21 มิถุนายน 2550 12:37 น.

นิยายเรื่องนั้น

แมงกุ๊ดจี่

๑.
ปึก!.... เสียงโยนซองสีน้ำตาลขนาด  A4  ในนั้นมีเอกสารประมาณปึกหนึ่งได้
สาเหตุของเสียงมาจากอาการหัวเสียของชายวัยกลางคน สวมแว่วตาหนาเตอะที่มีอาการหงุดหงิด สีหน้าตึงเคลียด   เขาคือบอกอ. สำนักพิมพ์หนังสือแห่งหนึ่ง  ซึ่งตอนนี้บอกบุญไม่รับซะอย่างนั้น

อาการหงุดหงิดที่เหมือนจะไม่ยอมสงบง่าย ๆ  เจ้าของอาการเดินมาใกล้โต๊ะ
ทำงานแต่ไม่ยอมนั่ง  แต่ใช้มือค้ำยันขอบโต๊ะทำงาน เพื่อให้การทรงตัวมั่นคง
มากพอแล้วจ้องเขม็ง  มายังต้นตอของอาการหงุดหงิดของเขา  ที่ทำเขาแทบ
เหมือนคนเสียสติ

"ผมบอกคุณกี่ครั้งแล้ว  ให้ส่งต้นฉบับก่อน 1  เดือน  เพื่อให้ผมอ่านก่อน
แล้วค่อยพิจารณาตีพิมพ์   คุณไม่เข้าใจรึไง  ห๊ะ"  บอกอ.ส่งเสียงตวาด
อันทรงพลังมากด้วยอำนาจที่เหนือกว่าพร้อมจ้องไม่วางตา   บอกอาการไม่สบารมณ์ได้อย่างเด่นชัด...แววตาของคู่สนทนา  ฉายแววผิดหวังไม่น้อยที่โดนหนิอย่างนั้น   แต่ก็มิได้โต้แย้งผู้มีอำนาจเหนือกว่าแต่อย่างใด  เหมือนเป็นสิ่งที่จะปฏิเสธเสียมิได้  ที่ต้องนั่งรับฟังคำด่าทอ  คำตำหนิ   ที่ตอกย้ำความรู้สึกนึกคิด..

"แล้วนี่อะไร!  แล้วนี่อะไร! "  ตาของ บก.สำนักพิมพ์แทบถลนออกมานอกเบ้า
พร้อมกับกิริยาหยามหยันกึ่งขำแสยะยิ้ม   แต่ไม่มีทีท่าว่าจะส่งเสียงหัวเราะเล็ดลออดออกมาแต่อย่างใด..."ดูซิ   อ่านดูแล้วยิ่งไร้อารมณ์   ไม่น่าติดตาม  คุณเป็นนักเขียนนะ  ไม่ใช่ไม้กระดาน" เขายังคงพูดไม่หยุด โดยเปลี่ยนจากมือยันโต๊ะทำงาน  เป็นเดินอ้อมมาด้านหลังของคู่สนทนา  แล้วเดินวนกับไปยังจุดเดิม...

"ผมให้โอกาสคุณแก้ตัว   เรื่องของคุณจะเลื่อนไปก่อน   ยังไม่ตีพิมพ์ปักษ์นี้
ผมจะเอาของนักเขียนคนอื่นลงไปก่อน   ส่วนคุณไปจัดการแก้ไขงานคุณมาให้สมบูรณ์"เขานั่งลงพร้อมใช้มือดันซองสีน้ำตาลที่โยนลงก่อนนี้     เลื่อนให้เจ้าของซอง  รับคืนไปเจ้าของเอกสาร  สบตา   "ค่ะ   บอกอ " แล้วเอ่ยรับคำอย่างหนักแน่น  แต่แฝงไว้ด้วยความระอิดระอาใจเหลือ...

ดูเหมือนพายุอารมณ์เมื่อครู่จะสงบลงแล้ว    
เมื่อได้พัดปะทะกับสิ่งกรีดขวาง  เหมือนจะไม่สามารถพัดทำลายสรรพสิ่งต่าง ๆ  ได้อีก"งั่นขอตัวนะคะ  บอกอ "  คู่สนทนาคิดว่าได้เวลาแล้ว  ที่จะออกไปจากห้องนี้ห้องเย็นที่ใคร ๆ   เรียก  แต่สำหรับหล่อนทำไม?  มันร้อนอบอ้าวเหลือเกิน  และแสนจะอึดอัด  เป็นไปได้หล่อนแทบอยากจะวิ่งหนี   ในนาทีที่เห็นอารมณ์เกี้ยวกราดนั้นทันที... 
     
"อ้อ! เดี๋ยว... อย่าลืมนะ  อารมณ์หน่ะ  อารมณ์ให้มันมีซะบ้าง"  
เสียงผู้มีอำนาจเหนือกว่าสบถ..   ก่อนที่หล่อนจะเดินพ้นประตูห้องออกมา เมื่อก้าวพ้นประตู  หล่อนมองดูซองสีน้ำตาลที่ถือออกมาด้วย แล้วถอนหายใจยาว  เหมือนจะโล่งคล้ายยกภูเขาออกจากอก  ที่ออกมาจากห้องบอกอเจ้าอารมณ์ได้เสียที

"วิกานดา  อัญญสิทธิ์"  หญิงสาวที่เรียนจบด้านการบริหาร  แต่มีพรสวรรค์ในการเขียนนิยาย...และเป็นสิ่งที่หล่อนชอบและรักที่จะทำในงานด้านนี้   และยึดอาชีพในด้านการเป็นนักเขียน  หล่อนเป็นนักเขียนฝีมือดี  และมีจินตนาการที่หลายหลากในการสร้างสรรค์ผลงานออกสู่มหาชนเสมอ   หล่อนเกิดมาพร้อมกับสำนักพิมพ์นี้   ไม่สิหล่อนแจ้งเกิด  ได้เป็นนักเขียนก็เพราะสำนักพิมพ์นี้  หล่อนหันหลังไปชำเลืองมองประตูห้องที่ก้าวพ้นออกมาเมื่อครู่   พร้อมกับยักไหล่ทั้งสองข้าง  เหมือนไม่หยี่หระกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่กี่นาที   แล้วหยิบซองสีน้ำตาลที่เป็นต้นฉบับขึ้นแนบอกเดินเข้าลิฟต์ไป...

***********************************

๒.
หญิงสาวร่างบางนอนหลับสนิทไม่เป็นท่า  ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง 
ไร้ภาพพจน์งดงามของกุลสตรี   เหตุเพราะเมื่อคืนหล่อนทำงานจนดึกดื่น... ทำให้หลับเหมือนคนไร้สติ   ไม่สามารถควบคุมความคิดกริยาใด ใด ได้    (อิอิ   เหมือนผู้เขียนเลย  คริ ๆ) 
เมื่อคืนหล่อนหมกหมุ่นอยู่กับการวางเคล้าโคลงเรื่องของนวนิยาย  ที่เขียนให้กับสำนักพิมพ์  ที่มีกำหนดภายใน  1   เดือน  ต้องส่งต้นฉบับให้ทัน  แต่เหมือนจะไม่เข้าท่าเอาซะเลย   หล่อนเสียเวลาทั้งคืนไปโดยเปล่าประโยชน์  และหมดเรี่ยวแรงที่จะต้านความอ่อนล้าของร่างกายได้...

ก็หล่อนถนัดเขียนแนว  รักแก่นแก้วแสนซน   และฆาตกรซ่อนเงื่อน  แต่นี่บอกอ.สั่งเหมือนฟ้าฝ่า    ให้เขียนแนวใหม่   เป็นรักโรแมนติก  หวานแว๋ว  อันนี้ก็ยังพอทำเนา     แต่ต้องมีบทรักพิศวาท    เย้ายวนใจ   ให้น่าติดตาม...นี่สิ!  ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญทำให้เป็นปัญหาหนักสาหัสสำหรับนักเขียนวัยละอ่อนอย่างหล่อน...

กริ๊งงงงงงงง  กริ๊งงงงงงงงง.....เสียงโทรศัพท์ดังปลุกนักเขียนสาวที่อิดออด
ไม่อยากจะลุกจากที่นอนมารับเท่าใดนัก...เพราะเหนื่อยล้ามาเกือบทั้งคืน...
"วิ ค๊ะ" หล่อนทำเสียงเซ็ง ๆ  แทนชื่อตัวเองโดยอัตโนมัติ  เพราะจริง-จริงแล้ว
หล่อนไม่อยากจะลุกมาด้วยซ้ำไป...

"ยังไม่ตื่นอีกเหรอ?  ลูกสาวขี้เซา"  เสียงแว๊ก  แว๊ก...มาตาสาย   
แต่เป็นเสียงที่แว๊กที่ฟังแล้วอบอุ่นดี  สำหรับลูกสาว  เป็นเสียงของ  วิภา  อัญญสิทธิ์ มารดาของหล่อน ตั้งแต่หล่อนเรียนจบก็ขอออกมาอยู่ข้างนอก   โดยบิดาได้ซื้อห้องชุดหรือคอนโด ที่จัดได้ว่าหรูหราในระดับหนึ่ง   ซึ่งบิดาของหล่อนเป็นนักธุรกิจ  ที่มีฐานะมั่นคงพอสมควร

"แม่เองเหรอคะ "   หล่อนทำเสียงง่วน ๆ  กะจะงอแงเต็มที่
"ลูกวิ   วันนี้วันหยุดมาทานข้าวเป็นเพื่อนพ่อกับแม่นะ"   เธอบอกบุตรสาว
"โห!   แม่คะวิไม่ว่างเลยงานเยอะมาก"  หล่อนก็ตอบไปอย่างนั้นเอง  
แท้ที่จริงแล้วหล่อนอยากไปจะตาย   แต่ยังรู้สึกฝืน  ๆ   ที่จะต้องไปพบหน้าบิดา  
เพราะบิดาไม่เห็นด้วย กับงานที่หล่อนทำ   เพราะบิดาบอกว่าไม่มั่นคง  และไม่เห็นรายได้เป็นกอบ เป็นกำเหมือนตนประกอบธุรกิจ   และเขาต้องการให้ลูกสาวมาช่วยดำเนินกิจการต่อจากตน

"ไม่ต้องอิดออดเลย   แม่อยากให้วิ  มีโอกาสคุยกับคุณพ่อบ้าง"มารดาหล่อนพูดแล้วถอนหายใจยาว เพราะเป็นกังวลว่าพ่อลูกจะห่างกันมากไปกว่าเดิม  เพราะลูกสาวกับพ่อนิสัยใจคอถอดแบบกัน มาโดยไม่ผิดเพี้ยนเลย  ดังคำโบราณว่า "ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น"   พ่อลูกต่างมีทิฐิต่อกัน...

"ว่าไง?   ลูกวิ  คุณพ่ออายุมากแล้วนะ  ลูกวิอย่าทำเป็นเด็กพร่องการอบรมนัก"   เสียงมารดาเอ็ดมาตาสาย  ซึ่งความจริงแล้วหล่อนก็ไม่โกรธเคืองบิดาเลย  แต่ละอายที่จะดื้อดึงทำสิ่งที่รัก เพราะมันขัดกับความต้องการของบิดา  เหมือนหล่อนประกาศความเป็นอิสะเสรีของตนเอง

"แม่คะ   งั้นเย็นนี้วิไปทานข้าวด้วยนะคะ"   หล่อนตอบรับคำมารดา   แต่ในหัวใจก็หวั่น ๆ ว่าจะคุยกับบิดาว่ายังไงดี    ถ้าหากบิดายื่นคำขาดให้ไปช่วยงานของท่าน  หล่อนบอกตัวเอง ว่าเป็นไงเป็นกัน   อย่างน้อยหล่อนจะต้องไม่อกตัญญูบิดามารดาผู้ให้กำเนิดหล่อนมา....


***********************************
๓.
หล่อนขับรถเก๋งคนงามเข้าไปในบริเวณบ้าน  ซึ่งหล่อนไม่ได้มานานมากแล้ว
ตั้งแต่คราวที่ขอบิดาเป็นนักเขียน  ทำให้บิดาไม่พอใจเป็นอย่างมาก.... ที่หล่อนเลือกจะทำอะไรเล่น เล่น   ซึ่งเป็นความคิดของท่านเอง   แต่มันเป็นความฝันความฝันที่หล่อนอยากจะคว้ามา   เพราะหล่อนตามใจบิดาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ครั้งที่ยินยอมเรียนด้านการบริหารธุรกิจ  แทนที่จะเรียนทางด้านนิเทศฯ หรืออักษรศาสตร์  แต่หล่อนก็จำต้องปฏิบัติตามคำของบิดา  และหล่อนก็ทำได้ดีด้วยสิ   ซึ่งบิดาหล่อนเอง  ก็คิดว่าเมื่อเรียนไปแล้วหล่อนจะต้องชอบ   และรักที่จะเป็นนักธุรกิจเหมือนตน...

หล่อนจอดรถแล้วนั่งนิ่งทำใจในรถ  หลับตาถอนหายใจยาว...
จังหวะเดียวกันที่มารดาของหล่อนเดินออกมาต้อนรับ   ด้วยแววตาและกิริยาที่งบอก  ได้ว่าคิดถึงหล่อนมาก  ท่านยิ้มมาแต่ไกลด้วยความรู้สึกปิติยินดี  ที่ลูกสาวยอมมา  หล่อนเห็นมารดาเดินลงมาจากตัวบ้าน  จึงเปิดประตูรถลงไปหามารดาที่กำลังเดินยิ้มมาต้อนรับ 

"ลูกวิ...."   วิภาสวมกอดลูกสาวด้วยความรักใคร่   ซึ่งจริง-จริงแล้ววิภาติดต่อกับลูกสาวเกือบจะตลอดเวลาที่หล่อนขอออกไปอยู่ตามลำพัง  แต่ไม่เคยบอกให้สามีได้รู้เห็น

"คุณแม่..."   หญิงสาวกอดมารดาแน่น   น้ำตาปริ่มซึมเหมือน
จะไหลออกมาให้ได้ "เข้าในบ้านก่อนเถอะ  คุณพ่อรออยู่"  วิภาบอกบุตรสาวด้วยความอ่อนโยน  เพราะรู้แน่ในแววตา  ว่าวิกานดา   หวาดหวั่นที่จะพบบิดา  ซึ่งวิภาพยายามจะสร้างความมั่นใจให้แก่บุตรสาว... วิกานดาเดินตามมารดาของตนเข้าไปในบ้าน  ซึ่งหล่อนเองก็คุ้นเคยเพราะหล่อนเกิดที่นี่และโตที่นี่

ภายในห้องหนังสือดูกว้างขวางโอ่อ่า  และตกแต่งแบบเรียบเหมาะสมและลงตัว
ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นห้องของนักธุรกิจที่มีรสนิยมมากพอควร  แห่งการได้รับความยกย่อง...นพกานต์    อัญญสิทธิ์    ชายวันกลางคนที่เฉียดห้าสิบ  นั่งอยู่ภายในห้องเพียงลำพังเงียบ ๆ  ก๊อก ก๊อก.... เสียงเคาะประตูทำให้บุคคลที่อยู่ในห้องต้องหันไปมองแต่ยังคงนิ่งด้วยแววตาฉาย   ความราบเรียบแต่แฝงความเฉยชา... 

วิกานดาหล่อนเห็นบิดานั่งอยู่ในเก้าอี้โยก ที่ใช้สำหรับพักผ่อน  นอนอ่านหนังสืออยู่ไม่ห่างจาก ริมหน้าต่างมากนัก  ท่านดูซูบไปมาก  เพราะเกือบ 3  ปีที่หล่อนไม่กล้ามาพบท่านเลย...

หล่อนค่อย ค่อย  คลานเข้าไปใกล้   แล้วพนมมือกราบลงตรงเท้าท่านที่วางบนที่วางพักเท้า ของเก้าอี้โยก  "คุณพ่อขา...วิขอโทษ  ขอความกรุณาอย่าโกรธลูกเลยนะคะ"  หล่อนหมอบกราบ   ที่เท้าน้ำตาร่วงโดนเท้าผู้เป็นบุพการี  ผู้เป็นบิดาก็ไม่เคยโกรธเคืองบุตรสาวของตนเลย  เพียงแต่  พูดไปเพื่อให้สำนึกเท่านั้น  ด้วยความโมโหจึงพูดแรงไป   จนสถานการณ์ต้องห่างเหินกันอย่างนี้   เพราะมีลูกสาวเพียงคนเดียวจึงต้องการให้ดำเนินกิจการช่วย  ซึ่งได้วางแผนชีวิตให้หล่อน..
ตั้งแต่เริ่มแรก  เรียนก็ต้องเรียนด้านการบริหารธุรกิจ   และหลายสิ่งหลายอย่างที่ท่านสอนหล่อน แต่หล่อนก็อยากจะทำสิ่งที่ตัวใฝ่ฝัน    ซึ่งผิดถนัดที่ท่านจะบังคับหล่อนเหมือนแต่ก่อน..  นพกานต์ค่อย ๆ  ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้โยก  แล้วก้มลงประคองไหล่สองข้างของบุตรสาวให้ลุกยืนตาม แล้วสวมกอดไว้ในอ้อมแขน   "อย่าดื้อกับพ่ออีกเลยลูก  พอยอมเจ้าแล้ว"   เสียงท่านแหบเหมือน
เหนื่อยมาก   วิกานดาซบกับอกบิดาด้วยความรักที่บิดาเอื้ออาทรต่อหล่อนไม่โกรธหล่อน  ที่ดื้อรั้น "ค่ะวิจะไม่ดื้อกับคุณพ่ออีกแล้ว"   หล่อนตอบรับคำ แล้วถอยออกห่างบิดาเพื่อมองหน้าท่านให้ชัด "คุณพ่อซูบไปมากนะคะ   คงเป็นเพราะลูก  ลูกผิดเองค่ะ"   น้ำตาหล่อนไหลด้วยสำนึกผิดในสิ่งที่ตนก่อขึ้น   ถ้าหล่อนไม่ดื้อรั้นมากและเอาแต่ใจจนเกินไปทุกอย่างคงไม่ดำเนินมาเช่นนี้...


เมื่อเห็นพ่อลูกปรับความเข้าใจกันแล้ว   วิภาจึงเข้าไปชวนทั้งคู่รับประทานอาหารเย็นครอบครัวกลับมาเหมือนเดิม  สามพ่อแม่ลูกหน้าตาสดชื่นกัน   เมื่อบ้านอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง   ซึ่งวิกานดาตกลงจะมาช่วยบิดาบริหารงาน  และจะทำสิ่งที่ตนรักควบคู่ไปด้วย....หล่อนยังเป็นนักเขียนได้ และช่วยงานบิดาได้   แต่งานเขียนอาจน้อยลง  แต่ก็ไม่เป็นไรหล่อนเลือกที่จะเป็นลูกกตัญญู  แต่ก่อนจะไปทำให้งานให้บิดา  อย่างที่ตกลงไว้    หล่อนขอส่งต้นฉบับ   ที่ค้างให้แล้วเสร็จก่อน...
				
17 มิถุนายน 2550 15:04 น.

อยากเขียน

แมงกุ๊ดจี่

วันนี้วันหยุด...(อีกแล้ว)
มานั่งใช้คอมพ์ลูกชาย...วัย  12  ขวบ
เห็นเขาออน MSN  พอดีwindows
ของ  MSN  ขึ้นมาว่า..."แอบรักใครบางคนที่คุยด้วยเกือบทุกวัน"


อดที่จะอมยิ้มไม่ได้  ว่าอืม...
เด็กสมัยนี่เร็วนะ   แต่ก็อดคิดเป็นห่วงเด็ก ๆ  ไม่ได้
ว่าโลกเสมือนจริงนี้มีอะไรหลายอย่าง...ที่ยังไม่เหมาะ
สำหรับเด็กวัยนี้   แต่เด็กความคิดเขาก็อิสระพอ ๆ  กับผู้ใหญ่
แต่เขาจะ   คิดและไตร่ตรองได้ดีเท่าผู้ใหญ่นั้น  คิดว่าคงไม่...

เพราะอะไรหรือ?
เพราะว่าเขาเหล่านั้นยังเป็นเด็กน้อยและด้อยประสบการณ์
ในการอยู่ร่วมในสังคม  และเล่ห์เหลี่ยมหลายอย่างที่มีในโลกนี้
แม้แต่บางครั้งผู้ใหญ่ที่คิดว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว ยังพลาดพลั้ง
เพราะความคิด  และการตัดสินใจ   ที่ขาดการขบคิดรอบคอบ

บางช่วงของอารมณ์
ก็ยากอธิบายได้นะ   บ่อยๆ  ครั้งที่ตัวเองที่บอกว่า....
เป็น "ผู้ใหญ่"   บางครั้งก็ยังหลงเพ้อไป  ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว...
บางความรู้สึกในส่วนลึกยากอธิบาย  เป็นเพียงสิ่งหลงเพ้อไปเท่านั้น...

ก็แค่เรื่อยเฉื่อย  ปลดปล่อยล่องลอย
ออกไปไกลกลางสายฝน  หล่นโปรยปราย....
พร้อมอารมณ์เยือกเย็น...ก่อนนั้นซึ่งแหลกสลาย...
สายฝนยังคงหล่นเรียงรายเป็นสายเส้นสวย...ความคิดถึงจังบังเกิด...

อดที่ยืมคำของลูกชายมาใช้ไม่ได้สิ  
"แอบรักใครบางคนที่คุยด้วยเกือบทุกวัน" 
และก็อดขำตัวเองไม่ได้...   ที่ต้องคอยห้ามความรู้สึกนึกคิด
สะกดเก็บไว้ข้างใน...ของก้นบึ้งหัวใจ...				
11 มิถุนายน 2550 18:54 น.

