31 มีนาคม 2547 17:26 น.

คืนทะเลความรู้สึกดูลึกลับ เกิดและดับขึ้นในหัวใจเหงา ฉาบความฝันวันนี้ด้วยสีเทา ในเงื้อมเหงาลึกล้ำการอำลา

โอปอล

คลื่นทะเล..ความรู้สึก..ดูลึกลับ
เกิดและดับขึ้นในหัวใจเหงา 
ฉาบความฝันวันนี้ด้วยสีเทา
ในเงื้อมเงา ลึกล้ำ..การอำลา

	ลองรู้บ้างมั้ย  ลองกำลังผูกเงื่อนตายให้ตัวเอง  ลองกำลงัดิ้นไม่หลุด  ไปไหนไม่ได้  บางครั้ง  ลองก็ทุรนทุรายแทบหายใจไม่ออก  อึกอัดไปทั้งชีวิต  แต่ลองเขยื้อนไม่ได้แล้ว  มันบีบลองอยู่ทุกเวลาทุกนาที  มันขยี้ลองเงียบเงียบ  เพราะไม่มีใครเขาฟังลอง

	บางครั้งลองเจ็บเจ็บเหลือเกิน..แต่ลองจะเอาความเจ็บ  มาแบกแผลบาดลึกที่ท่วมทับความรู้สึกอยู่นี้  ไปบอกกล่าวแก่ใครได้..ใครเขาจะฟังลอง  ชีวิตใครก็ชีวิตมันถ้าลองให้ผลประโยชน์กับใครเขาไม่ได้..ใครเขาจะเห็นลองมีค่า..ชีวิตทุกวัน  เราอยู่กันอย่างนี้..ถ้าลองล้ม..เขาก็จะเหยียบ..ถ้าเราพลาด..เขาก็ขยี้..ให้ป่นปี้ไปกับน้ำคำซ้ำเติม..ถ้าลองมีดี..ใครก็อยากรี่เข้ามาหาสรรเสริญแสร้งว่าสารพัด..เขาจะมัดลองทีละนิด..ให้ลองติดกับกลลวง..เพื่อเขาจะตักตวงสิ่งที่ลองมี..แต่ทันทีที่ลองล้ม..ลองจะเห็นสัจจะหน้ากากมนุษย์ที่ขุดเอาความดีงามจอมปลอมมาพอกเอาไว้..เขาจะสมเพชลอง  ความล้มเหลวนั้น..จะถูกโจษจันไม่มีวันสิ้นสุด
	สังคมทุกวันนี้..มีชีวิตอยู่..ดูเหมือนเป็นมิตร..แต่ลึกลงไป..ทุกคนกำลังฟาดฟันกันทางความรู้สึก..ขยี้กันทางสำนึก..เชือดเฉือนกันทางสายตา..ถึงลองไม่กล้า..ถ้าลองขลาดกลัว..ลองก็ต้องมีชีวิตอยู่..สู้หรือไม่สู้..ลองก็ถอยไม่ได้ทางเลือกไม่มีให้ลองนอกเสียจากว่าลองจะหยุดอยู่กับที่แล้วมองเขาก้าวข้ามหัวไปด้วยสายตาเย้ยเยาะ  เขาจะหัวเราะใส่หน้าลองบางที่ชั่วร้าย..ถึงกับถ่มน้ำลายขากเสลดรดหัวมองลองเหมือนตัวตลก..ขุดกระชากเอาปมด้อยปมร้าวที่ลองมีออกมาย่ำยีบีฑาบอกเล่ากันอยู่นั่นแล้ว..ไม่รู้จบ
	ถ้าลองวิ่งเลยหน้าเขาไป  เข้าจะพร้อมใจกันฉุดกระชากลอง  ตราหน้าว่าลองแหกคอก  เขาจะดึงลองกลับ  จับเอากฎเกณฑ์ยัดใส่หัวลอง  จนลองขลาดกลัว  ไม่กล้าที่จะฝ่าออกไปอีกเป็นหนที่สอง  ลองจะต้องปิดปากเงียบ  แสร้งเป็นคนโง่  แสร้งอ่อนน้อมถ่อมตน ให้คนเขารักคนเขาเมตตา  แล้วเขาจะบอกลองว่า  แหม  คุณนี่เป็นคนดีจริงๆน่านับถือ  สาแก่ใจดีมั้ยลอง

	เข้ามีเงินหนึ่ง  มีอำนาจหนึ่ง  หลงเงาตัวเองหนึ่ง  ไม่มีวันรู้ซึ้งถึงค่าขิงความเป็นคน  ใครไม่รู้เคยบอกผมไว้อย่างนี้  เมื่อมีเงินก็นึกว่ามนุษย์ทุกหน้าจะต้องหมอบคลานเข้ามาพึ่งบารมี  ผงกหัวเป็นข้าใช้อยู่ใต้อำนาจ  ทำดีก็เสมอตัว  พลาดนิดผิดใจสักครั้ง  ก็กระทกระทั่งด่าทอเหมือนหมูเหมือนหมา  คนบ้าอำนาจ  ก็เอาอำนาจฟาดกบาลคนอื่นให้มาสยบอยู่บนแทบเท้าคนหลงเงาหัวตัวเอง  ก็คิดว่าเขาประเสริฐเลิศมนุษย์  หน้าไหนก็ไม่ดีเท่า  หน้าเศร้ามากเลยใช่มั้ยลอง
	เสียดาย  ที่ลองไม่ได้ดูหนังเรื่องนึง  หนังซึ่งเล่าชีวิตความรันทดอดสูกระชากหน้ากากมนุษย์  ออกมาให้มนุษย์ด้วยกันดูให้เห็นถึงความสกปรกโสโครกได้อย่างสมเพชทุเรศชั่ว  หนังที่บอกเล่าชีวิตของผู้หญิงที่ชื่อ   ฟรานเชส
	มีอยู่ตอนนึง  ที่ทรัพย์สมบัติข้าวของเธอถูกรื้อ  ย้ายออกไปกองสุมเหมือนโกดังเก็บของในห้องแคบของโรมแรม  เธอกลับไปพบห้องเดิมที่ว่างเปล่า  แล้วเดินเข้าไปพบห้องใหม่ที่สุมไว้ด้วยน้ำมือโสโครกของเพื่อนมนุษย์  เธอเข่าอ่อนทรุดลงตรงกองสมบัติ  คุ้ยค้นหาสิ่งหนึ่ง  สิ่งที่เหมือนชีวิตของเธอ  มันเป็นบันทึกส่วนตัว  ที่เธอถ่ายทอดทุกอย่างในชีวิตนั้นลงไป  พวกมันเอาของเธอไปทำลาย  เธอร้องไห้  เหมือนหมองไหม้ไปทั้งชีวิต  ทีอยู่ประโยคหนึ่งซึ่งเธอระบายออกมาทั้งน้ำตาประโยคที่ว่า
	พวกมันขโมยชีวิตฉันไป
	ลองมันเป็นประโยคที่บาดใจผมเหลือเกิน  ทุกคนรุมทำร้าย  ยัดความโสโครกโขลกความบ้าใส่หัวเธอ  แม้กระทั่งคนที่ทำให้เธอเกิดมา  คนที่เมื่อเธอลืมตาอ้าปากพูดได้  คนที่ตลอกเวลาแห่งการมีชีวิตอยู่ ที่หล่อเรียกว่า  แม่  คนที่ดึงเธอให้จมดิ่งสู่เหวนรกสกปรกแปดเปื้อน
ภาพของใบไม้ที่หลุดขั้วล่วงผล็อยลอยไปตามน้ำ สื่อความหมายได้กินใจเหลือเกินกับดวงตาที่เลื่อนลอยไร้จุดหมายของเธอ  แม้เธอจะยืนยันต่อสายตาชาวโลกจนวินาทีสุดท้ายว่า ฉันเป็นสิ่งที่ฉันเป็นเพราะฉันขบถ  ฉันจึงมีชีวิตอยู่ ทั้งที่ชีวิตเธอ  ถูกใครต่อใครขโมยไป  ทำร้ายย่ำยียับเยินไม่มีชิ้นดี  เธอชนะตัวเอง  แต่เธอพ่ายแพ้ต่อความโสโครกของสังคมและตัณหาโสมมของมนุษย์ด้วยกัน
	ทุกภาพทุกช่วงตอน  บีบความรู้สึกได้เจ็บลึกเหลือเกิน  มันทำให้ผมไดคำตอยกับตัวเองว่าชีวิตจะชั่วร้ายอย่างไรก็ไม่เสียดายเลยที่เกิดมา  เกิดมามีชีวิตเป็นผู้เป็นคนเล่นละครใส่หน้ากากหลอกคนด้วยกัน  ตราบจนตายกันไปข้างหนึ่ง
	ลองไม่เหนื่อยบ้างหรือ  กับการแย่งยื้อ  ตะเกียกตะกายขึ้นไปหาจุดที่ใครเรียกกันว่า  จุดสุดยอดของชีวิต  ลองจะเอามันมาเพื่ออะไร  เพื่อให้ได้ชื่อว่าลองเป็นผู้ชนะอย่างนั้นหรือ
ชัยชนะที่เหยียบหัวคนด้วยกันขึ้นไปเชิดอกอย่างภาคภูมิ  บางครั้งลองเหนื่อย  ผมรู้  แต่ลองไม่กล้าพอที่จะลงมา  ลองกลัวที่จะถูกใครต่อใครตราหน้าว่าล้าหลัง  จึงสาวเท้าเร่งเดิน  เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานงุดๆ  ลองยอมเจ็บ  ยอมทุรนทุรายทั้งอึดอัดผูกมัดตัวเอง  เพื่อจะก้าวขึ้นไปให้เป็นที่ยอมรับของใครต่อใคร  ลองยอมสูญเสียตัวเองเพื่อแลกกับอะไรบางอย่างที่ลองคิดว่ามันคือ จุดหมาย  ทั้งที่ลองก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่า  มันคืออะไร มีใครไปถึงแล้วบ้าง  ลองก็บอกว่ามันคือการแสวงหา  น่ากลัวเหลือเกินคำนี้  คำที่ฉุดกระชากลากกิเลสมนุษย์ให้พล่านพลุกลุกโชนอยู่ตลอดเวลา  เพื่อจะก้มหน้าก้มตาแสวงหามันเรื่อยไป  แสวงหาอะไรก็ไม่รู้  สัจจะอย่างนั้นหรือ  มีใครพบบ้าง  นอกจาก ศาสดา ที่ถูกมนุษย์สมมติขึ้นมาเพื่อหลอกมนุษย์ด้วยกันให้งมงายจมปลักอยู่กับความจงรักภักดี  และความเชื่อง่ายงายงม  เราค้นพบอะไรบางอย่างในความเชื่อนั้น
	หยุดพักบ้างได้มั้ยลอง  หยุดพักเหนื่อยสักนิดดื่มน้ำเย็นๆจากดอกไม้สายธารธรรมชาติสักแก้ว  แล้วเงยหน้ามองขึ้นไปรอบๆบางทีเสียงอุแว้  .อุแว้ ของทารกเกิดใหม่กับควันไปจากปล่องเมรุ  ระลอกแล้วระลอกเล่า  จะให้คำตอบแก่ลองบ้าง  คลายเงื่อนออก ไม่ต้องได้เต็มปอดกว่าเคย  ลองจะรู้สึกอึดอัดน้อยลง  อาจจะรู้สึกอ้างว้างกว่าเคย  เพราะตัวลองจะเบาลงอีกนิด  นิดเดียวก็ยังดีไม่ใช่หรือ
	รอยยิ้ม  เสียงหัวเราะ  ที่นับวันเหือดแห้งไป  เสียงหัวเราะของความสุขที่เปลี่ยนไปเป็นเสียงหัวเราะเยาะ  รอยยิ้มที่เปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มเย้ย  หรือลองชาเฉยเกินกว่าจะจับต้องมองเห็น

	เราไม่ได้เป็นทาสใครหรอกลอง  ทุกวันนี้  เราต่างตกเป็นทาสของตัวเอง  ทาสของความอยากไม่รู้สิ้นรู้สุด  แต่จะหยุดความอยากได้หรือ  ไม่ได้หรอก  ตราบเท่าที่เรายังมีลมหายใจ  รินลมหายใจรดใส่กัน
	เราต่างขโมยชีวิตของกันและกัน  ขโมยเอาความฝันของคนโน้นคนนี้  เอาไปสร้างแล้ววางแผนขึ้นมาบีบตัวเอง  บีบคนรอบข้าง  สร้างคำว่า  ผิด-ถูก  ขึ้นมาตัดสินคำว่า ดีเลว
	เราต่างสะสมอะไรต่อมิอะไรไว้ในใจกันมากเหลือเกินจนมันขุ่นข้น  ตกตะกอนนอนตัวแข็งกระด้าง  บ่อยครั้ง  เราโยนควาผิดไว้ให้ชะตากรรม  อำนาจไร้ตัวตนที่มนุษย์คิดว่า
มันคือตัวการสำคัญที่บงการสรรพสิ่งด้วยหนทางแห่งดวงดาว  ที่เดินย่ำเท้าอยู่ในครรลองของโชคชะตาราศี  อำนาจลี้ลับที่ถูกจับเอามาเป็นเครื่องทำนายทายทักการเดินทางของลมหายใจ
	ดูสิลอง..เราต่างถูกผูกมัดอยู่กับความเชื่อ  แน่นหนาเกินกว่าจะลบล้างออกไปได้  แล้วเราก็พากันวิ่งแข่งกันออกไปข้างหน้า.สนองความเชื่อนั้น
	เราไปถึงไหนกันแล้วนี่  วิ่งไปไกลเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที  เหนื่อยหนักเหลือเกินแล้ว 
แต่ไม่มีใครกล้าหยุด  ไม่มีใครกล้าพอที่จะแหกปากร้องออกมาดังดัง  เราต่างทนเจ็บปวดงกงกเงิ่นเงิ่นทำงานแทบล้มประดาตาย  เพื่อ แสวงหาความหมาย  เพื่อความอยู่รอด  ที่หมายถึง เงิน
	อยากมาหาลองเหมือนกัน  มาบอกเล่าคืนวัน  บอกเล่าวันคืน  บอกเล่าความฝัน
ถึงสิ่งที่ได้พานพบถึงสิ่งนั้น  สิ่งนี้  ที่เคยเกิดเคยดับอยู่ในหัวใจหนึ่งดวง
	เป็นห่วงลอง  กลัวลองจะหมองไหม้เกินไป  กับตะเกียกตะกายขึ้นไปหา  แล้วไม่มีโอกาสได้พบแม้สักครั้งที่จะไขว่คว้า  หวั่นว่าลองจะว้าเหว่  จนแอบทำร้ายตัวเอง  โรคแห่งความปวดร้าวที่กำเริบร้ายขึ้นในหัวใจมนุษย์  ทวีความรุนแรงขึ้นในทุกขณะ  เหมือนที่เคยบอกลองนั่นยังไง  ถึงเราไม่พอใจ  เราก็มีชีวิตอยู่
	ปล่อยวางเสียบ้างเถอะลอง  แล้วก็เลิกเสียที  กับการที่จะไปเรียกร้องเอาอะไรต่อมิอะไรจากคนอื่น  คาดหวังเอาความรักจากคนนี้  คาดหวังเอาความใยดีจากคนนั้น  เลิกเสียทีกับการเอาความฝันของคนอื่นมาสร้าง
	เพราะทั้งชีวิต  ลองจะพบแต่ความอ้างว้างไม่รู้จบ  จากความไม่รู้จักพอของตัวเองลองจะบอกว่า  ลองไต่ขึ้นไปสูงมากแล้วใช่มั้ย  แล้วลองอับอายที่จะลงมา

	ถ้าอย่างนั้นลองก็ต้องไต่ต่อไป
	เพียงแต่ถ้าลองเหนื่อย  ก็หยุดพักเสียบ้าง  บางที  ผมอาจมาเยี่ยมลอง  เพื่อถามลองว่า  ลองได้พบอะไรบ้างแล้ว  บางที  ลองอาจจะยิ้มเยาะหัวเราะผม  เหมือนรอยยิ้มของผู้คนทั่วไปในสังคมนี้  ยิ้มเยาะ หัวเราะใส่หน้าผม  แล้วบอกว่า 
	 แกมันโง่  แกมันล้าหลัง  มีแต่ไอ้งั่งเท่านั้น  ที่จะคิดอย่างแก 
	แต่วิถีชีวิตใคร  ก็ของใคร  ห้ามกันไม่ได้ใช่มั้ยลอง  จะล้มเหลวหรือเลิศลอย  เราก็คือผู้ที่รับผิดชอบวิถีชีวิตของตัวเอง  ใครเขาจะมาทำให้เราดีหรือเลวได้  ถ้าเราไม่ได้ทำ
	เพียงแต่คิดถึงลอง  เมื่อบางครั้งที่มองย้อนไปวันเก่าๆคงยาก  คงยาก ที่เราจะกลับมาเริ่มต้นบนเส้นทางเดิม  บนเส้นทางเดียวกันได้อีก
	ลองกำลังเป็นคนของสังคม  ที่ใครต่อใครชื่นชมยกย่อง  ผมภาวนา  ขออย่าให้ลองล้ม  อย่าให้ลองเจ็บ  ให้ทุกก้าวที่ลองไต่ขึ้นไป  เต็มไปด้วยความอบอุ่น  มีพลังที่จะฝ่าฟัน  ให้ความฝันของลอง  ลองไปแสนไกลเท่าที่ลองอยากไต่ขึ้นไปถึง
	ผมจะหยุดยืนอยู่ตรงนี้  จุดที่เมื่อลองไต่ขึ้นไป สูงขึ้นไป  ลองก็ไม่อาจมองลงมาเห็นอีก
 	เพียงแต่วันใด  ถ้าลองเหนื่อย  ถ้าลองล้า  อยากลงมาเยี่ยมเยือน  เพื่อนเก่าๆ เพื่อบอกเล่าถึงการเดินทางอันยาวไกล  ว่าลองได้ผ่านพบอะไรบ้างในการแสวงหานั้น
	ผมยังคงเต็มอิ่มด้วยความฝัน  ที่จะฝันว่า  ลองจะกลับมาอย่างผู้มีชัย  ยื่นมืออันยิ่งใหญ่ให้ผมจับ  กระชับมั่น
	วันนั้นผมยังจะรอ
	สำหรับผม  เพื่อร่วมทางคนเก่าของลอง  คงที่ลองเคยสอนให้เรียนรู้  ดูเหมือนว่าจะเพียงพอต่อถนนทุกสาย  ที่ใครกำลังใฝ่  ผมไม่กล้าแล้ว  เพียงพอแล้วกับวันวาน  การเริ่มต้น ที่เหมือนคนเคว้งคว้าง  หาทางกลับไปเจอ				
31 มีนาคม 2547 17:23 น.

ของขวัญแห่งชีวิต

โอปอล

ของขวัญแห่งชีวิต

	บทนำ  ชีวิตเติมเต็มด้วยมิตรภาพอันหลากหลาย  ได้รักและถูกรัก
ล้วนแล้วแต่เป็นสีสันอันงดงามของการดำรงชีวิตอยู่
	เนื้อหา  เชื่อหรือไม่ว่า.ความเชื่อมั่นในชีวิตจะทำให้คนเราสามารถฝ่าฟันอุปสรรคนานาได้  เพราะความเชื่อมั่นจะทำให้จิตใจของเราเข้มแข็งเพียงพอที่จะต่อกรกับอุปสรรคนั้นๆจริงอยู่เราอาจจะแพ้หรือชนะอย่างไร  ผลย่อมไม่บังเกิดขึ้น  แต่ทว่าทุกสิ่งก็ยังมีความหวัง
	แต่หากเราขาดความเชื่อมั่น  อุปสรรคเบื้องหน้าก็จะดูยิ่งใหญ่เหลือเกิน 
ยิ่งใหญ่จนทำให้เราตัวเล็กลงไปทุกที  แล้วโอกาสที่จะคว้าชัยชนะของเราก็จะเลือนรางไป  จนสุดท้ายเราก็เชื่อว่าสิ่งนั้นไม่มีทางเป็นไปได้สำหรับเรา  ไม่มีทางเลยที่เราจะประสบความสำเร็จ
	คุณเชื่อหรือไม่ว่า  ความเชื่อมั่นจะทำให้เราสามารถปล่อยพลังชีวิตให้ออกมาได้อย่างเต็มที่  เหมือนเช่นการกระโดดข้ามเหวลึกที่กว้างสักประมาณหนึ่งถึงสองเมตร  ในระยะนั้น  หากเปลี่ยนเป็นการกระโดข้ามบนสนามหญ้าอันอ่อนนุ่ม  เราย่อมมีความมั่นใจมากกว่าและกล้าที่จะกระโดดข้ามไป  แต่กับหุบเหวลึกนั้นย่อมแตกต่างกันแล้วสำหรับสภาพจิตใจของเรา  ทั้งที่ระยะที่จะฝ่าข้ามก็ไม่แตกต่างกันเลยใช่ไหม?
	ความยากง่ายของการที่จะจัดการกับอุปสรรคปัญหาจึงขึ้นอยู่กับว่า  เราสามารถมองเห็นแก่นแท้ของโจทย์ที่มีอยู่นั้นหรือไม่  เราวิตกกังลวหรือไขว้เขวกับปัจจัยอื่นๆจนบั่นทอนความเชื่อมั่นที่เคยมีอยู่หรือไม่  จนทำให้สิ่งที่เราน่าจะทำได้กลับกลายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
	ความเชื่อมั่นในชีวิตยังจะช่วยส่งเสริมบุคคลิกภาพของเราให้สง่างามยิ่งขึ้น  คนตัวเล็กบางคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง  เมื่อเวลายืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน  เขาก็ยังสามารถฉายความโดดเด่นออกมาได้
	พลังแห่งความเชื่อมั่นจะฉายออกมาทางประกายตา คำพูด  ท่วงท่ากิริยาต่างๆซึ่งแน่นอนด้วยปัจจัยเหล่านี้  ย่อมนำพาเขาก้าวไปสู่ความสำเร็จใดใดในชีวิตได้โดยไม่ยาก
	และหากวันนี้เมื่อเราเชื่อว่าความเชื่อมั่นใจชีวิตจะทำให้เราฝ่า				
26 มีนาคม 2547 15:56 น.

บันทึกถึงดวงดาว

โอปอล

บันทึกถึงดวงดาว



ชีวิตของฉันเริ่มต้นจากโรงงานแห่งหนึ่ง   ฉันได้ถูกส่งไปยังร้านค้าแห่งหนึ่ง    ฉันได้เพื่อนตุ๊กตาหลายตัวไม่ว่าจะเป็นหนูขนฟู  กระต่ายหูยาว ฯลฯ   และเพื่อนตุ๊กตายังบอกฉันอีกว่าฉันคงจะอยู่กับพวกเขาได้อีกไม่นานฉันเกิดอาการสงสัยจึงถามต่อไปว่าทำไมล่ะจ๊ะ   พวกเขาตอบฉันว่า  ก็เธอทั้งน่ารักคงจะถูกจะเลือกซื้อไปในไม่ช้า  แต่ฉันกลับไม่ได้ใส่ใจมันเลย
จนกระทั่งวันหนึ่งฉันถูกนำมาตั้งที่ตู้แสดงสินค้าอย่างเคยและแล้วก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามามองฉัน   แววตาของเธอดูมุ่งมั่นเหลือเกินพลางชี้นิ้วมาที่ฉันพร้อมพูดว่าช่วยหยิบตุ๊กตาตัวนี้ให้หน่อยค่ะ
  	คนขายหยิบฉันขึ้นมาให้เขาดูและทำท่าพอใจในตัวฉันมากพร้อมพูดกับคนขายกว่าฉันซื้อตัวนี้ค่ะ  ฉันตกใจมาก  เป็นอย่างที่เพื่อนตุ๊กตาพูดจริงๆ  ฉันถูกนำขึ้นรถ  ระหว่างทางฉันภาวนาให้ได้เจอเจ้าของที่ดี รักฉัน  เอาใจใส่ฉัน  พอไปถึงบ้านหลังหนึ่งซึ่งมองแล้วไม่หรูหรามากนักแต่ก็ดูอบอุ่น          มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งมาจากข้างในบ้าน  ฉันถูกนำลงรถผู้หญิงคนนั้นยื่นฉันให้เด็ก  ผู้หญิงพร้อมพูดว่า  สุขสันต์วันเกิดนะชมพู่   ชมพู่กอดฉันไว้ในอ้อมกอดของเขาอย่างอบอุ่น พลางพูดว่า  ขอบคุณค่ะคุณแม่  แม่ของชมพู่จึงพูดว่า  ลูกตั้งชื่อให้มันซิจ๊ะ  จึงพูดว่าชื่อมะเหมี่ยวเป็นไง ฉันชื่อชมพู่ส่วนเธอมะเหมี่ยวดูเข้ากันดีนะ  จากนั้นฉันถูกนำไปไว้ในห้องห้องหนึ่งคาดว่าน่าจะเป็นห้องนอนของชมพู่  ฉันได้พบเพื่อนตุ๊กตา 2 ตัวคือ ตุ๊กตาวัว และตุ๊กตาช้าง  เขาทั้งสองพูดกับฉันว่า  นี่เธอเป็นตุ๊กตาของชมพู่ซินะ  ฉันจึงตอบว่า  ใช่จ้ะ  ทำไมเหรอ เขาตอบฉันว่าก็ทุกๆปีก็จะมีตุ๊กตาหนึ่งตัวหรือมากกว่านั้นที่ต้องเข้าไปอยู่ในห้องนั้น  เขาพูดพลางชี้นิ้วไปที่ห้องที่ดูแล้วเหมือนห้องเก็บของ  แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้เลย  คืนนั้นชมพู่กอดฉันไว้อ้อมกอดของเขา  มันเป็นอะไรที่อบอุ่นจนสุดจะพรรณนา
เช้าวันใหม่ได้เริ่มขึ้นชมพู่พาฉันไปโรงเรียนของเขาด้วยเพื่อน ๆ ต่างก็พากันอิจฉาชมพู่กันใหญ่เพราะฉันทั้งน่ารัก น่ากอด พอโรงเรียนเลิกแม่ของชมพู่มารับและพาไปที่สวนสาธารณะฉันมีความสุขมากที่ได้อยู่กับชมพู่ทำให้ฉันไม่กลัวสิ่งใดเลยเพราะมีชมพู่อยู่เคียงข้าง  คอยปลอบโยนฉัน     ทำให้ฉันอยากอยู่กับเขาตลอดไป
	เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก  ฉันเกือบลืมไปว่าฉันมาอยู่ที่นี่  6 ปีแล้ว  ชมพู่เปลี่ยนไปมากเหลือเกินคงเป็นเพราะวัยของเขาที่ทำให้เขาไม่เล่นตุ๊กตาหมีอย่างฉันแล้ว   เขาได้ตุ๊กตาบาร์บีซึ่งทั้งสวยทั้งน่ารักกว่าฉันที่เป็นเพียงตุ๊กตาหมีที่ดูเก่าคร่ำคร่าเป็นไหน ๆ  ฉันถูกนำไปไว้ในห้องเก็บของอย่างที่ตุ๊กตาวัวพูดจริงเวลานั้นฉันรู้สึกเสียใจมากที่ชมพู่ทิ้งฉัน  แต่แล้ววันหนึ่งสิ่งที่ฉันปรารถนาก็มาถึง
	ระหว่างที่ฉันกำลังสำรวจห้องเก็บของอยู่นั้นก็มีเสียงตะกุกตะกักดังแล้วก็โป้งแล้วก็มีตุ๊กตาเต่าตัวหนึ่งพูดพลางยื่นมือที่ขาดวิ่นเขามาหาฉัน ขอโทษนะจ๊ะ เธอเจ็บมากไหม  ฉันนี่แย่จริง ๆ เลยน้า เออว่าแต่ว่าเธอชื่ออะไรเหรอจ๊ะฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอเลย  ฉันจึงตอบว่า ฉันชื่อ  ม่าเหมี่ยว  แล้วเธอล่ะจ๊ะ  เขาตอบว่าฉันหนอนแก้ว  เออเธอจะว่าอะไรไหมถ้าเราจะเป็นเพื่อนกัน  เขาพูดพลางทำท่าม้วนเหมือนอาย  ความรู้สึกฉันตอนนั้นไม่ต่างอะไรจากการที่ได้รับของขวัญที่พิเศษสุดจากฟากฟ้า  ฉันตอบทันทีว่าได้เลยจ๊ะหนอนแก้วเพื่อนรัก  ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเราทั้งสองต่างก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน  ไปเดินเล่นด้วยกัน  นอนด้วยกัน  ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันเสมอมาจนกระทั่ง
	วันนี้ฉันตื่นมาไม่เห็นหนอนแก้วฉันจึงไปเดินตามหา  ระหว่างนั้นฉันก็ได้ยินเสียงเอามานี่เดี๋ยวนี้นะตัวนี้ของฉัน แต่ฉันไม่ได้สนใจว่าจะเป็นอะไรทันใดนั้นเองก็มีเสียงแควก  นั่นขาดเลยฮือแม่ขาตุ๊กตาหนูขาดเลย  ไม่เป็นไรเดี๋ยวแม่ซื้อให้ใหม่นะไป ๆ แม่ซื้อให้นะโอ๋..จากนั้นก็มีเสียงปิดประตู
  	ฉันจึงออกไปดูฉันแทบจะล้มทั้งยืนร่างที่นอนอยู่นั้นเป็นร่างของหนอนแก้วเพื่อนตัวเดียวของฉัน  ฉันจึงเข้าไปดูใกล้ ๆ พลางหยิบมือเขาขึ้นมาเบา ๆ พร้อมพูดว่าหนอนแก้วหลับให้สบายนะไม่ต้องห่วงฉัน  ฉันขอสัญญาว่าฉันจะจดจำเธอไว้ในใจของฉันตลอดไป
	คืนนี้ฉันนอนไม่หลับคงเป็นเพราะความคิดถึง  ความผูกพันของเราทั้งสองซึ่งมาจากจิตใต้สำนึกของฉัน  ดังนั้นฉันจึงเขียนลงในสมุดบันทึกเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ฉันทำได้ข้อความมีดังนี้
หนอนแก้วคืนนี้ฉันนอนไม่หลับเลย  ฉันไม่รู้จะทำยังไงให้เธอรู้ว่าความรู้สึกสึกของฉันตอนนี้มันเหมือนกับว่าโดนฟ้าลงโทษยังไงก็ไม่รู้สินะ   วันนี้แล้วที่เธอไม่ได้นอนกับฉัน  บนสวรรค์คงน่าอยู่กว่าที่นี่นะ แต่ฉันก็ยังอยากให้เธอมาอยู่กับฉันอยู่ดี  หนอนแก้วเธอคงยังจำคำสัญญาระหว่างเราได้นะว่า เราจะไม่ลืมกัน  หากชาติหน้ามีจริง  เราคงได้พบกันอีกไม่ว่าเธอจะเกิดเป็นอะไรฉันจะขอเกิดเป็นเพื่อนเธอทุกชาติไปนะ    เอาหละตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  ฉันจะมาคุยกับเธอบนบันทึกเล่มนี้  ถึงแม้ว่ามันจะมีเสียงตอบจากเธอหรือไม่  ก็ตาม  แต่ถ้าเธออยู่บนสวรรค์แล้วสามารถรับรู้ถึงการเขียนบันทึกของฉัน  ขอให้เธอรับรู้ว่าทุกอย่างที่ฉันทำไปเพราะฉันรักเธอหนอนแก้ว
	หนอนแก้วเป็นเพื่อนตัวเดียวของฉัน  แต่ก็ต้องมีวันที่ฟ้าต้องนำสิ่งที่ท่านประทานให้ฉันมาคืนตามเดิม  แต่อย่างน้อยท่านก็ทำให้ฉันได้รู้จักคำว่า เพื่อน  ซึ่งยิ่งใหญ่กว่า  สิ่งใดบนโลก  และฉันจะจดจำความรู้สึกดีๆที่ฉันและหนอนแก้วมีให้กันไปตราบนาน     เท่านาน				
18 มีนาคม 2547 12:03 น.

ไม่ทราบชื่อเรื่องค่ะ แล้วแต่ผู้อ่านจะแต่งให้

โอปอล

เรื่องที่หนึ่ง

จดหมายรักจดหมายร้าว

เรื่องราวจากประสบการณ์จริงของผู้ชายคนนึง

	ผมเรียนมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในเมืองใหญ่  ผมเรียนคณะวิศกรรมศาสตร์  ตอนแรกเลยผมบอกตรงๆว่าผมรู้สึกหดหู่มากที่ได้เขาเรียนมหาวิทยาลัยแห่งนี้  เพราะเพื่อนๆของผมเขาไม่ได้เข้าเรียนที่นี่กัน  แต่ก็ยังโชคดีที่คนรักของผมสมัยที่เรียนมัธยมด้วยกัน  เธอสอบเข้ามาที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้  เธอสอบได้คณะนิเทศน์ศาสตร์ตามที่เธอหวังไว้  วันแรกของการเข้าเรียนมาถึง  เมื่อผมก้าวเท้าก้าวแรกเข้าไปในมหาวิทยาลัยของผม  ผมรู้สึกใจหาย  เหมือนกับว่าเมื่อวานผมยังวิ่งเล่น  เล่นโปลิศจับขโมยอยู่เลย  รู้สึกเหมือนว่าผมถูกแรงอะไรบางอย่างกระตุกเวลาของผม  ให้เร็วขึ้น  แล้วผมก็เดินไปเข้าคณะที่ผมเรียนอยู่  ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับคณะนิเทศน์ศาสตร์พอดีเลย  ผมมายืนรอลินคนรักของผมอยู่หน้าคณะของเธอ  เมื่อเธอเดินมาถึงเธอยิ้มให้ผมแล้วเข้ามาทักทายผมอย่างเคย  ผมก็รู้สึกดีขึ้นกับความคิดเมื่อนาทีที่ผ่านมา  ผมยังรู้สึกอบอุ่นเหมือนเดิม
ผมถามเธอว่าหิวไหม  เธอบอกว่าไม่หิวเพราะทานมาแล้ว  แต่ถ้าผมหิวเธอจะพาไปทาน  แต่ผมปฏิเสธไปตามฟอร์มของผมเอง  ลินเป็นคนที่สวย  น่ารักคนนึงเลยทีเดียว  เมื่อยังเรียนอยู่ที่โรงเรียนเก่านั้น  เธอเป็นขวัญใจใครหลายคนเลย  วันแรกก็ย่อมมีการรับน้องเป็นประเพณี  ผมและลินจากกันตรงหน้าคณะของผมเอง 
วันนั้นคณะของผมรับน้องไม่มากมายอะไร  ก็เพียงแค่เปรอะเปื้อนพอเป็นพิธีแล้วก็เลิกลากันไป  รุ่นพี่ไปทำโปรเจ็คงานของเขาต่อ  บ้างก็ไปดูน้องใหม่ของคณะอื่นๆ  ส่วนน้องใหม่อย่างผมก็คงจะหนีไม่พ้นการไปอาบน้ำ ล้างหน้า ล้างตัว ตามสภาพของผม  แล้วผมก็หวังว่าผมจะไปดูการรับน้องของคณะอื่นๆด้วย  เพื่อนใหม่ของผมคนนึงชื่อ  ชัย  เขามาจากจังหวัดสมุทรปราการ  ชวนผมไปดูเด็กใหม่คณะนิเทศน์  ผมก็ยากจะปฏิเสธเขา  เพราะผมก็อยากไปอยู่แล้ว  เมื่อผมเดินออกจากห้องน้ำ  ระหว่างทางผมกับชัยคุยกันไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่  เมื่อถึงคณะของลิน  ผมเดินเข้าไปดู  ผมเห็นลินกำลังถูกรุ่นพี่ปะแป้งซะขาววอกเลย  ผมนึกขำในท่าทางของลินเหลือเกิน  ชัยชี้มือไปที่ลินแล้วถามผมว่ารู้จักลินมั้ย  ผมตอบว่ารู้จักดีเลยแหละ  เธอเป็นคนรักของผมเอง  ชัยถึงกับอึ้ง  คงเพราะไม่คิดว่าคนอย่างผมจะหาแฟนได้หน้าตาดีขนาดนั้นกระมัง  แล้วคณะนิเทศน์ก็จะมีประเพณีที่เรียกกันว่าคัดเลือกFreshly โดยจะเลือกคนน่ารัก หน้าตาดี  ซึ่งลินก็รับรางวัลนั้น  เมื่อหมดพิธี  ผมรับลินไปทานข้าวด้วยกัน  แต่ลินไม่ไป ลินบอกว่า อยากเดินสำรวจมหาวิทยาลัยมากกว่า    ผมก็ต้องพาเธอเดินสำรวจ  หลงบ้าง ถูกบ้าง แต่เราก็มีความสุขดี  เมื่อลินเหนื่อย  ลินให้ผมพากลับคณะ  ผมก็พาเธอกลับ เพราะคณะลินเรียกประชุม  ผมรอเธอชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า  แต่เธอก็ยังไม่ออกมาเสียที  ผมเห็นว่ามันเย็นมากแล้ว  ผมเลยต้องโทรตามลิน แต่ลินปิดเครื่อง  ผมก็เลยต้องกลับบ้านก่อน เพราะบ้านผมมีกฎเหล็กอยู่เหมือนกัน  คืนนั้น ผมเป็นห่วงลินมาก  ผมพยายามโทรตาลินหลายครั้ง  จนกระทั่ง โทรศัพท์ของผมร้อนราวกับไฟ ผมจึงจำเป็นต้องหยุดโทร  แต่ในใจก็ไม่วายคิดถึงและเป็นห่วงลินอยู่ดี  คืนนี้ผมคงนอนไม่หลับแน่ถ้าไม่ได้ยินเสียงลิน  ผมจึงตัดสินใจโทรไปที่บ้าน  แต่ที่บ้านบอกว่าลินไปรับน้องยังไม่กลับ  ผมคงไม่มีหวังจะได้ยินเสียงลินแล้วมั้ง สำหรับคืนนี้  จนเวลาประมาณตี3 เศษ ผมตัดสินใจโทรไปหาลินอีกที  ลินบอกว่าโทรมาทำไมเดี๋ยวก็เจอกันแล้ว เธอบอกว่าเธอเหนื่อยเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ  ผมก็ขอโทษเธอแล้วพยายามข่มตานอน  พอเช้า  ผมก็รีบแต่งตัวแล้วลงไปข้างล่าง  เพื่อไปไหวพ่อแม่ก่อนไปเรียนหนังสือ เมื่อไปถึงมหาวิทยาลัย  ผมไปนั่งคอยลินอยู่ประมาณชั่วโมงเห็นจะได้  ผมพบลิน  ลินยิ้มให้ผมอย่างเคย  แล้วชวนผมไปทานข้าว ผมก็ไปเป็นเพื่อนเธอ  เธอคุยให้ผมฟังตั้งหลายอย่าง  แต่มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ทำให้ผมถึงกับไม่เชื่อในหูของตัวเองเลยทีเดียว  เธอบอกว่าเธออยากเข้าชมรมนักเขียน  ซึ่งผมคิดว่าผมรู้จักเขาดีนะ  เขาไม่เคยคิดริเริ่มอยากเขียนหนังสือ  เพราะเธอบอกกับผมเองว่าเธอชอบอ่านหนังสือที่คนอื่นแต่งมากกว่า  ผมก็เลยสนับสนุนเธอเต็มที่  ซึ่งตัวผมเองคงจะเข้าชมรมกีฬาอะไรซักอย่าง  เพราะผมคงเข้าชมรมเดียวกับลินไม่ไหว  ลินรู้จักผมดีพอ  เมื่อต่างคนต่างเรียนต่างคนต่างคณะ ก็เรียนต่างกัน  เวลาผ่านไป 3  เดือน  ผมแทบไม่มีเวลาแม้จะคิดถึงลินเลย  แต่ผมก็ยังอยากเจอกับลินอยู่เหมือนกัน  แต่หาเวลาไม่ได้  เพราะผมเรียน จันทร์  พุธ พฤหัส  อาทิตย์  ส่วนลิน เรียนอังคาร ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์  แต่เราก็ยังไม่ได้เจอกันอยู่ดี  เพราะวันที่ลินมีเรียนถึงแม้ผมจะไม่มีเรียน แต่ผมก็ไปไม่ได้อยู่ดี ผมต้องทำรายงาน แต่สำหรับลิน ผมไม่ทราบว่าลินจะมาหาผมได้รึเปล่า  หวังว่าเธอคงยุ่งแบบผม  แต่ผมกับลินก็เริ่มติดต่อกันเมื่อ เดือนที่4ของการเรียนนี่เอง  เราติดต่อกันทางจดหมาย  เมื่อเธอเขียนเธอก็จะส่งมาหาผมในที่ที่เรานัดกันไว้  ในจดหมายเธอบ่งบอกได้ว่าเธอมีความสุขมากที่เรียนเธอบอกผมเกี่ยวกับทุกอย่างที่เธอเรียน  ผมก็เขียนตอบไปด้วยเช่นกัน .
	6 เดือนแล้วที่ผมไม่ได้พบหน้าลิน ไม่ได้ยินเสียงลิน  เหมือนกับโลกทั้งใบหดหู่เสียเหลือเกิน  ในจดหมายของลินทุกฉบับจะมีคำว่า ดูแลสุขภาพด้วยนะ  เป็นห่วงเธอเสมอ  หวังว่าสักวันเราคงจะได้ไปกินข้าวด้วยกันอีกนะ  ทุกฉบับ  แต่ฉบับแรกของเดือนนี้  มีเพียงคำว่าดูแลสุขภาพด้วยนะ  ผมไม่แปลกใจอะไรเท่าไร  เพราะลินคงไม่มีเวลาที่จะสาธยายไรมากเท่าไหร่  ผมก็เขียนตอบไปอย่างหวานและเป็นตัวของตัวเองที่สุดแล้ว
ลินเข้าใจผมอยู่รึเปล่า  ผมไม่แน่ใจ  เพราะเราเริ่มมีความคิดไม่ตรงกัน มีความคิดเห็นแปลกไป  ลินเปลี่ยนความชอบ  จากที่ชอบสีชมพู ก็เปลี่ยนเป็นชอบสีส้ม  เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์  เปลี่ยนทุกอย่างเลยก็ว่าได้  แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไร  เธอคงโตขึ้น พร้อมกับสภาพสังคมนิเทศน์ของเธอ  เหมือนผมที่เติบโตท่ามกลางคณะของผม  เราติดต่อกันตลอด  แต่ผมมีความรู้สึกว่าลินเริ่มตอบจดหมายช้า  เขียนช้าลง  และในจดหมายไม่เหมือนเก่า  เหมือนไม่แยแสไรผมนัก  ผมเคยถามเธอทางจดหมายว่าเราทั้งสองโกรธไรกันรึเปล่า  แต่ลินไม่ตอบ ลินกลับเขียนถึงชมรม 
และเขียนถึงกิจกรรมยามว่างของเธอ  แล้วก็อะไรหลายๆอย่าง  ผมมีความรู้สึกว่าลินเปลี่ยนไป อย่างเห็นได้ชัด
ผมถามเบอร์โทรใหม่ของลิน ลินตอบผมว่าไม่มี  แต่ผมไม่เชื่อ ผมรู้จักลินดี ลินเคยบอกผมว่าถ้าเธอไม่มีโทรศัพท์เธอจะฆ่าตัวตาย   ผมถามถึงความรู้สึกที่เธอมีต่อผมแต่เธอไม่ตอบ  ผมถามว่าเธอยังคิดถึงผมอยู่รึเปล่า  เธอไม่ตอบ  ผมสับสนว่านั่นเป็นสัญญาณไรรึเปล่า  ผมยังไม่มั่นใจไรเท่าไหร่  เธอเริ่มตอบจดหมายผมช้าลงเรื่อยๆ จากอาทิตย์ละครั้ง  เป็นเดือนละครั้ง  แล้วก็สองเดือนครั้ง  เวลาผ่านไปเกือบปีแล้ว  ลินกับผมไม่ได้พบหน้ากัน  ผมตัดสินใจไปที่บ้านของลิน  ลินไม่อยู่ลินไม่ได้กลับบ้านมา 3 เดือนกว่าแล้ว  ผมใจหาย ผมไม่แน่ใจว่าลินไปที่ไหน เพราะผมไม่ได้ใกล้ชิดเธอเลย ตลอดเวลา เก้าเดือนที่ผ่านมา  ผมเริ่มเครียดเรื่องลินแล้วตอนนี้  ผมไปหาลินที่มหาวิยาลัย  เขาก็บอกกันว่าลินไม่อยู่หรอก  ยัยลินอ่ะเหรอ ให้โผล่หัวมาก่อนสิจะขอหวยให้ดู  นั่นคงแสดงว่าลินไม่ได้มาเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้แล้วหรืออย่างไร  ผมไม่ทราบ  แต่ในใจผมตอนนั้น แทบล้มทั้งยืนอยู่แล้ว  ถ้าไม่มีลินผมจะอยู่ยังไง  แล้วจดหมายนั่นล่ะ  คงไม่ใช่ลินหรอกมั้ง  ที่เขียนตอบผมอยู่เป็นประจำแล้วนั่นเป็นใครกัน
หัวสมองผมสับสนอย่างมาก  ผมพยายามยืนคิดทบทวนถึงเรื่องระหว่างผมกับลิน  แม้ว่าผมจะไม่ได้เจอลิน  แม้ว่าจะไร้ค่าแม้ผมจะออกตามหาลิน  ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ให้ลินกลับมาเป็นลินคนเดิม  ผมรักลิน  ผมจะตามหาเธอ นั่นอาจเป็นเพียงความฝันเพราะผมก็ใกล้จะสอบแล้ว  ผมไม่อาจทิ้งอนาคตของตัวเองไปเพราะผู้หญิงคนเดียวได้  พ่อแม่หวังในตัวของผมมาก  ผมจึงต้องเอาลินออกไปจากหัวสมองผมชั่วคราว  
	เวลาผ่านไปอีก 3 เดือน  มีจดหมายมาถึงผม  ผมไปรับจดหมายในจดหมายมีเนื้อความว่า

ถึง..ภู  

	อันดับแรกเลยนะ  ต้องขอขอบคุณภูมากที่ขยันเขียนจดหมายมาหาลิน  ภูคงคิดถึงลินมากใช่ไหม  ภูคงมีความสุขกับการเรียนที่มหาวิทยาลัยนั่นสินะ  ลินก็ดีใจนะที่ภูมีความสุข  ภูยังเป็นห่วงใยลินดีเหมือนเดิม  ภูยังเป็นภูริของญลินดาคนเดิมเลยนะ  เสมอต้นเสมอปลาย  ลินเสีย ที่ไม่ซื่อสัตย์กับภูเลย  ภู ลินบอกภูตรงๆเลยนะ ความจดหมายฉบับนี้คงจะเป็นฉบับสุดท้ายแล้วล่ะ  ที่ลินจะเขียนมาหาภู  ความจริงก็คือ  ลินไม่เคยได้ตอบจดหมายของภูเลยแม้แต่ฉบับเดียว  ลินให้เพื่อนของลินตอบให้  ให้เขาแสดงเป็นตัวลิน  เพราะลินไม่อาจห้ามใจตัวเองได้ในตอนนั้น  แต่จดหมายทุกฉบับของภูอ่ะ  ยังอยู่กับลินดีนะ  ลินยังเก็บมันไว้ไม่ต้องเป็นห่วงลินหรอกนะ  แล้วขอบคุณมากเลยนะที่ภูไปตามลินที่บ้าน  ลินบอกที่บ้านเองแหละว่าลินไม่กลับบ้าน  แต่ความจริงแล้วลินอยู่ที่บ้านนั่นแหละ  แล้วที่ลินเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ก็เพราะลินอยากตัดใจจากภู  ลินทนไม่ได้ที่ลินจะหลอกภู  เพราะตลอดเวลา2ปีของเรา  ภูดีกับลินมากๆอย่างที่ลินคิดไม่ถึง  ภูไม่เหมือนผู้ชายคนอื่นที่คบแล้วทิ้ง  ภูยังรักลินอยู่ใช่มั้ย  ภูตัดใจจากลินซะเถอะนะ  ลินมีคนใหม่แล้ว  แล้วลินกับเขากำลังจะหมั้นกันในไม่ช้าเนี่ยแหละ 
เขาเป็นคนดีนะภู ภูไม่ต้องเป็นห่วงลินหรอกนะ  ลินยังอยู่ดี ลินมีความสุขดีที่อยู่ข้างเขาอ่ะ  เราสองคนไม่สามารถไปด้วยกันได้หรอกภู  ลินไม่อยากฝืนอีกต่อไป  วันนึงภูก็ต้องมีคนที่ภูรักซึ่งคนนั้นจะไม่ใช่ลินแล้ว  ภูต้องรักเขาให้มากๆนะ  รักให้มากกว่าที่รักลินนะภู  ลินไม่ดีเองที่ไม่บอกภูตั้งแต่แรก  ลินพยายามหลบหน้าภูเพราะลินไม่อยากฝืนใจตัวเอง  ลินอยากเจอภู แต่พี่นันท์คงไม่ให้ลินไปเจอหรอก  เขาหวงลินมากนะ  พ่อแม่ของลินก็ตกลงว่าจะให้ลินหมั้นกับพี่นั้นแล้วด้วย  ขืนลินยังติดพันภูอีก  ลินคงไม่ได้ผุดได้เกิดอีกแล้ว  แล้วลินก็จะย้ายมหาวิทยาลัยด้วยนะ  ลินจะย้ายไปต่างประเทศนะ  ลินคงคิดถึงภูมาก  ถ้าภูคิดถึงลินก็พยายามนึกถึงวันเก่าๆของเรานะ  ถึงแม้มันจะกลับมาไม่ได้ก็ตาม  ลินเชื่อนะว่าคนดีๆอย่างภู  คงจะมีคนมารักแน่นอน  ไม่ใช่ลินคนเดียวหรอกนะ ที่รักภูคงจะมีผู้หญิงนับล้านเลยนะที่รักภู  เพราะภูเป็นคนดี ซื่อสัตย์ เป็นคนที่น่ารักมากเลยนะ  ภูเป็นคนจริงจัง แล้วก็จริงใจ ลินไม่เคยเสียใจเลยนะ ที่ลินได้รู้จักกับภู  ภูไม่ใช่คนหน้าตาดีอะไร  แต่ภูเป็นคนที่รักลินและลินรัก ลินไม่ได้รักภูตรงที่ภูเป็นคนหน้าตาดี แต่เพราะลินรักที่ภูเป็นคนจริงใจกับลิน  ซึ่งลินไม่เคยได้จากใครเลยแม้กระทั่งพี่นันท์
แต่เหตุผลที่ลินต้องหมั้นกับพี่นันท์เพราะแม่ของลินติดหนี้ทางบ้านพี่นันท์ไว้เยอะ  ซึ่งทางเราไม่สามารถหามาใช้ได้  บ้านของลินก็มีลูกสาวอยู่คนเดียวนั่นก็คือ ลิน  ลินจึงต้องทำตามคำสั่งของแม่  ภูไม่ว่าลินนะ ที่ลินต้องทำอย่างนี้  ถ้าภูอยากคุยกับลิน  ก็โทรเบอร์เดิมนั่นแหละ ลินไม่ว่าอะไรหรอกนะ  อยากให้ภูรู้ไว้ว่าลินไม่ใช่ของภูอีกต่อไปแล้วล่ะนะ  ขอให้เราจากกันด้วยดี  ขอให้ภูพบรักใหม่กับผู้หญิงที่ดีกว่าลินล้านเท่าเลยนะ

ปล.แม้ห่างไกลใช่ห่างกัน(ภู เคยบอกลินไว้ไม่ใช่หรอ)

							รักภูเสมอ
				
						               ญลินดา  (ลิน)

หลังจากผมอ่านจดหมายผม  ผมชาไปทั้งตัว ราวกับโดยเข็มทิ่มแทงหัวใจของผมอย่างหาที่สุดมิได้ มันเจ็บจนเกินที่ผมจะทนไหว  ผมตัดสินใจโทรไปหาลินอีกครั้ง  ผมคิดว่าถ้าโทรไปแล้วอะไรๆอาจจะดีขึ้นก็เป็นได้
เมื่อโทรไปหาลิน ผมกับลินคุยกันดังนี้
ผม : ฮัลโหลขอสายญลินดา หน่อยฮะ
ลิน : ลินพูดอยู่นั่นใครเหรอคะ?
ผม:  ภูริ
ลิน : ภู มีอะไรเหรอโทรมาหาลินอ่ะ?
ผม : ผมจะโทรมาหาไม่ได้หรือไง ?
ลิน  : ภู ได้อ่านจดหมายนั่นไหม?
ผม : อ่านแล้ว  ก็ดีนะ
ลิน : แล้วภูยังจะตามหาลินอีกทำไมกัน  ลินบอกแล้วใช่มั้ย ว่าอย่าติดต่อลินอีก ภูไม่เข้าใจลินหรือไงกัน  ลินไม่อยากใช้ไม้แข็งกับภูนะ อย่ายุ่งกับลินอีกเลย  
ผม : ผมอ่านแล้ว ผมไม่ได้ตามหาคุณเลยนะลิน ผมจะบอกให้นะ ผมไม่ได้อยากติดต่อไรลินหรอก  ผมแค่จะโทรมาบอกคุณว่า ถ้าคุณคิดว่ามันเป็นวิธีที่ดีที่สุดเรื่องงานหมั้นก็ตามใจ แต่ผมมีวิธีที่ดีกว่านี้อีกนะ
ลิน : จริงเหรอภู แต่เราติดหนี้เขาไว้มากนะ
ผม :ติดไว้เท่าไหร่กัน ล้าน สองล้าน หรือมากกว่า ผมทำได้นะ ถ้ามันจะทำให้ลินมีอิสระ
ลิน : ภู ลินติดหนี้เขาไว้แปดแสน  ภูจะจ่ายให้ลินเหรอ?
ผม : อืม ผมจะจ่ายให้ลิน จะได้เลิกติดพันไอ้หมอนั่นเสียที
ลิน : ภู  งานมันก็จะเริ่มอยู่แล้วนะ  ลินไม่อยากถอนอะไรตอนนี้แล้ว
ผม : แปลว่าลินรักคุณนันท์ แต่ลินเอาเหตุผลบ้าๆมาอ้างผมใช่ไหม?
ลิน : ไม่ใช่อย่างนั้นนะภู  จะหมั้นใน สามวันข้างหน้านี้แล้ว มันจะไปทันอะไร แล้วอีกนะ มันเงินของภูไม่ใช่เงินของลิน ถ้าภูจ่ายก็เท่ากับว่าลินเป็นหนี้คุณอีก  มันแทบจะมีค่าเท่ากันเลยนะ
ผม : ไม่สิลิน อย่าคิดอย่างนั้น  ผมเคยบอกคุณไหม ว่าผมจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เสียคุณไป คุณลืมแล้วเหรอ ว่าผมเคยเข้า ICU เพราะคุณมาแล้วนะ อย่างนี้เหรอที่คุณจะทิ้งผมได้ลง
ลิน : ภู แล้วภูจะทำยังไงล่ะ?
ผม : ผมก็จะเอาเงินไปให้เขาแล้วบอกว่าพวกคุณใช้หนี้ แล้วให้ถอนหมั้น หรือว่าเรื่องหมั้นไรเนี่ยกับลินซะ
ลิน : แล้วเขาจะยอมเหรอภู
ผม : ขึ้นชื่อว่าเจ้าหนี้ เมื่อมีเงินมาวางตรงหน้า คุณก็จะหมดความหมายแล้ว
ลิน : แล้วภูจะเอาไปให้วันไหน 
ผม : วันหมั้นเลยดีกว่านะลิน ผมว่าฉีกหน้าคนอื่นเขาดี
ลิน : มันไม่ใช่บาทสองบาทนะภู มันเป็นแสนนะ ภูจะไปหามาจากไหน แล้วจะหาทันเหรอ
ผม : ขอแค่ลินมั่นใจในตัวผม แค่นั้นผมก็ดีใจแล้ว เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องยากแล้วล่ะลิน
ลิน : ขอบคุณมากนะ ภู ลินรักภูเกินกว่าที่ลินจะเลิกรักได้ บายก่อนนะ
ผม : อืม

เมื่อผมวางสายจากลิน ผมรู้สึกว่าผมต้องทำได้  ผมเริ่มนับเงินของตัวเอง มีอยู่ไม่ถึงหมื่นเลย  แต่ผมก็ไม่ได้ย่อท้ออะไร ผมไปตามกู้ยืมบ้าง ขอพ่อแม่บ้างโดยบอกว่าเอาไปจ่ายค่าลงทะเบียน  ผมเหลือเวลาอีกสามวันกับอีก หกแสน  จะหาจากไหนได้ผมก็ยังไม่ทราบเลย  คืนนั้นผมทำงานในผับทั้งคืน จนรุ่งเช้า  ผมเริ่มไปตามสินเชื่อ ธนาคารต่างๆอีก  ผมไม่เหลือเวลาอีกต่อไปแล้ว  อีกไม่ถึง 12 ชั่วโมง ลินก็จะเข้าพิธีแล้ว  จะหาจากไหนกัน
ผมก็เลยไปขอญาติผมที่ต่างจังหวัดจนได้มาอีก สามแสน ซึ่งผมเองก็ยังมีเงินในธนาคารต่างๆของผมอีก  ผมนับจนครบทั้งแปดแสนนั้น  ผมดีใจซะเหลือเกิน

						ภาคต่อไปกำลังแต่งอยู่ และอยู่ในขั้นตอนการเรียบเรียงค่า				
17 มีนาคม 2547 13:32 น.

the legend of love

โอปอล

วรรณกรรมสำหรับเยาชวนในโครงการ

เรื่อง  The Legend of Love

	สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งบนโลก  ล้วนแล้วแต่เกิดมาเพราะความรัก  ความห่วงใยระหว่างคนสองคนที่มอบความรักให้แก่กัน  ในความคิดของแต่ละบุคคลก็จะมีนิยามของความรักของแต่ละบุคคล คนละแบบ  หลายคนคิดว่าความรัก  คือ  สิ่งมหัศจรรย์  เพราะเกิดจากคนสองคนที่ไม่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อนรู้สึกถูกชะตากัน รู้สึกว่าคนนี้เป็นคนที่ใช่  หรือบางคู่ก็ทะเลาะกันเกือบตาย  แต่สุกดท้ายก็รักกัน  หรือบางคู่ก็เหมือนนิยายไม่มีผิดที่อยู่ดีๆก็เดินทำของตกแล้วก็หยิบให้กันอะไรประมาณนั้น  เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา  ไม่เลือกเพศ  วัย  สถานะ หรือว่าสถานที่  และมิอาจห้ามได้  ความรักก็เหมือนทะเล  ที่บางครั้งก็ดูสวยงามเสียเหลือเกิน  นั่นหมายถึงความรักที่ราบรื่น  และคล่องตัว  เรียกได้ว่าHappy เลยก็ว่าได้  และบางครั้งทะเลก็จะมีคลื่นซึ่งแรงบ้าง เบาบาง ขึ้นอยู่กับกระแสลม  คลื่นคืออุปสรรคต่างๆของชีวิตรัก  ส่วนกระแสลมนั้น  คือ ตัวของบุคคลทั้งสอง  ที่กำหนดทิศทางของความรักของทั้งคู่  ว่าจะให้เดินซ้ายเดินขวา ก็แล้วแต่จะกำหนด  บ้างก็ว่าเหมือนดอกไม้  ซึ่งความคิดนี้หลายคนเห็นด้วย  เพราะถ้าเราหมั่นรดน้ำ พรวนดิน  ใส่ปุ๋ย  ก็ย่อมจะเติบโต  เสมือนคนทั้งคู่เฝ้ามอบความรัก ความห่วงใยให้แก่กันและกัน  ความรักก็ย่อมเติบโตเป็นธรรมดา  ความรักเหล่านี้  ใช่ว่าจะสมหวังซะทุกคน  บ้างสมหวัง
บ้างอกหัก  คนที่สมหวังก็ดีไป  ส่วนคนที่อกหักนั้น ก็ย่อมจะเสียใจเป็นธรรมดา รักมากก็เจ็บมาก  ผู้ที่อกหักเพราะความเจ้าชู้หรือเพราะจับปลาหลายมือก็น่าจะสมน้ำหน้าอยู่หรอก  แต่ถ้าผู้ที่อกหักเป็นผู้ที่มีจิตใจงดงาม 
ซื่อตรง  เสมอต้นเสมอปลาย  แต่ที่อกหักเพียงเพราะหน้าตาไม่ดี  หรือมีปมด้อยทางร่างกาย ก็น่าสงสารมาก
ถ้าผู้ที่หักอกคนอื่นหัดเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างก็จะดี  เคยรู้สึกบ้างไหม  ว่าถ้าเราทุ่มเทชีวิตให้กับใครแล้ว  เราคิดว่าเราทำดีที่สุดแล้ว  แต่เขาบอกว่ายังดีไม่พอ  เพียงเพราะเธอหน้าตาไม่เข้าขั้น  ไม่ตรงสเปกของเขาล่ะก็  แทบอยากจะลุกชกหน้าเขาสักหมัดเลยทีเดียว  พวกคนที่หักอกคนอื่นเขาเพียงเพราะหน้าตาหรือฐานะ  ควรที่จะได้รับบทเรียนเสียบ้าง ไม่ช้าก็เร็ว เขาจะรู้เอง  เราไม่ต้องไปเสียใจอาลัยอาวรณ์ไรมากมายหรอก  พวกที่อกหักแล้วจมปรักอยู่กับความรักก็โปรดจงลุกขึ้นเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบก็แล้วกัน  เพราะลองคิดดูนะ เมื่อท่านผ่านเวลาอันบ้าระห่ำนี้ไปแล้ว  แล้วท่านลองมองกลับมา  ท่านจะรู้ทันทีว่า  ตัวเองทำไรก็ไม่รู้ไร้สาระสิ้นดี  โปรดจงลุกขึ้นเถิด 
มันไม่ได้ทำให้ความรักเพิ่มขึ้นมาหรอก  อย่าพยายามอีกเลย  ให้เขาคนนั้นได้รับบทเรียนเองแล้วกัน  แล้วตัวเอง
ก็ลุกขึ้นทำความดีให้กับสังคม  ถือคติว่า  ถ้าเขาไม่รักเรา  เราก็ไม่รักมันซะเลย  ขนาดสุนัขยังรู้ว่าเรารักมันแค่ไหน
มันยังเห็นความดีของเรา  กระดิกหางเมื่อเรายิ้มให้  แต่นั่นคนยังไม่รู้จักเลยว่าเรารักเขาแค่ไหน  ก็ไม่สมควรที่จะเกิดเป็นมนุษย์เลยซะด้วยซ้ำไม่อายหมามันบ้างเหรออะไรประมาณนั้น  สำหรับท่านที่ชอบทำตัวเป็นพ่อพระ
แม่พระมั่นคงในความรัก  ขอแนะนำเลยว่าหมดสมัยแล้ว  เขาไม่รักก็ช่างเขาคนอื่นมีอีกเป็นหมื่นล้านคนบนโลกนี้
อาจจะได้เจอคนที่ดีกว่าเขาก็ได้  อย่ามามัวมั่นคงกับไอ้พวกไม่รู้ความรัก ความจริงใจ  พวกเห็นดอกบัวเป็นขี้ อย่างนี้เลย  เมื่อท่านรู้ถึงว่าท่านรักใครจริงๆสักคน  รับรองว่าเขาต้องรักท่านกลับอย่างแน่นอน  ไม่จำเป็นต้องไปง้อไอ้หน้าตะเข้นั้นอีกต่อไป  ไม่ใช่ว่าสอนให้ทิ้งๆขว้างๆอย่างนั้นนะ  แค่พยายามจะสื่อถึงว่า  อย่าไปคิดอะไรมากให้ลองทำใจเป็นกลางดูละกันว่าเราไม่ดีตรงไหน  ผิดตรงไหน  แล้วเราก็แก้ไข  ถึงแม้เราจะผิด แต่แล้วไงล่ะ  ผิดเป็นครู คนที่ไม่เคยทำอะไรผิดคือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลน  แล้วก็คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อความถูกต้องเพียงอย่างเดียว  ถูกสร้างมาเพื่อพบกับความสมหวังและผิดหวังเหมือนกันหมด  ไม่มีใครหรอกที่จะถูกสร้างมาเพื่อพบกับความถูกต้องเพียงอย่างเดียว  เพียงแต่ว่าอันไหนจะมาก่อนกันแค่นั้นเอง  อย่าไปคิดมากเลยกับความผิดหวังเล็กอย่างนั้น  แค่คิดว่าให้เขาคนนั้นเป็นครูสอนถึงพื้นฐานความเป็นมนุษย์ก็แล้วกันจะสบายใจกว่าเยอะ  หนังสือเล่มนี้ไม่ได้สอนให้ท่านมีความก้าวร้าวหรือใดๆ แต่อยากให้รับรู้ถึงทั้งความสมหวังและความผิดหวังของหลายคน
ซึ่งจะบอกว่าไม่ใช่ท่านหรือข้าพเจ้าผู้เดียวที่ผิดหวัง เพียงแต่ว่าเราจะลุกขึ้นมาช้าหรือเร็วก็เท่านั้น  ถ้าช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร  ถ้าลุกขึ้นมาเร็วก็จะทำให้เข้มแข็งได้รวดเร็วกว่าที่เป็น แล้วจะทำให้ท่านไม่กลัวความรักอีกต่อไป..
ข้าพเจ้าขอสัญญา  ว่าท่านจะไม่ใช่ผู้ที่กลัวความรักความเจ็บปวดอีก..





							โอปอล				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟโอปอล
Lovings  โอปอล เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟโอปอล
Lovings  โอปอล เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟโอปอล
Lovings  โอปอล เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงโอปอล