31 พฤษภาคม 2550 11:35 น.

มือ

ใบคา

บ่ายวันเสาร์หลังจากที่นำร่างกายอันงัวเงีย หลบหนีออกมาจากความมืดมิดและเงียบงันในหุบเหวลึกของห้วงแห่งการนิทรา ผมเดินคอตก มันหนักหัวมากเหมือนกับมีผึ้งฝูงใหญ่บินว่อนอยู่เต็มไปหมด มันส่งเสียง อื้อ อึง จนทั้งหัวมีแต่เสียงอื้อรวมทั้งปวดหัวเป็นท่อนจังหวะทุ้มเป็นระยะๆ
ผมเดินเซไปเซมาเพราะมองเห็นทางเดินไม่ชัดเนื่องมาจากตาทั้งคู่เปิดรับแสงสว่างได้เพียงน้อยนิด มีความรู้สึกกระหายน้ำเป็นอย่างมากโดยเฉพาะน้ำหวาน ลำคอเหือดแห้งแทบไม่มีน้ำลายมาชโลมแม้หยดเดียว ผึ้งใหญ่ฝูงนั้นคงดูดกินน้ำหวานในร่างกายผมจนหมดจึงทำให้มีอาการเช่นนี้ มันเป็นอาการที่ไม่ต่างจาก ซอมบี้ ในหนังที่เคยดูมาสักเท่าไหร่

	ผมควานหาน้ำในตู้เย็น บิดฝาขวดขนาด ๕๐๐ มิลลิลิตรเทหายเข้าไปในลำคอไม่กี่อึดใจน้ำเต็มกระเพาะแต่คำคอยังคงแห้งเหือดอยู่อย่างเดิม ชำระร่างกายเสร็จผมจึงปล่อยตัวให้ก้นกระแทกกับพื้นโซฟาสีขุ่นนุ่มหน้าจอโทรทัศน์ทันทีโดยไม่ลืมหยิบขนมปังในตู้เย็นติดมือมาด้วย รู้สึกเหมือนหัวยังหนักเช่นเดิมในขณะที่ลำคอยิ่งอ่อนลงกว่าเก่าจึงต้องใช้พำนักพิงโซฟาช่วยค้ำอีกแรง


	เคี้ยวกลืนขนมปังลงคออย่างไร้รสชาติ ลักษณะไม่ต่างอะไรกับวัวที่ยืนเคี้ยวเอื้องกลางสายฝนสายตาแลหาแต่เจ้าของว่าเมื่อไหร่จะมาเลื่อนหลักไปปัก ณ ที่ไม่ชุ่มฝน สายตาของผมก็ไม่ต่างอะไรกับวัวตัวนั้นนัก แม้ว่าแก้วตาจะรับภาพจากจอทีวีเข้ามาแต่ทว่ารอยหยักในสมองไม่สามารถประมวลผลออกมาได้ สายตาผมจึงคล้ายกับวัวที่ว้าเหว่ในขณะที่ปากกำลังเคี้ยวเอื้องซึ่งเกิดจากแรงขับเคลื่อนของความหิว


	ผมหันมองไปรอบข้างจำได้ว่าเมื่อคืน มันยังคงสภาพเป็นวงสุราเล็กๆผู้ร่วมวงจำนวน ๔ คนแต่ทว่าปริมาณแอลกอฮอล์นั้นไม่น้อยเลยทีเดียวถ้าเทียบกับจำนวนคนเพราะเราเผาผลาญมันไปถึง ๓ กลม ผมเป็นคนแรกที่เมาน็อกหลับไปและนั่นก็เป็นผลดีเพราะผมไม่ต้องรับผิดชอบทำความสะอาดเก็บของแต่อย่างใด น่าแปลกตรงที่ต่างคนต่างเมาแต่ ผมตื่นขึ้นมากลับไม่มีใครอยู่มองโดยรอบก็แทบคล้ายว่าเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่นี่เลย

	ร่างกายคงได้รับน้ำอย่างเพียงพอสังเกตได้จากการที่คอของผมมีน้ำลายมาหล่อลื่นแล้ว สมองเริ่มประมวลภาพของจอทีวีอย่างแจ่มแจ้ง ภาพที่ปรากฏผมเห็นเป็นการรายงานข่าวต้นชั่วโมงของรายการข่าวโทรทัศน์สัญลักษณ์ตราโลก เห็นผู้นำประเทศออกมากล่าว นโยบายพัฒนาประเทศด้วยความมั่นใจว่าจะนำประชาชนตาดำๆฝ่าพ้นวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำไปได้ด้วยมือของท่านทั้งสองข้าง

	ผมมีความรู้สึกดี รู้สึกว่าคนใหญ่คนโตมีอำนาจสามารถบงการอะไรได้ด้วยเพียงนิ้วเพียงนิ้วเดียวภายในกำมือเดียวสามารถกำประเทศและหันเหไปในทิศทางใดก็ได้ตามใจชอบ ผมพลันนึกไปถึงผู้เป็นต่อและเป็นรอง นึกถึงภาพยนตร์จีนกำลังภายในซึ่งเมื่อผมดูแล้วมักจะได้ยินคำว่า 

	เจ้าน่ะ เปรียบเหมือนลูกไก่ในกำมือข้าฯจะบีบก็ตายจะคลายก็รอด

	ผมอดไม่ได้ที่จะคิดถึงคำๆนี้ เมื่อเห็นผู้นำประเทศออกมาประกาศนโยบายอย่างผยองเช่นนี้

มันรู้สึกเหมือนเราตกเป็นลูกไก่ที่สุดแล้วแต่ความสามารถของคนที่กำเราไว้ว่าจะให้เป็นเช่นไร

	แต่ในขณะนี้ในกำมือผม มีรีโมท ผมสามารถสั่งให้ท่านผู้นี้หายไปจากสายตาได้โดยทันที

ผมไม่รอช้ารีบสั่งให้ท่านผู้มีอำนาจหายวับไปภายในพริบตาด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียว

	ผมมีความรู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากที่สามารถทำให้เขาหายไปได้ด้วยนิ้วเดียวเพราะในกำมือของผมมีรีโมทอยู่ด้วย ผมก้มลงมองกำมือ กำมืออันเดียวข้างเดียวอันนี้เองเมื่อคืน ผมใช้มันยกแก้วน้ำเมากระดกเข้าปากและใช้มันล้วงน้ำแข็งเติมลงแก้ว ใช้มันล้วงคอให้อ้วกก่อนที่จะหลับหมดสติไป ใช้มันหยิบขวดน้ำเปล่ามาล้างกระหายจากการกระทำของฤทธิน้ำเมา

	เพียงกำมือ กำเดียวของผม ผมสามารถทำให้มันเป็นโทษและภัยกับตัวผมเองได้โดยไม่เลือกเวลาและสถานที่

	ผมครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ปล่อยให้ทีวีแสดงไปตามรายการที่กำหนด มันได้แค่เพียงผ่านเข้ามาโดยมีสมองรับทราบแต่ไม่เก็บไว้ปล่อยออกมาทางลมหายใจทันทีไม่เก็บให้รกพื้นที่เพราะขณะนี้พื้นที่ของสมองกำลังเก็บเรื่องราวของ สิ่งที่อยู่ในกำมือ

	เพิ่งมารู้สึกตัวว่าในห้องมันมืดเหลือเกินใช่ว่าแดดไม่ออกแต่เป็นเพราะผ้าม่านที่ปิดกั้นแสงแดดไว้ไม่อนุญาตให้มันเล็ดลอดเข้ามาได้เลย

	ทำไมก่อนหน้านี้มันไม่มืดว่ะ ผมตั้งคำถามให้กับตัวเอง

	ก็มึงยังไม่หายเมาจะไม่รู้อะไรว่าสว่างหรือมืด ทีวีมีอะไรบ้างมึงยังไม่รู้เลยเหมือนมันรู้ว่าผมต้องการคำตอบ เจ้าจิตสำนึก มันตอบผมทันควัน