ราตรีหนึ่งซึ่งมีเธอ

แมงกุ๊ดจี่

2-20070607184606.jpgม่านหมอกคละคลุ้งเป็นควันสีขาว
ฟุ้งกระจาย  เป็นไอเย็นของความสดชื่นหากสัมผัส
ว้าว!   ที่แห่งนี้ใยจึงคลายวิมาน   เพราะเหตุใดหนอหัวใจ
จึงรู้สึกสบาย   และอบอุ่น   ไม่หวาดหวั่น หวาดกลัวต่อสิ่งใดเลย  

"ที่นี่   คือที่ไหน?"   หญิงสาวถามชายหนุ่มที่จูงมือเดินฝ่าหมอกควัน
"ความฝันของเธอไง"   ชายหนุ่มเอ่ยบอก   โดยไม่ยอมหันหน้ามา
"ว้าว !   แบบนี้หรือที่เขาเรียกว่าฝันดี"   
เธอถามเขาอีกพร้อมปล่อยมือแล้วค่อย ๆ  หมุนตัวไปรอบ ๆ      
"ใช่  เธอชอบมั้ย?"    ชายหนุ่มถาม
"ชอบมากค่ะ"   เธอตอบคำถามนั้นโดยที่ไม่ได้มองไปยังผู้ถามเลย
"เธอมีเวลาที่จะฝัน  และมีฉันได้ไม่นานนัก" น้ำเสียงของชายหนุ่ม
ฟังแล้วช่างหม่นหมอง   และสัมผัสได้ถึงความเศร้า
"อืม..."  หญิงสาว  งง  กับสิ่งที่เขาบอกออกมา   และไม่เข้าใจว่า...
ทำไม?  จึงได้ไม่นาน...    งง  ๆ       ได้แป๊บเดียวเธอก็ไม่คิดซะแล้ว  
เพราะตื่นเต้นกับเรื่องใหม่ที่เข้ามาให้สัมผัส    และเรียนรู้...

"ฉันฝัน  และในฝันฉันมีคุณ"  เธอทำหน้าสงสัย และแววตาค้นคำตอบ
แลัวหันหลังกลับไปถามผู้ที่เดินนำหน้าเธอ   หลังจากเธอปล่อยมือเขาแล้ว
"แล้วคุณเป็นใคร?"   เธอคว้ามือเขา   เพื่อให้เขาหันกลับมาตอบคำถาม
"เป็นคนที่คุณรัก  และรักคุณ"  เขาตอบแต่ยังไม่หันหน้ามาเพื่อสารภาพใดใด 
เพียงแต่บอกเล่าด้วยน้ำเสียงที่เปิดเผยถึงความปวดร้าว   เศร้าสร้อย..
"เป็นคนที่ฉันรัก  ?"    เธอทำหน้างง  ๆ   แล้วหันไปทางเขา  ที่เธอจับมือไว้
" ทำไม?  ฉันไม่เคยเห็นหน้าคุณเลย   และทำไม?  ฉันจึงจำคุณไม่ได้"
เธอถามเขา แต่ไร้คำตอบ...
"ผมจะอยู่กับคุณได้แค่ในฝันเท่านั้น"  เขาพูดเสียงเศร้าอย่างเดิม
"พอคุณตื่นคุณก็จะลืมผม"  เขาเน้นน้ำเสียงเหมือนตอกย้ำความรู้สึกให้เจ็บแปลบ
" คุณกำลังจะบอกฉันว่า...ฉันรักคุณเพียงในฝันใช่ไหม?"  เธอถามเขาทั้งที่ไม่เห็นหน้า
เพียงแต่รู้ว่านั้นเป็นชายหนุ่มที่เธอรู้สึกรัก  โดนไม่มีเงื่อนไขใดใด
"ใช่ผมเองก็รักคุณได้ในฝันเท่านั้น"  เขาตอบพร้อมกลับหน้ามาหาเธอ

เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นหน้าเขา  ใช่เขาคือ *ชายในฝัน*  ที่เธอเคยฝันถึงเสมอ ๆ
ใบหน้าเกลี้ยงเกลา  มีคิ้วดกดำเข้ม  แววตาขี้เล่น  จมูกโด่งเป็นสัน  ริมฝีปากบาง
ที่รับกับใบหน้าเรียวมนได้รูป  บนใบหน้าที่เปื้อนด้วยรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความอบอุ่น
รูปร่างที่สูงโปร่ง   บ่งบอกถึงบุคลิกที่อ่อนโยน  สุขมนุ่มลึกแววตากลุ้มกริ่มทรงเสน่ห์
เห็นแค่แว๊บแรกเหมือนเขาตรึงเธอไว้  สะกดไว้ด้วยเวทมนต์ซะแล้วอย่างง้าน....

"เราพบกันแค่ในฝันเท่านั้นหรือคะ"   หญิงสาวถามเขาด้วยความรู้สึกที่เจ็บแปลบบ้างแล้ว
"ใช่ครับ   เราเป็นได้เท่านี้"  ชายหนุ่มหันมาพร้อมสบตาที่ปริมด้วยน้ำตาของหญิงสาว
"ฉันเข้าใจแล้วค่ะ  ฉันจะฝันถึงคุณได้นานแค่ไหน?"  หญิงสาวตอบกลับไป
พร้อมกันน้ำตานองหน้า   ความรู้สึกปวดร้าว   สับสนเกิดขึ้น   จนกักเก็บน้ำตาไว้ไม่อยู่
จึงปล่อยให้พรั่งพรูออกมา   ด้วยความปวดร้าวแสนสาหัสที่บาดลึกลงในหัวใจของตัวเอง

"เท่าที่คุณอยากจะฝัน   หรือเมื่อคุณพบใครที่ใช่"  
เขากลุ้มหน้าลงเพื่อหลบซ่อนความปวดร้าว
"แล้วคุณล่ะคะ   คุณฝันถึงฉันบ้างมั้ย?"  
หญิงสาวถามเขากลับแล้วสบตาเอาคำตอบ
"ผมจะอยู่ในฝันคุณ  เมื่อคุณฝัน  ผมไม่สามารถฝันถึงคุณได้  
เพราะนี่เป็นฝันของคุณ  มันเป็นความต้องการของคุณ   
เมื่อคุณไม่ต้องการ  ผมก็หมดความหมายสำหรับคุณ"   ชายหนุ่มกล่าว
"ถ้างั้น   ตอนนี้ฉันฝันอยู่   นี่เป็นความฝันของฉัน?"   หญิงสาวกล่าว
พร้อมเอามือปาดน้ำตาบนแก้มป่องสองข้าง   แล้วยิ้มแก้มปริที่เปื้อนทั้งน้ำตา...
"ครับ   ตอนนี้ฝันว่ามีผมอยู่เคียงข้าง"   ชายหนุ่มหันมายิ้มให้ด้วยความอ่อนโยน และอบอุ่น
"ถ้าอย่างนั้น   ทุก ๆ  คืนฉันจะฝันถึงคุณ"  หญิงสาวตอบพร้อมรอยยิ้มที่สดใส
"เราจะพบกันในฝันทุกคืนครับ"   ชายหนุ่มยิ้มพร้อมจับมือเธอไว้บ่งบอกว่านั้นคือคำสัญญา

กริ๊งงงงงงงงงงงงงง   กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงง   กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงง....
เสียงนาฬิกาปลุกเวลา  06.00 น.  เข็มยาวกับเข็มสั้นตรงกันพอดี๊  พอดีเลย
"เช้าแล้วเหรอ? เนี๊ย?"  จามจุรี  โงนเงนลุกขึ้นจากเตียงทั้งที่ยังหลับตา
"มัยมันเช้าเร็วจังหว่า  อยากนอนต่อจังเลย"  หญิงสาวบนพึมพำเดินเข้าห้องน้ำ

เวลาบ่าย 3  โมงครึ่งพอดี...
"จุรี   เธอไปทำอะไรมามัยหน้าตาเหมือนคนไม่ได้นอนเลย"  
เสียงของ จิ (จิรภา) เพื่อนสนิทในที่ทำงานทักขึ้น
"อืม...ฉันไม่ได้นอนเลย  มัวแต่ฝันทั้งคืน" หญิงสาวตอบเพื่อนพร้อมยิ้ม ๆ
"ฝันเหรอ?  บ้าป่าวว่ะ"  จิมองหน้าเพื่อแบบงง ๆ   
"ก็แสดงว่าหลับสิถึงฝันยัยบ๊อง"   หล่อนย้ำ
"เอ่อ  ฝันดีซะด้วย  นะจะบอกให้"   ตอบซ้ำทำหน้าตาทะลึ่งอีกนะ
"ฝันถึงหนุ่มรูปงานหรือย่ะ   ยัยบ๊อง"   พูดจบก็หัวเราะคิกคักใหญ่
"แปลกนะฉันพึ่งจะฝันก็เมื่อคืนนี้แร่ะ  เหมือนจริงซะด้วยนะ"   
จุรีเล่าให้เพื่อนสาวฟังพร้อมกับสีหน้าครุ่นคิด   ถึงเรื่องราวเมื่อคืนที่ตัวเองฝันถึง
"ฝันกลางคืนแย่  กว่าฝันกลางเลยนะจะบอกให้  หรือไม่ก็ฟุ้งซ่านแล้วเธอหน่ะ"
เพื่อนสาวแหย่ให้   พร้อมกับพูดประชดอีกด้วยสิ
"อืมอาจจะจริง"   หญิงสาวตอบเพื่อนสาวแต่แววตาก็ยังเหม่อลอย  
เพราะยังคิดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับฝันที่เกิดขึ้นในขณะที่ตัวเองหลับไหลเมื่อคืน...
หล่อนพยายามคิดว่าเหตุใดจึงได้ฝันถึงชายหนุ่มคนนั้น   แล้วเขาเป็นใคร?
ทำไม?   ทุกวันที่ผ่านมาเธอไม่เคยเจอเขาสักที่   ไม่ว่าที่ไหน?   ไม่ว่าจะขึ้นรถเมล์   
ในที่ทำงาน  ลูกค้าที่เคยนัดพบ  หรือห้างสรรพสินค้าที่เคยไปเดินซื้อของ   
แล้วเขาเป็นใครกันนะ  เธอถึงได้เพ้อเจ้อ ฟุ้งซ่านฝันถึงเขาได้  เป็นเรื่องราวขนาดนี้   
หญิงสาวทำหน้างง  ๆ     แล้วหันไปมองหน้าเพื่อนสาว

"ฉันจะบอกให้  เล่นเน็ตมากไปรู้ป่าว  มันไม่มีหรอกผู้ชายรักจริงในอินเตอร์เน็ต"
เพื่อนสาวสบตาแล้วเอ่ยออกมาเหมือนรู้ทันว่าเพื่อนตัวเองฟุ้งซ่านไปไกล   กับโลกออนไลน์
เพราะหลังๆ   เห็นจุรีจะใช้มากเหลือเกินช่วงนี้  และมีอะไรมาเล่าให้เธอฟังมากมาย  เหลือเกิน
และดูเหมือนเพื่อนสาวจะมีความสุข   และสนุกกับการที่ได้เล่าข่าวสาร  และบทความ
ที่เธออ่านเจอ  แต่หลัง ๆ   เธอหลงเข้าไปเวปหนึ่งที่พูดถึงเรื่องของ  "Somat"   
ใช่คู่แท้ที่เพื่อนสาวค้นหามาเกือบทั้งชีวิต   เธอจึงสรุปว่าเพื่อนตัวเองกำลังเข้าขั้น..
 ฟุ้งซ่านหลงทิศทางไปกับโลกอินเตอร์เน็ต...

"เอ่อ  อาจจะจริงของเธอ"  เพราะฉันไม่เคยฝันแบบนี้ซักที  "
ช่างมันเถอะ  ยังไงมันก็เป็นแค่ความฝัน"  ทั้งสองคนหัวเราะคิกคักกันใหญ่  
แล้วแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ปกติ...

....................................................................................................................

เพียงหนึ่งคืนเท่านั้นใจฉันขอ
หวังพนอ...ได้เคียงเพียงในฝัน
เสมือน*รัก*บรรจบจึงพบกัน
รักนิรันดร์...ในฝัน...ยังหวังเคียง...

"ราตรีหนึ่งซึ่งมีเธอ"  เป็นซีรี่ส์รักออนไลน์...
ตั้งใจเขียนเรื่องนี้เพราะผู้เขียน(ขอแทนตัวว่าผู้เขียนนะค่ะ)
เคยรู้สึกแบบนี้   ในบางช่วงอาจแทรกซ้อนความรู้สึก
ที่เป็นความรู้สึกของผู้เขียนลงไป  ผสมผสานกับจินตนาการ
ผูกเข้ากับเนื้อเรื่องบางตอน  อาจจะแบ่งเป็นภาค ๆ   หรือเป็นตอน ๆ
เพราะในแต่ละช่วงเวลาที่ค้นพบความรู้สึกของตัวเองนั้นแตกต่าง
บางครั้งก็พบความรู้สึกพิเศษ  ไม่มีเหตุผลจะค้นให้ตัวเองเข้าใจได้ 
เพราะว่ามัน..เป็นรักเพ้อฝัน  บนโลกอีกโลกที่เปรียบเสมือนโลกจริง
ที่ความรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน
และ   ความเสมือนจริงในโลกออนไลน์   ที่ไม่อาจจะคิดกล่าวโทษ
พรหมลิขิต   หรือโชคชะตา   นำพามาให้พบเจอ  หรือโทษว่าเพียง...
คืนหนึ่งซึ่งฟุ้งซ่าน   จนแยกไม่ออกว่าเป็นความจริงหรือความฝัน....

จากใจใบน้อย  : แมงกุ๊ดจี่ขี้ควาย...				
Calendar
Calendar
Lovers  1 คน เลิฟแมงกุ๊ดจี่
Lovings  แมงกุ๊ดจี่ เลิฟ 2 คน
Calendar
Lovings  แมงกุ๊ดจี่ เลิฟ 2 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแมงกุ๊ดจี่