูกพันที่เนิ่นนาน ...
ที่ไม่มีการครอบครองหน่วงเหนี่ยวกันและกัน
ไม่มีใครเป็นเจ้าของชีวิตใคร
ไม่มีใครคาดหวังในเส้นทางชีวิตของใคร


ต่างปล่อยชีวิตของแต่ละชีวิตเป็นอิสระ
เท่าที่จิตวิญญาณจะเดินไปตามเส้นทางของชีวิตนั้นๆ
จึงทำให้ชีวิตหนึ่งเกี่ยวพันกับอีกชีวิตหนึ่งจนกลายเป็นคำว่า เพื่อน
และคำว่าเพื่อน ถ้าผูกพันเนิ่นนานเพียงพอ ก็จะกลายเป็น เพื่อนเก่า

05pjt070.jpgฉันเพิ่งวางสายโทรศัพท์ไปเมื่อสักครู่นี้
จากเพื่อนเก่าคนหนึ่งที่รู้จักกันมานานแล้ว

จะเรียกว่า เป็นเพื่อนเก่าก็ไม่น่าจะผิด
เพราะเธอเป็นรุ่นพี่ที่รู้จักคบหากันมาเนิ่นนาน
ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม


รุ่ง ... หายไปไหนมา โทร.มาตอนพี่มีลูกได้ 1 เดือนแล้ว
พี่โรส มีลูกแล้วเหรอ ไหนว่า ไม่อยากมีลูก อยากอยู่กันสองคนไง
แหม .. ตอนแรกๆ ก็อยากอย่างนั้นนะ แต่อยู่ไปอยู่มา ก็เลยคิดว่า มีสักหน่อยก็ดีกว่า
ได้ยินว่า โทรศัพท์พี่โรสหาย จะโทร.หาหลายที ไม่ได้โทร.สักที วันนี้เลยโทร.มา
แล้วรุ่งมีแฟนหรือยัง จะแต่งงานเมื่อไหร่
รุ่งเหรอ ... รุ่งยังไม่รู้เลยว่า มีแฟนไปทำไมอะ ถ้ารู้เมื่อไหร่ ก็คงจะแต่งงานมั้ง
ชีวิตก็มีทั้งสุขทั้งทุกข์นะรุ่ง บางทีแต่งงานอาจจะมีความสุขก็ได้
เหรอ ... มีลูกนี่ไม่ใช่ง่ายๆ นะ พี่โรส เหนื่อย กว่าเด็กคนหนึ่งจะโต
ใช่ ... ปีนี้รุ่งอายุเท่าไหร่แล้ว
30 แล้วพี่โรส
จริงเหรอ ... รุ่นเดียวกับน้องชายพี่เลยสิ ไม่น่าเชื่อนะ เห็นหน้ารุ่งกี่ทีๆ ก็คิดว่า เป็นเด็กมหาลัยทุกที
ก็รุ่งเป็นคนตัวเล็กนี่นา ตอนนี้เรียนกฎหมายด้วยนะ
เลือกเรียนอะไรยากๆ ด้วย กฎหมายยากจะตาย น้องชายพี่ก็จบกฎหมาย กำลังเรียนปริญญาโท
รุ่งว่า ไม่ยากนะ สนุกดีออก ... รุ่งชอบ
ดีแล้ว ถ้าเรียนแล้วสนุก แต่กฎหมายเรียนยาก
เหรอ ... ถ้ารู้วิธีเรียน ก็ไม่ยากเนาะ รุ่งว่า ไว้รุ่งจะไปเยี่ยมหลานนะ พี่โรส
เชิญเลยรุ่ง ... พี่กำลังจะซื้อบ้าน ถ้าทำบุญขึ้นบ้านใหม่แล้วจะส่งการ์ดเชิญ


พี่โรส ... เป็นรุ่นพี่อายุมากกว่าฉันประมาณ 4-5 ปี 
ใครๆ บอกว่า หน้าตาคล้ายกับฉัน แม้จะไม่เหมือนกันทีเดียวนัก
และนิสัยบางอย่างก็คล้ายๆ กัน 
แต่พี่โรสจะเป็นตัวของตัวเองและมีความเป็นผู้นำมากกว่าฉันมากมายนัก 


แล้วก็คุยกับพี่โรสได้สักพักหนึ่ง ...
ฉันวางสายได้สักพักแล้ว ... 
นั่งนึกทบทวนถึงเมื่อสองสามวันก่อนที่ฉันพบเพื่อนเก่าโดยบังเอิญ

27wqi220.jpgฉันนำคอมพิวเตอร์ไปซ่อมที่ร้านซ่อมคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์เครื่องนี้ ... 
เคยมีคนส่งเงินจากอีกซีกโลกหนึ่งมาให้ฉันซื้อเป็นจำนวนเงิน 200 เหรียญสหรัฐ

แรกทีเดียวฉันลังเลที่จะปฏิเสธจะรับเงินของเขา
แต่เขาบอกว่า ถ้าไม่รับเท่ากับทำลายมิตรภาพบริสุทธิ์ใจ 
ในที่สุดฉันต้องยอมบอกเลขบัญชีเขาไป
เขาก็ตอบอีเมลกลับมาว่า 
"ดีมากน้อง ... ต้องอย่างนี้สิ"

ในวันรุ่งขึ้น ... 
ฉันก็ได้รับการโอนเงินเข้าบัญชีเป็นที่เรียบร้อยสำหรับการประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่

จากนั้น ฉันก็ติดต่อกับเขาไม่ได้อีกเลย
ไม่รู้ว่า เขาหายไปไหน
หายจากกันอย่างไม่เหลือร่องรอย
ในโลกไซเบอร์ใบนี้


ฉันไม่พบแม้แต่วี่แววหรือร่องรอยใดๆ เกี่ยวกับเขาอีก
แต่ฉันก็ไม่รู้ว่า เขาเองยังติดตามความเป็นไปของฉันอยู่ไหม?
ผู้มีอุปการคุณอันยิ่งใหญ่คนนี้ของฉัน



นี่คือที่มาของเครื่องคอมพิวเตอร์ ...
แม้จะได้รับการอัพเกรดแล้วครั้งหนึ่ง
แต่ฉันก็จำได้ว่า ถ้าไม่มีการเกื้อกูลด้านเงินทองจากคนๆ หนึ่ง ฉันก็คงไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้

เขาบอกฉันว่า เขายินดีจะช่วยเหลือฉัน
เพราะว่า ถ้าฉันมีเครื่องมือจะช่วยเหลือสังคมได้มาก
ฉันเองก็ได้ใช้ประโยชน์จากเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ในหลายๆ ด้าน

03rlc613.jpgวันที่ฉันนำเครื่องคอมพิวเตอร์ไปซ่อมที่ร้าน 
แล้วเดินหาอาหารมื้อกลางวันรับประทาน
เนื่องจากมื้อเช้าเกิดกินอะไรไม่ลงขึ้นมา
ด้วยความรู้สึกสงสารเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าเครื่องนี้
ที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุข
และทำให้ฉันได้สร้างสรรค์เรียนรู้อะไรมากมาย


ด้วยความหิว ... 
ฉันจึงคิดว่า ร้านอาหารข้างทางบางร้านอาจจะอร่อยก็ได้
ปกติฉันจะกินข้าวที่บ้าน กินอาหารที่ทำด้วยตัวเองเป็นส่วนใหญ่
ไม่ค่อยออกมากินอาหารข้างนอกนัก

พบร้านอาหารร้านหนึ่งจัดร้านได้ลงตัวดูสวยงามดี
สะอาดสะอ้าน เมนูอาหารที่อยู่หน้าร้านก็ดูไม่แพงสักเท่าไหร่นัก


ฉันเดินเข้าไปสั่งอาหารแล้วก็เลือกโต๊ะนั่ง
ไม่นานเท่าไหร่นัก อาหารอุ่นๆ ก็เสิร์ฟมาถึงที่ฉันนั่ง
ไม่ต้องรอนานด้วย ... 
นับว่าร้านอาหารนี้เป็นที่น่าพอใจ

03lwc221.jpgเขาว่ากันว่า 
ถ้ามีใครสักคนนั่งจ้องมองเรา หรือ เราจ้องมองใครสักสามนาที
คนที่ถูกจ้องจะรู้ตัว ...
ก็คงจะจริง ... 
ฉันเงยหน้าขึ้นมาสบตากับหญิงสาวผิวขาวอวบอั๋นคนหนึ่งกำลังจ้องมองฉันอยู่
เธอหัวเราะชอบใจ แล้วพูดว่า ใช่จริงๆ ด้วย
ฉันจำได้ว่าเธอคือ เพื่อนเก่า ของฉันสมัยเรียนชั้นประถม


ฉันกับเธอเคยเรียนร่วมชั้นกันมาตั้งแต่สมัยเรียนอนุบาล
เธอจะไว้ผมยาวแล้วถักเปียเดียวด้านหลังตั้งแต่อนุบาลจนจบ ป.6
จนวันนี้ เค้าหน้าของเธอก็ไม่เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่นัก


เธอมากับเพื่อนร่วมงานของเธอ ... เป็นคนใต้ ผิวคล้ำ
เธอเดินมานั่งที่โต๊ะของฉัน อยู่ตรงหน้านั่งเก้าอี้ตรงกันข้าม
ถามเธอว่า เป็นอย่างไรบ้าง แต่งงานหรือยัง
เธอตอบว่า แต่งงานมาสามปีแล้ว ยังไม่มีลูก



กับเพื่อนๆ บางคนในสมัยเรียนด้วยกัน
เธอมีโอกาสพบเจอเพื่อนหลายคนและพอรู้ว่า บางคนก็มีลูกแล้ว
บางคนทำงานอยู่ที่ไหนต่อที่ไหนบ้าง


ฉันถามถึงเพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียนหลายต่อหลายคน ...
เธอทบทวนความหลังแล้วบอกว่า ฉันความจำแม่นยำมาก ทำไมยังจำได้เยอะจัง
เธอบอกว่า ฉันเป็นคนเรียนเก่ง แต่งกลอนเก่ง
ฉันบอกว่า อย่างนั้นหรือ ... เพิ่งรู้ตัว
เพราะที่ฉันเรียนหนังสือมาจนจบ ฉันไม่เคยรู้เลยว่า ฉันเรียนเก่ง


เธอบอกฉันว่า ฉันเปลี่ยนไปมาก มีเพียงเค้าหน้าที่ยังเหมือนเดิม พอจะจำได้ และคิ้วก็ยังโก่งเหมือนเดิม 

ครั้งแรกที่ฉันเดินเข้ามาที่ร้าน เหมือนคนคล่องแคล่วมากๆ จนไม่คิดว่า เป็นฉัน
ความคล่องแคล่วว่องไวติดนิสัยจากการเคยทำงานข่าวมาระยะหนึ่งนั่นเอง
จากเด็กหญิงที่มักถูกเพื่อนผู้ชายตัวใหญ่ๆ คอยแกล้งซะเรื่อย ... 
ไม่นึกว่าเวลาล่วงเลยมา 20 ปี จะเปลี่ยนกลายเป็นคนคล่องแคล่วที่ไม่มีใครกล้ารังแกได้



ฉันจำภาพเพื่อนผู้ชายตัวใหญ่ที่ถูกครูจับให้นั่งคู่กับฉัน 
แล้วก็ชอบแกล้งจนฉันนั่งร้องไห้บ่อยๆ ได้อย่างแจ่มชัด 

เขาชื่อ สุธี และรอบข้างฉันก็นั่งอยู่กับเพื่อนผู้ชายอีกสองคน คือ วรศิลป์ กับ วราการ 
เวลาฉันถูกสุธีแกล้ง สองคนนี้ก็จะผสมโรงแกล้งฉันจังเลย

ใช่ๆ จำได้ สุธี ชอบแกล้งเธอ แต่เขาอาจจะแอบชอบเธออยู่ก็ได้นะ ... ถึงแกล้งเธอจังเลย อ้อยพูดหยอกๆ
ไม่หรอก ... เขาไม่ได้ชอบเรา เขาชอบแกล้งเรา เขาไม่มีวันชอบเราเด็ดขาด ฉันยืนกราน
ก็ไม่แน่นา ... บางคนอาจจะไม่กล้าพูด เลยแสดงออกด้วยการแกล้ง 
นี่แหละ ... เหตุผลที่ทำให้เราเรียนกฎหมายเอาปริญญาอีกใบหนึ่ง เพราะไม่อยากเห็นใครถูกคนเอาเปรียบและถูกรังแก
เธอเก่ง เธอเรียนได้อยู่แล้ว เธอความจำดีมากเลยนะ จำเพื่อนได้เยอะกว่าอ้อยอีก ... เพื่อนบางคนที่รุ่งพูดถึง อ้อยก็ยังนึกไม่ออกแล้วเนี่ย
ฉันจึงแกล้งหยอกไปว่า 
อ้อยก็จำได้แต่วิญญูน่ะสิ เขาหลงรักอ้อยมั่นคงตั้งแต่อนุบาลจนกระทั่งจบ ป. 6 
อ้อยจึงหัวเราะขึ้นมา ใช่ๆ คนนี้สิ ... จำได้แม่นเลย


แต่อ้อยจำ นพนันท์ ไม่ได้ 
ยิ่งฉันบอกว่า เป็นคนที่หน้าตาดีๆ ด้วยแล้ว เธอยิ่งนึกไม่ออกเข้าไปใหญ่ เธอบอกว่า จำได้แต่เป้ ... 
เป้ เป็นคนที่เด็กผู้หญิงชื่นชอบกันหลายคน เพราะหน้าตาดีจริงๆ 
แต่ทำไมฉันถึงไม่เห็นสนใจ ... 

เออหนอ ... สงสัยคนหล่อของฉัน คงไม่ได้หล่อสำหรับคนอื่นๆ

30ini862.jpgเธอแนะนำให้ฉันรู้จักกับพี่ชล คนที่มากับเธอเป็นคนใต้
เธอถามฉันว่า เมื่อไหร่จะแต่งงาน
ฉันตอบว่า ฉันไม่รู้ว่า มีแฟนไปเพื่ออะไร และแต่งงานไปทำไม
ฉันหันไปคุยกับพี่ชล บอกว่า บางคนแต่งงานไปเพราะอยาก แล้วพอแต่งงานแล้วจึงรู้ว่า ทุกข์มีจริง
เด็กที่เกิดมา ... 
กว่าจะเลี้ยงให้เติบโตทั้งร่างกายและจิตใจต้องอาศัยพลังใจมหาศาล

อ้อย ... เพื่อนเก่าของฉันสนับสนุนการแต่งงานว่า เขาก็มีความสุขดี 
อยู่กับสามีไม่มีลูก

ถ้าเราเจอคนที่ใจตรงกันก็ดีเนาะ ... แต่ส่วนใหญ่จะไม่ใช่นะสิ  
ฉันเปรยๆ ขึ้นมาบ้าง ...

29yhe566.jpgเรื่องอย่างนี้ อยู่ที่วิบากกรรม ... ฉันคิดเช่นนั้น 
เพราะหลายคนที่ไม่มีวี่แววว่าจะแต่งงานได้ 
แล้ววันหนึ่งฉันก็ได้ข่าวคราวว่า เขาแต่งงานและมีลูกแล้ว

ใครเลยจะรู้ว่าชีวิตขีดเส้นทางให้เราพบกับใคร
และชีวิตจะกำหนดให้เราร่วมทางกับใคร


ไม่แน่ว่า ... 
ถ้าฉันทำปากดีบอกว่า ฉันอยู่คนเดียวสบายดีแล้ว ไม่แต่งงานหรอก
เกิดถึงเวลาที่วิบากกรรมกำหนดมาให้ฉันพบเจอใครสักคน 
แล้วความคิด จิตใจของฉันเกิดเปลี่ยนแปลงไป 
ถึงเวลานั้น ... ฉันจะกลืนน้ำลายตัวเองไม่ลง

เรื่องของอำนาจกิเลส แรงปรารถนา ความต้องการ ถ้าเกิดรุนแรงแล้ว
ถึงคราวนั้น ... ถ้าไม่มั่นคงเพียงพอ
ก็จะกดข่มมันไม่ลง

ไม่อยากได้ชื่อว่า ปากดี ทำเป็นเก่ง
แท้แล้วก็เอาชนะอารมณ์ไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม ...
อารมณ์ปรารถนาก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์
ฉันจะไปยั้งหยุดคนอื่นๆ ให้คิดแบบฉันทุกคนก็ไม่ได้

บางคน ... 
อาจจะหาเหตุผลอ้างเอากับฉันได้ว่า เธอไม่เคยมีความรัก เธอไม่เคยรักใคร เธอไม่เข้าใจหรอก 
เธอก็พูดได้ว่า อยู่คนเดียวสบาย ...



เพียงแต่ ....
ฉันไม่รู้เหตุผลเท่านั้นเองว่า ฉันจะแต่งงานไปทำไม?
คนอื่นอาจจะมีเหตุผลดีๆ สำหรับตัวเขาเองก็ได้ ...
ฉันควรเคารพในการตัดสินใจของคนอื่น ... ใช่ไหม?

29gzf811.jpgเมื่อคืนนี้ ... 
ฉันออนไลน์เอ็มเอสเอ็น 
เจอ เพื่อนเก่า เอกภาษาอังกฤษที่สนิทสนมกันในสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย
เธอไปทำงานอยู่ที่อเมริกา และที่เครื่องไม่มีคีย์บอร์ดภาษาไทย
เราจึงคุยกันสองภาษา 


ฉันอ่อนแอภาษาอังกฤษยิ่งนัก แต่อ่านภาษาอังกฤษพอรู้เรื่อง
การสนทนาจึงเป็นไปเช่นนี้ตลอดมาทุกครั้ง
เธอเป็นเพื่อนที่คบหากับฉันมาเป็นเวลาสิบกว่าปี 
เสมอต้นเสมอปลายในความสัมพันธ์ยิ่งนัก



เธอเคยประสบอุบัติเหตุจนสมองกระทบกระเทือน
ความจำบางส่วนเลือนๆ ไปสักพัก ทุกวันนี้กลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว
เธอเป็นคนเงียบๆ และระมัดระวังตัว 

ฉันเป็นคนชอบเขียนบันทึก และบางบันทึกฉันก็เอาไปให้เธออ่าน
เธอบอกว่า ฉันเป็นคนน่าสนใจ มีอะไรในตัวเยอะแยะไปหมด
แต่เธอเองไม่เขียนบันทึก ด้วยเหตุผลว่า กลัวเป็นหลักฐานที่ทำให้คนล่วงรู้ความลับของเธอ

ทำไมฉันไม่คิดอย่างเธอหนอ ...
ฉันคิดว่า การเขียนบันทึกเป็นการทำให้ฉันรู้จัก ตัวตน ของตัวเองและ เติบโต ไปในเส้นทางที่ชัดเจน 
เพราะการเขียนย่อมเกิดจากการกลั่นกรอง 
การกลั่นกรองทำให้เราเจริญสติ และสามารถหล่อหลอมตัวเราเองขึ้นมาได้


ถ้าเรื่องราวของฉันได้ถูกถ่ายทอดออกมาแล้วพอเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ประสบการณ์ของคนอื่นบ้าง ก็จะเป็นบุญกุศลมิใช่น้อย ...
ชีวิตที่โปร่งสบาย ไม่ควรมีอะไรบังใจ 
หากเปิดเผยชีวิตออกมาได้ ... ตัวตนก็จะแจ่มชัด สว่างไสว



การยอมรับความจริงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากกว่าการกลบเกลื่อนปิดบังเอาไว้
เพราะในที่สุด ... 
ตัวตน ของเราก็ไม่ใช่สิ่งจริง
เกิด เติบโต เสื่อม และสลายลงไปพร้อมๆ กับกาลเวลาได้เสมอ
เหมือนๆ โลกใบนี้ที่ถูกสร้างขึ้นมาและทำลายลง แล้วสร้างขึ้นใหม่ 
มีสิ่งชีวิตเกิดขึ้นมาในสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมที่สมดุลเพียงพอ .... หลายต่อหลายครั้งมาแล้ว 



ทุกอย่างก็เหมือนมายาภาพ เหมือนภาพฝัน ...
อยู่ที่ว่า เราจะสร้างสรรค์ประโยชน์ต่อสิ่งที่อยู่รอบๆ ข้างเพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างสมดุลได้อย่างไร ... เท่านั้นเอง

และสำคัญที่ว่า ...
เราจะอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขในใจของเราได้อย่างไร
ไม่มีอะไรที่ทำให้เรามีความสงบสุขเพียงพอได้เท่ากับ คุณงามความดี และอานุภาพแห่ง บุญกุศล หรอกนะ

29uue825.jpgเพื่อนของฉันพูดขึ้นมาว่า ....
อย่าคิดว่า เรากระเดะเลยนะที่พิมพ์แต่ภาษาอังกฤษ เป็นเพราะไม่มีฟอนท์ไทยจริงๆ ทำงานอยู่ที่อเมริกา
ฉันก็ตอบไปว่า อย่าว่าอะไรเราเลยนะ เราไม่เก่งภาษาอังกฤษจริงๆ เราอยากจะสนทนากับกุ้งเป็นภาษาอังกฤษอยู่เหมือนกัน แต่มันยากมาก สื่อความคิดไม่ได้ทั้งหมด เราก็เลยพิมพ์ภาษาไทย แต่ก็ดีเป็นการฝึกภาษาอังกฤษให้กับเราด้วย

แล้วฉันก็บอกว่า ฉันเองเคยหัดเขียนบทกวีภาษาอังกฤษชิ้นแรกและชิ้นเดียว
วันไหนฉันจะส่งให้อ่าน ...
และถ้าวันไหนฉันอยากเขียนบทกวีภาษาอังกฤษ ขอให้เธอช่วยตรวจคำศัพท์ให้ฉันด้วย เพราะฉันไม่เก่งไวยากรณ์จริงๆ
เธอรับคำว่า ด้วยความยินดี

ฉันพูดคุยกับเธอว่า บทกวีภาษาอังกฤษมีศัพท์บางอย่างที่ลึกซึ้งที่ภาษาไทยไม่มี ฉันจึงอยากจะลองสื่อสารความหมายลึกซึ้งตรงนั้นออกมา เธอบอกว่า เธอเห็นด้วยกับฉันที่ว่า ศัพท์บางคำในภาษาอังกฤษสื่อความหมายเบื้องลึกได้



แล้วฉันก็ถามเธอว่า เธอจะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่ ฉันจะแวะไปหาเธอที่อุบลราชธานี
เธอบอกว่า ปีหน้าคงได้กลับ มาสิ ... ยินดีต้อนรับ
ฉันตั้งใจจะไปถ่ายภาพ เขียนสารคดี และให้เธอหาแหล่งข้อมูลให้
เธอก็บอกว่า ด้วยความยินดี

24jcf189.jpgแล้วฉันก็วกมาถามเธอว่า เมื่อไหร่เธอจะแต่งงาน
เธอตอบว่า รอไปงานแต่งงานของรุ่งก่อน
ฉันก็ตอบว่า ฉันลองคิดๆ ดูแล้วว่า ระหว่างคนที่แต่งงานกับคนที่เป็นโสด ความรู้สึกถึงความมีคุณค่าในตัวเอง ฉันคิดว่า คนที่อยู่เป็นโสดจะมีศักดิ์ศรีมากกว่า คนที่แต่งงานแล้ว แต่งไปแล้วก็งั้นๆ แต่คนเป็นโสดจะมีความงดงามในตัวอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งคนที่เป็นหม้ายด้วยแล้ว ถ้าเทียบกับคนเป็นโสดแล้ว ความรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเองต่างกันจริงๆ

เธอก็บอกว่า เห็นด้วยนะ ... แต่เรื่องแบบนี้ก็ขึ้นอยู่กับความคิดของแต่ละคนเหมือนกัน
และเป็นเรื่องที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ด้วย 
เพื่อนที่ออฟฟิศของเธอเมื่อเดือนที่แล้วบอกว่า จะแต่งงานในปีหน้า .. แต่เมื่อวานนี้ มาบอกว่าจะแต่งงานในอาทิตย์หน้าแล้ว

26gap991.jpgชีวิตแต่งงานมีอะไรมากกว่านั้นเยอะ
มากกว่าความคิดฝันที่สวยงาม
บางคนอาจจะวาดฝันว่า แต่งงานแล้วจะมีความสุข
แต่ถึงเวลาจริงๆ ... ยิ่งไปกว่าความฝันนั้นอีก

ความหอมหวานของความรักอาจจะสิ้นสุดลงที่การแต่งงาน
การฝันว่า ได้สวมชุดแต่งงานในงานแต่งงานหรูหรา
แต่หลังจากงานแต่งงานจบสิ้นลง 
บทบาทของชีวิตจริงก็ได้โลดแล่นบนฉากละครแห่งการรับผิดชอบและภาระอันยิ่งใหญ่

24rod946.jpgฉันก็คงคิดอะไรตามประสาของคนโสด ...
ถ้าฉันพบกับคนที่ฉันรักจริงๆ 
ความฝันอันหอมหวานที่จะได้แต่งชุดแต่งงานเดินเคียงข้างใครคนนั้นก็คงจะเป็นภาพที่สว่างไสว งดงาม กระจ่างในใจ เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันเปี่ยมสุข นับวันรอให้ถึงวันนั้นโดยไว ... ก็อาจจะเป็นไปได้

แต่ ณ วันนี้ ...
ฉันยังไม่มีใครที่จะสร้างฝันให้เต็มฝัน
ภาพวันแต่งงานก็เลือนลางเต็มทีและอาจจะไม่มีวันนั้นมาถึง
รวมถึง ... สิ่งที่ไม่อยากจะนึกถึงอีกเลยก็คือ ความเป็นจริงเริ่มต้นขึ้นหลังจากงานแต่งงานนั้นจะเป็นอย่างไร



ฉันจะคงเป็น เจ้าหญิง ชุดขาวพราวในวันแต่งงานที่ เจ้าชาย อุ้มประคองไปส่งที่เรือนหอตลอดกาลเลยหรือเปล่า?
หรือกลับชีวิตจากความสงบสบาย กลายเป็นชีวิตที่วุ่นวายกับภาระในครัวเรือน

24dta054.jpgฉันบอกเพื่อนของฉันว่า ...
ถ้าฉันมีสามี ... ฉันคงไม่กล้าคิดจะไปเที่ยวอุบลเพื่อไปเก็บข้อมูลเขียนสารคดีหรอกเนาะ
คงเอาเวลาไปคิดเรื่องภาระในครอบครัวแล้วแหละ
เธอตอบฉันว่า ... จริงๆ แล้วก็อาจจะเป็นเช่นนั้นแหละ

ก่อนที่เธอจะขอตัวออกไปข้างนอก
ฉันบอกว่า ... คงปล่อยให้เป็นเรื่องของวิบากกรรม 
อาจบางที ... วิบากกรรมนำใครสักคนมาให้ฉันต้องอยู่กับเขาตลอดชีวิตก็ได้
มิอาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้ 
และก็มิอาจปฏิเสธการแต่งงาน 
แม้ ณ เวลานี้ที่ฉันไม่มีใครเลยก็ตาม
อีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ... ฉันยังไม่เห็นประโยชน์ของการแต่งงาน


เธอบอกว่า ... เธอรู้สึกดีที่ได้เปิดประเด็นพูดคุยกันเรื่องของการแต่งงานกับฉันในวันนี้
ในโอกาสหน้าคงได้คุยกันอีก

20bzs852.jpgเพื่อนเก่าแก่ของฉัน ...
แม้จะมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไป 
แต่เยื่อใยความสัมพันธ์ยังคงเชื่อมติดต่อกันอยู่เสมอ
ผ่านการสื่อสารในลักษณะต่างๆ กัน



แม้ว่า ...
ความเป็น เพื่อน จะมิใช่การใช้ชีวิตที่อยู่ด้วยกันด้วยความหอมหวานของความฝัน
หรือความอ่อนโยนที่จะต้องทะนุถนอมความรู้สึกอันเปราะบางของกันและกันไว้
แต่ความเป็น เพื่อน ก็มีเยื่อใยเหนียวแน่นเพียงพอที่จะสานต่อกาลเวลา
เรื่องราว การบอกเล่า และประสบการณ์ชีวิต 
รวมทั้งความคิดฝัน ความรู้สึกภายในสื่อถึงกันได้

20bzs852.jpgเพื่อนเก่า ... 
กับเรื่องราวใหม่ๆ ที่ใจฉันมิอาจลืมเลือน.				
10 กรกฎาคม 2549 23:04 น.

BORN TO BE

แดดเช้า

09olp209.jpgพรสวรรค์ หรือ พรแสวง? 
ที่จะทำให้คนเราประสบความสำเร็จ
เป็นคำถามที่ใครๆ ก็อยากได้คำตอบ


ฉันเคยได้ยินคำว่า เกิดมาเพื่อที่จะเป็น
หรือ BORN TO BE

บางคนรักที่จะทำในบางสิ่งบางอย่าง และมีจุดมุ่งหมายที่จะเป็นสิ่งนั้นๆ ให้ได้
ขวนขวายดิ้นรนเพื่อที่จะทำ
แต่ดูเหมือนอะไรๆ ก็เป็นอุปสรรคไปซะหมด

06cwg980.jpg

อย่างเช่นฉัน  
วันดีคืนดี คิดฝันอยากเป็นนักร้องขึ้นมากับเขาบ้าง
เพียรที่จะไปเรียนร้องเพลง
แต่ไม่ว่าร้องกี่ครั้งๆ ก็ยังเสียงผิดคีย์ จนครูที่ฝึกหัดร้องเพลงรู้สึกเอือมระอา

แล้วก็ยังขยันร้องเพลงอยู่นั่นแล้ว 
วันแล้ว  วันเล่า ผ่านไป
จากความฝันที่จะร้องเพลง ก็อยากจะเต้นรำ

แต่แล้ว 
ฝึกหัดเต้นรำอย่างไร ก็ไม่เคยถูกจังหวะพร้อมเพรียงกับเสียงดนตรีเอาเสียเลย
ฝึกยังไงๆ ก็ไม่ขึ้น

แต่ด้วยความเพียรพยายาม 
ก็ทำอยู่นั่นแหละ  พยายามที่จะเรียนรู้การร้องรำทำเพลง


ในที่สุด  
ถึงแม้จะไม่เป็นเรื่องในด้านการร้องรำทำเพลงเอาเสียเลย
แต่สิ่งที่ได้กลับมาโดยที่ไม่เคยคิดอยากได้ อยากเป็นเลย 
นั่นก็คือ การเขียนหนังสือ

13qzq728.jpg

เริ่มจากการที่สนใจการเต้นการรำ
ก็เลยทำให้สนใจนาฏศิลป์แบบไทยๆ
และนาฏศิลป์แบบไทยๆ ก็มีวรรณคดีแทรกอยู่

ซึมซับเข้ามาโดยไม่รู้ตัว 
จนวันหนึ่ง รื้อค้นหนังสือเก่าๆ ของคุณอามาอ่าน
ก็เลยอยากลองเขียนอะไรๆ ที่เป็นบรรทัดๆ 
บรรทัดละ 7-9 คำบ้าง

ก็เลยเอาคำมาเรียงๆ กัน 4 บรรทัด เลียนแบบหนังสือวรรณคดีเก่าๆ เล่มนั้นของคุณอา
อยากให้ออกเสียงแล้วไพเราะอย่างนั้นบ้าง
แต่ก็ไม่เคยรู้เลยว่า ทำยังไงถึงจะทำให้ข้อเขียนที่มีบรรทัดละแปดคำ สี่บรรทัดนั้นอ่านแล้วได้จังหวะไพเราะ

05ggf312.jpg

อยู่มาวันหนึ่งในวิชาภาษาไทย 
อาจารย์ก็สอนเรื่อง แผนผังร้อยกรอง


จึงกลับมาทำการบ้าน 
แอบซุ่มอยู่คนเดียว นั่งเขียนอะไรตามผังที่มีคำคล้องจอง (เรียกในสมัยเด็กๆ ว่า คำคล้องจอง) หรือสัมผัสสระระหว่างวรรค 
เก็บตัวเขียนอยู่คนเดียวเงียบๆ อยู่นั่นแหละ  แล้วก็ไม่สนใจอะไร
เหมือนคนอยู่แต่ในโลกส่วนตัว

จนกระทั่งกระดาษเต็มบ้านไปหมดเลย 

05cgl101.jpg

แล้ววันหนึ่ง 
ที่โรงเรียนก็จัดประกวดแต่งกลอน
ฉันก็ไปประกวดกับเขาด้วย ทำแบบเล่นๆ ไม่คิดว่า ฉันจะทำได้
ก็จำผังกลอนได้แล้วนี่นา 

แล้วก็ได้รางวัลด้วย 
อาจารย์ไม่เชื่อว่า เด็กธรรมดาๆ อย่างฉันจะเขียนกลอนได้
ก็เลยเรียกไปพิสูจน์เสียหลายรอบ

เด็กหญิงคนหนึ่งที่พอจะจำผังร้อยกรองได้ 
อาจารย์ให้หัวข้ออะไร ก็เขียนๆ ได้จบบทภายใน 5 นาที
อาจารย์จึงยอมแพ้ ยอมมอบรางวัลให้กับฉันโดยดี

30tml457.jpg

ฉันก็ไม่รู้หรอกว่า 
ฉันอยากเป็นนักเขียนหรือเปล่า 
ฉันรู้แต่ว่า ฉันมีความฝัน ฉันอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์
ฉันอยากทดลองอะไรๆ ที่แปลกๆ 
ชอบอะไรที่แตกต่างจากที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ 
อยากได้ความรู้จากการพิสูจน์ทดลอง

ฉันจึงเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์ ท่ามกลางกระแสการคัดค้านของอาจารย์หลายๆ ท่านที่ส่ายหน้ากับความดื้อดึงของฉัน
เตือนแล้วว่า อย่างฉันน่ะ น่าจะเรียนทางอักษรศาสตร์มากกว่า มาเรียนสายวิทย์ทำไม
ยิ่งติง ก็ยิ่งลองดี 
ฉันจะเรียนให้ดู  คอยดูนะ


เรียนวิทยาศาสตร์ ก็ได้คะแนนดีๆ ในวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา 
เพื่อนๆ ก็นิยมว่า ฉันเรียนได้ดี
แต่วิชาคณิตศาสตร์ ตกแล้วตกอีกอยู่นั่นแล้ว

แต่กลับทำคะแนนวิชาสังคม กับ ภาษาไทยได้เกือบเต็ม
คะแนนที่ออกมาก็เลยหกคะเมนตีลังกาวุ่นวายไปหมด

ถึงชั่วโมงวิชาภาษาไทย 
อาจารย์ให้แต่งกลอนส่งเป็นการบ้าน 
เพื่อนๆ บางคนเขียนกันไม่ค่อยได้ 
นั่งกัดปากกาจนปากกาจะเปื่อยไปหมดทั้งด้ามแล้ว

เช้าขึ้นมา เพื่อนๆ ก็เรียงแถวมาให้ฉันเขียนให้คนละบทสองบท
มีงานส่งกันทั้งห้อง

24mzg886.jpg

ก็ยังคิดว่า การเขียนกลอนเป็นงานอดิเรก
เที่ยวเอาชื่อเพื่อนๆ มานั่งแต่งโคลงกระทู้เล่นอยู่นั่นแหละ
และก็ทำสถิติการเขียนของตัวเองทุกวันๆ ไม่เคยตั้งใจเขียนให้ดีๆ เลย

กระดาษก็เลยเต็มบ้านไปหมด 
แถมทำกราฟไว้ดูเล่นด้วยว่า วันไหนเขียนกลอนได้เยอะสุด
แล้วก็ได้แต่กลอนห่วยๆ ไม่เคยมีกลอนดีๆ กับเขาไว้เลย
เพราะไม่เคยสนใจจะเขียนเอาคุณภาพกลอนหรือศึกษาค้นคว้าเพิ่มอะไรนัก
แต่สนใจว่า ฉันได้เขียนกลอนทุกวันหรือเปล่า กลัวจะลืม (คิดแบบเด็กๆ)

ไม่มีเรื่องจะเขียน 
ก็ชมสายฝน ดอกไม้ สายลม ไปตามเรื่องตามราว
ถูกกระตุ้นจากบางคนให้ส่งไปลงนิตยสารบ้าง
ได้เงินค่าขนมมากินเล็กน้อย แต่ก็ขี้เกียจส่งซะแล้ว

อาจารย์เอากลอนไปส่งประกวด 
พอได้รางวัลก้อนใหญ่กลับมา
ก็แค่ดีใจ  แต่ก็ยังเขียนแบบเล่นๆ ต่อไปอีก
ไม่มีคนแนะแนวทางนี่นา (และไม่สนใจที่จะเสาะหาคนแนะแนวทางให้เขียนดีๆ ด้วยน่ะสิ)

23ulp041.jpg

ฉันไม่คิดว่า  ฉันจะต้องอยู่กับตัวหนังสือตลอดชาติหรอก
เพราะฉันก็มีความใฝ่ฝันของฉัน
ฉันอยากเป็น สถาปนิก  (เปลี่ยนเป้าหมายอีกแล้ว เพราะหนุ่มคนที่ฉันแอบชอบน่ะ เขาจะเอนท์วิศวะ จุฬา ฉันก็เลยอยากเรียนสถาปัตย์ จะได้คู่กัน)

แต่แล้ว 
ก็ไปเรียนวิชาความถนัดทางสถาปัตยกรรม 
รู้สึกตัวเองห่วยแตกชะมัด

ได้แค่หลักการวาดภาพมานิดหน่อย
แต่ไม่ได้อะไรนักเลยจริงๆ ในเรื่องของการปฏิบัติ
ถ้าต้องสอบแข่งกับใคร มีสิทธิ์ร่วงแน่นอน  (และมีสิทธิ์แห้วจากความรักด้วย)

11zjn971.jpg

ในที่สุด 
ฉันก็ต้องยอมแพ้ หันกลับมาเรียนทางสายศิลป์จนได้
แต่เป็นศิลป์-สังคม นะ ไม่ใช่ศิลป์ ภาษา
จะว่าไปก็กึ่งๆ อีกนั่นแหละ ก็เหมือนๆ ศิลป์  ภาษา
เพราะฉันเรียนคณะโบราณคดี เอกวิชาภาษาไทย โทมานุษยวิทยา
มหาวิทยาลัยแห่งศิลปะ (ม. ศิลปากร)

แต่ภาษาไทยที่ฉันเรียนก็เรียนเน้นทางด้านภาษาศาสตร์เพื่อการศึกษาวิจัยทางสังคมและประวัติศาสตร์มากกว่าการใช้ภาษาในเชิงวรรณศิลป์ หรือการสื่อสาร
เรียนภาษาถิ่นทุกถิ่น ภาษาโบราณ วรรณคดีโบราณ 
และก็มีวิชาวรรณคดีวิจารณ์ เป็นวิชาที่ฉันสุดรัก

และฉันก็ได้เข้ามาอยู่ในแวดวงของศิลปะเป็นเวลาหลายปี  ได้ซึมซับกับสุนทรียภาพทางศิลปะ

จึงทำให้ฉันเข้าใจในเรื่องของการรับสัมผัสทางอารมณ์ ความรู้สึก และเรื่องของความคิด จินตนาการต่างๆ อันเป็นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน 

ซึ่งในส่วนนี้ เป็นข้อได้เปรียบสำหรับการเรียนรู้ของฉัน ที่จะหล่อหลอมสิ่งต่างๆ ในชีวิตของฉันให้เข้าใจถึง "เสรีภาพ" ของจินตนาการที่คนทุกคนมี "สิทธิโดยชอบธรรม" ที่จะแสดงออกมาได้โดยไม่ล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น

07kyt006.jpg

แต่แล้วฉันก็ไม่เคยรู้เหมือนกันว่า ฉันเกิดมาเพื่อที่จะเป็นอะไร
เพราะฉันแสวงหามาโดยตลอด 
และที่แสวงหาก็ไม่เคยได้ แต่ได้ในสิ่งที่ไม่ได้แสวงหา
โอกาสก็วิ่งเข้ามาหาฉันเอง


เพียงแต่ฉันมัวแต่ไขว่คว้าในสิ่งที่โอกาสไม่มีให้
เลยทำให้ฉันทิ้งโอกาสที่เข้ามา 
ชีวิตฉันก็เลยพลิกผันอย่างน่าหวั่นไหว

06qik865.jpg

ฉันเรียนจบแล้วก็หาลู่ทางที่จะทำงานสื่อสารมวลชน
จนกระทั่งฉันได้เป็นผู้สื่อข่าวสมดังตั้งใจ

และด้วยความที่ฉันไม่เคยรู้จักหลักนิเทศศาสตร์อะไรเลย
ทำให้ฉันได้เรียนรู้งานสื่อสารมวลชนจากงานที่ฉันทำ
แล้วฝึกปรือจากการที่ไม่เคยทำเป็น ทำได้ จนกระทั่งทำได้ ทำเป็น

วนเวียนกับการเป็นผู้สื่อข่าว ทำงานสำนักพิมพ์ ทำงานวิจัย อยู่ระยะหนึ่ง
ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ไม่เคยเรียนในมหาวิทยาลัย
ไม่ว่าในเรื่องการถ่ายภาพข่าวเหตุการณ์ การสัมภาษณ์ การรายงานข่าว การเขียนข่าว การหาประเด็น การหาแหล่งข่าว การขายโฆษณา การจัดรูปเล่มหนังสือ สารพัดที่ฉันไม่เคยได้รู้จัก
แม้กระทั่งการทำสื่อประชาสัมพันธ์ การประสานงานการตลาด การประสานงานกับโรงพิมพ์ 

เป็นความรู้อย่างจับฉ่ายที่ไร้หลักวิชาการเสียนี่กระไร 
และไม่รู้เหมือนกันว่า เส้นทางชีวิตขีดให้ฉันมาตรงนี้หรือเปล่า 
เพราะดูเหมือนอะไรก็ไม่ค่อยราบรื่นนักสำหรับฉัน 
ฉันถูกโยกย้ายทำข่าวเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายสาย ต้องปรับตัวหลายต่อหลายครั้ง
ถูกกดดันจากงานมากมายจากหัวหน้าที่คล้ายๆ จะกลั่นแกล้งฉันจนกระทั่งฉันเกือบถูกออกจากงานหลายหน แล้วในที่สุดก็ยังได้ทำงานต่อ เพราะเจ้านายใหญ่ยังเอ็นดูอยู่ 


และแล้ว  
ความกดดันมากมายจนกระทั่งฉันลาออกเสียเอง
แล้วตัดสินใจย้ายกลับมาอยู่ที่บ้าน เปิดร้าน เปิดกิจการของตัวเอง

05dan193.jpg

ทุกสิ่งทุกอย่าง  
เหมือนอำนวยให้ฉันได้มีเวลาได้ศึกษาค้นคว้า ได้ขบคิด และได้ฝึกปรือการเขียนหนังสือมากขึ้น
ฉันมีโอกาสเขียนกลอน มีโอกาสเขียนเรื่องต่างๆ ตามแต่จะคิดได้


ในที่สุด 
ด้วยความที่มีเวลาติดตามข่าวสารพอสมควร ทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันได้รับรู้ข่าวสารการเมืองมากขึ้น
และด้วยทักษะที่เคยเป็นนักข่าวมาก่อน จึงทำให้ฉันมีวิธีได้ข้อมูลอะไรหลายด้านมากขึ้น

28sxj514.jpg

แรกทีเดียว  
ฉันยังรักที่จะศึกษาทางนิเทศศาสตร์ต่อไป 
เพื่อที่จะได้ทำงานสื่อตามที่ฉันรัก และฝันที่จะทำ

อาจารย์ที่โรงเรียนมัธยม ที่ฉันเคยศึกษาสำเร็จมาเมื่อสิบปีกว่าปีก่อน ก็ทาบทามให้ฉันไปเป็นอาจารย์สอนภาษาไทย ทั้งที่ใจฉันอยากเป็นอาจารย์สอนสังคมมากกว่า เพราะมีโอกาสฝึกเยาวชนของชาติได้ในระหว่างหลักสูตรการสอน แต่ด้วยฉันยังขาดวุฒิครู จึงทำให้ฉันยังไม่สามารถบรรจุในอัตราว่างที่โรงเรียนนี้ต้องการได้

จึงมีโอกาสที่ทำให้ฉันได้คิดต่อไปอีกว่า ... ฉันควรจะเรียนอะไรดี 
หรืออาจจะไม่ต้องเรียนก็ได้


แล้วในที่สุด 
ปัญหาเกี่ยวกับการเมืองมากมายในปัจจุบัน ที่มีปัญหายุ่งเหยิงจนฉันติดตามแล้วเกิดอารมณ์ร่วมว่า ฉันน่าจะมีวิชาความรู้พอที่จะมีส่วนช่วยประเทศชาติบ้าง

ประกอบกับปัญหาจากคนที่ฉันรู้จัก เขามาพูดคุยให้ฉันฟังถึงปัญหาคดีหลายคดี มีที่ต้องต่อสู้และมีปัญหากับทนายความที่เอารัดเอาเปรียบ

ฉันจึงคิดแบบคล้ายๆ คนเชื่อมั่นในตัวเองว่า 
"ฉันเป็นคนดี ฉะนั้น ... คนดีๆ อย่างฉันควรเรียนกฎหมาย"

ฉันจึงตัดสินใจว่า วิชานิติศาสตร์ เป็นวิชาที่น่าสนใจมาก
จึงใช้เวลาว่างเรียนวิชานี้ เป็นปริญญาตรี อีกสักใบหนึ่ง)

23kgu292.jpg

ไม่มีใครทัดทานฉันเลยสักคน 
ทุกคนรอบด้านสนับสนุนกันถ้วนหน้า

คุณอาของฉัน
จบนิติศาสตร์มา มีความยินดีที่หลานสาวจะเรียนนิติศาสตร์ และให้คำแนะนำต่างๆ ในการศึกษากฎหมายว่า ควรจะอ่านหนังสืออย่างไร ถ้าเรียนจบแล้ว ก็เป็นที่ปรึกษากฎหมายได้ เปิดสำนักรับปรึกษากฎหมาย แล้วอบรมทนายความได้อีก เรียนเนติต่ออีกได้

อาเขย  
ก็รู้สึกว่า การเรียนกฎหมายทำให้เป็นคนเหนือคน ถ้าเป็นคนดีก็จะทำประโยชน์ให้กับคนในสังคมได้เป็นอันมาก แต่ถ้าเป็นคนไม่ดี ก็รังแกคนอื่นได้มากเช่นเดียวกัน การเรียนกฎหมายทำให้รู้ทันคน มีช่องทางเปิดโอกาสให้ทำความดีได้มากมาย

ป้าหมอ  
ที่ฉันรู้จัก ก็บอกว่า ควรจะรีบๆ เรียนให้จบซะ จะได้ช่วยชาวบ้านเดือดร้อนที่ไม่รู้กฎหมายแล้วถูกคนที่รู้กฎหมายกดขี่เอาเปรียบ

และคนที่ทำให้ฉันอุ่นใจพอจะเห็นเป็นแบบอย่างได้ ก็คือ ลุงเวทย์
เพราะลุงเป็นทนายความที่อยู่ในสังเวียนมาอย่างเคี่ยวกรำ
ลุงเล่าประสบการณ์ของลุงจนทำให้ฉันรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาอย่างมหาศาล

10lcl235.jpgเส้นทางเปิดให้ฉัน 
เหลือแต่ฉันจะต้องทำให้เป็นจริง อย่างไม่ระทดท้อ
และมุ่งทางตรง โดยไม่บิดเส้นทางไปสายอื่นให้สับสนอีกต่อไป 

เหมือนกับที่เคยมีคนบอกว่า 
BORN TO BE 
ถ้าสิ่งไหนที่เราจะได้เป็น เส้นทางชีวิตจะเปิดให้เราอย่างราบรื่น
ถ้าสิ่งไหนที่ ไม่ใช่ แล้ว  
อะไรๆ ก็ดูเหมือนเป็นอุปสรรคไปซะหมด

บางสิ่งบางอย่าง 
ชีวิตขีดเส้นมาให้เราแล้ว แต่เราไม่เปิดใจกว้างพอที่จะมองดูตามความเป็นจริง
เราไปไขว่คว้าแสวงหาสิ่งอื่นๆ ที่เราหลงว่า เรารัก
เราไปติดยึดกับความฝันที่จะไขว่คว้าเอามาให้ได้
เราไม่พัฒนาสิ่งที่เป็นอยู่จริงให้ดีที่สุด

บางที 
การที่เราก็ติดยึดอยู่กับความคิดฝันมากเกินไป 
ก็ทำให้ชีวิตเราหันเหสับสน

15hdt450.jpg

เหมือนที่พี่นกเหล็ก  นักข่าวคนหนึ่งบอกฉันว่า 
รุ่งน่ะ  มีข้าวราดแกงกินอยู่แล้ว อร่อยด้วย ก็ยังไม่พอใจ ใฝ่ฝันอยากไปกินข้าวในภัตตาคารหรูๆ เกินกำลังของตัวเอง
และเขาก็เคยบอกว่า 
พี่ก็ไม่รู้จะเตือนรุ่งอย่างไรดีแล้ว เพราะเตือนแล้วรุ่งก็ไม่เชื่อพี่ บางทีอาจจะเป็นเส้นทางของรุ่งก็ได้ ก็ลองดูแล้วกัน
แต่ทุกครั้งที่พี่นกเหล็กพูดแบบนี้ ฉันก็ยังไม่เคยพบเส้นทางสักที  เพราะความดันทุรังสูงของฉันนั่นเอง

เขาเตือนฉันหลายครั้งหลายหนเกี่ยวกับอาชีพการงานของฉันที่ช่างเลือกเหลือเกิน 
เลือกกระทั่งไม่ได้อะไรเลย แสวงหามาตลอดเวลา 

29fcd577.jpg

การที่ฉันอยู่อย่างพอเพียง 
เรียนรู้ชีวิตเท่าที่กำลังเป็นอยู่
ไม่ไปอยากมี อยากได้ อยากเป็น อะไรมากมาย
เป็นเท่าที่เราจะเป็นได้  
เส้นทางชีวิตย่อมขีดเส้นให้ชีวิตสงบง่ายงามดีอยู่หรอก
ดีกว่าการไปไขว่คว้าทะเยอทะยานเกินกำลัง

21zji387.jpg

เรื่องของ พรสวรรค์ กับ พรแสวง 
บางที 
BORN TO BE 
อาจจะเป็นคำตอบให้กับใครหลายๆ คนได้

ทำทุกสิ่งเท่าที่เราจะทำได้ 
และพัฒนาทุกสิ่งตามความเป็นจริง ไปตามเส้นทางที่ชีวิตขีดให้อยู่แล้ว
จิตใจสงบสุขร่มเย็นพอ

16lex779.jpgเป็นเท่าที่เราจะเป็นได้.				
7 กรกฎาคม 2549 22:14 น.

หวง

แดดเช้า

27hbh644.jpgเหมือนฉันกลับกลายเป็นเด็กน้อยในทุกวันๆ 
เมื่อความรู้สึก หวง ของฉันเริ่มกำเริบ


อาการ หวง เกิดขึ้นกับฉันหลังจากที่หายไปจากชีวิตฉันเนิ่นนาน
ทำให้ฉันรู้จักเจ้าตัว หวง มากขึ้นว่า มีฤทธิ์ร้ายกาจเพียงไหน
มันซุกซ่อนอยู่ในซอกหลืบของหัวใจ


27onk768.jpgความรัก ไม่มีการครอบครอง และไม่ครอบครอง
เหมือนๆ คาลิล ยิบราน จะพูดเอาไว้ในทำนองนี้
ในขณะที่ มาสโลว์ บอกว่า 
ความรัก คือ ความรู้สึกเป็นเจ้าของ และ ถูกเป็นเจ้าของ
แล้วฉันจะเชื่อใครดี?


23jfb928.jpgเอาเป็นว่า  
ฉันเชื่อความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับตัวฉันแล้วกัน
ฉันรักและรู้สึก หวง 
และความรู้สึกหวงนี่แหละ เป็น ตัวตน ตัวใหญ่ๆ
ตัวตนตัวใหญ่ๆ ที่ฉันหลงไปยึดเสียจนทำร้ายหัวใจตัวเอง


ความรักก็ยิ่งใหญ่
ตัวฉันก็ยิ่งใหญ่
พี่ชายคนดี ของฉัน ก็ยิ่งใหญ่


สุดท้ายแล้ว 
ฉันก็ยังเห็นว่า ทุกสิ่งมีตัวตน
ไม่เข้าใจความจริงเสียทีว่า ความรักก็แค่นั้น เกิดได้ก็ดับได้
ตัวฉัน แท้แล้ว ตัวตนอยู่ที่ตรงไหน มีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา 
พี่ชายคนดี ก็ไม่ต่างกัน 


นี่แหละ  รากเหง้าของ ความหวง
หวงเสียจนเป็นไฟเผาไหม้ในใจ
หวงจนจิตใจคับแคบ ไม่ยินไม่รับรู้อะไร


มัวแต่ตามคิดอยู่นั่นแล้วว่า  
ฉัน สำคัญ เพียงพอไหม
คนที่พี่ชายคนดี จะไปรัก จะทุ่มเทหัวใจให้ ดีเพียงพอเท่ากับฉันไหม
ทำไมฉันจึงไม่เป็นคนๆ นั้น

แล้วพี่ชายคนดี ไปดีกับใครยิ่งกว่าฉันอีกหรือเปล่า?				
25 มิถุนายน 2549 21:00 น.

อินเลิฟ

แดดเช้า

25par058.jpgเมื่อไหร่จะถึงคิวพี่ม้าลายเป็นพระเอกในเรื่องสั้นของแดดเช้าสักที
พี่ม้าลาย ถามฉันทุกวัน และทุกครั้งที่อ่านเรื่องสั้นของฉันจบลง
พี่ม้าลายอยากเป็นพระเอกในเรื่องสั้นของแดดเช้าจริงเหรอ
จริงน่ะสิ 
ก็ยังคิดไม่ออกน่ะสิ จะให้พี่ม้าลายแสดงบทบาทไหนดี
จะรอนะ  พี่ม้าลายรอคิวเป็นพระเอกอยู่นะ


แล้วฉันก็มานั่งนึกๆ ดู 
พี่ม้าลายจะมาเป็นพระเอกในเรื่องสั้นของฉันได้อย่างไรบ้างละเนี่ย 


เพิ่งมาปิ๊งไอเดียเมื่อคืนนี้ 
เอาเรื่องที่ฉันคุยกับพี่ม้าลายมาเขียนดีกว่า


เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า 
ระยะหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ฉันจะขยันเขียนกลอนเป็นซีรี่ส์อินเลิฟ อย่างที่หลายๆ คนได้อ่านกัน
ในระยะแรกๆ ที่ฉันเขียนกลอน ก็จะมีน้องสาวคนหนึ่งพยายามมาซักว่า พี่แดดเช้าอินเลิฟใคร

เรื่องอะไรจะบอก 
เธอก็เกิดอาการเครียดมาก 
เครี้ยด เครียด 

เครียดจนไม่ง้อเลย  
ไม่รู้ก็ได้ แล้วอย่ามาอึดอัดก็แล้วกัน



แล้วสักพัก  พี่ม้าลายก็ออนไลน์เอ็มเอสเอ็น
กระต่าย  น้องสาวสุดเครียดที่พี่แดดเช้าไม่ยอมปริปากบอกสักคำว่า อินเลิฟใคร ก็เข้ามาทักบอกว่า
พี่ๆ บอกพี่ม้าลายไปเถอะว่า อินเลิฟพี่ม้าลาย เขาถามว่า อินเลิฟเขาหรือเปล่า
เหรอ  ก๊าก
ฉันรู้สึกขำขำที่สุดเลย  ขำจนน้ำตาเล็ด
ก็เลยไปทักพี่ม้าลายไปว่า
พี่ม้าลาย  สงสัยเหรอว่า หนูอินเลิฟใคร
ก็ใช่น่ะสิ  ใครจะไม่สงสัยบ้าง  คนอ่านกลอนแดดเช้าต่างก็คิดว่า แดดเช้าอินเลิฟเขากันทั้งนั้น
แหม  แค่อารมณ์กลอน
ไม่จริงหรอก  แดดเช้าไม่เคยมีอารมณ์อ่อนหวานได้ขนาดนี้
อ่อนหวานยังไง
ก็ดูน้ำเสียงในกลอนสิ  เทียบกับเมื่อสองเดือนก่อน แตกต่างไปตั้งเยอะ
แหม  พี่ม้าลายก็ หนูฝึกเขียน ก็ต้องมีพัฒนาการมั่งสิ
แต่ถ้าคนไม่มีอารมณ์นั้น ก็จะไม่เข้าถึงอารมณ์นั้นหรอก จะเขียนไม่ได้อย่างนี้
พี่ม้าลายคิดว่า แดดเช้าอินเลิฟจริงๆ  ใช่หรือเปล่า?
ใช่สิ 


สรุปว่า  ฉันพยายามแล้วนะ 
พยายามเก็บอารมณ์อินเลิฟ
แต่ทำไม้  ทำไม ถึงมีคนจับได้ว่า ฉันอินเลิฟจริงๆ

ตกลงอินเลิฟพี่ม้าลายเหรอ   นั่น  ยังไม่เลิก
ก๊าก  หนูอินเลิฟพี่ม้าลายไม่ลงอะ
ทำไมล่ะ
ก็ไม่รู้สึกอะไรเลย แต่ชอบคุยกับพี่ม้าลายนะ เถียงกันทุกวัน สนุกดี
แล้วอินเลิฟใครล่ะ
ไม่บอก


คุยไปคุยมา  พี่ม้าลายก็รู้เข้าจนได้ 
ฉันละเบื่อเลย  ไม่ค่อยอยากให้คนมารู้เลยความลับในใจเนี่ย
ถ้ามีคนรู้แล้วจะจบยาก ก็คงอินเลิฟต่อไปอีกยาวนาน
แผลในใจไม่หายง่ายหรอก ยิ่งถูกขุดคุ้ยด้วยแล้ว


จากนั้นมา  พี่ม้าลายก็ตามเก็บข้อมูลอ่านกลอนและเรื่องสั้นของฉันทุกเรื่อง
แล้วก็มาพูดอะไรต่อมิอะไรให้ฉันฟัง 
บางทีฟังแล้วก็ใจฝ่อ  จะแห้วไหมเนี่ย?


ทำไมเขาถึงไม่โทร.หาแดดเช้าล่ะ กลัวว่า เบอร์โชว์ที่มือถือแล้วใครจับได้หรือเปล่า
นั่นสิ  เขาคงยังไม่คุ้นเคยละมัง
แล้วไม่คิดจะไปเที่ยวจังหวัดเขาบ้างเหรอ
ถ้าจะไป แล้วจะดีเหรอ
น่าจะไปนะ  ไปทัวร์สักหน่อย
ไว้เก็บตังค์ก่อนดิ  ว่าแต่เขาจะยอมให้เราไปเหรอ
เขาคงมีลูกมีเมียแล้วมั้ง
ฉันใจฝ่อนิดๆ 

แต่ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย  
ก็แค่อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ ฉันไม่ได้อยากจะไขว่คว้าเขาเอามาเป็นอะไรนักหรอก
"ความรักน่ะ .. ห้ามกันได้ที่ไหน ถ้าเกิดขึ้นแล้วจะบังคับได้ที่ไหน"
"ใช่ค่ะ .. พี่ม้าลาย เมื่อก่อนคิดว่า ถ้าจะรักใคร เราเข้มแข็งเราก็จะไม่รักก็ได้ แต่พอมาเป็นเอง เข้าใจเลย พยายามที่จะไม่รัก ไม่คิด แต่ก็ทำไม่ได้ ก็ต้องคอยดูแลตัวเอง ควบคุมอารมณ์ตัวเอง"
"พี่ม้าลายถึงว่าไงว่า อย่างหนังเรื่องไททานิคน่ะ ไม่มีใครผิดหรอก ในเรื่องของความรักในชีวิตจริงๆ ก็เหมือนกัน ถึงแม้เขาจะมีครอบครัวแล้ว ถ้าความรักเกิดขึ้น อะไรๆ ก็เป็นไปได้"
"ไม่หรอก ... พี่ม้าลาย ความรักเกิดขึ้นก็ส่วนของความรัก สำคัญที่ว่า เราจะทำอย่างไรต่างหาก"
"เขาคงมีลูกมีเมียแล้วแหละ ... แต่ถ้าเขามารักเรา ก็ไม่มีใครผิด"
"แต่เราจะไม่ยอมทำผิด"


"ถ้าเกิดเขามีลูกมีเมียอยู่แล้ว ... แดดเช้าจะทำยังไง"
ก็เรื่องของเขาสินะ  ตอนนี้จัดการกับอารมณ์ตัวเองก่อน
ไม่บอกรักเขาไปเลยล่ะ ขนาดนี้แล้ว
ไม่หรอก ความรักอยู่ในใจ
ไม่บอกให้เขารู้ล่ะ
บอกทำไมล่ะ บอกเพื่อเรียกร้องให้เขารักตอบเหรอ ทุกวันนี้อะไรๆ ก็ดีอยู่แล้ว
ไม่ต้องให้เขารักตอบหรอก  ให้เขารู้ก็พอ
เขาไม่วิ่งหนีเหรอ  เป็นหนู ถ้าอยู่ดีๆ มีคนมาบอกรัก มาขอแต่งงาน โดยที่ยังไม่คุ้นเคยกันเลย หนูคงตกใจเผ่นหนี
เขาคงหายไปเลยแหละ ฮา
นั่นนะสิ 
"แดดเช้าคิดถึงเขามากๆ เขามา ... ก็บอกเขาไปสิว่า คิดถึงเขา"
"แหงะ ... ไม่กล้าบอกหรอก"
"พี่ม้าลายก็เคยนะ เคยบอกคิดถึงคนๆ หนึ่งเหมือนกัน"
"แล้วเป็นยังไงล่ะ"
"ก็บอกเขาไปแล้ว เขาก็ออฟไลน์หนีไปเลย หายไปสองวัน แล้วต่อมาเขาก็มารอเลย ทีนี้เราก็คุยกันนานขึ้น"
"เหรอ ... แต่ทำยากนะ สำหรับแดดเช้าน่ะ"
"ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย แค่เราอยากบอกให้เขารู้"
"ค่ะ ... เฮ้อ ยากจัง"



แล้วฉันก็มีกลอนอินเลิฟรายวัน 
เพราะเจ้าตัวความคิดถึงนี่แหละ กำเริบออกฤทธิ์ได้ทุกวันๆ
พอโพสกลอนเสร็จสักพัก  พี่ม้าลายก็โผล่มาออนไลน์อีกแล้ว
ฉันเป็นฝ่ายทักไปทุกที

พี่ม้าลาย  อ่านกลอนหรือยัง
อ่านแล้ว  เศร้าจริงๆ นะเนี่ย ใช่ไหม
อืมดิ  เมื่อคืนเขาไม่ออนไลน์ เลยไม่รู้จะทำยังไง จะร่ำร้องร่ำไรก็กระไรอยู่ จะเที่ยวร้องแรกแหกกระเชอ ก็ไม่งามอีก จะประกาศปาวๆ ว่า ฉันรักเธอนะ ก็ไม่ดี ก็เลยเขียนกลอนซะเลย ดีกว่าไม่เขียน
นี่  นอนวันละกี่ชั่วโมง ออนไลน์วันละ 20 ชั่วโมงเลยเหรอ
ไม่ได้เป็นขนาดนั้น  พี่ม้าลาย
ก็มาทีไรก็เห็นทุกที คุยกับเขาวันละ 19 ชั่วโมงเหรอ
ไม่เลย เขาไม่ได้ออนไลน์ทั้งวันนี่นา



บางวัน  เขาหายไป
พี่ม้าลายก็ไม่เจอเขา
เขามีนัดกับใครหรือเปล่า  ไม่เห็นออนไลน์เลย
เขาคงเข้าเน็ตไม่ได้มั้ง งานเขายุ่ง
เขาคงหนีแล้วแหละ  เขาหนีเราแน่ๆ พี่ม้าลายว่านะ เขากำลังหนี
เหรอ  ไม่หรอก เขาคงไม่หนีหรอก หนูไม่ได้ไปทำอะไรให้เขาหนีนี่นา
ทำไมไม่บอกรักเขาไปซะเลยล่ะ อาการขนาดนี้แล้ว
ไม่อะ  บอกไม่ได้
บอกๆ ไปเถอะ พี่ม้าลายยังเคยบอกรักคนกลางกระทู้เลย แล้วก็เขียนกลอนซะหวาน เขาก็ยังไม่เห็นเป็นอะไร ไม่เห็นมาหวานกันนอกจอสักหน่อย
ก็นั่นเป็นพี่ม้าลาย  แต่หนูทำไม่ได้  ใจฉันเฮิร์ทสุดขีด แต่พี่ม้าลายไม่รู้หรอก
พี่ม้าลายยังชอบเลยนะ ถ้ามีคนมาบอกรัก
เหรอ 
มีคนมาชอบ ดีกว่ามีคนมาเกลียด
อืม 
เนี่ย  ถ้าหนูไม่อินเลิฟนะ หนูจะบอกรักพี่ม้าลาย
จริงอะ 
ไม่จริงหรอก อิอิ


เฮ้อ  แล้วฉันก็ทำใจลำบากเสียจริง 
อึดอัดมากๆ จะพูดออกไปก็ไม่ได้  จะบอกใครก็ไม่ได้
นี่ตกลงยังไม่บอกรักเขาอีกเหรอ
ไม่มีจังหวะบอกเลย  พี่ม้าลาย
จังหวะมีตั้งเยอะแยะ แต่เราไม่บอกเอง
เฮ้อ .. จะบอกยังไงล่ะ เขาจะฟังเหรอ
ใครไม่ชอบมั่ง มีคนมาบอกรัก
แหงะ  บอกรก อะดิ มีความรักน่ะ รกหัวใจเสียจริง
นั่นแหละ ไปบอกเขาเลยว่า รกนะคะ บอกว่า รกนะคะ
พี่ม้าลายนี่ช่างยุเหลือเกิน 


วันต่อมา  ฉันก็ยังคงเขียนกลอนหวานๆ ตามอารมณ์ของฉันตามปกติของคนที่ไม่หายอินเลิฟสักที
พี่ม้าลายก็เข้ามาอีกละ 
บอกรักเขาไปแล้วเหรอ ถามจริง
เปล่า ไม่ได้บอกรักใครเลย
แต่กลอนหวานมากเลยนะ  คิดว่าบอกรักแล้ว
ก็ยังไม่บอก ใครจะกล้าล่ะ บอกไปแล้วอะไรๆ ก็ไม่เหมือนเดิม ไม่อยากให้อะไรเปลี่ยนแปลง
ไม่เห็นจะเปลี่ยนเลย ก็แค่บอกให้เขารู้ บางทีอาจจะดีก็ได้
พี่ม้าลายก็พูดได้นิ  แต่หนูทำไม่ได้หรอก
"ก็ระวังนะ ไม่รีบบอกรักเขา เขาอาจจะจากไป เพราะเขาคิดว่า เราไม่รักเขา เหมือนเรื่อง กอนวิธเดอะวิน น่ะ สุดท้ายพระเอกก็ต้องจากนางเอกไปทั้งที่รักนางเอก เพราะนางเอกไม่ยอมบอกรักพระเอก"
"เฮ้อ ... ช่างมันเถอะ บอกไม่ได้จริงๆ ถ้าเขาจะไป เขาไม่รักเรา เราก็รั้งเขาไว้ไม่ได้หรอก เหมือนเพลง ร้อยเหตุผล ไง ... พี่ม้าลาย  ถ้าเขารักเรา เขาก็ต้องอยู่กับเรา ถ้าใจเขาไม่อยู่ รั้งเขาไว้ ยังไงก็ไม่มีความสุขทั้งสองฝ่าย"
ยังปากแข็งเหมือนเดิม


ไม่มีใครรู้หรอกนะว่า  
ภายในใจของฉันน่ะเป็นบาดแผลลึกขนาดไหน
ฉันจะทำอะไรไปมากกว่าอารมณ์ตัวเองไม่ได้ 
เพราะหากทำลงไป ปัญหาต่างๆ ก็จะเข้ามา
สู้ทนเจ็บอยู่คนเดียวไม่ดีกว่าเหรอ 

ถ้าหากฉันทำอะไรลงไปแบบไม่เหมาะสม ไม่มีความระมัดระวัง
ฉันก็ต้องคิดมาก กังวล และสูญเสียสัมพันธภาพ 
จะเป็นความเจ็บปวดยิ่งกว่าการที่ฉันมาจมกับอารมณ์เหงาๆ อ่อนไหว ในใจของตัวเองเพียงลำพังเสียอีก


ฉันก็เพียรคิดจะสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้กับใครๆ
ฉันไม่อยากให้ใครต้องเจ็บหรือคาดหวังกับสิ่งที่ฉันบอกไป
หากว่า ความรัก จะเป็นเงื่อนไขของความสัมพันธ์ 
ฉันเก็บไว้ในใจคนเดียวดีกว่า 


หลายคนต่างก็มีคำถามมาซะเรื่อยเลยว่า ใครเป็น พี่ชายคนดี ของฉัน
แน่นอน  ไม่ใช่พี่ม้าลายหรอกนะ อย่าเข้าใจผิด 

พี่ม้าลายยังอยากให้คนมาบอกรักเลย
ทำไมล่ะ
ก็รู้สึกดี  ใครๆ ก็อยากให้คนชื่นชม อยากให้คนสนใจ ยิ่งบอกรักกลางกระทู้  ป่าวประกาศไปเลยน่ะ ยิ่งดีใหญ่เลยนะ เด่นดี เขาต้องชอบแน่
จริงเหรอ
จริงสิ
ไม่หรอก ไม่ทำหรอก
ปากแข็งซะจริงเลย บอกไปก็สิ้นเรื่อง
พี่ม้าลายอยากให้บอกรักเขาเหรอ
ใช่น่ะสิ  เมื่อไหร่จะบอกรักกันสักที รออยู่เนี่ย
เฮ้อ  พี่ม้าลายไม่เข้าใจหรอก ถ้าเขายังเป็นแบบทุกวันนี้ หนูก็คงบอกรักเขาไม่ได้หรอก เขาเองยังไม่เห็นจะสนใจ ใส่ใจ หนูจะมั่นใจได้ยังไงว่า บอกรักเขาไปแล้วจะดีขึ้นมา มีแต่หนูฝ่ายเดียวที่รู้สึกอะไรไปคนเดียว คิดอะไรไปคนเดียว เขาเองก็ยังไม่เห็นจะเป็นไร  ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ ก็คงไม่บอกหรอก  หนูรักคนที่เขาไม่รักหนูไม่ได้หรอก
จะเป็นอะไรไปล่ะ ก็บอกๆ เดี๋ยวก็จบไป ประกาศเปิดตัวซะเลยสิ

ฉันทำแบบพี่ม้าลายแนะนำไม่ได้หรอก  ไม่บ้าระห่ำขนาดนั้น


แดดเช้าเปลี่ยนไปจริงๆ
เปลี่ยนไปอย่างไรล่ะ?
โหดน้อยลงนะ อ่อนหวานมากขึ้น
แดดเช้าอะเหรอ อ่อนหวานมากขึ้น เหมือนเดิมต่างหาก แต่อาจจะใช้ภาษาชำนาญขึ้นมั้ง เขียนทุกวันเลยนี่นา ฝึกๆ เขียน
ก็ต้องออกมาจากข้างในแหละ
ไม่หรอก  แค่จินตนาการก็ได้ พี่ม้าลายคิดเองว่า แดดเช้าอินเลิฟ
ไม่รู้สิ .. พี่ม้าลายว่า แดดเช้าเขียนกลอนเปลี่ยนไปจริงๆ กลอนอ่อนพลิ้วลงตั้งเยอะ
พี่ม้าลายเชื่อเหรอว่า อินเลิฟจริงๆ อาจจะคิดเอาใครมาเป็นแรงบันดาลใจก็ได้นะ แบบว่า คุยกันแล้วถูกใจ ก็เลยชอบแล้วก็เลยฝัน แล้วก็เอามาเขียนเป็นกลอน ได้กลอนออกมาอ่านเยอะแยะ
นั่น  แรงบันดาลใจออนไลน์แล้ว พี่ม้าลายไม่เป็น ก ข ค หรอกนะ เชิญคุยกันเถอะ
คุยกับพี่ม้าลายด้วยก็ได้นี่นา  ไม่เห็นจะเป็น ก ข ค อะไรเลย
พี่ม้าลายจะไปทำงานละ
โธ่ .. กำลังปรึกษาเรื่องเรื่องสั้นสักหน่อย
แล้วเมื่อไหร่จะให้พี่ม้าลายเป็นพระเอกสักทีล่ะ
ก็นึกไม่ออกอะ พี่ม้าลายไม่มี จุดขายเลย ไม่เด่นเลย
แหม  พี่ม้าลายก็ตามอ่านแล้วก็คิดว่า เรื่องสั้นเรื่องไหนให้พี่ม้าลายเป็นพระเอกบ้าง  พอมาถามทีไร ก็ไม่ใช่ทุกที
ก็ นึกไม่ออกน่ะสิ  เอายังไงดี
งั้นจะรอแล้วกัน  รอคิวเป็นพระเอกในเรื่องสั้นของแดดเช้า


นี่แหละ  พระเอกเรื่องสั้นเรื่องนี้ของฉัน
เขารบเร้าทุกวันเลยว่า จะขอเป็นพระเอก
ในที่สุดก็เอาเขามาเป็นพระเอกจนได้


และในวันนี้  พระเอกเรื่องสั้นเรื่องนี้ก็มายุยงอีกละ
ไม่เห็น พี่ชายคนดี ของแดดเช้าออนไลน์หลายวันเลยนะ
นั่นสิ  ติดต่อไม่ได้ สงสัยฝนตกหนักมั้ง
เขามีนัดกับใครหรือเปล่า
มีนัดกับใคร ไม่เห็นเกี่ยวกับเราเลย ฉันเริ่มงอนๆ 

พี่ม้าลาย  หนูเฮิร์ทนะ
เป็นไร 
ชอบพูดเรื่องอะไรไม่รู้ ทำให้ระแวง ทำให้คิดมาก
ก็เชื่อพี่ม้าลายทำไมล่ะ
ก็อดเชื่อไม่ได้อะ ก็นั่งฟังทุกวันๆ
โอ๋ๆๆๆ คิดทางบวกไว้สิ
ก็พี่ม้าลายแหละ พูดแต่ในทางลบๆ หนูก็อดคิดไม่ได้หรอก  . รู้สึกเฮิร์ท
เป็นยังไงล่ะ
ก็รู้สึกเหมือน เสี้ยนหนามตำใจ พี่ม้าลายอ่านกลอน รักฤๅไร้รวงรัง หรือยังล่ะ
อ่านแล้ว
เศร้าไหม  เหมือนอกหักเลยเหรอ
ก็ทำตัวเอง ไม่ยอมบอกรักไปซะ อยากได้อะไรก็ต้องสอยเอา
ก็ลังเลอยู่ว่า จะอยากได้ดีไหม
พี่ม้าลายก็เลยหัวเราะขำฉัน 
ไม่สอยเอาลงมาดู จะรู้ได้ยังไงว่า ของดีหรือไม่ดี
ไม่เอาอะ  ไม่แน่ใจ ไม่อยากทำร้ายใคร
ถ้าของไม่ดีก็ทิ้งไปซะ
ก็หนูเป็นคนดีหนูทำร้ายใครแบบนั้นไม่ได้หรอก
บางทีสอยลงมาแล้วเขาอาจจะไม่เอาเราก็ได้นะ
นั่นสิ  งั้นอยู่แบบเดิมดีกว่า
อ้าว 
ก็ชีวิตแบบเดิมๆ สบายดีอยู่แล้วนี่นา  แค่เฮิร์ทได้ทุกวันเป็นปกติเท่านั้นเอง
ทำไมเฮิร์ทละ
ก็อารมณ์เป็นแบบนี้น่ะ ยิ่งฟังพี่ม้าลายพูดนั่นพูดนี่ ยิ่งเฮิร์ทเลย
ที่จริง มีจินตนาการในทางที่ดีก็ดีอยู่นะ
หนูก็มีจินตนาการในทางที่ดี แต่พี่ม้าลายน่ะสิ  พูดอะไรก็ไม่รู้
ก็อย่าเชื่อพี่ม้าลายสิ 
อดฟังไม่ได้อะดิ  เฮิร์ท เนี่ย
แต่เวลาไม่เฮิร์ทก็แต่งกลอนหวานๆ ได้เยอะนี่นา
อารมณ์เป็นๆ หายๆ น่ะ  ก็แค่คุยกับใครบางคนแล้วถูกใจ พอไม่ได้คุยกันแล้วรู้สึกโหวงๆ เหงาๆ แปลกๆ เท่านั้นแหละ ดีเหมือนกัน  ให้เขาห่างหายไปสักพักหนึ่ง เผื่อแผลในใจจะหาย หายอินเลิฟสักที เมื่อก่อนไม่เคยเป็น ถ้าเป็นแล้วกลับสู่สภาพเก่า ก็คงเคยชินเองมั้ง
"ความรักย่อมอดทนนานและกระทำคุณให้ เชื่อในส่วนดีของเขาเสมอ อดทนเสมอ"
"พี่ม้าลายน่ะ ชอบคิดในรายละเอียดให้ระแวงกัน บางทีอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ ก็แค่อารมณ์น่ะ"
"พี่ม้าลายชอบแกล้งเด็กไง งั้นก็คิดในส่วนดีๆ คิดถึงก็มีความสุขสิ ..."
"บางทีที่เขาหายไป ติดต่อไม่ได้ เขาอาจจะป่วยก็ได้นะ ช่วงนี้ฝนตกหนัก"
"ก็พระเอกอาจจะนัดนางเอก แล้วมาไม่ได้ นางเอกก็เสียใจ แต่ความจริงพระเอกขับรถไปเจออุบัติเหตุ แล้วไปอยู่ที่ ร.พ."
"ไม่ต้องถึง ร.พ. หรอก แค่ป่วยเป็นไข้ไม่สบาย นอนพักผ่อนก็พอ ... เขาคงไม่โชคร้ายขนาดนั้น"

"เฮ้อ ... ไม่ได้คุยกันเลย เฮิร์ทนะเนี่ย ไม่รู้ว่า เขาจะเป็นยังไงบ้าง"
ก็เห็นแดดเช้าคุยกับคนตั้งเยอะแยะ 
ความรู้สึกไม่เหมือนกันหรอก  พี่ม้าลาย
แล้วกับพี่ม้าลายล่ะ
ก็เฉยๆ  แต่ชอบคุยกับพี่ม้าลาย เพียงแต่ไม่ประทับใจน่ะ คุยได้เรื่อยๆ เจอก็คุย ไม่เจอก็ไม่เป็นไร ไม่คิดถึง ไม่รู้สึกเหงา แต่กับพี่ชายคนดีของหนูอะ  ถูกใจไง รู้สึกดีมากๆ เหมือนได้แชร์ความรู้สึกกัน กับพี่ม้าลายแค่แชร์ความคิด ไม่เหมือนกันจริงๆ
เหรอ  ทำไมไม่บอกรักเขาไปเลยล่ะ บอกยังไงก็ได้
ก็เคยพูดๆ เหมือนกันนะว่า ชอบคุยกับเขามากๆ เลย คุยกับเขาแล้วสบายใจ
คำพูดนี้คุ้นๆ แฮะ  รู้สึกว่า ก็อบไปพูดกับหลายคนเลยนี่ ก็เคยบอกพี่ม้าลายแบบนี้เหมือนกัน
แหงะ  ก็จริงนี่นา แดดเช้าคุยเยอะๆ กับคนไม่กี่คนเอง ก็เขาคนนั้นด้วยแหละ ก็บอกไปแบบนั้น
ไม่เอาคำพูดที่ก็อบไปพูดกับหลายๆ คนแบบนี้สิ  พูดอะไรที่เป็นพิเศษหน่อย
แง  ทำไม่ได้อะ พี่ม้าลาย
ปากแข็งเหมือนเดิม


นี่แหละ  พระเอกเรื่องนี้คอยอยู่เบื้องหลังอารมณ์อินเลิฟของฉัน
แล้วยุให้ฉันบอกรัก พี่ชายคนดี ได้ทุกวี่ทุกวัน

รอแต่ว่า 
เมื่อไหร่ฉันจะหายปากแข็งสักที

เมื่อถึงวันนั้น 
พี่ม้าลายก็คงไม่มายุยงให้ฉันบอกรัก พี่ชายคนดี
และ พี่ชายคนดี คงเลิกมาถามเรื่อยๆ ว่า ฉันอินเลิฟใคร
คงจะเลิกถามสักทีว่า ใครทำให้ฉันแต่งกลอนเพ้อเป็นบ้าเป็นหลังได้ขนาดนี้

แต่ 
คงอีกนาน 
นี่ก็เดือนหนึ่งเต็มๆ แล้ว ยังไม่มีทีท่าว่า เรื่องราวความรักของฉันจะจบลง
อารมณ์อินเลิฟของฉันก็ไม่มีท่าทีว่าจะสร่างคลาย


นับวัน 
ยิ่งรู้สึกหยั่งลึกลงไปกัดกินก้อนเนื้อหัวใจเพียงเดียวดาย
ความเหงากัดกร่อนอารมณ์จนขมขื่น
รอแต่ว่า  สักวันคงจะสร่างคลาย


เป็นกฎสำหรับฉันที่ฝังอยู่ในใจว่า ฉันจะไม่เอ่ยปากบอกรักใครก่อน
หากคนนั้นเขายังไม่รักฉัน ฉันก็จะรักเขาไม่ได้
แม้ในใจจะรักเขาหรือว่ามีอาการหวั่นไหวได้ขนาดไหนก็ตาม


นี่คือ  อาการคิดถึงขั้นโคม่าของฉัน
ที่คงต้องหาเวลาเยียวยาให้กลับคืนสู่สภาพปกติ 
และดำรงตนอยู่อย่างเข้มแข็งเพียงลำพังได้
โดยที่ไม่ต้องทุกข์ทรมานใจ


รอคอยแค่ใครคนนั้น  เขาจะรักฉันอย่างแท้จริง
แล้วเอ่ยปากบอกฉันด้วยตัวเขาเอง
โดยที่ฉันไม่ต้องเอ่ยปากบอกรักใคร 


หากไม่มีวันนั้น 
คำว่า รัก ก็ยังไม่มีวันหลุดออกจากปากฉันเป็นอันขาด
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม 
 
27kao801.jpgเมื่อไหร่จะถึงคิวพี่ม้าลายเป็นพระเอกในเรื่องสั้นของแดดเช้าสักที
เขียนให้พี่ม้าลายเป็นพระเอกแล้วนะ  พอใจหรือยัง?				
24 มิถุนายน 2549 09:05 น.

Puppy Love

แดดเช้า

29aig870.jpgทำไมเธอไม่มีแฟนสักทีล่ะ?
เป็นคำถามที่ใครๆ มักจะถามฉันซะเรื่อย  และคำตอบที่ได้รับก็คือการถามย้อนกลับไปว่า
แล้วเขามีแฟนเอาไว้ทำอะไรล่ะ?

หลายคนจะได้อึ้งกับคำถามย้อนกลับไปของฉัน
แต่หลายคนก็งงๆ จนกระทั่งฉันตอบคำถามเขาลงไปให้ชัดๆ ว่า
ก็รู้สึกว่า ไม่มีความจำเป็นต้องมีแฟน ก็เลยไม่มี
เป็นอันจบข้อสงสัยของคนหลายๆ คน

หรือถ้าผู้ใหญ่มาถามฉันเรื่องการสร้างครอบครัว กับการมีลูกเล็กๆ น่ารักไว้เลี้ยงสักคนสองคน ก็จะได้คำตอบคล้ายๆ กับทำนองนี้



เด็กๆ ก็น่ารักดีนะ  แต่ฉันก็รู้สึกว่า เลี้ยงเด็กให้โตขึ้นอย่างแข็งแรงทั้งทางด้านร่างกาย และเข้มแข็งทางด้านจิตใจน่ะ เป็นเรื่องที่ยากมากๆ กว่าเด็กคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนสมบูรณ์ ต้องใช้พลังใจมหาศาลเลยทีเดียว

และที่สำคัญก็คือ  
แค่คนๆ เดียวไม่สามารถจะทำให้มีเด็กออกมาได้หรอก ต้องช่วยกันทำ จริงไหม? 



ไม่มีคนรัก ไม่มีครอบครัว ไม่มีลูก 
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความรัก


ความรักเกิดขึ้นกับฉันได้เสมอๆ  
เอาเป็นว่า ไม่เรียกว่าความรักก็ได้ เรียกว่า ความรู้สึกดีดี



เริ่มตั้งแต่อนุบาลเลย 
ฉันยังเคยปิ๊งเพื่อนอนุบาลด้วยกันบ่อยๆ
มีเพื่อนอยู่คนหนึ่งที่เวลานอนกลางวัน จะต้องลุกขึ้นมาหอมแก้มเพื่อนผู้หญิงก่อนทุกที ไม่งั้นจะนอนไม่หลับ

เพื่อนผู้หญิงคนไหนที่นอนอยู่อีกด้านของนักเรียนชาย (เขาแบ่งเป็นสองฝั่ง หัวชนกัน) เพื่อนคนนี้ก็จะลุกขึ้นมาหอมแก้มหนึ่งฟอด ถึงจะยอมนอน

เพื่อนบางคนถึงกับร้องไห้เลยทีเดียว ...

ฉันเองไม่เคยได้นอนฝั่งตรงข้ามกับเพื่อนคนนี้หรอก ก็เลยไม่ถูกหอมแก้มกับเขาสักที 
เพื่อนคนนี้ไม่มีใครบอกว่า หล่อ แต่เขาจมูกโด่งชะมัด ... 

ไม่มีคนชมว่า หล่อ แต่ฉันก็เห็นว่า หล่อ นะ ... บางทีฉันก็แอบไปฝันถึงเขาด้วยแหละ แต่แค่สองสามคืนเท่านั้นแหละ 

อารมณ์เคลิ้มๆ แบบเด็กๆ ฝันๆ เพ้อๆ ไปว่า ฉันเป็นเจ้าหญิงในหนังจักรๆ วงศ์ๆ แล้วเขาเป็นเจ้าชาย แหม ... จินตนาการบรรเจิดตั้งแต่เด็กเลย



ผ่านช่วงเวลาอนุบาลมา ... 
ผ่านมาชนิดที่ว่า ความรู้สึกกับเพื่อนชายคนนั้นหายไปเฉยๆ 
ไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่

ต่อมาฉันเรียนอยู่ ป.3 แต่ก็ไปปิ๊งพี่ ป. 4 คนหนึ่ง
ใครๆ ก็ไม่สนใจพี่คนนี้หรอก ไม่เห็นมีใครบอกว่า หล่อ สักคน
แต่ฉันกลับชอบแฮะ  
ดี  ไม่มีคู่แข่ง



พี่เขาชื่อพี่ธเนศ ฉันชอบเขาที่เขาเป็นผู้ชายร่างบางๆ เล็กๆ ผิวขาวๆ 
ฉันว่าเขาหล่อนะ  สงสัยจะเป็นสเปคของฉันละมั้ง

ในที่สุด 
เพื่อนก็เลยแซวกัน 
แหม  แซวทีไร เขินทุกที
แต่ฉันไม่เคยได้คุยกับพี่ธเนศเลยสักคำ
นอกจากแอบมองเวลาที่จะได้เห็นเขา และก็จะคอยดูเขาว่า เขาอยู่ที่ไหนแล้ว

ไม่เคยได้คุยกันจริงๆ แล้วพี่เขาก็รู้ด้วยว่า ฉันชอบเขา 
แต่ต่างคนต่างก็ไม่รู้จักกัน


มองตากันไปมองตากันมา  แต่ฉันมักเป็นคนหลบสายตา
จนเป็นพิรุธจนได้สิน่า

นี่แหละ  ความรักของฉัน 
ไม่เข้าใจว่า ทำไมช่างยากเย็นอย่างนี้


พี่ธเนศเรียนจบ ป.6 ไปแล้ว  
ก็ไม่เคยเจอกันอีก จนมีเหตุบังเอิญได้เจอกันเมื่อหลายปีถัดมาในสมัยที่ฉันเรียนมัธยม
เขาจำฉันได้ แต่เราก็ได้แต่มองตากัน (อีกแล้ว)

ก็รู้กันอยู่แค่ในใจ  



นี่คือความรักของฉัน ยังมีความรักกรณีแบบนี้อีกหลายเคส 
ที่ได้แต่มองหน้าเขา ชอบเขา 
พอเห็นเขาผ่านมา ฉันก็ออกมามองตาม 
แต่ไม่เคยได้คบหาพูดคุยกัน 

จนเขารู้นั่นแหละ 
แต่ฉันก็ยังเป็นแบบเดิม ไม่ยอมคุยกับคนที่ฉันปิ๊งเลย
จนคนที่ฉันปิ๊งไปควงสาวตั้งหลายคนต่อหน้าต่อตาไปแล้ว ก็ยังปิ๊งอย่างเจ็บๆ คนเดียวอย่างนั้นแหละ
ยังไงกันนี่เนาะ 




มาเล่าเรื่องความรักแบบเป็นเรื่องเป็นราวบ้างดีกว่า 
จะว่าเป็นความรักก็ไม่ถูกทีเดียวนัก เอาเป็นอารมณ์ที่เรียกว่า ความรู้สึกดีดี แล้วกัน

สมัยเรียนมหาวิทยาลัย  ฉันได้รู้จักรุ่นพี่จิตรกรรมคนหนึ่ง
เขาน่ารักมากๆ เอาเป็นว่า ฉันชอบเขา แต่ไม่ได้รักเขาก็แล้วกัน
ชอบความน่ารักของเขา


เขาเป็นชายหนุ่มร่างบาง ผิวคล้ำ สูงประมาณ 165 ซม. ใส่แว่นตา แล้วก็เอาแต่ยิ้ม
พูดน้อยมากๆ พูดออกมาเป็นคำๆ พูดไปยิ้มไป 
รอยยิ้มของเขาเย็นๆ ใจเย็น  
คำพูดของเขาซื่อๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะเขาสื่อสารทางภาษาไม่เก่งนัก

พี่เจ อายุมากกว่าฉัน 2 ปี 
เขาเป็นคนนิ่งๆ เรียบร้อย ฉันประทับใจเขามากๆ ให้ตายเถอะ 
แต่ไม่ถึงขนาดคลั่งหนักหรอก เพียงแต่ถ้าเจอหน้าก็ต้องเข้าไปเจ๊าะแจ๊ะด้วย



วันหนึ่งพี่เจนั่งอยู่หน้าสโมสรนักศึกษา ฉันก็เดินไปนั่งข้างๆ แล้วถามพี่เจว่า
พี่เจ  ทำอะไร
นั่งคิดอยู่  เขาก็นั่งนิ่งแล้วก็ยิ้มตามแบบฉบับของเขา ยิ้มแบบหวานเย็นๆ นั่นแหละ
คิดอะไรเหรอ ฉันก็ไปถามเขา
คิดว่า  พรุ่งนี้จะทำอะไรดี 
ฉันรู้สึกขำขำคำพูดของพี่เจจังเลย  
แหม คนอะไรน่ารักจัง  คิดว่า  พรุ่งนี้จะทำอะไรดี



พี่เจจะติวศิลปะให้น้องๆ ในวันเสาร์ช่วงบ่าย ฉันก็เลยไปนั่งเล่นกับพี่เจด้วย ไปดูพี่เจสอนน้องๆ
พี่เจแนะนำเรื่องการวาดรูปให้กับฉัน บอกว่า ต้องฝึกมือก่อน โดยการวาดวงกลมๆ วาดให้กลมๆ ให้ได้ 


แล้วฉันก็กลับมานั่งวาดกลมๆ ที่บ้านทุกวันเลย ไม่เคยกลมดิ๊กได้เหมือนที่พี่เจวาด



พี่เจชวนให้ฉันมานั่งดูเขาติวให้น้องๆ ทุกบ่ายวันเสาร์  
ฉันก็มานั่งเล่นบ่อยๆ เท่าที่มีเวลาว่างๆ เขาเป็นคนที่พูดไม่เก่ง เพราะไม่มีคำในสมองมากมายเท่าไรนัก เวลาเขาพยายามอธิบายน้องๆ เขาก็จะคิดช้าแล้วพูดช้า บางทีด้วยความรู้สึกอยากให้น้องๆ ทำได้ เขาก็ยัดเยียดและอัดความรู้ของเขาใส่ไปเยอะ เขาเคยมาบ่นกับฉันเรื่องนี้เหมือนกันว่า บางทีก็รู้สึกอยากให้เขาทำได้ เลยพยายามยัดเยียดเกินไป


เวลาเขานึกคำพูดจะอธิบายไม่ออก  ฉันก็จะเป็นล่ามแปลความคิดในใจของเขาออกมาสื่อให้น้องๆ ฟัง บอกว่าพี่เจเขาหมายถึงอะไร พี่เจก็จะบอกว่า
นั่นแหละ  แบบนั้นแหละ แต่เราคิดคำพูดไม่ออก 


เขาดีใจที่ฉันช่วยเขาแปลความคิดในใจออกมาสื่อสารได้ เขาจะได้ถ่ายทอดความรู้ได้ 
วิธีการสอนของเขาจึงเป็นการทำให้ดูมากกว่าพูดให้ฟัง  น้องๆ ก็ต้องทำตามเขา แล้วจะเรียนรู้การสร้างงานศิลปะได้ด้วยตัวเอง


เขาเคยเล่าให้ฉันฟังว่า เขาจะเรียนต่อปริญญาโท เขาจะเป็นอาจารย์สอนศิลปะ 
เขาเป็นนักศึกษาคณะจิตรกรรมที่ดูเรียบร้อยมาก มีระบบมาก ไม่เหมือนนักศึกษาจิตรกรรมหลายๆ คนที่มีความรุนแรงทางอารมณ์และทำอะไรตามใจเสรี แต่พี่เจดูเหมือนจะมีระบบในตัวเอง



เขายิ้มได้ตลอดเวลา  
ฉันมักจะพบเขาในห้องสมุดเสมอ เขาจะนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ แต่ปากเขายังเป็นรอยยิ้มอยู่เลย
คนอะไร  น่ารักชะมัด




วันดีคืนดี 
ฟ้าลั่น  เป็นเพื่อนร่วมคณะกับฉัน เขาเป็นกะเทย
เขาก็มาหาฉัน แล้วชี้หน้าบอกว่า
นี่เธอๆ อย่ามายุ่งกับพี่เจได้ไหม? พี่เจของฉัน
ฉันก็ยิ้มๆ  แหม เวลาตุ๊ดหวงของนี่น่ารักเหมือนกันนะ
อย่าให้ฉันเห็นนะยะ เขาค้อนฉันควับหนึ่ง

มีอะไรสนุกๆ ให้เล่นอีกแล้ว 



วันหนึ่ง  ฉันเห็นเพื่อนตุ๊ดของฉันเดินผ่านตรงหน้า
ฉันก็นั่งอยู่ข้างๆ พี่เจ  แล้วก็ชวนพี่เจคุย
เพื่อนตุ๊ดของฉันก็มองฉันค้อนตาเขียวควับ
ร่ำๆ จะเดินมาตบ

ฉันก็ทำเป็นไม่หวั่น 
ชวนพี่เจเดินไปเดินเล่นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กันในตอนเย็นๆ ที่ตะวันกำลังตกดิน
พี่เจก็ใจง่าย  ยอมไปกับฉันด้วยล่ะ

ป่านนี้หัวใจเพื่อนตุ๊ดของฉันคงร้อนเร่าเต้นโหยงๆ แล้วละมัง 



วันรุ่งขึ้น 
ที่ห้องวารสาร ฉันไปหาหนังสือพิมพ์อ่านสักหน่อย
พี่เจนั่งอยู่กับฟ้าลั่น 
ทันทีที่ฟ้าลั่นเห็นหน้าฉัน  เขารีบเขยิบเข้าไปนั่งชิดพี่เจอีกสักนิด
พี่เจยังคงนั่งยิ้มแล้วนิ่งอ่านหนังสือเฉยอยู่อย่างนั้นแหละ

ฟ้าลั่น  เหลือบตามามองฉันแว่บหนึ่ง
เหมือนๆ กับบอกว่า พี่เจเนี่ย ของฉันนะ ไม่ใช่ของเธอ

ฉันแอบอมยิ้มขำขำ 
แหม  เพื่อนตุ๊ดของฉันนี่น่ารักจังเลย



พักหลังๆ จึงเห็นฟ้าลั่นเดินควงกับพี่เจบ่อยขึ้นๆ 
ทุกครั้งที่เห็นหน้าฉัน เขาก็ทำตาเขียวใส่ทุกที
ทำนองว่า อย่ามายุ่งกับพี่เจของฉันนะ .


แหม  ก็มันมีอะไรๆ สนุกๆ เล่นอย่างนี้แหละ
จะให้เลิกยุ่งกับพี่เจได้ยังไงล่ะ ฟ้าลั่นเอ๋ย 


วันหนึ่งฉันก็สร้างวีรกรรมอีกชิ้นหนึ่ง 
ฟ้าลั่นเดินมากับพี่เจ  สวนทางกับฉัน
ฉันก็แกล้งถามพี่เจ ทำเสมือนไม่เห็นหน้าฟ้าลั่น
พี่เจ  ไปไหน
พี่เจก็เอาแต่ยิ้ม  มีแต่ฟ้าลั่นนั่นแหละที่ทำตาเขียว มือไม้สั่นทำท่าจะเงื้อตบฉัน 
แต่ฉันเดินหลีกผ่านมาซะก่อนแล้ว

แหม  สนุกเสียจริงเลยนะเนี่ย 



งานนี้  ฉันกลายเป็นนางร้ายไปซะแล้วหรือนี่
ที่จริงตั้งใจจะเขียนเรื่องให้ตัวเองเป็นนางเอกซะหน่อย
แต่  แม้นางเอกจะแสนร้าย แต่ก็น่ารักใช่ไหมคะ?




เรื่องราวความรักแบบ poppy love ยังมีอีก 
หนุ่มอารมณ์ศิลปินนี่ มีอะไรน่าจดจำเยอะแยะ



นอกจากพี่เจแล้ว ยังมีพี่จ้ำปี่ อีกคนหนึ่ง 
พี่จ้ำปี่ เป็นชายหนุ่มผิวขาว สูงประมาณ 171 ซม. อารมณ์ดี 
เหมือนคนไม่มีแก่นสารอะไรเลย เขาไม่เคยเล่าเรื่องของเขาให้ฉันฟัง


แต่ 
เขาจะโทร. มาคุยกับฉันเรื่อยๆ เขาจะพูดเรื่องขำขำเป็นมุกตลกให้ฉันสบายใจ
ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร ปัญหานั้นกลายเป็นเรื่องหัวเราะไปซะแล้ว


บางทีเขาก็ชอบพูดเรื่องสัปดน บางเรื่องฉันรับไม่ได้ บอกไปว่า พี่จ้ำปี่ลามก
พี่เขาก็ตอบกลับมาว่า
ไม่ใช่เพราะเรื่องลามกเหรอ ที่ทำให้เธอเกิดเป็นตัวเป็นตนอย่างนี้น่ะ


ในวันเกิดของพี่จ้ำปี่ ฉันโทร.ไปหาเขาแต่เช้า ได้ยินเสียงเขางัวเงียมารับโทรศัพท์ ฉันก็เปิดเพลงบรรเลง "ด้วยรักและผูกพัน" โดยเอาสายฟังเซาด์อะเบ้าด์ใส่ลงไปที่โทรศัพท์ เขานิ่งอึ้งฟังเพลงเงียบงัน เหมือนมีเสียงจากหัวใจสื่อมาบอกกับฉันว่า "ฟังด้วยกันเลยนะ" 

จนกระทั่งเพลงบรรเลงจบลง เขาก็ถามว่า "ใครน่ะ" ฉันก็วางสายลง
แล้วเขาก็ไม่รู้ว่า เป็นฉันที่เอาเพลงไปให้เขาฟังทางโทรศัพท์ 
แต่ฉันสุขใจลึกๆ อย่างบอกไม่ถูกเชียวเลยแหละ

ตื่นเต้นชะมัดเลย ... ให้ของขวัญวันเกิดหนุ่มคนนี้น่ะ 


พี่จ้ำปี่เป็นคนน่ารักอีกคนหนึ่งของฉันไปแล้ว 
ฉันแอบเรียกเขา(ในใจ) ว่า  พี่ยอดมนุษย์ของฉัน


แม้ในไดอารี่ของฉัน  ฉันก็ยังเรียกเขาว่า พี่ยอดมนุษย์
วันไหน ที่โทร.หาพี่จ้ำปี่แล้วพี่จ้ำปี่ไม่อยู่  ฉันจะเหงาเป็นพิเศษ

ในไดอารี่ก็จะเขียนระบายไว้ว่า 
วันนี้  โทร.หาพี่ยอดมนุษย์ ไม่รู้ว่าพี่เขาไปไหน เหงาชะมัดเลย ฉันคุยกับเขาแล้วรู้สึกสบายใจที่สุดเลยนะ



บางคืนเขาก็โทร.มา เหมือนมากล่อมนอนเลย เล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฉันฟังเพลินๆ เหมือนเล่านิทาน แต่เรื่องของเขาเป็นมุมมองใหม่ที่ใครๆ ไม่มองกัน

หลายต่อหลายเรื่อง .. ตามอารมณ์ศิลปินของเขา

แต่เวลาเขาบอกว่า เขาจะแวะมาเยี่ยมฉัน 
เขาก็ปล่อยให้ฉันรอ แล้วก็ไม่เห็นร่องรอยของเขาเลย


วันหนึ่ง  เขารับโปรเจ็กต์งานใหญ่มา
เขาชวนให้ฉันไปช่วยที่บ้านเขา ฉันไปทาสีฉากโรงละคร 
เขาอยู่กับแม่และก็พี่สาว พ่อของเขาเป็นนายทหาร

ฉันได้ยินมาว่า เพราะพ่อเข้มงวดมาก เลยทำให้ลูกชายกลายเป็นคนไม่ชอบกฎระเบียบ ใช้ชีวิตแบบศิลปิน อยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่มีจุดหมายอะไรชัดเจนนัก

ชีวิตของเขาก็มีความสุขดี  แต่ว่า เหมือนไม่มีหลักฐานอะไรในอนาคตที่แจ่มชัดเท่าไหร่นัก



แม่เขาเป็นครู  พี่สาวเขาเป็นครู
แม่เขาต้องใช้เครื่องช่วยฟังในการฟังเสียง แม่เขาใจดีมากๆ 
ครอบครัวเขาเป็นคนเพชรบูรณ์ 



ตอนที่ฉันไปเล่นที่บ้านเขา  
พี่สาวของเขากำลังท้องแก่ใกล้คลอดเต็มที เขาเคยเล่าให้ฟังว่า ต้องกินน้ำมะพร้าวล้างหัวเด็ก

ฉันได้รู้จักกับเพื่อนของเขา 
อีกไม่นาน  เพื่อนของเขาก็เล่าให้ฟังว่า เขาอกหัก สาวไม่รักไปแต่งงานกับคนอื่น คนที่มีบ้านมีรถ พี่จ้ำปี่ไม่มีอะไรเลย มีแต่หัวใจและรอยยิ้มไป ตอนนี้ก็เลยต้องกินน้ำยอดข้าวต่างข้าว 

แต่พี่จ้ำปี่ไม่เคยเล่าเรื่องสาวคนนี้ให้ฟังหรอก  อาจจะเป็นมุกตลกของเพื่อนเขาก็ได้ 




เอาเป็นว่า  แค่คิดถึงพี่จ้ำปี่แล้วก็สบายใจ มีความสุขดี
นอนหลับฝันดี ถ้านอนไม่หลับก็โทร.หาพี่จ้ำปี่ คุยๆ ไป เดี๋ยวเขาก็คุยเพลินจนฉันสบายใจก็หลับได้
บางคืนเขาก็โทร.หาฉัน แล้วพูดโน่นพูดนี่ 
คุยอยู่ดีๆ เขาก็เงียบไปเฉยๆ แล้วฉันก็ได้ยินเสียงกรน
เรียกยังไงก็ไม่ตื่น .



พี่จ้ำปี่น่ารักจังเลยนะเนี่ย 
นี่ก็เป็นเรื่องอินเลิฟของฉันอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อนานมาแล้ว
แล้วเขาก็ย้ายบ้านไปไหนก็ไม่รู้ ไม่เคยติดต่อกันได้อีกเลย



เขาก็หลุดไปจากวงจรชีวิตฉัน  
หลุดไปตามกระแสเวลา
เหมือนที่พี่ธเนศ กับ พี่เจ ที่ก็หายไปจากฉันตามกาลเวลา



พวกเขาเข้ามาแต่งแต้มความรู้สึกในใจได้เสมอ 
ในยามที่เหงาๆ ทำให้หัวใจของฉันมีสีสันขึ้นมา
และมีเรื่องราวหลายอย่างที่ทำให้ฉันได้เรียนรู้อะไรๆ จากพวกเขา



อาจจะไม่ใช่ ความรัก
แต่ความรู้สึกดีๆ แง่มุมงามๆ ที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกอย่างนี้ เป็นสิ่งที่น่าทรงจำ .. มิใช่หรือ?


และควรค่าแก่การมาแบ่งปันประสบการณ์กัน ถ่ายทอดให้รับรู้และซึมซับความดีงามของสิ่งเหล่านี้ 


ความบริสุทธิ์ของความรู้สึกเป็นสิ่งที่เหมือน ช็อกโกแลต ที่เติมลงไปในนมจืดๆ ให้คุณค่าและชูรสชาติให้กลมกล่อมมากขึ้น

ดีกว่าดื่มนมจืดๆ นะ  ว่าไหม?



กับคำถามเดิมๆ ที่ใครๆ เป็นห่วงกัน
ทำไมไม่มีครอบครัวสักทีนะ
ทำไมต้องมีด้วยล่ะ
แล้วเคยมีความรักไหม
ความรัก  ใครจะไม่เคยมี 
ความรักเป็นสิ่งดีเหลือเกิน  เป็นอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์

ถ้าความรักนั้นไม่มีความคาดหวัง
ไม่มีการควบคุม ไม่มีการครอบงำ
ไม่มีการครอบครอง และไม่มีอารมณ์ที่หม่นมัวดำมืด
หากความรักนั้นเป็นสีใสๆ สดชื่น และสร้างสรรค์สิ่งดีงาม


ขอให้  ความรัก และ ความรู้สึกดีดี อยู่ในหัวใจคนทุกคน
ขอให้  ความรัก ที่รุ่มร้อนผ่อนคลายเบาบางลงเป็นความเย็นสดชื่นในใจ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจมากมายอันจะเอื้อประโยชน์ให้กับคนอื่นๆ และทำให้เราพบความสุข


มิใช่  ความอยากได้ใคร่ดี หรือ ความสนองความต้องการทางอารมณ์ปรารถนาใดๆ ที่จะก่อให้เกิดปัญหานานาประการ ซับซ้อนจนยากจะคลายปม

แต่  ขอให้ความรัก ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างภายในจิตใจ ให้ผ่อนเบาลง และนำพาไปถึงจุดหมายสูงสุดของชีวิต


ขอพรแห่งความรัก ปกปักคุ้มครองทุกคน  ที่ใช้ หัวใจ ในการซึมซับความรักที่มีอยู่จริงในโลกใบนี้


ขอความรักยังคงอยู่กับโลก  อยู่ด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่องและสร้างสันติ ป้องกันสงครามและภัยพิบัติใดๆ ด้วยเทอญ


ขอให้รักษาความรักเอาไว้ 				
Calendar
Lovers  2 คน เลิฟแดดเช้า
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแดดเช้า
Lovings  แดดเช้า เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแดดเช้า
Lovings  แดดเช้า เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแดดเช้า