	คงใช่อย่างที่จิตสำนึกมันบอกผม ตอนนั้นไม่กี่นาทีผมไม่มีความรู้สึกอะไรต้องจาก หิวและกระหาย ซึ่งเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตแต่ตอนนี้ผมต้องการสิ่งที่นอกเหนือจากความต้องการขั้นพื้นฐานเสียแล้ว ไม่รอช้าผมลุกขึ้นไปเปิดผ้าม่านออกมาเพื่อรับแสงสว่างจากดาวฤกษ์ผู้เป็นนายของระบบสุริยะจักวาล

	ด้วยความเคยชินกับความมืดเป็นเวลาหลายชั่วโมงหรืออย่างไรสายตาผมไม่อาจทานทนต่อแรงจ้าของแสงแดดยามบ่ายได้ ไม่ทันได้คิดอะไร ฝ่ามือผมก็ถูกยกขึ้นป้องปิดแดดให้แล้ว ผมยืนมองการกระทำของตัวเองอย่างนี้อยู่พักหนึ่งจึงเข้ามาประจำที่เดิม

	ก่อนหน้านี้ผมใช้มือกำรีโมทเปิดปิดทีวี แต่เมื่อกี้ผมใช้ฝ่ามือปิดฟ้าได้ทั้งผืน ผมเริ่มทึ้งในมือของผมทั้งสองข้าง ผมยิ้มอย่างเปิดเผย โดยไม่มีใครหาว่าผมบ้าเพราะอยู่คนเดียว ผมตามตัวเองว่าทำไมของชิ้นเล็กๆเราก็กำมันมิดด้วยกำมือเดียว  แล้วของใหญ่ๆล่ะทำไมเราใช้แค่ฝ่ามือเดียวจึงปิดมันมิดทั้งที่สมควรใช้หลายร้อยหลายล้านมือจึงจะปิดฟ้าหมดแต่นี่เพียงมือเล็กๆของผมก็ทำได้

	ไม่มีใครตอบผมได้ มันมีแต่ความเงียบ

	พระท่านเคยบอกว่าอยู่ในสถานที่เงียบแล้วจิตจะเงียบเร็วเมื่อจิตเงียบสมาธิก็จะมาปัญญาก็จะเกิด

	ผมไม่ได้อยู่ในที่เงียบอย่างน้อยมันก็มีเสียงทีวีมารบกวนอยู่ตลอดแต่ว่าจิตผมมันเงียบไปแล้วเงียบเพราะฝ่ามือ

	ผมลองใช้กำมือกำหลายๆสิ่งดู ใช่มันกำตามผมบอก ผมบอกให้มือทำเพราะใจสั่งมา 

	เออใช่!  ผมอุทานออกมาทันที

	ไม่มีอะไรอยู่ในกำมือเรา

	ผมแบมือแล้วกำ กำแล้วแบ หลายต่อหลายรอบ

	จับ หยิบ กำ เพราะความต้องการของจิตใจ เพราะความอยาก

	ในกำมือไม่มีอะไร นอกจาก ตัณหา!
**********				
30 พฤษภาคม 2550 10:01 น.

จุดสิ้นสุด

ใบคา

นาฬิกาบอกเวลา 4 โมงเย็น อีกประมาณหนึ่งชั่วโมงพวกเขาคงมาถึง มาเพื่อช่วยสะสางปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น ล้างมันให้มลายหายไปเหมือนโคลนที่โดนน้ำแรงจากสายยางฉีด เรื่องร้ายๆ ที่ถาโถมเข้ามาจะได้ลาจากเสียที ผมไม่อาจทนรับกับสภาพเลวร้ายอย่างนี้ต่อไปได้อีกแล้ว ยอมมันครั้งหนึ่งก็เหมือนจำนนตลอดชาติ ขืนทนให้เป็นอยู่อย่างเดิมคงหมดตัวไปสักวัน แม้หนทางที่เลือกจะไม่ใช่เส้นทางที่ดีนัก แต่ในยามคับขันและเร่งรีบเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เหมาะกว่าคืออะไร กฎเกณฑ์ของสังคมไม่อาจช่วยอะไรได้ก็ต้องหาทางออกด้วยตนเอง และอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้ามันก็จะจบลง ผมนั่งคอยใจระทึกภาวนาให้พวกเขามาก่อนมัน เพราะลำพังตัวคนเดียวไม่อาจจะทานมันไหว

	เหมือนเป็นลางบอกเหตุ เมื่อครั้งที่แรงกระชาก ตึง! ของรถจักรบนรางเหล็กออกตัวจากสถานีต้นทางสุไหง-โกลก มุ่งสู่ปลายทาง จ.ยะลา ของเย็นวันอาทิตย์ หลังจากการกลับบ้านเมื่อสุดสัปดาห์ มันเป็นการเยือนบ้านตามธรรมดาที่ปฏิบัติทุกวันหยุดเรียนเสาร์  อาทิตย์ เพื่อรับเบี้ยเลี้ยงที่ทางบ้านให้เป็นรายสัปดาห์ (และต้องมารับเอง) พ่อแม่ไม่ค่อยเชื่อใจกับเงินก้อนที่จะให้เป็นรายเดือนเท่าไหร่นัก เพราะทราบดีว่าสังคมนักเรียนเทคนิคเป็นอย่างไร ยิ่งเช่าบ้านอยู่ตามลำพังกับเพื่อนแล้วด้วย เกรงว่าเงินนั้นจะไม่ได้แปลงค่าตัวเองเป็นสารอาหารลงสู่ท้อง กลัวว่าท้องนั้นจะได้รับแต่ยาฆ่าเชื้อ ถึงอย่างไรชาวเทคนิคอย่างผมก็มีวิธีการบริหารเงินอันน้อยนิดเพื่อแปรสภาพเป็นน้ำเมามาหล่อเลี้ยงความเป็นนักศึกษาอยู่เสมอ ตราบใดที่บะหมี่สำเร็จรูปยังไม่สูญหายไปจากประเทศไทย ตราบใดที่ยังไม่มีใครอ้างตัวเป็นเจ้าของกองผักบุ้งในคูข้างถนน และตราบใดที่ยังมีเพื่อน เพื่อนที่กำลังจะมาเป็นกำลังให้ผมในอีกไม่กี่สิบนาทีข้างหน้านี้ 

	เหมือนเป็นลางบอกเหตุเมื่อชายคนนั้นเดินเตร่เข้ามาหา หลังจากเสียงล้อเหล็กบดขยี้รางชราดัง ฉึกกะฉักๆ แต่พ่อเคยบอกว่ามันร้องดัง ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง โดยให้เหตุผลเสริมว่าเพราะเสียงรถไฟเป็นเช่นนี้เราจึงไม่เห็นรถไฟไทยมาตรงเวลาสักที ซึ่งผมก็เห็นด้วยและมักจะบอกเสียงร้องของรถไฟอย่างนี้ต่อคนอื่นเสมอๆ เขาเดินเข้ามา สายตาตรงดิ่งมาที่ผมด้วยความเป็นมิตร เมื่อระยะใกล้ในระดับหนึ่งที่พอจะพูดกันได้ยินถนัดถนี่ไม่ถูกเสียงดังจากการขับเคลื่อนของรถจักรทำลาย แต่นั่นก็หมายความว่าเราตัวแทบติดกันเลยทีเดียว เขานั่งบนที่พักแขนข้างผม (ผมนั่งริมทางเดินส่วนป้าแก่ๆ นั่งติดริมหน้าต่าง) แล้วยิงคำถามด้วยไมตรีว่าจะไปไหน เมื่อรู้ว่าผมจะไปยะลา ซึ่งไม่ใช่สาระอะไรสำคัญของการสนทนาในครั้งนั้นหรอก สิ้นเสียงผมเขาก็ลุกขึ้นยืน แล้วขอเงินดื้อๆ 10 บาท

	เงินสิบบาทไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อย แต่ความรู้สึกที่เสียไปมันช่างมากค่ากว่านัก ป้า ที่นั่งข้างๆ นิ่งเฉยเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่สงสัยและไม่ถาม ซึ่งผมเองก็คิดว่าคงเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ ก็มีสิทธิ์เจอได้ทุกคนถ้ามาเพียงลำพัง ด้วยเหตุผลนี้เองที่ผมเพิ่งเจอเรื่องราวอย่างนี้กับตัวเองเป็นครั้งแรก ทั้งๆ ที่ใช้บริการมาแล้วตั้งหนึ่งปี 

	ทิ้งระยะห่างเพียง 5 นาที ชายอีกคนก็มาด้วยท่าทีเหมือนคนแรก เขาที่ 2 นี้ปฏิบัติเหมือนกับเขาที่ 1 ทุกอย่าง แต่เงิน 10 บาทในกระเป๋าสตางค์ของผมไม่ได้เคลื่อนย้ายเพิ่มด้วยเหตุผลที่ว่า เมื่อกี้ให้คนโน้นไปแล้ว ผมชี้นิ้วไปที่เขาที่ 1 ซึ่งเห็นหลังไวๆ กำลังขอเงินผู้โดยสารตู้ถัดไป เขาที่ 2 ยิ้มตบบ่าของผมทีหนึ่งเบาๆ แล้วเดินไปหาเหยื่อรายต่อไป 

	ดีนะที่มันยังหากินกันเป็นระบบอยู่ ถ้าปีนเกลียวกันขึ้นมาเมื่อไหร่เห็นทีจะแย่

	มันเป็นเหมือนลางบอกเหตุให้ผมรู้ว่าไม่ควรอยู่คนเดียว ไม่ว่ากรณีใดๆ และความระแวงก็เกิดขึ้นเมื่อ เดช เพื่อนร่วมแชร์บ้านเช่ายังไม่กลับมา เดชบอกว่าหลังเลิกเรียนจะไปตามพรรคพวกเอง ปล่อยให้ผมคอยอยู่ที่นี่ถ้ามาช้า เห็นท่าไม่ดีอย่างไรให้ปิดประตูลงกลอนเสีย ประมาณ 5 โมงเย็นทุกคนคงรู้ข่าวและจะมากันครบไม่ขาดไม่เกินกว่านี้แน่นอน ไม่ใช่เพราะอยู่คนเดียวและปิดประตูลงกลอนหรือ ที่เรื่องทั้งหมดต้องลงเอยด้วยการขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ คืนของการสาดแข้งของศึกยูโรระหว่างอิตาลี และฝรั่งเศส คืนนั้นผมนั่งดูบอลคนเดียวในบ้านเช่าขณะที่เดช ออกไปดูที่ร้านน้ำชาซึ่งขายเหล้ากับกลุ่มเพื่อน ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงไม่อยากออกไปข้างนอกเลยขอตัวโดยที่ไม่ลืมขอหัวเอาไว้ด้วย พักครึ่งแรกกระบะสีขาวพร้อมด้วยวัยรุ่น 6 คน มาจอดอยู่หน้าบ้านให้เห็นอย่างชัดเจนเพราะผมเพียงแต่ล็อกประตูเหล็กเลื่อนชั้นนอกเท่านั้น แต่บังตาเปิดอ้าซ่าเพื่อรับลม บุรุษ 2 นายเดินเข้ามาร้องเรียก บอกว่าขอน้ำหน่อยรถหม้อน้ำแห้ง ผมยืนลังเลอยู่พักหนึ่งยังไม่ยอมเปิดประตูให้ สักครู่เขาเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเกรี้ยวกราดบอกว่า มึงจะเปิดหรือไม่เปิด ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเปิดรับปัญหาเข้ามาทันทีทั้งๆ ที่รู้ว่าพวกเขาไม่ได้มาขอความช่วยเหลือแน่แท้ ผมโดนยัดข้อหาทันทีว่าเป็นคนไปตีกบาลน้องชายของพวกเขา และน้องชายผู้เคราะห์ร้ายของเขาทั้งสองนั้นก็จำได้ว่าไอ้มือมืดนั้นขับมอเตอร์ไซค์ เข้ามาในบ้านเช่าของผม พวกเขายืนยันว่าต้องเป็นผมแน่ๆ แต่เจ้าตัวไม่ยักลงมา พี่ชายทั้งสองให้เหตุผลว่าเขากลัวไม่กล้าลงจากรถ

	เงิน 10 บาทที่เสียไปให้กับเขาทั้งสองบนรถไฟเที่ยวสุดท้ายของวัน จากสุไหงโก-ลก สู่ปลายทาง จ.ยะลา ตลอดระยะทางผมนั่งเงียบไร้อารมณ์ มันคงติดไปกับเหรียญสิบเหรียญนั้นด้วยเป็นแน่ แต่เมื่อรถถึงปลายทางความขุ่นมัวของจิตใจก็อันตรธานหายไป คงเป็นเพราะมั่นใจแล้วว่าผมหมดหนี้ที่ต้องใช้บนรถไฟสายนั้นเป็นแน่แท้ และตั้งมั่นว่าจะไม่เดินทางคนเดียวอีกเลย

	มันเป็นเหมือนสิ่งเตือนใจว่าไม่ควรอยู่คนเดียวในเมืองที่หาความปลอดภัยแก่ชีวิตและทรัพย์สินได้ยากอย่างเมืองนี้  ผมรู้สึกหิวเมื่อสะพายเป้เดินลงมาจากขบวนรถไฟ ที่พึ่งเดียวคือร้านสะดวกซื้อ เจ็ดสิบเอ็ด ข้างสถานี ผมเดินออกมาด้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซึ่งในขณะนั้นมันกลายเป็นบะหมี่สำเร็จรูปเรียบร้อยแล้ว ชายคนหนึ่งรุ่นราวคราวเดียวกับผมนั่งยองๆ อยู่ข้างๆ ร้านสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมงแห่งนั้น เงยหน้ามองผมแล้วยิ้มให้ ผมยิ้มตอบแต่ไม่ได้สนใจอะไรรีบเดินเพื่อจะหาที่นั่งสำเร็จโทษบะหมี่ในมือให้เสร็จเร็วไวจะได้กลับบ้านเช่าพักผ่อนเสียที คืนที่มีบอลคู่เด็ดไม่ควรเสียเวลา ไม่รีบนอนแต่หัวค่ำรุ่งเช้าจะตื่นไม่ไหว บอลก็เตะดึกเหลือเกินจึงต้องนอนเอาแรงกันก่อน

	เขาเข้ามากอดคอผมแล้วถามเป็นภาษายาวีว่า หงีมาเหนาะ ซึ่งแปลว่าไปไหน ผมตอบกลับเป็นภาษาไทยว่า มาจากนราฯ เพราะผมมาจากที่นั่นและที่ที่จะไปคือที่นี่ ซึ่งถึงแล้ว จะตอบว่าไปยะลาเดี๋ยวจะหาว่ากวนเบื้องล่างเข้าให้ เขาไม่ถามอะไรเพิ่ม แต่เปลี่ยนภาษาที่ใช้เป็นภาษาไทยว่า เพื่อนขอเงินสิบบาทสิ ผมกลายเป็นเพื่อนมันเสียแล้วไม่น่ายิ้มให้เลย

	ผมให้ไป 5 บาทเพื่อตัดรำคาญ บอกไปว่าไม่มีเหรียญสิบมีแต่เหรียญห้าบาทอยู่เหรียญเดียว เอาแค่นี้แล้วกัน แล้วผมก็ตบบ่ามัน ยกมือให้เป็นการอำลา

	คืนนั้นผมสูญเงินไป 500 บาท หลังจากที่พวกเขาขู่เข็ญอยู่นานให้ผมรับความผิดที่ไม่ได้ก่อ สุดท้ายก็มาลงเอยที่ขอเงินกันหน้าตาเฉย คืนนั้นเป็นเพราะผมอยู่คนเดียวหรือเป็นเพราะผมโง่เปิดประตูให้พวกมันเข้ามาอันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ 

	หลังจากคืนนั้น คืนที่ผมต้องจ่ายค่าโง่ให้กับเดนสังคมที่เข้ามายกข้ออ้างต่างๆ นานา เพียงเพื่อจะกรรโชกทรัพย์ บ้านเช่าของผมก็ได้ต้อนรับหนึ่งในสมาชิกกลุ่มกระบะขาวในคืนแห่งยูโรเสมอ และที่สำคัญมันจะมาเฉพาะวันที่ผมอยู่คนเดียวส่วนใหญ่เป็นตอนเย็น ซึงเป็นเวลาที่ผมเลิกเรียน และเป็นช่วงที่เดชกำลังเรียนเพราะเรียนภาคบ่าย หนหลังไม่ได้มาขอกันเปล่าๆ แต่มีสินค้ามานำเสนอเสมอ และต้องขายได้ทุกครั้งไป ซึ่งเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่มันคนนั้นเอามาขายล้วนราคาถูก เพราะได้มาจากการขโมยและรีดไถจากที่อื่นอีกทีหนึ่ง แต่สิ่งเหล่านั้นก็ใช่ว่าจำเป็นสำหรับผมเสียทุกอย่าง

	หลังๆ เข้าก็ต้องมีเครื่องมือบังคับเพื่อให้ง่ายต่อการขายนั่นคือปืน และนี่คือจุดพังทลายของความอดทนของผม 

	เดชยังไม่กลับมา เพื่อนอีกประมาณ 10 คนที่คาดว่าจะตามได้ยังคงไม่มีใครมา ดูเหมือนเดชจะไม่เดือดร้อนเท่าไหร่นัก หรือเป็นเพราะว่าเขาไม่เคยเจอปัญหาอย่างผมทั้งๆ ที่เราก็อาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน ผมคงคิดมากไปเองเพราะอยู่คนเดียว จำได้ว่าทันทีที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเขาเป็นเดือดเป็นร้อนทันที กรามทั้งบนและล่างขบกันแน่นเสียงดังกรอดฟังชัด วันนั้นพวกเราหลายสิบคนนั่งคอยแต่ก็ไม่เจอ สองสามวันผ่านไปก็ไม่เห็นมีมา ทุกคนต่างลงมติว่ามันคงมีเหยื่อรายใหม่ หรือไม่ก็โดนจับขังลืมไปแล้ว แต่มันก็มาอีกเมื่อผมอยู่ลำพัง มาพร้อมปืนลูกซองสั้นสีดำ ปลอกลูกปลายยังคงลอยและตกอยู่บนอุ้งมือของมันเป็นจังหวะตลอดเวลาที่มันอธิบายสรรพคุณสินค้า

	ผมกลัวมันจะมาถึงก่อนเดชและเพื่อนๆ จะมาทัน

	ความกังวลของผมหายไป เดชมาแล้ว เพื่อนอีก 10 คนก็มาด้วย พวกเขามาพร้อมกัน และอุปกรณ์ครบ

	เป็นไงไอ้ห่ากลัวไหม อยู่คนเดียวน่ะ เดชถามเชิงล้อเลียน

	ไอ้ห่านึกว่าไม่มาเสียแล้ว เร็วๆ รีบขนขึ้นรถโว้ย เดี๋ยวแม่งมาอีก กูขี้เกียจซื้อของของมันแล้ว เป็นอย่างนี้ทุกวันจนกันพอดี ดีไม่ดีวันไหนไม่มีตังค์โดนยิงไส้แตกอีก แล้วขนดีๆ ล่ะระวังของแตก				
25 พฤษภาคม 2550 10:11 น.

พ่อ

ใบคา

บนชั้นสองนั่งพัดลมของรถไฟสายใต้เสียงร้องดัง ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง มุ่งหน้าสู่จังหวัดนราธิวาส เด็กชายตัวน้อยตื่นเต้นกับทิวทัศน์ภายนอกที่คนผันแปรแผ่นดินให้กลายเป็นเงินหาเลี้ยงชีพ ทุ่งนาสีเขียวขจี บางช่วงก็เป็นไร่สวนผลไม้ต่างๆ ทุกครั้งที่เห็นวัว ควาย ยืนเคี้ยวเอื้องเด็กชายจะหันมาถามด้วยความสงสัยว่า พ่อๆ นั่นตัวอะไร

	หนูน้อยวัย ๕ ขวบที่เติบโตในเมืองหลวงไม่แปลกที่จะไม่รู้จักสัตว์พวกนี้ ดูเหมือนเขาจะมีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษ คงเป็นเพราะเราออกห่างจากกรุงเทพฯ ได้ไม่ไกลเท่าไหร่ เขาจึงยังมีเรี่ยวแรงที่จะถามโน่นถามนี่อยู่ตลอดเวลา บางครั้งถ้าแม่ไม่จับตัวเอาไว้เด็กน้อยก็จะวิ่งร่าทั่วโบกี้รถไฟ แต่ผมก็รู้ดีว่าอีกไม่นานความอ่อนล้าก็จะมาคลอบคลุมเขา จึงปล่อยให้สนุกได้เต็มที่ เพียงแค่ระวังไม่ให้ออกไปบริเวณข้อต่อเท่านั้น 

	เป็นจริงดังคาดยังไม่ทันค่ำดีเขาก็เปลี้ยหลับไปบนตักแม่ ก่อนหลับยังบ่นพึมพำว่า ยังไม่ถึงอีกเหรอ ทำไมไกลจังเลย ผมไม่คิดตำหนิแกหรอก ขนาดตัวเองยังไม่อยากเดินทางด้วยวิธีนี้เท่าไหร่นัก แต่มันติดตรงที่ประหยัดดี เพราะระยะทางกว่า ๑,๖๐๐ กิโลเมตร และเวลา ๒๐ ชั่วโมง (ไม่นับช่วงที่ต้องเสียไปกับการเสียเวลาของรถไฟ) มันกัดกร่อนความสดชื่นของคนไปมากทีเดียว

	ครั้งแรกๆ ของการโดยสารรถไฟต้นสายยันปลายสายจากสถานีสุไหงโก-ลก กรุงเทพฯ ผมก็มีพ่อเป็นเพื่อนเดินทางจะต่างกันก็ตรงที่ผมแก่กว่าลูกถึง ๑๐ ปี ยังจำได้ดีทุกความเบื่อ เมื่อย ล้า ทุกอย่างของความไม่สบายถาโถมกันเข้ามาคงเป็นเพราะที่นั่งมุมฉากของชั้น ๓ ด้วยกระมัง หลังจากนั้นผมก็ต้องใช้บริการ รฟท. เป็นประจำอย่างน้อยปีละ ๒ ครั้งช่วงปิดภาคเรียน จนกระทั่งจบปริญญาตรีและได้ทำงาน จนมีลูกน้อย การกลับบ้านของผมก็ห่างหายไปถ้าพ่อไม่เสียผมก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับไปเยี่ยมเยียนบ้านเกิดอีกครั้ง

	หลังจบการศึกษาและทำงานไม่ถึงปีผมก็มีคู่ครองและพยานรักในอีกไม่กี่เดือนต่อมา ความคิดที่จะส่งเสียเลี้ยงดูพ่อแม่ก็ต้องหยุดฉะงักลง เพราะผมต้องเลี้ยงชีวิตน้อยๆ ชีวิตใหม่นี้ อีกทั้งปากท้องตัวเองด้วย จนอดคิดถึงคำกล่าวที่ว่า พ่อแม่เลี้ยงลูกสิบคนได้ แต่ลูกสิบคนไม่สามารถเลี้ยงพ่อแม่ได้ ผมคงไม่กล้าไปดูถูกลูกสิบคนนั้นหรอกเพราะขนาดผมตอนนี้ก็ยังไม่สามารถตอบแทนท่านได้เต็มที่นอกจากคำทักทายเล็กๆ น้อยๆ ทางโทรศัพท์ บางครั้งลูกสิบคนนั้นอาจจะมีลูกอีกคนละสิบคนก็เป็นได้ ที่สำคัญที่บ้านผมน้ำท่าอุดมสมบูณณ์เพียงเข้าป่าหลังบ้านก๊อกๆ แก๊กๆ ก็มีกินได้หลายมื้อ เงินทองแต่ละวันแทบจะไม่ต้องจ่าย เช้าๆ แม่ออกไปกรีดยางพารา ปล่อยให้น้ำยางไหลลงกะลาที่รองเอาไว้ ซึ่งท่านได้หยดน้ำส้มกัดยางฯ เอาไว้ก่อนหน้า แล้วกลับมาพักผ่อนที่บ้าน ปล่อยให้น้ำยางมันแห้งไปเอง ไม่ต้องคอยเก็บน้ำยางฯ มาทำแผ่นเหมือนชาวบ้านหนุ่มสาวเขาก็ได้ วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะกรีดก็ลงมือแงะยางฯ ที่แข็งเป็นก้อนในกะลาออกวางไว้โคนต้น ตกเย็นก็กลับมาเก็บใส่กระสอบลากไปวางไว้หน้าสวนคอยคนรับซื้อขับรถผ่านมาอีกที อีกทั้งสวนผลไม้ที่ให้ผลทุกปี ทุกครั้งที่โทรฯ ถามถึงความเป็นอยู่แม่ก็จะบอกว่าสบายดี เป็นห่วงแต่เอ็งเถอะอยู่ในเมืองต้องใช้จ่ายทุกอย่าง แล้วตอนนี้มีเงินพอใช้ไหม ถ้าไม่มีแม่จะส่งไปให้ เป็นงั้นไป 

จะว่าไปแล้วแม่ผมก็มีเงินเก็บเหลือมากกว่าผมเสียอีก จนคิดที่จะหวนคืนบ้านใช้ชีวิตอย่างชาวสวนแต่ก็ติดปัญหาหลายอย่าง

	ดูเหมือนลูกชายวัยเยาว์ของผมจะติดแม่มากกว่า คงเป็นเพราะการเคี่ยวเข็นเขาแต่ตัวน้อยนั่นเอง ที่ทำให้ลูกไม่อยากเข้าใกล้ผมเท่าไหร่ ผมหวังพึ่งเขาเป็นตัวทดแทนในสิ่งที่ผมขาดหาย หรือไม่สามารถเป็นได้ นั่นคือนักเขียน ผมพยายามเท่าไหร่ก็เป็นไปตามฝันไม่ได้เสียที คงเป็นเพราะผมเริ่มต้นช้าเกินไปจึงสู้นักเขียนคนอื่นๆ ไม่ได้ แต่ลูกของผมต้องเป็นได้ ผมจึงบังคับให้แกนั่งฟังผมอ่านหนังสือก่อนนอนเสมอแม้จะอายุเพียง ๕ ขวบก็ตาม ความเป็นจริงแล้วผมอ่านให้แกฟังตั้งแต่อยู่ในท้องด้วยซ้ำไป บางครั้งสังเกตเห็นแกไม่ค่อยชอบนัก แต่ผมเข้าข้างตัวเองไปว่าอีกหน่อยก็ชอบเอง 

	ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าเมื่อโตขึ้น กระทั่งรู้ความในสายตาเขามองพ่อเป็นอย่างไร แต่สำหรับผม พ่อคือ พระเจ้า พ่อสร้างความกลัว สร้างความนับถือ สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับผม ท่านเป็นคนดุสำหรับลูกๆ คนหนึ่ง แต่ผมก็ติดพ่อมากกว่าแม่ คงเป็นเพราะตัวอย่างของพ่อที่ผมได้ฟังมาจากย่า และจากปากของท่านเอง ท่านต้องรับผิดชอบเลี้ยงน้องๆ อีก ๔ คน เพราะปู่เป็นคนไม่เอาไหน วันๆ เอาแต่เมาเหล้า จึงขาดโอกาสเรียนหนังสือแม้จะต้องการ และเรียนดีเพียงใดก็ตาม งานรับจ้างทุกอย่างพ่อผ่านมาหมด เป็นทั้งเด็กอู่ เด็กรถ จนกระทั่งมายึดชีพขับรถบรรทุกสิบล้อในที่สุด สิ่งที่ผมนับถือคือพ่อบอกว่า ท่านเริ่มดื่มเหล้าก็ต่อเมื่อผ่านการบวชเรียน และทำงานเลี้ยงตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ ได้แล้วเท่านั้น ส่วนบุหรี่ไม่แตะเลย ในความรู้สึกตอนนั้นมันเท่ห์มากๆ จนผมมุ่งมั่นเอาไว้ว่าจะทำอย่างพ่อให้ได้ แต่ผมเมาแอ๋ตั้งแต่ออกจากบ้านไปเรียนหนังสือเมื่ออายุ ๑๕

	พ่อผมพูดน้อย ผมก็พูดน้อยไม่ใช่เพราะเลียนแบบ หรือได้พ่อ เป็นเพราะตอนเด็กๆ ผมเป็นคนพูดมาก พูดทุกเรื่องที่มีโอกาสสอด ที่สำคัญชอบขัดคอผู้ใหญ่ในวงเหล้าหลายคนไม่ถือสา หนำซ้ำยังหัวเราะชอบใจต่างชมว่าฉลาด ยิ่งทำให้ผมได้ใจ ขัดไม่เลือกหน้า พ่อคงทนไม่ได้เรียกมาเตือนเครียดในวันถัดไป ผมจึงกลายเป็นคนเงียบ ณ บัดนั้นเป็นต้นมา ถ้าไม่มีเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นผมคงไม่เงียบลงได้แค่การสอนแบบเครียด แต่ผมเคยโดนพ่อตบล้มคว่ำด้วยอายุเพียง ๕ ขวบ เพียงเพราะรบเร้าขอหุ่นยนตร์ของเล่นเท่านั้นเอง อันนี้ก็เป็นส่วนทำให้ผมกลายเป็นเด็กที่ไม่ค่อยเซ้าซี้ ได้ก็ได้ไม่ได้ก็แล้วไป 

	ในสายตาผมท่านจึงเปรียบดั่งพระเจ้า

	นิสัยอีกอย่างในตัวผมคือแพ้น้ำหอม กลิ่นหอมจากสารเคมีผมเป็นสู้ไม่ไหว ผลพวงมาจากท่านไม่ชอบของพวกนี้ พ่อจะตะคอกด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเมื่อเห็นผมนั่งหน้าตู้กระจก ทาแป้งนานๆ กระทั่งผมเลิกใช้ด้วยความน้อยใจ จวบจนทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงแพ้เครื่องสำอางถึงเพียงนี้ แม้จะเคยลองดูยี่ห้ออื่นๆ ที่ยังไม่เคยใช้ ผลปรากฏว่าแพ้เหมือนกัน

	ฟ้าข้างหน้าต่างมืดลงแล้ว ภายในโบกี้สว่างขึ้น ลูกน้อยยังคงหลับไม่รู้สาบนตักแม่ เธอคงเหนื่อย เพราะเห็นขยับตัวไปมา ผมอาสาเอาเด็กชายมาหนุนตักแทน แต่กลับได้รับคำปฏิเสธ กลัวแกตื่นค่ะ

	พ่อมาเสียชีวิตลง ผมไม่เสียใจเลยสักนิด ท่านน่าจะเสียเมื่อ ๕ ปีที่แล้ว จะได้ไม่ทนทุกข์ทรมารด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง ท่านผอมแห้งเห็นกระดูก ไม่มีเรี่ยวแรงลุกขึ้นนั่ง แม้จะเอ่ยปากพูดก็ยากเต็มที ครั้งล่าสุดที่ผมกลับไปเยี่ยมอาการของท่านเริ่มเลวร้ายลงเรื่อยๆ พักหลังๆ แม่มักจะโทรฯ มาร้องไห้ ให้ผมฟังเสมอ

	พ่อบอกในวันรับปริญญาของผมว่า กูส่งมึงจบแล้ว หมดหน้าที่ของกูแล้ว ต่อไปนี้กูจะทำเพื่อตนเองบ้าง แล้วแล้วแกก็ตกเป็นทาสของสุรา พระเจ้าของผมก็จบฉากลง				
21 พฤษภาคม 2550 11:15 น.

สาเหตุย้ายบ้าน

ใบคา

ชนบทชายแดนใต้จังหวัดนราธิวาส อ.แว้ง เมื่อสิบปีก่อน ภาพในความทรงจำฉายให้เห็นอย่างไรปัจจุบันก็ยังคงสภาพนั้นอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง มีก็แต่สิ่งแวดล้อมที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่ต้นไม้ หมาแดงตัวนั้นเมื่อสิบปีก่อนตอนนี้ไม่มาคอยเห่าหอนอีกแล้ว แต่กลายเป็นไอ้ดำ ไอ้ด่าง และอีกหลายๆ ไอ้ ที่เสนอหน้าเข้ามา เด็กชายและเด็กหญิงถูกนำหน้าด้วยนางสาว และนาย บางรายมีเด็กหญิงเด็กชายให้จูงมือ หลายคนก็ย้ายถิ่นฐานออกไปด้วยเหตุผลที่ไม่ซ้ำกัน

	เรื่องการย้ายถิ่นเลี้ยงชีพ มีหลายรายและบ่อยวัน เรื่องราวเหล่านั้นเข้ามาทักทายเส้นประสาทเล็กน้อยเพียงเพื่อไม่ให้ตกข่าวว่าใคร ไปไหนมาไหนบ้างในหมู่บ้าน ไม่นานก็เลิกสนใจ จะขุดคุ้ยกันอีกทีก็เมื่อหมดเรื่องสนทนาในวงเหล้าในคืนต่อๆ ไป

	จุดประสงค์ และวิธีการของคนที่ย้ายไปนั้นไม่สำคัญสำหรับผม ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว แต่หนึ่งในนั้น การย้ายบ้านของเขาเกี่ยวข้องกับผมโดยตรงจนไม่อาจลืมได้ทุกครั้งที่เหงาก็ต้องคิดถึงเรื่องครั้งนั้น และพาลขนลุกทุกทีไป

	เขาไม่ใช่คนในพื้นที่ แต่มีลูกกับคนอำเภอข้างเคียงของที่นี่ และได้ย้ายเข้ามาดูแลสวนให้กับเจ้าของสวนยางพาราคนหนึ่งที่มาซื้อเอาไว้แล้วไร้คนดูแล เขาและครอบครัวจึงได้เข้ามาเป็นสมาชิกของหมู่บ้านโดยไม่นานวัน ผมเรียกเขาว่า อิ๊ เพราะเขาบอกว่าให้เรียกอย่างนี้ โดยอ้างว่านี่คือชื่อที่บุพการีเรียกขานมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก

	พี่อิ๊ (เขาแก่กว่ามาก) เป็นคนดีโดยที่ไม่ต้องเสแสร้ง เขาทำให้ทุกคนในหมู่บ้านรักได้โดยไม่ยากเย็น และดูว่าจะอาศัยอยู่ได้นานเลยทีเดียว แต่บังเอิญว่าบ้านหลังน้อยๆ ที่เพิ่งสถาปนาตัวเองจากกระต๊อบด้วยปีกไม้ที่แน่นหนาจากฝีมือของเพื่อนบ้าน ซึ่งสร้างขึ้นทับรอยบ้านหลังเก่าที่ผุพังเกือบหมด บ้านเก่าหลังนี้ผมยังเคยวิ่งเข้าไปเล่นซ่อนหากับเพื่อนเป็นประจำและได้ผลดีนัก เพราะว่าเป็นพื้นที่ป่ารก เนื่องจากไม่มีคนดูแล ทราบมาว่าเจ้าของประกาศขายนานแล้ว แต่ยังไม่มีใครมาซื้อสักที จึงต้องปล่อยเลยตามเลย สภาพบ้านที่โทรมและป่ารกรอบข้างดูช่างน่ากลัว แต่ผมต้องวางเหตุผลของความหวาดกลัวนั้นลงไปก่อน ด้วยว่าต้องการชัยชนะในการซ่อน

	ได้ผลเป็นที่สุด จนกระทั่งวันหนึ่งขี้เมานายหนึ่งเดินเตร่ออกมาจากบ้านของผม (เพราะที่นั่นคือจุดเริ่มต้นของความเมา และเขาจะไปจบมันที่บ้านซึ่งห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตรโดยวิธีการเดิน) ยิ่งเดินหัวของเขาก็เกิดอยากเปลี่ยนหน้าที่กับเท้าบ้าง ระยะทางจึงดูไกลออกไป เขาตัดสินใจพักนอนในบ้านหลังนั้น ไม่นานเกินรอความเมามลายหายสิ้นด้วยเงาตะคุ่มๆ ดำขลับ และแรงลมพัดหวิวกระทบและหยุดนิ่งคล้ายคนร่างใหญ่ยืนก้มมอง ไม่ต้องถามที่มาที่ไปเขารีบนำสติที่กลับคืนมาย้ายออกจากที่นั่นโดยไว

	และนี่คือเรื่องที่ผมได้ฟังจากปากขี้เมาคนนั้น ด้วยเหตุนี้บ้านหลังนั้นจึงไม่มีใครย่างกรายเข้าใกล้อีก จนกระทั่งเจ้าของสวนคนใหม่จ้าง พี่อิ๊ เข้ามาดูแล การถากถางจึงเกิดขึ้น บ้านก็ถูกรื้อสร้างกระท่อมน้อยๆ ทับที่ส่วนนั้น แล้วเพื่อนบ้านมาเสริมความคงทนให้เพราะความดีของ พี่อิ๊ คนในหมู่บ้านบางคนยังคงเอาเรื่องของนักนิยมความเมาคนนั้นพบเจอมาพูดคุยกับพี่อิ๊เสมอ เมื่อมีโอกาสบางคนบอกว่าเหตุการณ์นั้นคือการเลือกบ้านของผี เมื่อมันเห็นว่าไม่มีคนอยู่แล้วมันก็จะยึดเอาบ้านหลังนั้นเป็นของตัวเอง และที่สำคัญทำเลตรงนั้นเหมาะกับการอาศัยของผีเร่ร่อน ที่เริ่มเบื่อการพเนจร และอะไรอีกยืดยาวที่เพื่อนบ้านป้อนให้ ก่อนจบบทสนทนาก็ถามเขาบ้างว่าเคยเจอบ้างไหม พี่อิ๊สั่นหัวเป็นคำตอบ เขาไม่เคยเจอสิ่งที่เรียกว่าผีเลยสักครั้ง และไม่ได้ปฏิเสธว่าโลกนี้ไม่มีผี เขายังคงเชื่อว่าที่ผีไม่มารังควาน เขาและลูกเมียนั้นเป็นเพราะบารมีของเจ้าแม่กวนอิมที่นับถือ

	ตอนเย็นขณะที่พี่อิ๊นั่งเล่นกับลูกเมียหน้าบ้านอย่างทุกวันที่ชาวบ้านมักพบเจอ จู่ๆ เขาก็เกิดช็อกแน่นิ่งไป แม่ของผมถูกตามตัวให้เข้าไปช่วยเหลือเป็นคนแรกเพราะพี่อิ๊นับถืออยู่บ้าง เพราะท่านค่อนข้างอยู่ในข่ายที่เรียกได้ว่าใจดี หลังจากนวด เค้น คลึง บริเวณกระหม่อม เขาก็ฟื้นขึ้นด้วยสายตาเหม่อลอย และหวาดระแวงพูดจาน้อยลง รวมทั้งปริมาณอาหารที่ป้อนลงท้องก็น้อยตามไปด้วย 

	หลังจากเหตุการณ์นั้น ทุกเย็นเขาจะช็อกกระตุกทุกครั้ง พร้อมกับเรียกหารูปเจ้าแม่กวนอิม ต่อเมื่อได้กอดรัดรูปนั่นแหล่ะถึงจะสงบ หลังๆ หนักเข้าถึงขั้นกัดลิ้นตัวเอง ฟูมฟายถึงคนที่ปองร้ายตัวเอง บ่นเพ้อว่าจะมีคนมาเอาชีวิต ต้องอยู่ใกล้เจ้าแม่ให้มากที่สุดถึงจะปลอดภัย หลายคนในหมู่บ้านว่าไม่สบายแน่นอน พี่อิ๊จึงถูกนำส่งโรงพยาบาลประจำจังหวัดโดยที่กอดรูปเจ้าแม่กวนอิมทุกขณะ นางและบุรุษพยาบาลพยายามเอาออกเท่าไหร่ก็ไม่ยอม อยู่ที่นั่นได้ไม่นานก็ต้องออกมาเพราะหมอวินิจฉัยโรคไม่เจอ

	พี่อิ๊กลับมาด้วยอาการเช่นเดิม แต่หนนี้เขาเข้ามาพักที่บ้านของผม เนื่องจากเมียพี่อิ๊ไม่ยอมให้อยู่กระท่อมหลังนั้นอีกเพราะเธอเชื่อเรื่องอดีตผีเร่ร่อนตนนั้น และนี่ก็เป็นเหตุผลหลักที่ผมไม่อาจลืมต้นเหตุการณ์ย้ายบ้านของพี่อิ๊ได้เลย

	เหมือนเดิมทุกๆ เย็นเขาจะร้องไห้ฟูมฟาย ถึงขนาดควักลูกตาตัวเองออกมาแล้วพูดพร่ำว่าเดี๋ยวก่อนกำลังจะเอาให้ เมื่อเอ่ยถามว่าพูดกับใครเขาบอกว่าคุยกับคนตายและเอ่ยชื่อคนนั้นได้ถูกต้อง ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกัน นอกจากนั้นยังบอกตำแหน่งที่ตายได้แม่นยำ พี่อิ๊บอกว่าคนนั้นกำลังมาคอยเอาตาของเขา และเขาพร้อมที่จะให้ เพียงเท่านี้ทำเอาขนลุกซู่ได้นานหลายนาที

	ญาติของคนตายที่พี่อิ๊อ้างถึงเมื่อรู้เรื่องราวจากปากของแม่ ก็พากันมาหาและถามเขา หลังจากนั้นเหตุการณ์อย่างนี้ก็ไม่เกิดขึ้นอีกเพราะว่าญาติคนนั้นได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ผมก็โล่งอกไปเปราะหนึ่ง แต่ยังไม่หมดเท่านั้น อาการชักตอนเย็นยังไม่ยอมหายต่อไป ทีนี้เขาไม่อ้างเรื่องคนตายมาหา แต่จะบ่นหิวๆ กินทุกอย่างแม้กระทั่งลิ้นตัวเอง ผมสังเกตเห็นเลือดไหลกรกปาก ทุกคนห้ามจับมือและเท้าเอาไว้คนละข้าง อาการคล้ายๆ คนเป็นลมบ้าหมู พูดคุยกับด้วยเขารับรู้ทุกอย่าง สายตามองด้วยความวิงวอนว่าช่วยด้วยแต่การกระทำนั้นต่อต้านทุกอย่าง หยดน้ำตาจากเมียเขาหยดไม่หยุดสายทุกครั้งที่มีอาการ ส่วนลูกน้อยนั้นเงียบงันไม่แสดงอาการอะไร

	วิธีทางไสยศาสตร์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ถึงขั้นมีการเข้าทรงเพื่อปราบผีร้ายตนนั้นถึง 3 ร่างทรง ผลก็คือบทสรุปจากปากหมอผีว่าไม่สามารถปราบได้มันร้ายเหลือเกิน ขืนทำลงไปอาจทำให้ผู้ช่วยเหลือซึ่งคือตัวพ่อหมอเองตายได้ เหตุการณ์เหมือนจะไร้ทางเยียวยาขึ้นทุกทีสภาพของพี่อิ๊ก็อิดโรยลงทุกวี่ ไม่เหลือเคล้าโครงของคนปกติ วิธีสุดท้ายที่ผมและครอบครัวช่วยได้คือ พาไปรดน้ำมนต์และผูกสายสินธุ์ ดีขึ้นสองสามวัน วันที่สี่เขาขอเข้าห้องน้ำด้วยอาการปกติ เข้าไปนานเกินควรหลังจากนั้นมีเสียงตึงตังขึ้นมา บานประตูจึงถูกเปิดออกด้วยแรงถีบของชายร่างใหญ่ที่เข้าช่วยเหลือ ภาพที่เห็นคือพี่อิ๊นอนกัดลิ้นตัวเอง ส่วนตานั้นเหลือกขึ้นข้างบน สายสินธุ์ในมือหายไปไหนไม่รู้ หลังจากนำตัวออกมาแล้ว และเขาสงบลงบ้างเพราะสายสินธุ์เส้นใหม่ ผมเข้าไปหาสายสินธุ์ที่หายไปในห้องน้ำไม่พบแม้แต่ร่องรอย สันนิษฐานว่าเขาคงราดน้ำลงโถส้วมไปแล้ว มารู้ความจริงภายหลังว่าเขากลืนมันลงท้องไป ก็เมื่อพี่อิ๊อ้วกออกมาในวันรุ่งขึ้นนั่นเอง

	สุดปัญญาของมันสมองเพื่อนบ้านเรือนเคียง ความรู้อันน้อยนิดของผมไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไรเพราะใช้หมดไปกับเรี่ยวแรงฉุดรั้งร่างกายเขา และวิธีสืบสวนสืบหาสายสินธุ์ที่สูญไป

	ภรรยาเขาตัดสินใจล่ำลา แล้วพาพี่อิ๊กลับไปรักษาที่บ้าน นับจากวันนั้นผ่านไปหนึ่งเดือนภรรยาของพี่อิ๊กลับมาเยี่ยมเยียนเราเพราะบังเอิญผ่านมาทำธุระแถวหมู่บ้านใกล้เคียง บทสนทนาที่สำคัญคือการสอบถามเรื่องราวของพี่อิ๊ ได้ความว่าพอกลับไปถึงบ้านเขาก็กลายเป็นปกติ และจะไม่ขอกลับมาที่นี่อีก


*******************				
10 พฤษภาคม 2550 16:46 น.

ตุ๊กตาเต้นรำ

ใบคา

แสงจากไฟนีออนส่องทาง ของกรุงเทพฯ ย่านเตาปูน ทำให้มองเห็นบ้านสองชั้นสีขาวรายล้อมด้วยรั้วไม้สีน้ำตาลประดับด้วยไม้เถาดูสวยงามและเข้ากันได้ดี อย่างถนัดตา ในซอยที่มีบ้านเดี่ยวรั้วกั้นเป็นหลังๆ ย่อมทำให้บรรยากาศเงียบขรึมไร้เสียงเร่งเครื่องของแก็งค์มอเตอร์ไซค์ที่คอยก่อกวนระบบโสตประสาทยามค่ำคืน แต่จะมีเสียงกรีดร้องของจั๊กจั่นแว่วมาบ้างเป็นระยะๆ ยิ่งช่วงปลายฤดูหนาวอย่างนี้ มีให้ฟังได้ทุกมุมแม้จะเป็นในเมืองก็ตาม

	ดูแลบ้านดีๆ ล่ะอย่าเหลวไหลวันนี้แม่กับพ่อกลับดึกหน่อยนะ เสียงแม่กระชับสั่งเพื่อความมั่นใจว่าลูกทั้งสองจะทำตามที่ปรารถนา

	ได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าและเสียงอือ ในลำคอ ของลูกๆ หน้าจอทีวี แม่ก็ถือว่านั่นคือคำสัญญาของลูกทั้งสอง และคงกลับมาในสภาพบ้านที่เหมือนเดิม เพราะหลังจากเมื่อครั้งก่อนแม่กลับมาพบว่าบ้านไม่มีคนอยู่ แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับของมีค่าบางชิ้นที่มันน่าจะอยู่ที่เดิมก็ไม่อยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งน่าแปลกที่ของราคาแพงกว่านั้นไม่หายไปด้วย หรือเป็นเพราะว่านักย่องเบามักน้อย ถึงแม้จะปล่อยเลยตามเลยเพราะไม่มีความคืบหน้าใดๆ จากมือกฎหมายแม่ก็ไม่อาจลดโทษให้กับลูกได้ แต่คราวนี้แม่ยังเชื่อใจลูกเหมือนเดิมเพราะครั้งนั้นคงเป็นบทเรียนที่ดี

	อาณาเขตรั้วไม้สีน้ำตาลของบ้านหลังนี้ล้อมรอบบ้านถึงสองหลังด้วยกัน หลังเล็กเป็นบ้านของน้าซึ่งอยู่ถัดไปเพียงวาเศษๆ บ้านหลังใหญ่คือบ้านของแม่ ที่พวกเขาต้องดูแลไม่ทิ้งหน้าที่หนีไปเที่ยวเหมือนคราวก่อน จนทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต ผมตัดใจไม่ชวนน้องชายออกไปเที่ยวนอกบ้านแต่ด้วยความเป็นวัยรุ่น การอยู่บ้านกับการจมอยู่หน้าจอทีวี เป็นอะไรที่น่าเบื่อสำหรับเขามากๆ

	ตุ๊กตาสาวญี่ปุ่นในชุดกิมีโนสีแดงยืนทำท่ากรีดกรายพัดอย่างสวยงามในตู้กระจกใส ดวงตามีแววของความสนุก ผสมกับริมฝีปากสีแดงดูเหมือนว่ามันกำลังยิ้มกับท่วงท่าที่ทำอยู่ ผมละสายตาจากทีวีจ้องมองตุ๊กตาตัวนั้นด้วยความรู้สึกที่แปลกๆ ตั้งแต่ที่มันเดินทางจากร้านขายของเก่าในญี่ปุ่นเมื่อหลายปีก่อนด้วยความอนุเคราะห์ค่าเครื่องบินจากยาย ตุ๊กตาตัวนี้ก็มาเป็นสมาชิกบ้านในฐานะเครื่องประดับอย่างหนึ่ง  ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้มันไม่เคยดูสดใสและสวยงามเท่านี้มาก่อนเลย หรือเป็นเพราะผมไม่ค่อยได้สนใจมัน

	พี่ ผมเล่นเกมส์นะ ไม่มีอะไรน่าดูเลย นั่นหมายถึงการจบการรับภาพจากจอทีวีของผม

	ไม่รอคำตอบแต่อย่างใดน้องชายก็ขนเครื่องเล่นเกมเสียบเข้ากับทีวีและใส่แผ่นเล่นทันที

	คืนวันศุกร์ทำให้ไม่อยากรีบเข้านอน เพราะตอนนี้นาฬิกาบอกว่ายังแค่ 3 ทุ่มเท่านั้นเอง ผมเดินตรงไปที่ตู้กระจกใสซึ่งเก็บตุ๊กตาตัวนั้น เปิดผ้าคลุมเปียโนข้างๆ ออกสะบัด ฝุ่นเริ่มจับนิดหน่อย เศษฝุ่นลอยปลิวอย่างเห็นได้ชัด ผมยืนนิ่งมองดูฝุ่นนั้น ในใจคิดว่านานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้บรรเลงเพลงเพราะๆ จากเปียโน 

	เกือบเดือนแล้วสิเน๊าะ ปมบ่นเบาๆ 

	นานมากแล้วที่ไม่ได้เล่นมัน ทั้งๆ ที่คืนนี้ก็ไม่อยากเล่นซักเท่าไหร่ รู้สึกเหมือนต้องการจะลุกไปร่วมเล่นเกมส์กับน้อง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงทำให้มายืนอยู่ตรงนี้ได้ คงเป็นเพราะสีสันที่ดูสดใสขึ้นของตุ๊กตาตัวนั้น และท่าทางของมันที่ดูแปลกตาไป จนทำให้อยากเล่นดนตรีโดยไม่รู้ตัว

	เสียงนิ้วสัมผัสคีย์แรกของเปียโน ดนตรีเริ่มบรรเลงเป็นจังหวะช้าๆ น้องชายหันมามองหลังผมเพราะเปียโนกับจอทีวีอยู่ตรงข้ามกัน แต่ก็ไม่ห่างกัน น้องชายหรี่เสียงเกมส์ลงเพราะเวลานี้ไม่มีเสียงไหนที่จะเพราะเท่าเสียงดนตรีจากปลายนิ้วพี่ชายได้อีกแล้ว น้องชายยังชอบนอนฟังผมเล่นอยู่เป็นประจำ หากครั้งนี้ไม่ติดกับว่าเกมส์กำลังมันส์คงได้เห็นภาพน้องชายนอนคว่ำอ่านหนังสือบนโซฟานุ่มๆ อย่างเป็นแน่

	ดนตรีบรรเลงเพลงช้าๆ ได้ซักพักก็เปลี่ยนท่วงทำนองเป็นเร็วบ้าง
 
	แป็กๆๆ! น้องชายหันหลังขวับตามเสียงที่ได้ยิน ในขณะที่ ผมเองหันขวามา สิ่งที่เราเห็นคือบานของตู้กระจกสั่นอย่างแรง เกิดการกระแทกกันระหว่างตัวล็อกและบานกระจกเสียงดังกลบเสียงดนตรี 


	ขนหัวทั้งสองลุกซู่ ในขณะที่สีหน้าเริ่มซีดลงหันมองหน้ากันตาไม่กระพริบ เสียงนั้นยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง โพล่ง! บานกระจกเปิดออกมาอย่างจังเหมือนมีใครผลักออกมาจากข้างใน เราทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งมองน่ากัน ผมเริ่มยิ้มให้น้องชาย แต่รอยยิ้มนั้นกลับกลายเป็นเสียงร้องอย่างตกใจ เมื่อตุ๊กตาในชุดประจำชาติสีแดงสดแสยะยิ้มออกมาด้วยท่าทางดีใจ หัวโยกไปมาซ้ายขวา บานประตูเริ่มกระทบเปิดปิดอีกครั้งเสียงดังเป็นจังหวะเข้าทำนองกับการส่ายพัดของสาวน้อยตัวนั้นอย่างสอดคล้อง ตุ๊กตายังคงร่ายรำอย่างสนุกสนาน แต่เรานิ่งเงียบ ลำคอแห้งผาด ริมฝีปากสั่นไล่ลงมาจนถึงขา 

	ปึ๊บ! เสียงบานกระจกกระทบปิดอย่างแรงเสียงดังลั่นบ้านปลุกให้ผมและน้องตื่นจากอาการตกตะลึง สืบเท้าตัวเองวิ่งแจ้นออกมายืนจับมือกันสั่นอยู่หน้าบ้านท่ามกลางเสียงระงมของจักจั่น และเสียงหมาหอนอย่างโหยหวน 
เสียงดนตรี แป็กๆ ในบ้านยังคงดำเนินต่อ พร้อมนางรำที่ร่ายรำอย่างสุขใจ  
เรายืนฟังครู่ใหญ่ เสียงหายไป ผมตัดสินใจชวนน้องเดินกลับเข้าไปพร้อมกัน ผมกึ่งลากกึ่งผลักน้องชายให้เข้าไป

ตุ๊กตาหยุดแล้ว มีหยดน้ำใสๆ หยดจากแก้มเปื้อนความสุขของมัน

ผมหลับตาเอื้อมมือไปปิดบานกระจกที่ยังคงอ้านั้นให้เข้าที่เดิม พร้อมล็อกมันให้เหมือนอย่างที่เคยเป็น ตามด้วยวันทาสวยๆ หนึ่งที

หลังจากนั้นงานเฝ้าบ้านเราไม่รับอีกเลย

........................				
Lovers  0 คน เลิฟใบคา
Lovings  ใบคา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟใบคา
Lovings  ใบคา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟใบคา
Lovings  ใบคา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงใบคา