6 สิงหาคม 2545 21:28 น.

แต่แรกเริ่มเดิมทีที่มีกะเทย: ศึกษาจากหลักฐานวรรณคดี

J-new

กะเทย  หรือเพศที่  3  นั้น  เป็นสิ่งที่มีอยู่อยู่กับทุกสังคม  ทุกชนชั้นมาเป็นระยะเวลาอันช้านาน  หากจะศึกษาค้นคว้าโดนอาศัยหลักฐานด้านวรรณคดีแล้ว  กะเทย  น่าจะมีมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลเป็นแน่แท้

     ในมโหสถชาดก  กล่าวถึงกะเทยในฐานะที่เป็นผู้ช่วย  ทำให้พระมโหสถสามารถผ่านการลองปัญญาครั้งที่ 7  ของพระเจ้าวิเทหราชไปได้  ปัญหานั้นมีอยู่ว่า  พระเจ้าวิเทหราชสั่งให้พระมโหสถหุงข้าวอันประกอบด้วยองค์แปด  คือ  ไม่ให้หุงด้วยข้าวสาร  ไม่ให้หุงด้วยน้ำ  ไม่ให้หุงด้วยไฟ  ไม่ให้หุงด้วยฟืน  ไม่ให้หุงด้วยหม้อ  ไม่ให้หุงด้วยเตา  ไม่ให้ผู้หญิงหรือผู้ชายนำมาส่ง  ไม่ให้มาส่งตามทางที่มี  แน่นอนว่า ผู้ที่พระมโหสถให้นำข้าวไปส่ง  จะเป็นอะไรไปไม่ได้  นอกเสียจาก"กะเทย"

     หรือจะดูจากสังคมอินเดียโบราณ   ในมหากาพย์มหาภารตะ  ซึ่งเป็นปฐมบทแห่งวงศ์กษัตริย์อินเดียทั้งหลาย  กะเทย  มีส่วนสำคัญในฐานะเป็นนักรบ  นั่นคือ  ศิขัณทิน  ซึ่งเป็นบุตรของท้าวทรุปัท  เป็น้องชายของธฤษ์ฏะทะยุมันและนางเทราปทีหรือนางกฤษณา  ศิขัณทินมีส่วนสำคัญในการรบ  และเป็นกำลังให้กับฝ่ายปาณฑพอย่างมาก  สามารถฆ่าแม่ทัพของอีกฝ่าย คือภีษมะลงได้
จากวีรกรรมของศิขัณทินนี้  แสดงให้เห็นว่า"ไม่มีอะไรที่กะเทยทำไม่ได้"

     ในมหากาพย์มหาภารตะเช่นกัน   ยังชี้ให้เห็นว่า  การล้อเลียนโดยการแต่งหญิง  อาจก่อให้เกิดความพินาศฉิบหายของวงศ์ตระกูลได้  กล่าวคือ  เหล่าเด็กหนุ่มแห่งยาทพตระกูล   ได้ให้โอรสของพระกฤษณะองค์หนึ่ง  ชื่อ  ศามพะ  แต่งหญิง  แล้วเอากะทะผูกหน้าท้องคล้ายสตรีมีครรภ์  ไปแกล้งถามพระฤาษี   แต่พระฤาษีรู้ทัน  จึงสาปเข้าให้  ทำให้วงศ์ตระกูลฉิบหายในบัดดล

      ในลิลิตพระลอ   มีโคลงบทหนึ่งกล่าวถึงตอนที่พระลอกับนายแก้วนายขวัญลำบายตรากตรำอยู่ว่า

                                 พระเอยอาบน้ำขุ่น      เอาเย็น
                         ปลาผอกหมกเหม็นยาม      อยากเคี้ยว
                         รุกรุยราคจำเป็น                ปางเมื่อ  แคลนนา
                         อดอยู่เดียวดิ้วเดียว            อดได้ฉันใด

     สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมรักร่วมเพศนี้อยู่ในโคลงบาทที่ 3  รุย  หมายถึง  ความสกปรก  อาจารย์ด้านภาษาและวรรณคดีไทยหลาย ๆ ท่านพยายามแปลว่า  ยอมมีเพศสัมพันธ์กับคนชั้นต่ำเช่น โสเภณี  เมื่อยามขาดแคลน  แต่ไม่  ฉันไม่แปลอย่างงั้น  หากเราจะดูปริบทโดยรวมของโคลงทั้งหมด  โคลงบทนี้  นายแก้วนายขวัญ  เป็นผู้พูดกับพระลอ    ว่า  ให้ยอมอาบน้ำขุ่น  เพื่อให้ร่างกายเย็นสบาย   แน่นอน  เพราะเดินป่าอยู่ย่อมไม่มีสุหร่ายมาให้พระลอโสรจสรง  เวลาอยากเคี้ยว(หรือกิน)  ก็ต้องทนกินปลาผอก(ปลาหมัก  ปลาร้า)  แน่สิเสบียงมันก็ต้องเป็นของที่เก็บไว้ได้นาน  ทีนี้  บาทที่  3กับบาทที่ 4  นี่แหละที่ฉันจะแปล  ยอมเอาทางที่สกปรก  เมื่อยามขาดแคลน  จะยอมอดอยู่ทำไม  ก็พระลอเดินป่ามากับนายแก้วนายขวัญ  เพียง  3  คนเท่านั้นนี่นา  แล้วอีทางที่สกปรก  มันจะเป็นอะไรไปได้  นอกจากทางเวจมรรคของนายแก้วนายขวัญ  ไม่มีทางที่จะเป็นโสเภณีไปได้หรอกค่ะ ทุกท่าน

     ไตรภูมิพระร่วง  วรรณกรรมศาสนาที่มีอิทธิพลอยู่คู่สังคมไทย  กล่าวถึงวิบากกรรมที่จะทำให้มาเกิดเป็นกะเทยไว้ว่า

     "อนึ่งว่า  บาปปรทารกรรม  คือว่าทำชู้ด้วยเมียท่านนั้นแลชาวเจ้าทั้งหลายอย่าควรกระทำเลยว่ามาตรน้อย 1 ก็ดี  อย่าได้กระทำเลยฯ  ผิแลผู้ใดกระทำปรทารกรรมไส้จะไปตกนรกสิมพลีวัน  ไม้งิ้วนั้นเป็นเหล็ก  แลหนามนั้นยาวย่อมเหล็กแหลมคมนัก  แลมีเปลวไฟลุกอยู่บมิรู้เหือดแล  มีฝูงยมบาลถือหอกทิ่มแทงขับให้ขึ้นให้ลงทนทุกขเวทนาอยู่หึงนานนัก  ครั้นว่าพ้นจากนรกขึ้นมาเป็นสระสเจเทิน   เป็นกะเทยได้พันชาติ"

     ฉันก็หวังว่า  ชาตินี้คงเป็นชาติที่พันของฉันแล้วล่ะน่า   แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง  ที่กะเทยทั้งหลายเต็มบ้านเต็มเมืองอยู่เช่นนี้(หมายรวมถึงพวกโฮโมเซ็กชวลทั้งหมด)  แสดงว่ามนุษย์ทำบาปข้อนี้ไม่น้อยหรือเปล่าคะคุณ

     วันนี้เอาเท่านี้ก่อน  ไว้หาตัวบทอ้างอิงให้ได้มากกว่านี้  แล้วจะมาขยายความใหม่				
Lovers  0 คน เลิฟJ-new
Lovings  J-new เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟJ-new
Lovings  J-new เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟJ-new
Lovings  J-new เลิฟ 0 คน
  J-new
ไม่มีข้อความส่งถึงJ-new