20 สิงหาคม 2553 08:40 น.

นักศึกษา ป.๓

ใบคา

เสียงรถเครื่องชะลอช้าๆ จอดหน้าบ้าน บนรถมีผู้ชายสองคน คนขับเป็นเด็กหนุ่มอายุราว ๒๐ ต้นๆ ร่างกายกำยำสมส่วน ผิวออกคล้ำนิดๆ ส่วนผู้ซ้อนท้ายผมแซมสีขาวอายุมากกว่าคนขับเท่าตัว ซ้ำผิวยังคล้ำกว่าเด็กหนุ่มมากนัก หลังจอดรถ ตั้ง Stand เด็กหนุ่มยกมือไหว้ และกล่าวสวัสดีอย่างนอบน้อมกับเจ้าของบ้านที่นั่งลับมีดกรีดยางอยู่ชายคาหน้าบ้าน ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันในตอนเย็นๆ ของเขา

อ้าวกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เจ้าของบ้านถามเด็กหนุ่ม เพราะเป็นนักศึกษาอยู่เมืองกรุง 

เด็กหนุ่มยิ้มให้ก่อนตอบ ๒  ๓ วันแล้วครับลุงปิ่น

มาได้พอดี กำลังเปรี้ยวปาก ไม่มีใครแวะมาสักที วันเสาร์แบบนี้มันคุ้นลิ้น เจ้าของบ้าน หันไปพูดกับชายที่ซ้อนท้ายมาด้วย อ๊อดไปเอายาดองบ้านลุงเกื้อมาให้ลุงกับพ่อมึงขวดหนึ่งนะ ประโยคหลังเขาหันมาพูดกับเด็กหนุ่ม พลางยื่นธนบัตรสีแดงให้หนึ่งใบ

ปิ่นเจ้าของบ้าน รู้สึกแปลกใจกับ เอิบ แขกผู้มาเยือน ปกติธรรมดาถ้าไม่มีธุระจริงๆ จะไม่แวะมาเยี่ยมเยียน จะเจอบ้างก็ในตลาดร้านรวงทั่วไป ครั้นจะถามถึงสาเหตุการมาก็ใช่เรื่อง จึงนิ่งเสีย

อ๊อดรับเงิน สตาร์ทรถออกไป ปล่อยให้ชายวัยสี่สิบต้นๆ สองคนนั่งสนทนากันอยู่หน้าบ้านชั้นเดียวหลังเล็ก ที่ล้อมรอบด้วยต้นผลไม้ ลางสาด มังคุด ลองกอง เงาะ และสวนยางพาราที่ทอดยาวไปทางหลังบ้าน เขตรั้วกั้นพื้นที่ของเพื่อนบ้านนั้นเป็นต้นผลไม้ กับหมาก ในจังหวัดชายแดนใต้หมู่บ้านที่อยู่ไกลจากตัวอำเภอหรือตลาดมักเป็นอย่างนี้

 คนอื่นขอใบ ป.๓ นานไหมวะ เอิบถามถึงเรื่องการขออนุญาตซื้ออาวุธปืน ขณะที่สายตาจับจ้องใบเงาะแห้งร่วงลงพื้นอย่างช้าๆ

อาทิตย์หนึ่งแหละ...มึงจะซื้อปืนแล้วเหรอ ปิ่นว่า

กูขอไปแล้ว ตั้งเป็นเดือนไม่เห็นได้สักที พอไปถามมันก็ว่ายังไม่เสร็จ เอิบเริ่มประเด็นของการมาเยือนในครั้งนี้

ถึงว่าเดี๋ยวนี้เห็นแวะไปอำเภอ ๒  ๓ ครั้งแล้ว ตอนเขาขอกันเยอะๆ ก็ไม่ขอ ปลัดคนก่อนง่ายจะตายไม่ถามมากเรื่อง ปิ่นว่า ปลัดใหม่นี่ก็ไม่รู้นิสัยเป็นอย่างไร กูก็ไม่ค่อยได้คุย เห็นมาใหม่ๆ ไปโน่นไปนี่ตลอด เจ้าของบ้านพูดเป็นเชิงระวังตัวไว้ก่อน

มึงลองถามๆ ให้กูหน่อยสิ เอิบเข้าประเด็น ตอนนั้นกูก็ว่าจะขอ แต่เงินไม่ค่อยมี ฝนก็ตกชุก ไหนจะค่าเทอมไอ้อ๊อดอีก เดี๋ยวนี้พอมีก็กะว่าจะรีบๆ ซื้อ ไม่มีพกไว้บ้างก็อยู่ไม่เป็นสุข มีเหน็บเอวไว้หน่อยก็อุ่นใจ อย่างน้อยก็ได้สวนกลับสักนัดสองนัด

ระยะหลังๆ  หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ มักเสนอข่าวให้เห็นว่า ผู้ก่อการร้ายในสามจังหวัดชายแดนใต้เลือกเป้าหมายเป็นพนักงานของรัฐบาล ไม่เว้นแม้กระทั่งนักการภารโรงอย่างเอิบ ทำให้เขากังวลใจอยู่ทุกวันนี้ ใช่เพียงแค่ข่าวสื่อหลัก กระแสข่าวลือในพื้นที่ก็หนาหูขึ้นทุกวัน จนเดี๋ยวนี้คนที่ทำงานให้กับรัฐบาล ไม่ว่าโรงเรียน โรงพยาบาล อบต. ทั้งบรรจุ หรือลูกจ้างชั่วคราว ต่างพูดติดตลก มีค่าหัวแล้วโว้ย แต่ก็ขำไม่ออก

แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าคนระวัง ยากนักที่จะป้องกันตัวจากคนคอยจ้องจะทำร้ายได้ ลองมันคิดจะทำขึ้นมาจริงๆ เหยื่อล้วนต้องสังเวยชีวิตไปนักต่อนัก ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่มากมาย แต่ถึงกระนั้นเอิบมีความมั่นใจว่า ถ้าไม่ตายในนัดแรก ผีร้ายพวกนั้นก็ต้องได้รับบทเรียนกลับไปบ้าง 

จากการไปขออนุญาตซื้ออาวุธปืนกับปลัดอำเภอคนใหม่ ทำให้เอิบร้อนใจขึ้น เพราะเท่าที่รู้ว่า คนอื่นยื่นขอแค่สัปดาห์เดียว ก็สามารถนำใบ ป.๓ ไปยื่นประกอบให้ร้านค้าย่านวังบูรพา ในกรุงเทพฯ ได้แล้ว แต่นี่อีก ๒  ๓ วันก็จะครบเดือน อ่อนกว่าอายุรับราชการในอำเภอแห่งนี้ของปลัดคนใหม่เพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้น
เนื่องจากปิ่นเป็นเสมียนอยู่อำเภอ มีความใกล้ชิดกับข้าราชการระดับต่างๆ อีกทั้งยังเป็นคนในพื้นที่และอาวุโส ไม่ว่าเจ้านายระดับไหนก็ให้ความสนิทสนมด้วย บางครั้งในฤดูผลไม้ปิ่นยังพาข้าราชการในอำเภอมาขนเอาลองกองข้างบ้านตัวเองกลับไปจนเกลี้ยงต้นเหลือแต่ใบ โดยที่ไม่นึกเสียดายราคาผลตอบแทนที่จะได้รับ ถึงจะเป็นปลัดคนใหม่ก็เถอะ ลองให้ปิ่นช่วยพูดอีกแรงคงง่ายกว่าภารโรงอย่างเอิบ
ไม่ทันได้พูดอะไรเพิ่มเติม อ๊อดก็บึ่งรถเครื่องมาเบรกเอี๊ยดหน้าบ้าน ค้ำรถไว้ แล้วหิ้วถุงยาดองสีอำพันไม่มีชื่อเรียกมาให้ ยาดองของเกื้อเป็นเหล้าเถื่อนผสมกับรากไม้เป็นสูตรของปู่ ตกทอดมาอีกที ชาวบ้านมักเรียกว่า ยาดองลุงเกื้อ

ลุงเกื้ออยู่บ้านไหม ปิ่นถามอ๊อดใช้สรรพนามลุงแทนตัวเด็กหนุ่ม

อยู่ครับ เห็นบอกว่าจะตามมา อ๊อดตอบ

มันมาประจำแหละ แต่วันนี้ไม่เห็นโผล่หน้ามานึกว่าไปไหน รู้แบบนี้ไม่นานหรอกเดี๋ยวก็ขับรถแต็กๆๆ...มา ปิ่นว่าเลียนเสียงเครื่องยนต์รถของเกื้อ


ปิ่นเข้าไปในบ้าน หยิบจานหมูป่าผัดเผ็ดในตู้กับข้าว พร้อมกับขวดน้ำเย็นขนาดน้ำอัดลม ๑.๒๕ ลิตรออกมาวางหน้าบ้าน แล้วตามด้วยแก้วเป็ก ๑ ใบ พร้อมกับแก้วเปล่าธรรมดาอีกหนึ่ง เสร็จแล้วนั่งลงบนพื้นหน้าบ้านที่เทปูนฉาบมันเอาไว้ เมื่อ ๒ พ่อลูกทำตามวงเหล้าย่อมๆ จึงเกิดขึ้น

สักครู่เจ้าของต้นตำรับยาดองก็ค่อยๆ ขับรถเครื่องเสียงดัง แต็ก แต็ก แต็ก เข้ามาจอดหน้าบ้าน 

นี่ไงเสียงแบบนี้ในอำเภอกูว่าไม่มีใครแล้ว ปิ่นล้อ ถ้ากูเป็นโจรนะ ยิงมึงก่อนคนแรกเลยเกื้อเอ๋ย ไม่ผิดตัวแน่

ก็ลองมาสิวะ ว่าพลางใช้มือขวาตบที่เอวเสียงมือกระทบวัตถุแข็งดังตึบๆ กูจะยิงให้เลิกเป็นโจรเลย 

ระวังนายตะครุบเอานะ ปิ่นว่า เพราะข้างเอวนั้นเป็นปืนเถื่อน และนายที่ว่า ก็หมายถึงตำรวจ

มาได้ไงวะ ผอ. เกื้อหันไปแซวเอิบ ยกตำแหน่งเป็น ผู้อำนวยการโรงเรียนให้เสร็จสรรพ มีธุระอะไรวะ

ไม่มีธุระกูมาเที่ยวไม่ได้เหรอวะ เอิบว่า

ก็ไม่เคยเห็นมา

งานมันยุ่ง เอิบตอบ พอดีวันนี้ว่างๆ เลยให้ไอ้อ็อดพามา กะว่าจะถามไอ้ปิ่นมันเรื่องขอใบ ป.๓ เห็นคนอื่นขอไม่กี่วันก็ได้แล้ว แต่กูเป็นเดือนแล้วยังไม่เห็นได้

ปลัดย้ายแล้วคงจะได้อยู่หรอก เกื้อว่า

ปลัดใหม่...กูขอตอนย้ายมาใหม่ๆ เลย เอิบตอบ

ให้ไอ้ปิ่นมันพูดให้สิ ไม่นานก็ได้

ถึงได้มานี่ไง เอิบพูด

๓ วัยกลางคนกับ ๑ วัยรุ่นนั่งผลัดเปลี่ยนกระดกยาดองลงคอ พร้อมพูดคุยกันไปเรื่อย ดูเหมือนธุระพูดเพียงไม่กี่คำก็เป็นที่เข้าใจ แต่น้ำเมาเบื้องหน้าทำให้เลิกยากเสียแล้ว จนกระทั่งแดดเริ่มอ่อนแสงลง ยาดองในขวดก็พร่องเช่นกัน แต่ทว่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดกลับเพิ่มขึ้น  ขวดที่ ๒ ถูกนำมา เริ่มเมาก็เริ่มวกกลับมาพูดถึงเรื่องใบขออนุญาตซื้อปืนอีกครั้ง

ปลัดใหม่เป็นไงบ้างวะ เอิบเปิดประเด็นไปยังปิ่น

ผมว่านะมาใหม่ๆ แทนที่จะเอาใจชาวบ้านไว้บ้าง การขออนุญาตซื้อปืนก็ไม่ใช่มีแต่พ่อที่ขอ คนอื่นเขาก็ขอ ในเมื่ออำนาจรัฐไม่สามารถคุ้มครองชาวบ้านได้ ก็ต้องพึ่งอำนาจตัวเอง อ๊อดสอดขึ้น

กูก็ไม่รู้สิเขาเพิ่งย้ายมาเห็นยุ่งๆ ไปโน่นไปนี่อยู่ ปิ่นพูดกับเอิบ

คงคิดจะเรียกเงิน พวกผู้ปกครองอย่างนี้ ประเภทที่ไม่มีใจจะช่วยเหลือประชาชนอย่างแท้จริง ก็มีแต่เรื่องเงิน บอกให้พ่อถามว่าจะเอาเงินเท่าไหร่ก็ไม่ยอมถาม ถ้าไม่อยากได้เงินคงทำให้แล้ว ที่ลงมาในพื้นที่อันตรายอย่างนี้ ก็คงหวังผลงาน เบี้ยเสี่ยงภัย ได้สักปีค่อยย้ายกลับรับตำแหน่งที่สูงกว่า อ๊อดว่าต่อ

กูก็ไม่กล้าถาม มึงลองถามให้กูดูสิปิ่นว่าต้องให้เงินไหม เอิบคล้อยตามลูกชาย หันไปทางปิ่น

เจ้าของบ้านทำหน้าเฉยๆ พยักหน้าหงึกๆ ยกแก้วเป๊กกระดกยาดองลงคอ ก่อนพูดขึ้น อีกกี่ปีจบ ถามไปยังลูกชายนายเอิบ


๒ ครับตอนนี้ปี ๒ แล้ว อ๊อดพูดพลางรินยาดองลงแก้วเบาๆ ยื่นไปยังพ่อตัวเอง รัฐบาลชอบส่งใครก็ไม่รู้ ที่ไม่มีความเข้าใจในพื้นที่ พวกเราเองก็จบรัฐศาสตร์กันเยอะแยะ น่าจะเอาคนในพื้นที่สอบแข่งขันเข้าไป อย่างพี่สันต์ลูกลุงเข่งก็จบรัฐศาสตร์ ไม่เห็นรัฐบาลจะสนใจ ภาค ก. ก็สอบติด ตอนนี้ต้องมาตัดยางอยู่บ้าน ถ้าลองเอาคนในพื้นที่มาเป็นผู้ปกครองนะ รับรองสงบไปนานแล้วบ้านเมืองเรา อ๊อดพล่าม

เกื้อเจ้าของต้นตำรับยาดองพยายามชวนคุยเรื่องอื่น แล้วส่งสายตาไปยังเอิบพ่อของเด็กหนุ่ม เป็นสัญญาณให้อ๊อดเพลาการโม้ลงบ้าง แต่เหมือนเอิบไม่เข้าใจ กลับนั่งยิ้มฟังลูกตัวเองพูดอย่างภูมิใจ

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ ยางพาราที่ราคาตกลงทุกวันๆ หรือแม้กระทั่งชวนนินทาเพื่อนบ้านที่ซื้อกระบะป้ายแดงมาขับแบบผ่อนส่ง ต้องถูกบริษัทรถยึดคืนไปเพราะราคายางตก ฝนก็ชุก ไม่สามารถผ่อนต่อไหว

เรื่องนี้ก็เหมือนกัน ผมว่าแต่ละภาคก็น่าจะมีพืชเศรษฐกิจเป็นของตัวเอง ภาคไหนจังหวัดไหนเด่นเรื่องไหนก็สนับสนุนเป็นภาคๆ ไป ภาคใต้ก็ยาง นี่อะไรไปสนับสนุนให้ภาคอีสานปลูกยาง เป็นไงละยางราคาถูก พออีสานปลูกยาง ข้าวก็ไม่ปลูกกันเพราะถูก ทีนี้ข้าวแพง ใครเดือดร้อน ก็เราๆ ตาดำๆ ทั้งนั้น พวกรัฐมนตรีต่อให้ข้าวกิโลเป็นพันมันจะเดือดร้อนอะไร แพงเท่าไหร่ มันก็โกงเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น อ๊อดไม่เลิกแสดงภูมิ

ท่าจะเมาแล้วกู เกื้อบอก มึนๆ กลับก่อนเว้ย เดี๋ยวลุกตัดยางไม่ไหว 

อะไร...ดูเด็กยังไม่เมาเลย ปิ่นว่า

ผมชินแล้วครับ ตอนอยู่มหาลัยเวลาออกค่ายไปสร้างศาลาเอนกประสงค์ หรือสร้างห้องสมุดหมู่บ้าน แถวดอยภาคเหนือ ชาวบ้านเลี้ยงเหล้าต้มหนักกว่านี้หลายเท่า กินจนชิน ยิ่งหนาวๆ ยิ่งไม่เมา อ๊อดอวดอย่างภาคภูมิ พลางยกแก้วเป๊กยาดองกรอกลงคออย่างไม่ไยดีว่าถึงคิวเจ้าของบ้านแล้ว

กูแก่แล้ว จะไปสู้เด็กได้ไง เกื้อว่าพลางลุกยืนแล้วก็เดินเซๆ ไป คร่อมรถเครื่องคันเก่า สตาร์ท แล้วเร่งเครื่องออกช้าๆ

อ๊อดยังคงเสนอความคิด แสดงภูมิความรู้จากประสบการณ์ในรั้วมหาลัยฯ และเมืองหลวงออกมาสาธยายอย่างต่อเนื่อง จนยาดองหมดขวด และท่าทางของเอิบพ่อบังเกิดเกล้าเริ่มจะหัวหนักจนแทบยกตั้งตรงไม่ไหว วงจึงเลิก

วันจันทร์เดี๋ยวกูจะถามให้เรื่องปืน ปิ่นว่าพลางโบกมือลาแขกหย็อยๆ แล้วเดินโซเซเก็บข้าวของ อาบน้ำ เข้านอน



ยามสายวันจันทร์ ณ ที่ว่าการอำเภอ ที่มีรั้วลวดหนามกั้น รถเครื่องทุกคันที่ผู้มาติดต่อนำมา ต้องจอดเปิดเบาะไว้นอกรั้วกั้น เพราะกลัวผู้ไม่หวังดีแอบแฝงนำรถที่ซุกซ่อนระเบิดแสวงเครื่องไว้ใต้เบาะมาจอดเพื่อหวังก่อการร้าย ทั้งนี้มีทหาร ๒  ๓ นายยืนถือปืนเฝ้าอย่างหงอยเหงา 

	วันนี้ไม่ออกไปไหนเหรอครับปลัด ปิ่นเดินเข้าไปทักปลัดอำเภอถึงในห้องทำงาน เพื่อหวังสอบถามเรื่องธุระของเอิบ

	อ๋อไม่หรอกครับน้าปิ่น ไปมาจนครบแล้ว ปลัดอำเภอหนุ่มตอบคำถาม

	ช่วงนี้มีคนมาขออนุญาตซื้อปืนเยอะไหมครับ ปิ่นถาม

	ก็มีบ้าง ผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าคนแถวนี้ต้องพึ่งปืนกันขนาดนี้ แต่ก็น่าเห็นใจนะไม่มีปืนพกไว้บ้างก็ไม่อุ่นใจ เท่าที่ได้ออกพื้นที่ถามสารทุกข์สุขดิบก็พอจะเข้าใจชาวบ้านมากขึ้น ใครที่มาขอถ้ามีเหตุผลพอผมก็จัดการออกให้อยู่แล้ว ปลัดหนุ่มตอบ

	แล้วของญาติผมเป็นไงบ้างครับ รู้สึกจะขอนานแล้ว เห็นยังไม่ได้เลย 

ใครเหรอครับญาติของน้า ไม่เห็นบอกผม ถ้ารู้ผมรีบทำให้เลยนะ ปลัดว่าน้ำเสียงจริงจัง

ก็ไม่เชิงญาติหรอกครับ คนเก่าแก่คบหากันเหมือนญาติแหละ ชื่อนายเอิบน่ะ 

อ๋อนายเอิบ มาขอตั้งแต่ต้นเดือนนั่นแหละ แต่แกล้งไม่ออกให้เอง หมั่นไส้ลูกชายแก ปลัดว่าพลางส่ายหัวเบาๆ เด็กอะไรก้าวร้าวเป็นบ้า

เห็นมันบอกว่าเพิ่งกลับมาได้ ๒ -๓ วันนี้เอง ปิ่นพูด อย่างสงสัย

อ๋อ! สงสัยคงกลับไปเรียนแล้วกลับมาใหม่มั้งครับ เพราะระยะหลังที่นายเอิบมาหาผมนี่ก็มาคนเดียว เห็นหน้า น้ำเสียงแล้วผมก็เห็นใจนะ แต่อยากสั่งสอนสักหน่อหน่อย

เขาทำอะไรให้คุณปลัดไม่พอใจเหรอครับ ปิ่นถาม

เขาไม่ได้ทำอะไรหรอก แต่ลูกชายเขาน่ะสิ... ตอนมายื่นเอกสาร ผมก็แนะนำให้กรอกข้อมูลตรงนั้นตรงนี้ เจ้าลูกชายก็ตอบว่า รู้อ่านออก ผมก็นิ่งเสีย พอบอกว่าให้เซ็นชื่อ แล้วเขียนตัวบรรจงตรงบรรทัดล่างแล้วเขียนวันเดือนปีด้วย เจ้าลูกชายอวดเก่งก็พูดขึ้นอีก ผมรู้ว่าควรทำอย่างไร ผมเรียนปริญญาตรี รัฐศาสตร์รู้ดี แค่นี้เองครับ ปลัดอำเภอพูดสีหน้าบ่งบอกความไม่พอใจ ถึงแม้ปากจะบอกว่าไม่มีอะไรก็ตาม แต่ผมไม่รู้ว่าเป็นญาติน้า เดี๋ยวผมจะรีบออกให้เลย ผมก็ไม่มีเจตนาดึงหรอก แค่อยากดัดนิสัยเท่านั้นเอง

ปลัดพูดจบปิ่นก็ตอบว่า อ๋อ! ไม่เป็นไรหรอกครับ คอยให้ลูกมันสอบปลัดได้ก่อนแล้วให้ทำให้พ่อมันเองละกัน แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างสบอารมณ์



*********				
6 สิงหาคม 2553 09:08 น.

๑๐ คำถาม

ใบคา

ผมกับแจน คบกันฐานะแฟนมาตั้งแต่เราอยู่ชั้น ม.๔ ตอนนี้ ม.๖ เทอมปลาย ผมยังไม่เคยได้ดมดอมกลิ่นแก้มหอมๆ เธอเลยสักครั้ง อย่างมากก็ได้แค่จูงมือเที่ยวตามงานต่างๆ แล้วพยายามสูดลมหายใจแรงๆ ลึกๆ เพื่อให้ได้กลิ่นเนื้อสาวของเธอ มันเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามศีลธรรมอันดีที่เราไม่ควรกล้ำกลายไปมากกว่านี้ แต่มันไม่ยักถูกใจผมนี่สิ แต่เพราะความน่ารัก และใสซื่อ ของเธอจึงทำให้ผมไม่กล้าที่จะล่วงเกินไปมากกว่าจูงมือ แล้วแอบสูดกลิ่นเธอ โดยเฉพาะปอยผมของแจน มันทำให้รู้สึกรักเธอมากเหลือเกิน

	แจนเป็นผู้หญิงตัวเล็กเอวบาง ใบหน้าเรียวเล็ก ผิวขาว ข้างแก้มแลเห็นเส้นเลือดฝอยจางๆ เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ยิ้มง่าย พูดจาเสียงเล็กหวานชวนหลงใหล ผมหลงรักเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นในวันมอบตัวเข้าเรียนต่อ บังเอิญเหลือเกินที่เราได้เรียนห้องเดียวกัน และจากคำแนะนำแกมสั่งสอนจากรุ่นพี่ เรื่องการจีบสาว มีข้อหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าจะนำมาใช้ได้ คือ การทำเนียนเป็นเพื่อน แล้วแสดงความดีออกมาให้เธอเห็น อย่ารีบส่อเจตจำนงว่าเรารักเธอ ผมทำตามอย่างเคร่งครัด จนรู้ว่าแจนชอบอะไร เธอชอบการ์ตูน โดยเฉพาะโดราเอมอน ผมเพียรหาของสะสมน่ารักๆ เกี่ยวกับแมวแห่งโลกอนาคตตัวสีฟ้าอ้วนกลมนี้มาให้เธอ จนสนิทสนมกันมากขึ้น แล้วค่อยๆ อาสาทำโน้นทำนี่ให้ จนเกิดเป็นความรัก ฟังดูเหมือนง่าย  ก็มันง่ายจริงๆ นี่ คงเป็นเพราะเราสองคนมีด้ายแดงผูกก้อยมาด้วยกันแล้วตั้งแต่ชาติปางก่อนกระมัง

	วิธีจีบสาวอีกข้อหนึ่งที่ผมไม่ขอนำมาใช้ รุ่นพี่แนะนำว่า รู้จักใหม่ๆ อย่างนี้ ให้แกล้งทำเป็นตุ๊ดดีดดิ้งเข้าไว้ เมื่อสาวปักใจเชื่อจริงๆ พวกเธอจะไว้ใจ เราจะถูกเนื้อต้องตัวก็ไม่ว่า พอความไว้ใจถึงที่สุดก็นัดไปในที่ลับสองต่อสอง แล้วค่อยลอกคราบความเป็นกระเทยออก เผยธาตุแท้ความเป็นชายออกมาให้เธอได้รู้ โดยการใช้กำลัง 

	ผมจีบแจนสำเร็จก่อนสอบเทอมแรกเพียงสัปดาห์เดียว ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ความรักของเราสองก็เป็นอย่างที่ผมบอกไปเมื่อครู่ 


ช่วงนี้อากาศดีเพราะเข้าหน้าหนาวที่ไม่ค่อยหนาวมาก แจนชวนผมไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ หลังเลิกเรียน เพราะดอกไม้ผลิดอกชูช่อสวยงาม เราพากันมานั่งกินลูกชิ้นปิ้งบนม้านั่งใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง กลางลำต้นมีกล้วยไม้สีขาวผูกติดอยู่ แล้วแจนก็ยิ้มขึ้น เรามาเล่นอะไรกันไหม

	บ้า...แจนนี่...คนตั้งเยอะ ผมเย้า เธอใช้มือตบไหล่ผมเบาๆ 

	อะไรๆ... เธอทำเสียงดุ

	ก็จะให้เราหอมแก้มไม่ใช่เหรอ ผมหน้าด้านอย่างนี้บ่อย แต่ก็กร่อยเสมอ

	นี่ต่างหาก แจนชูสมุดพกเล่มเล็กขึ้นมา มาเล่นทายปัญหากัน
	ถ้าตอบถูกมีรางวัลไหม ผมถาม ในสมุดเล่มนั้นต้องมีคำถามอยู่แน่ เพราะฉะนั้นฝ่ายที่ถูกถามก็ควรเป็นผม และเพื่อตกลงเล่นเกมนี้ ผมก็ย่อมต้องได้รางวัล หากตอบถูก

	อยากได้อะไรละ แจนถาม

	หอมแก้ม ผมตอบ โดยไม่ต้องคิดเลย

	แจนไม่ตอบ แต่เธออมยิ้มแบบอายๆ แล้วพยักหน้าเบาๆ เท่านี้ก็ทำให้หัวใจผมพองโต มีความสุขเป็นที่สุดแล้ว ผมรีบย้ำคำ จริงนะๆ

	อือ! แจนตอบแค่นี้

	งั้นถามมาเลย ผมเร่งรีบ

	คำถามมี ๑๐ ข้อ ถ้าตอบถูก ๓ ข้อขึ้นไปจะได้รางวัล แจนบอก

	อย่างนี้ไม่ต้องตอบคำถามหรอกแจน ยื่นแก้มมาให้หอมเลยดีกว่า ผมมั่นใจ

	คอยดูก่อนเถอะ สายตาแจนมีความมั่นใจยิ่งกว่าผมเสียอีก ทำให้เกมนี้น่าเล่นมากขึ้นกว่าที่คิด

	ถ้าถูก ๑๐ ข้อ ต้องได้มากกว่าหอมแก้มนะ ผมเสนอ

	ผับ! เสียงสมุดพกฟาดลงบนไหล่ผม จะเล่นไหม แจนทำเสียงดุ และกำลังเก็บสมุดเข้ากระเป๋านักเรียน

	โอ๋ๆ...เล่นๆ ผมทำหน้าทะเล้นใส่

	งั้นเริ่มนะ เธอพูดเสียงเข้มขึง ข้อที่หนึ่ง บางเดือนมี ๓๐ วัน บางเดือนมี ๓๑ วัน มีกี่เดือนที่มี ๒๘ วัน

	ผมหัวเราะเสียงดังลั่น แทบไม่ต้องคิดเลย มีเดือนไหนเล่าที่มีแค่ ๒๘ วัน เด็กอนุบาลก็รู้ว่า เดือนกุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรัก ขอหอมแก้มเลยละกันนะแจน คำถามแบบนี้อย่าเล่นให้เสียเวลาเลย ผมบอกด้วยน้ำเสียงร่าเริง แต่ก็ต้องชะงักลง เพราะแววตาของแจนจ้องเขม็งอยู่

แหม! ใครๆ ก็รู้ว่า เดือนกุมภาพันธ์อยู่แล้ว บางปีมี ๒๙ วันด้วยนะ อีกอย่างเป็นเดือนแห่งความรักด้วย จะบอกใบ้เราใช่ไหมว่าแจนรักเรามาก ผมตอบด้วยความมั่นใจ

	ผิด! แจนเฉลยเสียงดัง ๑๒ เดือนต่างหาก เพราะทุกเดือนก็ต้องมี ๒๘ วันสิจ้ะ พูดจบเธอใช้สมุดตีหัวผมเบาๆ ทีหนึ่ง ทำให้ผมหน้าเสีย เพราะความใจร้อนด่วนตอบของตัวเอง

	คำถามที่ ๒ นะคนเก่ง...ถ้าคุณหมอให้ยามา ๓ เม็ด แล้วบอกให้คุณกินยาทุกๆ ครึ่งชั่วโมงคุณต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะกินยาหมด 

	ข้อนี้ผมคิดอยู่นาน ต้องไม่หลงกลกับกรอบคำถามอย่างข้อแรก มียา ๓ เม็ด ให้กินทุกๆ ครึ่งชั่วโมง จะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ เมื่อคิดได้ผมรีบตอบ ๑ นาที เพราะมียา ๓ เม็ด กินทุกครึ่งชั่วโมง แต่นาทีแรกผมกินหมดเลยทั้ง ๓ เม็ด แล้วจะมียาที่ไหนมากินอีก

	ผมยิ้มท้าทาย

	๑ ชั่วโมง เพราะถ้ากินยาตอนบ่ายโมง เม็ดที่ ๒ ก็จะกินตอนบ่ายโมงครึ่ง และเม็ดที่ ๓ ก็จะกิน ตอนบ่าย ๒ แจนเฉลย ผิดสองข้อแล้วนะ

	ก็เรากินทีเดียว ๓ เม็ดเลยไง ผมค้าน

	อย่าเลี่ยงบาลีสิ ถือเป็นคำตัดสินที่ผมต้องยอมรับ ไม่เป็นไร ยังเหลืออีกตั้ง ๘ ข้อ จะผิดหมดทั้ง ๑๐ ข้อก็ให้มันรู้ไปสิ

	ต่อไป แจนเริ่มอ่านคำถามต่อ เอา ๓๐ หารครึ่ง แล้วบวก ๑๐ จะได้คำตอบเท่าไหร่


	คราวนี้ผมตั้งใจฟังคำถามอย่างดี เมื่อแจนถามจบ ผมมองหน้าแล้วยิ้ม กินผมไม่ได้เกิน ๓ ข้อหรอก ครึ่งของ ๓๐ ก็คือ ๑๕ ใช่ไหม...เพราะฉะนั้นเอา ๓๐ หารครึ่ง ก็ต้องหาร ๑๕ ไม่ใช่หาร ๒ ไม่ต้องมาลวงเรา... ๓๐ หาร ๑๕ เท่ากับ ๒ บวกกับ ๑๐ ก็เท่ากับ ๑๒ เป็นคำตอบสุดท้าย ประโยคหลังผมเน้นเสียงเป็นพิเศษ

	แจนยิ้มหวาน ถูกต้อง

	เห็นไหมมีมาถือไว้ ๑ ละ ผมดีใจ

	งั้นเริ่มข้อที่ ๔ นะ ผมพยักหน้า แจนจึงอ่านคำถามต่อ ชาวนามีแกะ ๑๗ ตัว ทุกตัวยกเว้น ๙ ตัวตายหมด ถามว่ายังมีแกะที่มีชีวิตเหลืออยู่กี่ตัว

	แจน...ไม่ได้กินเราแล้วละ ยกเว้น ๙ ตัวตายหมด จะเหลือแกะกี่ตัวละ เหลือ ๒ มั้ง ฮ่า ฮ่า ฮ่า ก็ต้องเหลือ ๙ ตัวสิจ้ะแจน ผมตอบกวน เพราะมั่นใจว่ากำชัยชนะที่ ๒ มาได้ชัวร์

	เก่งจังเลย แจนตอบ งั้นสองข้อแล้วนะ

	แจนเอาคำถามมาจากไหนเนี่ย ผมสงสัย

	อ๋อ! ได้มาจากฟอเวิร์ดเมลน่ะ ทำแล้วรู้สึกสนุกดี แจนตอบ

	ไม่เห็นส่งมาให้อ่านก่อนบ้างเลย ผมว่า

	ส่งแล้วจะเอามาเล่นไหมละ 

	ขี้โกง ผมว่า

	เห็นแก่ตัว แจนเอาคืน จะเล่นต่อไหม

	แน่ะๆ พอรู้ตัวว่าจะแพ้ก็พาลเลยนะ ข้อที่ ๕ เลย พร้อมแล้ว ผมเร่งให้แจนถามคำถามต่อ แก้มนุ่มๆ อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี่เอง

	ถ้าคุณมีไม้ขีดไฟเหลือเพียงก้านเดียว แล้วต้องเข้าไปในห้องที่ทั้งหนาวทั้งมืดในห้องนั้นมีฮีตเตอร์น้ำมัน ตะเกียงน้ำมัน และเทียนไข คุณจะเลือกจุดอะไร

	ผมคิดทบทวนไปมาของความสำคัญระหว่างฮีตเตอร์น้ำมัน ตะเกียงน้ำมัน และเทียนไข ในที่สุดก็ตอบออกไปว่า เทียนไข

	แจนยิ้ม เพราะอะไร

	แน่นอน คำถามที่ ๕ เสร็จผมชัวร์ เพราะ เทียนไขจุดง่ายสุด เราสามารถใช้เทียนไขไปต่อไฟสำหรับจุดสิ่งอื่นได้อีก บางทีตะเกียงน้ำมันไส้ของมันอาจจะด้านก็ได้ใครจะไปรู้ บอกเหตุผลจบผมก็ยิ้มออกมา โน้มตัวเข้าหาแจน

	แต่...เธอผลักผมออกจนสุดแขน แล้วทำไมไม่จุดไม้ขีดไฟก่อนละ แจนถาม

	ผมถึงกับยิ้มแก้เขิน มือเกาหัวโดยไม่ตั้งใจ เพราะนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรดีกว่านี้ เอาอีกแล้วหลงให้กับโจทย์อีกแล้ว เป็นเพราะลำพองตนว่าใกล้จะครบ ๓ ข้ออยู่แล้วเชียว

	อีกตั้ง ๕ ข้อ ไม่มีทางผิดหมดแน่ ผมพูดขึ้นด้วยความมั่นใจ

	ลองดูนะ...ข้อที่ ๖ ถามว่า ชายคนหนึ่งสร้างบ้านด้วยไม้ที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าทั้ง ๔ ด้านและหันบ้านไปทางทิศใต้ ถ้ามีหมีผ่านมาถามว่าหมีตัวนั้นจะมีสีอะไร แจนเริ่มข้อต่อไป

	ผมคิดแล้วคิดอีก ก็หาคำตอบไม่ได้ อะไรวะ จะไปรู้ได้ไงว่าหมีสีอะไร บ้านสี่เหลี่ยมผืนผ้าทั้ง ๔ ด้าน หันทางทิศใต้เนี่ยนะ หันไปทางทิศตะวันตกก็ว่าไปอย่าง จะได้ตอบว่าสีดำ เพราะเงาจากแสงอาทิตย์ ยอม

	ผมตอบเสียงอ่อน

	แจนขำกิ๊กออกมา ใช้มือขวาตบบ่าผมเบาๆ สีขาว เพราะถ้าบ้านหันไปทางทิศใต้แสดงว่าบ้านต้องอยู่ทิศเหนือ หรือขั้วโลกเหนือ

	เอาเข้าไปกับเธอ เอ้ย! ไม่ใช่สิ เอาเข้าไปกับมัน คำถามบ้าๆ แบบนี้เกิดขึ้นมาได้ไงนะ เจ้าฟอเวิร์ดเมลนะมึง

	แจนขำอยู่พักใหญ่ เธอจึงเริ่มคำถามที่ ๗ หยิบแอปเปิ้ล ๒ ลูกออกจากแอปเปิ้ล ๓ ลูก ถามว่าคุณจะได้อะไร

	หมู! ได้แอปเปิ้ล ผมตอบทันควัน

	ได้แอปเปิ้ล ๒ ลูกจ้ะ แจนเฉลย ไม่ใช่แค่แอปเปิ้ล

	อ้าว! ก็ถามว่าจะได้อะไรไง ผมแย้ง พยายามเรียกคะแนนมาให้ได้

	ไม่ได้ๆ เธอตอบไม่ครบนะ

	ยังไงมันก็ได้แอปเปิ้ลเหมือนกันแหละ ผมแจงเหตุผล

	จะเล่นต่อไหม แจนเสียงเข้ม

	ได้...ได้ ผมเริ่มรู้สึกเหมือนโดนโกงขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่พอแจนเริ่มอ่านคำถามที่ ๘ ต่อไปด้วยเสียงเล็กหวานของเธอ ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวที่เริ่มก่อตัวหายไปทันที

	โมเสสเอาสัตว์ขึ้นเรือตอนวันสิ้นโลกไปชนิดละกี่ตัว แจนถาม

	ไม่มีทางกลิ้งกลอกเหมือนหยดน้ำบนใบบอนได้อีกแล้ว คำถามนี้ตายตัวไม่สามารถพลิกแพลงได้ ชนิดละกี่ตัว เจ้าคนตั้งคำถามไม่มีทางเล่นลิ้นได้แน่นอน ชะ  นิด  ละ  สอง  ตัว เป็นคำตอบสุดท้าย ผมตอบช้าๆ เน้นๆ

	คราวนี้แจนถึงกับหัวเราะออกมาเลยทีเดียว โมเสสจะเอาสัตว์ไปได้ไง นั่นมันหน้าที่ของโนอาร์ เธอเฉลย เล่นเอาผมหน้าแดงด้วยความอาย โจทย์เล่นงานผมอีกแล้ว โมเสสนั่นเขานำชาวอิสราเอลไปดินแดนแห่งพันธสัญญาของพระเจ้าแห่งใหม่ แล้วขอพรให้พระเจ้าแหวกน้ำทะเลหนีทหารอียิปนี่นา โธ่! เพิ่งอ่านเรื่องโมเสสมาแท้ๆ 

	เหลือสองข้อเองนะ แจนเย้าอย่างมีความสุข แล้วอ่านคำถามในสมุดพกเล่มเล็กต่อ ถ้าคุณขับรถซึ่งบรรทุกคน ๔๓ คนจากชิคาโกไปพิสเบอร์กแล้วหยุดรับอีก ๗ คนขึ้นมา แล้วหยุดจอดให้คนลงที่เคลเวอร์แลนด์ ๕ คน จนมาถึงฟิลาเดอเฟียในอีก ๒๐ ชั่วโมงต่อมา ถามว่าคนขับรถชื่ออะไร 

อ่านจบแจนมองหน้าผม พลางอมยิ้มออกมา เธอรู้ว่าผมไม่ชอบโจทย์ยาวๆ ผมขอร้องให้แจนอ่านซ้ำอีกถึง ๓ ครั้ง แล้วตกลงคนขับชื่ออะไรวะ หรือจะชื่อคุณ เพราะโจทย์ถามว่า ถ้าคุณขับรถ แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่บอกว่า หยุดจอดรถ น่าจะเป็น หยุด มากกว่านะ โจทย์อาจจะเล่นลิ้นโดยอ่านออกเสียงเป็น ยุทธ์ แทน เอาละ ผมตอบ 

ชื่อยุทธ์ แต่ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก

ก็ชื่อ แชมป์ ไง แจนเฉลยเป็นชื่อผม ก็คุณเป็นคนขับรถนี่

โถ่เอ้ย ว่าจะตอบอยู่แล้วเชียว ผมเอากำปั้นทุบฝ่ามือดัง ตึก! เจ็บใจตัวเองนัก

จะตอบ ไม่ได้หมายความว่าตอบสักหน่อย ไม่ให้คะแนนนะ แจนว่า ข้อสุดท้ายแล้วนะ เธอพูดเอียงคอ ยิ้มหวานให้ผม

ข้อนี้ไม่พลาดหรอก ผมพยายามทำเสียงว่า มั่นใจที่สุด

ข้อที่ ๑๐ แจนพูดพลางยกมือทั้งสอง ชู ๑๐ นิ้ว ตอนนี้เธอเก็บสมุดพกแล้ว ถ้าเข้านอนตอน ๒ ทุ่ม แล้วตั้งนาฬิกาให้ปลุกตอน ๙ โมงเช้า ถามว่า จะได้นอนกี่ชั่วโมงก่อนที่นาฬิกาปลุกจะดัง"

ผมชูนิ้วขึ้นมานับ ๒ ทุ่ม ถึง ๙ โมงเช้า เริ่มนับ ๑ ที่สามทุ่ม ๒.สี่ทุ่ม ๓.ห้าทุ่ม ๔.เที่ยงคืน ๕.ตีหนึ่ง ๖.ตีสอง ๗.ตีสาม ๘.ตีสี่ ๙.ตีห้า ๑๐.หกโมงเช้า ๑๑.เจ็ดโมงเช้า ๑๒.แปดโมงเช้า ๑๓.เก้าโมงเช้า และเสียงนาฬิกาปลุกก็ดัง! 

๑๓ ชั่วโมง แต่เดี๋ยวก่อน ผมทบทวนอีกครั้ง คิดหาแง่ที่สามารถพลิกไปได้อยู่นาน จนแจนเริกคิ้วใส่ คล้ายกับถามว่า จะตอบไหม หรือจะยอม เมื่อทบทวนแล้วว่า ไม่มีทางพลิกไปกว่านี้ และผมไม่ได้นับผิด จึงตอบไปด้วยเสียงอันมั่นใจว่า ๑๓ ชั่วโมงครับผม ที่รัก

ผิดจ้ะ แจนตอบ ทำเอาผมหัวเสียทันที คำตอบคือชั่วโมงเดียว เพราะตั้งนาฬิกาปลุกตอน ๙ โมง เข้านอนตอน ๒ ทุ่ม นาฬิกาจะดังตอน ๓ ทุ่ม

นั่นมันนาฬิกาเข็ม ผมเถียงอารมณ์ฉุน โกงชัดๆไม่ลองนาฬิกาดิจิตอลบ้างละ แจนก็ใช้นี่ ที่เราซื้อให้เป็นของขวัญน่ะ หรือว่าไม่ได้ใช้

เอ๊ะ! แชมป์ ทำไมต้องขึ้นเสียงด้วย แจนลุกขึ้นยืนหันหน้ามาทางผม ก็คำตอบมันเป็นอย่างนี้ ทำไมแชมป์ไม่ยอมรับความจริงละ

โจทย์ตั้งหลายข้อ พยายามให้ตอบนอกกรอบ แล้วพอทีเฉลยแจนไม่ยอมรับคำตอบที่อยู่นอกกรอบแล้วมันถูกบ้างละ อย่างแอปเปิ้ลก็ทีหนึ่งแล้ว

ก็นี่มันเกม แชมป์ก็ต้องตอบให้ถูกสิ แจนเถียง

อย่างนี้มันโกงกันนี่ แจนไม่ตั้งใจให้รางวัลเราอยู่แล้วใช่ไหมละ เล่นอย่างนี้เสียความรู้สึกว่ะ  ผมยังคงนั่งอยู่ 

นี่แชมป์หวังแต่เรื่องอย่างนั้นใช่ไหม ตลอดที่คบกันมาไม่ได้หวังอย่างอื่นเลยใช่ไหม น้ำเสียงของแจนเริ่มสั่นคลอ ดวงตาเริ่มมีประกายน้ำเกิดขึ้น

ทำไมแจนพูดแบบนั้น ผมสบตาแจนนิ่ง

ก็ดูแชมป์ทำสิ พอไม่ได้แล้วก็โมโห ขึ้นเสียง

ก็แจนขี้โกง ไม่ได้ตั้งใจให้หอมแล้วมาเล่นเกมแบบนี้ทำไม ผมพยายามอธิบาย แต่น้ำเสียงก็ไม่ดีนัก

นั่นไง เห็นไหมแชมป์ก็หวังแต่เรื่องอย่างนั้น ไม่ได้คบกันด้วยความจริงใจเลย อุตส่าห์หลงคบมาตั้งนาน ถึงตอนนี้น้ำตาเต็มสองแก้มแจนซะแล้ว

ผมลุกขึ้นด้วยความโมโหตลอด ๓ ปีที่ผ่านมาผมทนุถนอมแจนด้วยความรักทั้งนั้น แล้วทำไมเธอมาพูดแบบนี้ ผมใช้มือจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอเอาไว้ อะไรกัน ทำไมแจนพูดแบบนี้ เรารักแจนขนาดไหน เอาใจ ตามใจทุกอย่าง จนคนอื่นหาว่าโง่ตั้งเท่าไหร่แล้วที่ไม่ยอมรวบหัวรวบหาง รู้งี้ทำไปซะนานแล้ว ยิ่งพูดผมก็ยิ่งเขย่าตัวแจนขึ้นเรื่อยๆ

ผึบ! เสียงกระเป๋านักเรียนของแจนกระแทกหน้าอกผมอย่างจัง ทำให้ผมเซถอยหลัง แล้วแจนก็หันหลัง รีบวิ่งหนีห่างออกไป

	
****จบ****				
20 มกราคม 2553 09:59 น.

รถเมล์สายสั้น

ใบคา

หายไปนานไม่รู้จะเอาอะไรมาลง เอาเป็นเรื่องสั้น 1 ในเล่มนี้ละกันครั

ขายของๆ เหอๆ

592_cover_06.jpg

# บนรถเมล์ หมายเลข ๑๘


	ยามบ่ายอากาศอบอ้าว บนรถเมล์ไม่ค่อยมีผู้โดยสารนัก คงเป็นเพราะต่างคนต่างก็อยู่ในที่ทำงานของตน แต่ผมยังไม่ถึงที่ทำงาน จะว่าเป็นออฟฟิศของผมก็ไม่เชิง เพราะไม่ต้องเข้าทุกวัน โผล่หน้าเข้าไปให้เห็นก็ต่อเมื่อต้องรับงาน และส่งงานอีกทีหนึ่ง ผมชอบอ่านหนังสือ แต่รังเกียจระบบการทำงานในเวลา ผมเลยต้องมาเป็นมนุษย์ไส้แห้งหาน้ำชโลมลำไส้จากค่าแรงพิสูจน์อักษรให้สำนักพิมพ์ ขนานนามอาชีพตัวเองตามคนอื่นว่า ฟรีแลนซ์ 

	งานพิสูจน์อักษร ผมถือว่าได้กำไร เพราะได้อ่านหนังสือฟรีและก่อนใคร ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่เกิดมาในประเทศไทย เพราะเมืองเรามีวรรณกรรมดีๆ มากมาย น่าอ่านหลายเล่ม หากผมเกิดยุโรป ผมคงไม่มีปัญญาอ่านหนังสือภาษาไทย เพราะชาติแถบนั้นตาไม่ถึง ไม่เห็นคุณค่าหนังสือบ้านเรา เขาจึงไม่เอาไปแปลเป็นภาษาอังกฤษ ผมได้เปรียบเขาเป็นไหนๆ เพราะหนังสือบ้านเขาจะดีหรือเลว นักแปลประเทศเราก็เอามาแปลซะมากมาย ผมภูมิใจจริงๆ จะอ่านวรรณกรรมต่างประเทศก็ได้ ของไทยก็สบาย ชาวต่างชาติสิน่าสงสาร

	ขึ้นรถเมล์ได้ผมไม่สนใจใคร และอะไร ผมรักที่จะอ่านหนังสืออย่างเดียว แต่แล้วก็เจอมารผจญจนได้ เขาในวัยกลางคน มาในรูปร่างมอมแมม กลิ่นเหล้าคลุ้งโชยแต่ไกล ที่นั่งมีมากมายไม่ยอมหย่อนก้น ดันมานั่งชิดใกล้ผม ผมไม่สนใจก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อ 

	หนุ่มๆ ผมไม่มองหน้า เพียงแค่เหล่สายตาไปนิดหน่อย ไปไหนเหรอ เขาถามส่งกลิ่นแอลกอฮอล์

	ไปลาดพร้าว ส่งงาน ผมตอบโดยไม่คิด

	สมัครงานเหรอ เขาย้ำ

	ครับ รับคำโดยไม่อยากมากความ รู้อยู่แล้ว เดี๋ยวต้องชวนคุยเรื่องน่าสงสารของตัวเอง ชักแม่น้ำทั้ง ๕ มา สุดท้ายก็จะขอเงิน ลูกไม้ทำนองนี้ เจอมาเยอะแล้ว รับรองงานนี้ไม่ได้แอ้ม อย่าหวังเสียให้ยาก

	สถานีตำรวจใกล้ๆ นี้มีที่ไหนบ้างหนุ่ม พอรู้ไหม เขาเริ่มถาม

	ผมมองหน้า ทำไมเหรอ เอาแล้วไง ตกหลุมเข้าให้แล้ว

นี่ หนุ่มรู้ไหม เมียพี่มันหนีไป เขาต่อ  นั่นไงว่าแล้ว มันหนีตามชู้ไป เอาเครื่องหนังที่พี่ทำขายไปด้วย นี่กะว่าจะไปแจ้งความจับมัน รู้ไหมสถานีตำรวจมีที่ไหนบ้างแถวนี้

คอยดูนะ เดี๋ยวต้องขอยืมเงินแน่นอน อาจอ้างว่า ขอเบอร์โทร. เลขบัญชี แล้วจะโอนคืนให้ อย่าหวังเลย ต้องรีบตัดไฟเสียแต่ต้นลม 

ผมทำหน้าเศร้ามองหน้าชายเมา ตาละห้อย พี่ครับผมตกงาน ยังหางานไม่ได้เลย ที่นี่ไม่รู้ว่าเขาจะรับไหม ถ้าไม่รับผมก็ไม่รู้จะกลับยังไงแล้ว พี่พอมีให้ผมสัก ๒๐ ไหม แลกกับหนังสือนี่ก็ได้ ผมรุกจนเขาตั้งตัวไม่ทัน ชายเมานิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก งั้นไม่เป็นไรครับ ผมรู้ว่าพี่ก็ลำบาก ผมลงแล้วครับถึงพอดี

ผมลุกขึ้นเดินไปยังประตูรถยังอีกไกลกว่าจะถึงที่หมาย ผมต่อรถใหม่ดีกว่า 

เดี๋ยวๆ หนุ่ม เขาวิ่งตามมา รถยังไม่ทันจอด ผมหันไปมองชายเมาอย่างงงๆ เอานี่ไปก่อน หนังสือไม่ต้องหรอก พี่ไม่ชอบอ่าน ไม่ได้งานก็ไม่เป็นไรนะ อย่าท้อ เขาตบบ่าผมเบาๆ รอยยิ้มบ่งบอกถึงความเอื้ออาทร ธนบัตร ๕๐ บาทอยู่ในมือผม



*********				
13 กันยายน 2551 07:14 น.

เรื่องแสนสั้น หมายเลข 2 # บนรถเมล์

ใบคา

2575886948_be7fcc3d0f.jpg ปล. ภาพขโมยมาจากเน็ตครับ 

น้อยครั้งนักที่ผมจะได้นั่งบนรถเมล์สาย 134 นี่แค่รถเมล์แดงธรรมดานะ ถ้าเป็นเพื่อประชาชนเข้าไปอีกยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ครั้งนี้ก็เป็นหนึ่งในบ่อยครั้งนั้น แต่มีผมเพียงคนเดียวที่ยืน ผมเดินไปสุดตัวรถ เพราะหลักการขึ้นรถเมล์บอกให้ยืนข้างหลังที่สุด เพื่อจะได้เห็นเวลาผู้โดยสารอื่นลุกขึ้นได้สะดวก

ที่นั่งหลังสุดซึ่งเป็นเบาะนั่งยาวมีที่นั่งว่างให้พอเบียดเนื้อแนบชิดติดกันได้อีก 1 ผมลังเล

"น้องนั่งสิว่างนั่งได้อีก 1 ที่" กระเป๋ารถเมล์บอก

ผู้โดยสาย 5 คนที่นั่งอยู่ก่อนนั้นเริ่มขยับนิดๆ เพื่อให้ที่ว่างนั้นเพิ่มขึ้น - พวกเขากะตามร่างผม คนที่นั่งติดกับที่ว่าง 1 ในนั้นเป็นหญิงสาวค่อนข้างสวย

"อ๋อ! ยืนดีกว่าครับ ถ้าผมนั่งก็จะมีคนนั่งไม่สบายถึง 6 คน แต่ถ้ายืนมีคนเมื่อยแค่ 1 แต่นั่งสบายถึง 5 คน" ผมพูดดังๆ กระเป๋ารถเมล์ไม่ว่าอะไร เขามองหน้าแบบอมยิ้มแล้วเดินไปยืนใกล้คนขับ รถยังคงวิ่งไปสั่นไปเรื่อยๆ

"นั่งสิค่ะ" หญิงสาวคนนั้นชวน ผมยิ้มแล้วส่ายหน้าตอบ "ยังมีที่ว่างอีกกว้าง" เธอว่า

"ไม่เป็นไรครับ" ผมตอบ ในใจคิด เธอคงซึ้งในความเสียสละของผม

แล้วเธอก็ลุกขึ้น เดินมาที่ผม "นั่งสิค่ะ"

"ไม่ไม่ไม่" ผมเริ่มพูดติดๆ ขัดๆ ไม่นึกว่าเธอจะยอมมายืนแทน เธอคงคิดว่า ตัวเองนั่งมานานพอแล้วเปลี่ยนคนคนอื่นนั่งบ้างแทนที่จะเมื่อ 1 คน แต่จะกลายเป็นว่าเมื่อแค่ครึ่งคน โอ้! ความคิดเธอช่างเหนือชั้นกว่า - ผมปลื้มใจ แต่ยังส่ายหน้าปฏิเสธอยู่ดี


"งั้นตามใจคะ ฉันจะลงแล้ว เชิญคุณยืนเพื่อประชาชนให้เมื่อยต่อไปเถอะคะ ป้ายหน้าคนขึ้นเยอะด้วยสิ"



**********				
1 สิงหาคม 2551 12:05 น.

เรื่องแสนสั้น หมายเลข 1 # ในโรงหนัง

ใบคา

2 เรื่อง 60 บาท เป็นแรงจูงใจที่ดีสำหรับยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้ ไม่ว่าสถานการณ์รอบข้างจะร้อนระอุเพียงใด แต่ความบันเทิงภายในก็ขาดไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง เมื่อความอยากและแรงกดดันทางฐานะการเงินมาพบกันครึ่งทางโรงหนังราคาถูกจึงปรากฏร่างชายหนึ่งหน้าช่องขายตั๋ว

ไม่ต้องจอง ไม่ต้องดูเวลา เข้าไปเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะหนัง 2 เรื่องในราคาอาหาร 1 มื้อ จะฉายวนอยู่อย่างนั้นตั้งแต่โรงเปิดยันปิด เมื่อถึงเที่ยงคืนหนังก็จบพอดี

เขาเดินเข้าไปยืนอยู่บริเวณระหว่างกลางของที่นั่งฝั่งซ้ายขวา เพื่อให้สายตาปรับสภาพกับแสงสลัวๆ แล้วจึงเดินเลือกที่นั่ง รับความบันเทิงจากจอภาพตามสบาย ผู้คนโหรงเหรงแทบนับจำนวนได้ เขาคิดถูกที่เลือกหนังสยองขวัญในคืนนี้ บรรยากาศทั้งหมดลงตัว คุ้มค่าเกินราคา 60 บาท

กลิ่นเหม็นอับ กลิ่นสาบ ประดังเข้ามาทักทายไม่ขาดสาย เสียงหวีดร้องของเหยื่อสาวน่ารักที่ถูกตามล่าด้วยผีร้าย หน้าตาน่ากลัว อยู่ๆ เสียงเก้าอี้ลั่นเอียดอาดข้างหลังแว่วมาจากไกล เขาหันขวับทันใด เพื่อรับรู้ว่าลูกค้าอีกแถวหนึ่งกำลังลุกจากเก้าอี้

หนังเรื่องแรกจบลงแล้ว เรื่องสองกำลังฉาย ผู้คนต่างทยอยออก เรื่องนี้เป็นรอบสุดท้ายก่อนโรงจะปิด เหลือเขาและคนอื่นเพียงไม่กี่คน

รอบข้างยิ่งวังเวง ดนตรีก็ชวนขนลุก ฉากกระตุกขวัญกระหน่ำมาให้หลอนเป็นระยะๆ จนเขาแทบทนไม่ไหว ฉี่จะแตกขึ้นมาทันใด

โรงหนังว่าน่ากลัวแล้ว ห้องน้ำยังน่ายิ่งกว่า ห้องน้ำกว้าง สะท้อนเสียงก้าวเท้าย่ำน้ำเปียกชื้นดัง แซกๆ เงาของเขาทอดพาดไปเบื้องหลัง คล้ายคนเดินตามาติดๆ ขนหัวลุกซู่หันขวับไปตามสัญชาตญาณ แต่ไม่พบใคร พบแต่เงาตัวเองเต้นไหวอยู่อย่างช้าๆ

เขาข่มใจก้มหน้ากวักน้ำจากก็อกล้างหน้า หลังจากเสร็จธุระกับโถฉี่ ขณะที่ชะโลมน้ำเต็มหน้าอยู่นั้น อยู่ๆ ก็ได้ยินคล้ายฝีเท้าค่อยๆ ย่องเข้ามาข้างหลัง ขนหัวเขาตั้งชัน ไม่กล้าหันกลับไปมอง ได้แต่ปลอบตัวเอง -- เสียงลมๆ

นานราว 2 ชั่วโมงทั้งๆ ที่ผ่านไปแค่ไม่กี่วินาที เงาดำหลังร่างเขาคล้ายค่อยๆ เคลื่อนมาหาอย่างช้าๆ ลมหายใจหวิวเบารดปลายผมแทบสัมผัสได้ เขายืนนิ่งใจสั่น ก็อกยังคงปล่อยสายน้ำไหลไม่ขาดสาย แล้วเขาก็ต้องเสียววาบเมื่อรู้สึกเหมือนมีวัตถุเย็นๆ มาแนบที่คอ

--- ขอเงินใช้สักร้อยสิ				
Lovers  0 คน เลิฟใบคา
Lovings  ใบคา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟใบคา
Lovings  ใบคา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟใบคา
Lovings  ใบคา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงใบคา