26 พฤษภาคม 2559 15:27 น.

้Home บ้านรักในรอยแค้น ตอนที่ 24

สมภพ แจ่มจันทร์

ตอนที่ 24

ชโลธรยืนมองรถเก๋งคันสีแดงสดขับเคลื่อนออกไปจนลับสายตา แล้วเดินหันหลังกลับเข้าบ้านเพียงลำพัง ชมพู่กลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว บัดนี้คงเหลือเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่อาศัยอยู่ภายในบ้านสวยหลังกะทัดรัดนี้เพียงคนเดียว พรุ่งนี้คุณยุพาถึงจะย้ายเข้ามาอยู่ด้วย แต่เธอไม่กลับไม่นึกกลัวอะไรเลย จะด้วยเพราะรายรอบล้วนมีแต่เพื่อนบ้านที่น่ารัก หรือเพราะว่าเธอคิดเสมอว่ารันชรีอยู่กับเธอตลอด

บ่ายแก่ๆ หญิงสาวออกมานั่งอ่านหนังสือหน้าบ้าน ขณะที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่นั้น รถแวก้อนสีดำคันโต ก็มาจอดเทียบที่ประตูบ้าน

เพราะชายหนุ่มรู้ว่าเพื่อนของหญิงสาวจะกลับกรุงเทพฯ เขารู้สึกเป็นห่วงหญิงสาวที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว ใจก็คิดอยากจะชวนเธอออกไปทานอาหารเย็น แต่เขาเองก็ตอบตนเองไม่ได้ว่าหญิงสาวจะตกลงไปกับเขาหรือไม่ เขาจึงตัดสินใจขับรถมาหาเธอที่บ้านพัก

ถึงแม้ว่าหญิงสาวจะรู้สึกเคืองชายหนุ่มเรื่องรันชรี แต่มันกลับตรงข้ามกับพฤติกรรมที่บัดนี้เธอกำลังเปิดประตูรับชายหนุ่มโดยดี

อากาศกำลังดี แดดไม่แรงจัด ชายหนุ่มเดินเข้ามาในบริเวณบ้านด้วยความเบิกบานใจ แต่จู่ๆ กลับมีเมฆดำกลุ่มใหญ่เข้ามาบดบังบรรยากาศอันแสนรื่นรมย์ของเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา กัมปนาทกึกก้องของแผ่นฟ้าทำให้หญิงสาวต้องรีบเก็บเสื่อและหนังสือที่ยังอ่านค้างอยู่ชายหนุ่มถือวิสาสะดึงเสื่อมาจากหญิงสาว แล้วเดินตามหญิงสาวเข้าไปในบ้าน

ฝนฟ้ากำลังกระหน่ำซัดอย่างหนัก มันจึงเป็นข้ออ้างที่ทำให้เขาได้อยู่ในบ้านหญิงสาวในบัดนี้ หญิงสาวเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มนั่งที่โซฟารับแขกตามมารยาท ในความรู้สึกของหญิงสาวในขณะนี้มันยากที่จะอธิบายยิ่งนัก เธอพึงพอใจอย่างนั้นหรือที่ชายหนุ่มเข้ามานั่งอยู่ตรงหน้า แต่ทว่าเมื่อนึกถึงรันชรีขึ้นมา หญิงสาวก็อยากจะไล่เขาออกไปเสียโดยเร็ว

แต่มิวายที่หญิงสาวจะรินน้ำมาให้ชายหนุ่มดื่มโดยที่ไม่ทันที่จะพูดคุยใดๆ กับหญิงสาว ความง่วงงันกลับก่อเกิด ชายหนุ่มรู้สึกง่วงเหลือเกิน หนังตามันหนักเกินกว่าเขาจะฝืนต่อไปได้ ฝ่ายหญิงสาวเองก็มีอาการแปลกๆ เธอรู้สึกวิงเวียนศีรษะมาก จนต้องนั่งเอนหลังอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มนั้นแล้วหลับใหลไปในที่สุด

ภาพรันชรีเดินอย่างเชื่องช้าเข้ามาในบ้านหลังนี้ หญิงสาวค่อยก้าวเดิน ใบหน้าบ่มเพาะไปด้วยความเศร้าหมองแล้วค่อยๆ ไขลูกบิดประตูห้องนอน แว่วเสียงร่ำไห้ดังออกมาจนโชคได้ยินอย่างชัดเจน เขาก้าวเดินตามหลังเพื่อนรักเข้าไปยังห้องๆ นั้น รันชรีกำลังเปิดตู้เสื้อผ้า มันมีแต่ความว่างเปล่า รวมไปถึงสภาพในห้องนอนนั้นด้วย มันมีแต่ความว่างเปล่าปราศจากอาภรณ์หรือเครื่องใช้ใดๆ

เสียงร่ำไห้ของรันชรีมันช่างเศร้าโศกเสียจริงๆ เขาจำเสียงนั้นได้ดี ภาพเพื่อนรักกำลังทรุดกายลงข้างๆ เตียงนอน เธอใช้มือทั้งสองข้างปิดหน้า แล้วร่ำไห้เหมือนดั่งใจจะขาดไปในขณะ

“รัน...”

ทันทีที่เขาตื่นจากความฝัน เขาคิดถึงรันชรีขึ้นมาจับใจ และรู้สึกเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก นั่งทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา รู้สึกว่าทำไมไม่ยอมพูดคุยกับรันชรี และสอบถามถึงสาเหตุที่แท้จริงของการหายไปของเงินจำนวนนั้น

หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านยังคงนั่งอยู่ข้างๆ กายชายหนุ่ม และมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ เพราะนั่นคือแววตาของรันชรีที่เฝ้ามองเพื่อนรักอยู่

“แกคิดอะไรอยู่”หญิงสาวเอ่ยถามก่อน

“ไม่มีอะไร แค่งงว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้ง่วงมากจนทนไม่ได้”

รันชรีในร่างของชโลธรยังยืนถามชายหนุ่ม ด้วยแววตาที่ชายหนุ่มคุ้นเคยยิ่งนัก

“คิดถึงเพื่อนหรือ”น้ำเสียงนั้น...มันใช่เสียงของชโลธร

หากแต่เป็นเสียงที่เขาคุ้นเคยยิ่งนัก

เสียง...ของรันชรี

ชายหนุ่มไม่ตอบ  เขาจ้องหน้าหญิงสาวตอบแทนคำพูด

“แกยังคิดถึงเพื่อนอยู่หรือ ฉันคิดว่าแกลืมเพื่อนไปแล้วเสียอีก”

“แหม่ม คุณบอกผมมาเดี๋ยวนี้นะว่าคุณเป็นใคร คุณรู้จักรันใช่ไหม”

“มองหน้าฉันสิโชค มองดูให้ดีๆ”

ชายหนุ่มทำตามที่หญิงสาวบอกอย่างว่าง่าย

แล้วใบหน้าชโลธรก็ค่อยๆ กลับกลายเป็นใบหน้าของรันชรี หัวใจของชายหนุ่มแทบจะหยุดเต้นในขณะ เขาต้องฝันไปแน่ๆ จู่ๆ ชโลธรจะกลายเป็นรันชรีได้อย่างไร

“โชค แกคิดถึงฉันหรือเปล่า ฉันคิดถึงแกมาก ไปหาฉันนะ ที่บ้านของฉัน”

“รัน...รัน”

แต่แล้วแรงเขย่าจากหญิงร่างเล็ก ก็ปลุกให้ชายหนุ่มตื่นจากการหลับใหลนั้น

“แหม่ม...รัน”

“ฝัน...ไป”

ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวชัดๆ อีกครั้งหนึ่ง

“คุณกลับบ้านได้แล้วค่ะ มันใกล้จะมืดเต็มทีแล้ว”

ชายหนุ่มรั้งแขนหญิงสาวไว้ มองหน้าด้วยใบหน้าตึงเครียด

“แหม่ม คุณช่วยตอบผมทีเถอะ คุณกับรันรู้จักกันใช่ไหม ตอนนี้ผมสับสน ผมสับสนกับเรื่องราวที่ผมได้สัมผัส ตอบผมทีเถอะแหม่ม”

“ค่ะ...รู้จัก”

แล้วรันเค้า....อยู่ที่ไหน

“ก็อยู่ที่บ้านนั่นแหละค่ะถ้าคุณว่างก็แวะไปหาเธอบ้างสิคะ เธอคงคิดถึงคุณมากนะคะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบและเยือกเย็น

ชายหนุ่มก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือตนเอง เกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว แต่เหตุใดชโลธรจึงไม่เปิดไฟ ในบ้านมันเริ่มจะมืดมิดเข้าไปทุกทีๆ หญิงสาวกลับเป็นผู้เดินนำหน้าเขาออกไปสู่นอกตัวบ้าน เหมือนจะไม่ต้องการให้เขาอยู่ที่นี่ในเวลานี้

“คุณกลับไปก่อนเถอะค่ะ ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย” หญิงสาวกล่าวกับชายหนุ่ม

แม้ว่าจะยังไม่อยากผละจากชโลธรออกมา แต่เขาก็ต้องทำตามที่หญิงสาวบอก เพราะในขณะนี้ตัวเขาเองรู้สึกสับสนเหลือเกิน สับสนเกินกว่าจะเรียบเรียงคำพูดหรือเหตุการณ์ต่างๆ ให้มันเป็นเรื่องเป็นราว เขาเชื่อว่าชโลธรคนเดียวเท่านั้นที่จะเป็นผู้ไขความข้องใจของเขาได้

ระหว่างทางกลับบ้านโชคครุ่นคิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น หรือเขาจะไปหารันชรีที่บ้านอย่างที่ชโลธรบอก หรือเขาจะโทรศัพท์ไปก่อน แต่แล้วคำพูดของแพรวพรรณกลับแว่วเข้ามาในหู

“นังรันมันตายแล้ว”

จริงหรือที่รันชรีจะตายแล้ว?

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ยังลังเลที่จะกดเบอร์โทรศัพท์ไปหาหญิงสาวผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนรัก แต่ทว่ากลับติดต่อไม่ได้ มันยิ่งเพิ่มระดับความสับสนภายในใจของเขาเป็นทวีคูณ

“โชค เมื่อคืนแม่ฝันไม่ค่อยดี ฝันถึงรัน ลูกโทรหาเพื่อนหน่อยนะ” มารดากล่าวเมื่อเห็นบุตรชายยืนถือโทรศัพท์อยู่

“แม่ครับ ผมเพิ่งโทรหารัน แต่ผมติดต่อเขาไม่ได้ ว่าแต่แม่ฝันว่าอะไรหรือครับ”

“รันเขามาขอโทษแม่ แม่ถามว่าขอโทษเรื่องอะไรก็ไม่ยอมบอก หน้าตางี้ซีดเซียว แม่เป็นห่วงจริงๆ”

“ไม่แน่นะครับแม่ ผมอาจจะไปหารันก็ได้”

แม้ว่าชายหนุ่มอยากจะเล่าสิ่งที่ตนเพิ่งได้สัมผัสมาเมื่อตอนเย็นให้มารดาฟัง แต่เขากลับเก็บทุกอย่างไว้ในความเงียบ ยิ่งเมื่อมารดาฝันเช่นนั้น เขายิ่งกลัวว่ามารดาจะวิตกกับเรื่องที่เขาประสพมา

................................................................................................

ฝ่ายชโลธรเธอต้องการติดต่อกับรันชรีอีกครั้ง หญิงสาวพยายามนั่งสมาธิ จนได้พบกับรันชรี

“คุณรัน คุณบอกแหม่มทีเถอะคะ ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่”

“เธอไม่ต้องถามหรอก เธอช่วยฉันมามากแล้ว ต่อไปนี้เธอไม่ต้องช่วยอะไรฉันอีก เพราะทุกอย่างมันใกล้จบเต็มทีแล้ว”

“คุณรัน...”

“เลิกแล้วต่อกันเถอะค่ะ อย่าจองเวรพวกเขาเลย นี่คุณกิตติก็หายตัวไป แหม่มรู้ว่าคุณรู้ว่าเขาหายไปไหน หยุดเถอะค่ะ”

รันชรีที่ใบหน้ายิ้มแย้ม กลับกลายเป็นใบหน้าบึ้งตึงและโกรธเกรี้ยว แล้วหันกลับมามองชโลธร ด้วยสายตาที่น่าหวาดกลัว

“หมดหน้าที่ของเธอแล้ว เธอไม่ต้องมาพูดอะไร คนพวกนั้นต้องได้รับรู้ถึงความเจ็บปวด อย่างที่ฉันเคยเป็น”

“โธ่ คุณรัน คุณไม่ควรจะไปตัดสินลงโทษพวกเขาด้วยความรู้สึกของคุณนะคะ” ว่าแล้วแหม่มก็ได้แต่แผ่เมตตาไปให้

“หยุดเถอะค่ะ เชื่อแหม่มนะ”

หลังจากออกจากการนั่งสมาธิแล้ว แหม่มได้แต่วิตกกังวลเรื่องกิตติและโชค ไม่ใช่เพราะว่าคนหนึ่งเป็นหัวหน้า อีกคนหนึ่งเป็นชายที่หญิงสาวเริ่มมีความรู้สึกดีๆ ให้ แต่เป็นเพราะทั้งสองคนต่างก็เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และเธอก็รับรู้ถึงเรื่องราวของรันชรีมาโดยตลอด รวมไปถึงรับรู้ถึงความเจ็บปวดต่างๆ ที่รันชรีได้รับมา แต่รันชรีไม่มีสิทธิ์จะมาตัดสินลงโทษคนทั้งสองด้วยความรู้สึกของตนเอง เพราะเธอเองเชื่อว่าอีกไม่นานทั้งกิตติและโชคก็จะต้องได้รับผลกรรมจากการกระทำของตนอย่างแน่นอน

โชคมาหาชโลธรอีกครั้งหนึ่ง เขาตั้งใจว่าวันนี้จะต้องคุยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหญิงสาวกับรันชรีให้รู้เรื่อง เพราะเขาบอกมารดาแล้วว่าในวันรุ่งขึ้นจะไปหารันชรีที่บ้าน

“ที่ผมมาวันนี้ ผมต้องการคุยกับคุณ เรื่อง...รัน” ชายหนุ่มเปิดฉากการสนทนาทันที ที่นั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก

หญิงสาวไม่มีคำพูดใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงความสับสนในใจเท่านั้น ที่เธอจะเล่าเรื่องของรันชรีให้ชายหนุ่มฟังดีหรือไม่ เพราะบัดนี้เธอเริ่มเป็นห่วงเขาแล้วจริงๆ

“คุณเป็นอะไรกับรัน”

“ฉันขอร้องล่ะคุณโชค อย่าถามอะไรฉันเลย แต่ฉันก็จะขอร้องถ้าคุณจะไปหาคุณรันจริงๆ ฉันขอไปด้วย”

“ทำไม”

“มันยากที่จะให้ฉันอธิบาย ว่าแต่คุณจะไปเมื่อไหร่”

“พรุ่งนี้”

“มารับฉันด้วย”

ด้วยการสนทนาเพียงชั่วครู่ ยิ่งทำให้โชคอยากรู้เรื่องราวมากยิ่งขึ้น แต่ทว่าหญิงสาวกลับขอร้องให้เขากลับบ้านไปก่อน อีกครั้งที่ชายหนุ่มขับรถกลับบ้านด้วยความจำใจ ทั้งที่ใจจริงแล้วอยากจะพูดคุยกับชโลธรให้กระจ่างถึงความสงสัยทั้งหมดที่มีอยู่ในใจ

คืนนั้นแหม่มครุ่นคิดทั้งคืนว่าจะเล่าเรื่องรันชรีให้โชคฟังดีหรือไม่

“เธอจะเล่าให้เขาฟังไม่ได้ หากเขาจะรู้ฉันเองที่จะเป็นคนบอกเขา”เสียงรันชรีกังวานก้อง

“คุณจะทำอะไรเขา เขาเป็นเพื่อนของคุณนะ”แหม่มเริ่มสงสัยว่ารันชรีอาจจะทำอะไรโชค เหมือนกับการที่กิตติหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

“มันยังใช้ได้อีกหรือคำว่าเพื่อน”กังวานนั้นกึกก้อง

“เธอเป็นคนที่ช่วยฉันมาตลอด ฉันจะไม่ลืมบุญคุณของเธอเลย แต่ฉันขอเตือนเธอว่าอย่ามายุ่งกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น”

“คุณรันจะทำอะไรเขากันแน่”

คงมีเหลือแต่ความเงียบเท่านั้น แหม่มพยายามจะนั่งสมาธิเพื่อจะติดต่อกับรันชรีอีกครั้ง แต่บัดนี้จิตใจของเธอร้อนรุ่มเกินกว่าที่จะปฏิบัติเช่นนั้นได้ มีเพียงความหวาดหวั่นเท่านั้นที่เข้ามาแทนที่จิตใจอันแน่วนิ่งที่เคยมี

รุ่งเช้าโชคขับรถมารับชโลธรด้วยใบหน้าที่อิดโรย เขาไม่ได้นอนทั้งคืน ความคิดเกี่ยวกับเรื่องของรันชรีมันวนเวียนอยู่ในหัว จนยากที่เขาจะข่มตาหลับลงได้ หญิงสาวก็เช่นกัน เพราะเธอเองก็ครุ่นคิดเรื่องนี้ตลอดทั้งคืน มาเผลอหลับเอาตอนใกล้จะสว่าง แต่อย่างไรหญิงสาวก็อาสาที่จะขับรถเปลี่ยนให้หากเขาต้องการพักผ่อน

“คุณเป็นเพื่อนกับคุณรันมานานหรือยัง” หญิงสาวเอ่ยถามชายหนุ่มหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในภวังค์แห่งตน

“นาน...นานมาก หลายสิบปีแล้ว”

“แล้วคุณไม่รู้จักนิสัยใจคอเพื่อนคุณเลยหรือ”

ชายหนุ่มอึ้งในคำถามหญิงสาวช่างถามได้ถูกจุดเสียจริงๆ เขาคบกับรันชรีมาเกือบยี่สิบปี รู้นิสัยใจคอกันดี แต่แล้วทำไมเขาถึงไม่ให้โอกาสเพื่อน เขาขับไล่เธอ ความผิดที่เขาต้องยอมรับเพราะมันคือความจริงที่เกิดขึ้นมาแล้ว

“คุณรันตายไปแล้วนะ”

“คุณว่าไงนะ รันตายแล้ว ตายเมื่อไหร่ ตายยังไง คุณล้อผมเล่นหรือเปล่า นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ ความเป็นความตายเนี่ย”

“เธอตายไปแล้วจริงๆ และการที่ฉันได้มาที่เมืองนี้ ฉันคิดว่าเพราะเธอต้องการให้ฉันช่วยเหลืออะไรบางอย่างกับเธอ ฉันรับรู้เรื่องราวของพวกคุณมาโดยตลอด ด้วยการฝัน และการนั่งสมาธิ คุณรันน่าสงสารมากแต่ก็น่ากลัวมากเหมือนกัน”

ชายหนุ่มผ่อนความเร็วของยานพาหนะลง เมื่อหญิงสาวเริ่มเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้น

“ใช่แล้ว ฉันเห็นพวกคุณตั้งแต่วันงานเลี้ยงส่งที่บ้านคุณรัน แล้วก็ตอนที่ยัยแพรวกับอีตานนท์นั่นบอกให้คุณรันขายหุ้น เรื่องนี้คุณคงไม่รู้สินะ ว่าเพื่อนตัวแสบของคุณทั้งสองคนนั้น เป็นงูพิษขนาดไหน ยัยแพรวแอบชอบคุณมานาน คุณรู้ตัวหรือเปล่า รวมไปถึงเรื่องของคุณกิตติ คุณรันพยายามจะเล่าเรื่องของเธอให้คุณฟัง แต่คุณรันเห็นว่าคุณกำลังยุ่งเรื่องแม่ของคุณ ก็เลยไม่ได้เล่าในทีเดียว คุณรันน่าสงสารที่ถูกคนอย่างคุณกิตติหลอกลวง”

“แพรวพรรณ” เธอช่างร้ายกาจมากกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะ กังกานก้องในความรู้สึกของชายหนุ่ม

“แล้วคุณเริ่มฝันตั้งแต่เมื่อไหร่ หมายถึงรันเขาตายนานหรือยัง”ชายหนุ่มยังไม่เชื่อในทีเดียว เพราะเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาผู้เป็นมารดายังได้สนทนากับรันชรี และรันชรีก็บอกว่ากำลังจะกลับมาที่เมืองนี้

“ฉันไปสำรวจบ้านร้างกับรายการวิทยุ ไปสำรวจบ้านร้างที่ขึ้นชื่อว่าเฮี้ยน คุณเคยฟังไหม แล้วฉันก็ได้พบคุณรัน”

“นานหรือยัง”

“สองเดือนที่แล้ว”

หากเป็นดังเช่นที่หญิงสาวกล่าวจริงๆ รันชรีต้องตายมาไม่ต่ำกว่าสองเดือน แล้วรันชรีที่มารดาเขาพูดคุยด้วยนั้นคืออะไร เขาเล่าเรื่องราวให้หญิงสาวฟัง

“ก็วิญญาณไงคุณ หรือเรียกสั้นๆ ว่าผีน่ะ”

“ทุกอย่างมันประจวบเหมาะหรือทุกอย่างมันถูกจัดแจง ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่กี่วันหลังจากที่ฉันได้พบกับคุณรัน บริษัทก็ส่งฉันมาที่นี่ แล้วก็ได้พบกับหัวหน้าซึ่งก็คือคุณกิตติ แต่การที่ฉันได้พบคุณ ฉันเพียงทำตามสิ่งที่คุณรันต้องการเท่านั้น เธอบอกให้ฉันเข้าไปพบคุณ”

เมื่อหญิงสาวเล่ามาถึงตรงนี้แล้ว ชายหนุ่มถึงกับหน้าชา เขาเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้นอีกระดับ เพื่อหวังจะไปถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด

.............................................................................................................

 

26 พฤษภาคม 2559 15:12 น.

Home บ้านรักในรอยแค้น ตอนที่ 23

สมภพ แจ่มจันทร์

ตอนที่ 23

แพรวพรรณรู้สึกอ่อนล้ากับสิ่งที่เกิดขึ้น หญิงสาวเลี่ยงเข้าไปในห้องทำงานเล็กๆ ที่อยู่ด้านในสุดของร้าน เพื่อปิดบังไม่ให้ใครได้เห็นหยาดหยดน้ำใสๆ ที่กำลังเอ่อออกมาจากดวงตากลมโตทั้งสอง

บวกกับความโกรธเคืองผู้เป็นมารดาของชายหนุ่มที่พยายามกันท่าเธอทุกอย่าง ยิ่งเมื่อมีชโลธรเข้ามาเหมือนกำแพงที่นางสร้างขึ้นถูกเสริมด้วยใยเหล็กให้แน่นหนายิ่งขึ้น แต่ความรักและความสเน่หาที่หญิงสาวมีต่อชายหนุ่มจะเป็นแรงผลักดันให้หญิงสาวต้องพยายามต่อไป เพื่อให้ชายหนุ่มกลับมาสนใจตนเหมือนเมื่อครั้งที่รันชรีไปจากที่นี่ใหม่ๆ

หญิงสาวกดเบอร์โทรศัพท์ไปหาอานนท์ด้วยความไม่พอใจ ที่อานนท์ไม่รีบเข้าไปตีสนิทกับชโลธร ตามแผนการที่เธอได้วางไว้ แต่ดูเหมือนว่าปลายสายจะไม่รับโทรศัพท์ ยิ่งเพิ่มระดับความไม่พอใจให้กับหญิงสาวไปอีกขั้น

ติดแล้ว...

“แกอยู่ไหน”

“ว่าไงนะ ฉันไม่ได้ยิน”

สัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดไป...

ไม่แปลกที่แพรวพรรณจะไม่ได้ยินเสียงของอานนท์ เพราะมันอึกทึกไปด้วยเสียงเพลงจังหวะเร้าใจ ไม่ต้องบอกหญิงสาวก็รู้ได้ในทันทีว่าขณะนี้อานนท์กำลังอยู่ในสถานบันเทิงอานนท์ชักจะไม่เชื่อฟังเธอเสียแล้ว พักหลังๆ นี้อานนท์ออกเที่ยวบ่อย แม้แต่ในร้านอาหารก็ยังไม่เข้ามาดู โดยเฉพาะในวันศุกร์เช่นนี้ ลูกค้าจะหนาตาเป็นพิเศษ ความระอาและเบื่อหน่ายเริ่มขึ้น

แพรวพรรณหยิบกระเป๋าถือของตนแล้วสะบัดก้นเดินออกจากร้านไปอย่างไม่เหลียวหลัง มีเพียงโชคคนเดียวเท่านั้นที่หล่อนพอที่จะเอื้อนเอ่ยด้วยได้

“รู้สึกว่าแพรวจะเป็นส่วนเกิน แพรวกลับก่อนดีกว่านะโชค” หญิงสาวกล่าวกับชายหนุ่มเชิงน้อยใจ

ไม่มีคำพูดใดๆ จากชายหนุ่ม มีเพียงการพยักหน้าเบาๆ เท่านั้นที่เป็นการตอบรับระหว่างเขาและเธอ แต่บัดนี้ชายหนุ่มกลับรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะในใจของเขาไม่ต้องการให้แพรวพรรณเข้ามาที่ร้านนี้อีกเลย มิใช่ว่าถูกต่อว่าจากผู้เป็นมารดาเรื่องการดึงแพรวพรรณมาร่วมหุ้น แต่ทว่ามันมาจากตัวเขาเองและตัวแพรวพรรณ ที่เขายังโทษตนเองอยู่เสมอว่า เป็นเพราะการไม่มีสติของเขาในคืนนั้น ทำให้แพรวพรรณคิดไปว่าเขามีใจให้ แล้วจึงแสดงกิริยาไม่งามต่างๆ นานา ให้ทั้งเขา มารดา และผู้คนรอบข้างได้เห็น จนเลยเถิดถึงการแสดงตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ

ในเวลานี้ ชโลธรต่างหากที่เขาต้องการอยากให้อยู่ที่นี่ให้นานที่สุด นี่หรือความรัก เขาย้อนนึกถึงอดีตเพื่อนรักอีกครา เขาและรันชรีเคยสัญญาต่อกันไว้ว่าจะแข่งกันเก็บเงิน ถ้าใครมีแฟนก่อนกันจะต้องพาแฟนไปกระโดดบันจี้จั๊ม ซึ่งเป็นเรื่องที่ทั้งเขาและรันชรีกลัวถึงขีดสุด หากวันนี้รันชรียังอยู่ที่นี่เขาคงจะบรรยายความรู้สึกในขณะนี้ที่มีต่อชโลธรให้รันชรีฟังเป็นแน่

แต่เขาเพิ่งนึกขึ้นได้...

ชโลธรน่าจะรู้จักกับรันชรี...

แม้เธอจะไม่เคยยอมรับ...

แต่ด้วยเหตุการณ์และเหตุผลต่างๆ...

มันทำให้เขาสรุปเอาเองว่า

ชโลธร...รู้จัก...รันชรี

ประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ของหญิงสาวทั้งสองจึงย้อนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

อีกครึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาปิดร้าน ลูกค้าโต๊ะยาวบัดนี้เหลือสมาชิกเพียงสี่คนเท่านั้น คือคุณยุพาหัวหน้าคนใหม่ คุณสมชาย ชโลธรและชมพูนุช ที่ยังคงนั่งคุยกันเรื่องงานติดพันกันอยู่ แต่มิวายที่คุณยุพาอดที่จะกล่าวถึงกิตติไม่ได้

“ฉันละเสียดายจริงๆ กิตติไม่น่าหายไปแบบนี้เลย เขาเป็นคนที่เก่งมากทีเดียว”คุณยุพากล่าวอย่างอ่อนใจ

“แหม่มว่าเขาคงมีความจำเป็นจริงๆ ถึงต้องทิ้งงานไปแบบนี้”

“อย่าให้เป็นเหมือนครั้งก่อนเลย”

“เป็นอะไรคะคุณยุพา” ชมพู่ถาม

 “กิตติโชคร้ายเรื่องครอบครัว เพื่อนรักกับภรรยาเป็นชู้กัน เขาเสียใจมาก จนเสียผู้เสียคน จากคนที่ไม่เคยกินเคยดื่ม ก็หันเข้าหาอบายมุข กลายเป็นคนเจ้าชู้ ฉันรู้จักกับเขามาตั้งแต่เริ่มทำงานที่บริษัทนี้ใหม่ๆ แต่พอกิตติเขาได้เลื่อนตำแหน่ง เขาก็ไม่ค่อยได้อยู่ที่สำนักงานใหญ่ จนเมื่อปีที่แล้วก็มีเรื่องหนี้การพนัน ที่เขาต้องบากหน้าไปหยิบยืมเงินเพื่อน รวมทั้งฉันด้วย”

“แล้วหัวหน้าช่วยคุณกิตติหรือเปล่าคะ”

“ก็...กะว่าจะช่วย”

“แต่เมื่อติดต่อเขาอีกทีกิตติเขาก็บอกว่าเขาจัดการเรียบร้อยแล้ว”

“แล้วหัวหน้ารู้จักแฟนคุณกิตติหรือเปล่าคะ”

“เก่าหรือใหม่ล่ะ ถ้าเก่าละก็...รู้จักดีเลยล่ะ แต่ถ้าเป็นแฟนใหม่ อย่าพูดถึงเลย นับไม่ถ้วน”

“แต่มีอยู่รายหนึ่งน่าสงสารมาก ชนิดที่ต้อง รปภ.พาออกไปจากตึกเชียวแหละ” หญิงกลางคนผู้เป็นหัวหน้าใหม่ กล่าวอย่างอ่อนใจและเล่าต่อไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

“วันนั้นกำลังเลิกงาน ผู้หญิงคนนั้นร้องห่มร้องไห้ กอดแข้งกอดขา พูดแล้วน่าสงสารลูกผู้หญิงด้วยกัน”

“ผมไม่ยาวมาก แล้วก็ไม่ค่อยสวยมากใช่ไหมคะ คุณยุพา”

“อ้าวชโลธร เธอรู้ได้ยังไงกัน”

“คุณรัน”

“เดาเอาค่ะ”

เลวจริงๆ ผู้ชายคนนี้เลวจริงๆ ทำถึงขนาดนั้นเชียวหรือนี่ คุณรัน ไม่น่าไปรักคนไม่มีหัวใจอย่างนี้เลย

คุณยุพา กวักมือให้สัญญาณกับบริกรเพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ทว่าบริกรกลับบอกว่าค่าอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดถูกเคลียร์ไปเรียบร้อยแล้ว คุณยุพาทำสีหน้าตกใจ เพราะคิดว่าผู้เป็นเลขาฯ ของตนเป็นผู้จ่ายเงิน แต่ทว่าเมื่อมองเลยไปที่เคาน์เตอร์ก็เห็นหนุ่มรูปงามที่แนะนำตนว่าเป็นคู่รักของเลขาฯ ตน ก็พอจะเข้าใจว่าใครกันเป็นผู้จ่ายเงินทั้งหมด แต่มิวายคุณยุพาจะเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม พร้อมกับยื่นธนบัตรให้ หลังจากพูดคุยกันสักพัก ชายหนุ่มดึงธนบัตรลงเก็บและส่งคืนคุณยุพาบางส่วน จากนั้นคุณยุพาจึงเดินกลับมาที่โต๊ะ

“โอกาสหน้าเชิญใหม่นะครับ” โชคกล่าวอย่างนอบน้อม

“ถ้ามาแล้วไม่ให้จ่ายทีหลังจะไม่มาอีกนะ เกรงใจแย่” หญิงผู้เป็นลูกค้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แฟนแหม่มนี่น่ารักนะ” ผู้เป็นหัวหน้าหันมาคุยกับเลขาฯ คนใหม่ของตนระหว่างที่เดินมายังรถที่จอดอยู่หน้าร้าน

หญิงสาวทำได้เพียงส่งยิ้มให้ แล้วก้มหน้าเท่านั้น ซึ่งเธอเองก็ออกจะงงกับพฤติกรรมของตนเองอยู่ไม่น้อย ว่าเหตุใดจึงไม่ชี้แจง หรือปฏิเสธทุกอย่างที่ชายหนุ่มบอกกล่าวกับเพื่อนร่วมงานทั้งหมด คงมีเพียงชมพู่เท่านั้นที่ยังมองหน้าเพื่อนด้วยคำถามอยู่เหมือนเมื่อต้นชั่วโมงที่ผ่านมา

โชคเดินอย่างรีบเร่ง เพื่อตามหญิงสาวมาจนถึงรถคันสีแดงสดที่จอดใกล้ๆ กับรถของเขา

มันแปลกมากในความรู้สึก เหตุใดความรู้สึกที่เขามีต่อหญิงสาวผู้นี้มันจึงได้รุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกคุ้นเคยกับเธอ ราวกับว่ารู้จักและคบหากันมานานนับปี บวกกับฝ่ายมารดาที่นอกจากจะไม่มีทีท่าว่าจะห้ามแต่ยังเหมือนจะสนับสนุนให้เขาคบหากับชโลธร ไม่เช่นนั้นนางคงไม่รีบโทรศัพท์ตามให้เขากลับมาเช่นนี้หรอก

“ราตรีสวัสดิ์ครับ...” ชายหนุ่มบอกกับหญิงสาวเมื่อหญิงสาวกำลังจะเปิดประตูรถในใจของเขาอยากจะดึงร่างเล็กๆ นี้เข้ามากอดไว้เสียจริง กลิ่นกายของหญิงสาวช่างหอมจนยากที่เขาจะลืมกลิ่นนั้นได้ลง

“ค่ะ” แต่อีกฝ่ายกลับมีเพียงคำตอบสั้นๆ เท่านั้น

แต่ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างเขา ชมพู่สตาร์ทรถเท่าไหร่ก็ไม่ยอมติด คุณยุพาและคุณสมชายก็ออกไปได้พักใหญ่ๆ แล้ว หญิงสาวทั้งสองออกจากตัวรถแล้วตรงไปเปิดกระโปรงรถทันที

“ให้ผมขับรถไปส่งได้ไหม” ชายหนุ่มว่า

หญิงสาวทั้งสองมองหน้ากัน เหมือนจะส่งคำถามหากันว่าจะตกลงหรือไม่

ครืน...ครืน...เสียงฟ้าคำรามดังก้องฟ้า เวลาผ่านไปไม่กี่วินาที ประกายแสงจากเบื้องบนก็เป็นสัญญาณเตือนว่าอีกไม่นาน ฝนกำลังจะเทลงมา

“แล้วแม่คุณล่ะ” ชโลธรเอ่ยถาม

เขาลืมมารดาไปเสียสนิท ป่านนี้นางคงกำลังเคลียร์บิลอยู่ในร้าน ว่าแล้วเขาก็ถือวิสาสะ คว้าที่ข้อมือหญิงสาว แล้วเดินเข้าไปในร้าน ชมพู่ได้แต่มองตามในกิริยาของโชคที่ปฏิบัติต่อเพื่อนรัก

“เดี๋ยวผมไปช่วยแม่เคลียร์บิลก่อน รอผมแป็ปหนึ่งนะ นะจ๊ะคนดี”

“แกเล่ามาเดี๋ยวนี้เลยนะแหม่ม” ชมพู่คาดคั้นเพื่อนรัก

“ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับเขาจริงๆ อีตานี่ก็ไม่รู้อะไรเข้าสิงมาขี้ตู่ว่าฉันเป็นแฟนเสียอย่างนั้น” หญิงสาวอธิบายให้เพื่อนรักฟังตามความจริง

“แล้วทำไมแกไม่ปฏิเสธเขาไปล่ะ ตอนที่เขาแนะนำให้ทุกคนรู้ว่าแกเป็นแฟนเขา”

ไม่มีคำตอบใดๆ จากชโลธร เพราะเธอเองก็ไม่สามารถตอบได้เช่นกัน ว่าเหตุใดเธอจึงไม่ปฏิเสธไป เพราะหากเธอต้องการจะปฏิเสธ เธอคงบอกชายหนุ่มไปตั้งแต่วันแรกที่ถูกแนะนำให้รู้จักกับมารดาของเขา แต่หญิงสาวกลับปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปอย่างที่ชายหนุ่มต้องการ ไม่เว้นแม้แต่ขณะอยู่ในอ้อมกอดของเขา ที่เธอเองก็ไม่คิดจะขัดขืนแม้แต่น้อย

“เราเป็นอะไรไป ทำไมถึงปล่อยใจได้ถึงเพียงนี้” หญิงสาวตำหนิตนเอง

ไม่นานโชคประคองผู้เป็นมารดาออกมาจากร้าน หญิงสูงวัยมองหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยสายตาเอ็นดู ชมพู่และชโลธรจอดรถทิ้งไว้ที่หน้าร้านอาหารของโชค และให้เขาขับรถมาส่งทั้งสองที่บ้านพัก ก่อนจากลาชายหนุ่มส่งจูบให้ชโลธรด้วยใบหน้าทะเล้น มิวายผู้เป็นมารดาจะแอบหัวเราะเบาๆ อย่างพึงพอใจ

 

 

 

26 พฤษภาคม 2559 15:04 น.

Home บ้านรักในรอยแค้น ตอนที่ 22

สมภพ แจ่มจันทร์

ตอนที่ 22

แพรวพรรณตรงดิ่งไปที่บ้านอานนท์และเล่าเรื่องกิตติส่งชโลธรมาแย่งโชคเพื่อเป็นการแก้แค้น แพรวพรรณวางแผนเช่นเดิมคือให้อานนท์เข้าไปตีสนิทและจีบชโลธร โดยคราวนี้ให้ค่าจ้างเป็นเงินหลักแสน แต่อานนท์ต้องทำให้สำเร็จตามเวลาที่แพรวพรรณกำหนดไว้

ฝ่ายอานนท์เมื่อเห็นเงินค่าจ้างก้อนใหญ่ก็ตกปากรับคำทันที

“แกอย่าทำพลาดเหมือนคราวนังรันก็แล้วกัน” แพรวพรรณท้าวความถึงเรื่องที่อานนท์จีบรันไม่สำเร็จ

“เออน่า ยัยนี่น่าจะไม่ยาก” ในแววตาชายหนุ่มฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมาทันที

“ฉันก็เห็นแกบอกอย่างนี้เมื่อครั้งนังรันเหมือนกัน”

อานนท์มองแพรวพรรณด้วยสายตาไม่พอใจสักเท่าใด เพราะเขาเองก็ใช่ว่าหน้าตาจะขี้ริ้วขี้เหร่ บรรดาสาวเล็กสาวใหญ่ในเมืองต่างก็อยากจะคู่ควงของเขา คงมีเพียงแต่รันชรีเท่านั้นที่ตาไม่ถึงของ แต่เมื่อนึกเงินมันก็ทำให้ความรู้สึกขุ่นเคืองนั้นหายไปเป็นปลิดทิ้ง 

แต่อีกเรื่องหนึ่งที่แพรวพรรณจะต้องเล่าให้อานนท์ฟังให้ได้ คือเรื่องใบหน้าของชโลธรกลายเป็นรันชรี

“เราต้องไปหาของดีมาป้องกันตัวเรา ไม่งั้นฉันต้องประสาทกลับเพราะนังรันแน่ ตอนเป็นคนก็เป็นขวากหนามของฉัน พอตายไปก็ยังตามมาหลอกหลอนกันอีก”

ว่าแล้วหญิงสาวก็ลูบแขนไปมา เพราะยังนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นที่ริมบึงแต่แรงแห่งความรักและความหึงหวงมันมีมากยิ่งกว่า

“ไอ้กิตติล่ะ แพรวได้โทรหามันบ้างหรือเปล่า เห็นบอกว่ามันไปหารันไม่ใช่หรือ”

“ติดต่อไม่ได้ ไม่รู้ป่านนี้โดนนังรันบีบคอตายไปหรือยังก็ไม่รู้”

อานนท์นั่งอมยิ้มอย่างมีความใน สักพักชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินไปชั้นสองของบ้าน เขากลับลงมาด้วยตะกรุดเก่าๆ หนึ่งอัน พลางยื่นให้กับหญิงสาว

“แกเอานี่ไว้ มันจะอยู่หรือมันจะตายก็กันไว้ก่อน”

“แกเอามาจากไหน”

“ตั้งแต่วันนั้นที่เราต้องไปนอนค้างที่วัด ฉันก็เริ่มเสาะแสวงหาของพวกนี้ ก็ที่ฉันไม่อยู่สองสามวันนั่นแหละ ไปเอาของดีมา เชื่อฉันนะใส่ไว้แล้วจะปลอดภัย ก็ตั้งแต่ฉันใส่ติดตัว ก็ไม่มีอะไรมาให้เห็นอีก”

หญิงสาวรับเครื่องรางจากชายหนุ่มเอาไว้ มันทำให้จิตใจอันหวาดผวานั้นกลับมามั่นคงอีกครั้งหนึ่ง

.......................................................................................

ระยะเวลาแห่งการทำงานของชโลธรใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่กิตติหายตัวไปอย่างลึกลับ นับจากวันที่เขาลางานและขอลาพักร้อนต่อ มันร่วมเดือนเข้าไปแล้ว “คุณยุพา” คือหัวหน้าคนใหม่ที่ทางสำนักงานใหญ่ส่งมาแทนกิตติ ข่าววงในซุบซิบกันว่ากิตติอาจจะหนีหนี้พนันอีกก็เป็นได้ หรือไม่ก็ถูกนักเลงทำรายเหมือนที่ผ่านมา แต่เรื่องสำคัญคือบัดนี้เขาถูกปลดออกจากการเป็นพนักงานของบริษัทไปเรียบร้อยแล้ว เพราะการละเลยงานเป็นเวลานานขนาดนี้ มันถือเป็นความบกพร่องอย่างสูงสำหรับผู้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้างาน

แม้หญิงสาวจะไม่ค่อยชอบหน้ากิตตินัก แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ที่เขาหายตัวไปนานเช่นนี้บวกกับการไม่ได้ติดต่อกับรันชรีมาหลายวัน ทำให้หญิงสาวคาดเดาไปต่างๆ นานา ว่ากิตติอาจจะตกอยู่ในอันตรายก็เป็นได้

คืนนี้ชโลธรจึงนั่งสมาธินานเป็นพิเศษ จนชมพู่ดูทีวีแล้วเผลอหลับไป ชโลธรก็ยังคงนั่งสมาธิต่อไป โดยเธอไม่รู้สึกเหนื่อยล้าร่างกายแต่อย่างใด

หญิงสาวเพ่งจิตไปที่รันชรี แต่ทว่ากลับพบแต่ความว่างเปล่า สิ่งที่ทำได้สิ่งเดียวคือการแผ่เมตตาและอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ แต่พลันนั้นภาพของรันชรีก็ปรากฏขึ้น

“ฉันสบายดี ขอบใจเธอมากนะที่ช่วยเหลือฉันมาตลอด” รันชรีพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“คุณกิตติหายไป คุณรันรู้หรือเปล่าค่ะว่าเขาอยู่ที่ไหน ทุกคนที่บริษัทเป็นห่วงเขามากนะคะ”

“ไม่ต้องห่วงหรอก”

“หมายความว่าเขาอยู่กับคุณ?

...คุณรันให้แหม่มไปพบเพื่อนคุณทำไมคะ?

“แค่เธอไปให้เพื่อนฉันได้รู้จักเธอ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เธอช่วยฉันมามาก ต่อไปนี้ฉันจะเป็นฝ่ายช่วยเธอเอง”

“ช่วยอะไรคะ”

“เดี๋ยวเธอก็รู้เอง ฉันไปละนะ ขอบใจเธอมาก”

แล้วภาพทุกอย่างก็กลายเป็นสีขาวโพลน หญิงสาวค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วถอนตนเองออกจากการนั่งสมาธิ แม้ว่าคำตอบทุกอย่างจะยังไม่เฉลยให้เธอได้รับรู้ทั้งหมด แต่เมื่อเห็นรันชรีกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มและมีความสุขเช่นนั้น ก็ทำให้หญิงสาวอิ่มอกอิ่มใจไม่น้อย เธอหวนนึกถึงคำพูดของรันชรีอีกครั้งว่าไม่ต้องทำอะไรแล้ว มันก็ช่วยทำให้เธอผ่อนคลายลงไปได้มาก

รุ่งเช้าหญิงสาวไปทำงานด้วยความปลอดโปร่ง แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นดอกไม้ช่อใหญ่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของตน ชมพู่ตื่นเต้นกับดอกไม้ช่อนั้นยิ่งกว่า รีบวิ่งเข้าไปสำรวจดูในการ์ดที่แนบมา

“สำหรับมิตรภาพที่กำลังจะก่อเกิด...อานนท์”

หญิงสาวทั้งสองถึงกับผงะ ชมพู่เผลอปล่อยมือ ทำให้ดอกไม้ช่อใหญ่หล่นลงบนพื้นไปต่อหน้าหญิงสาวทั้งสอง

“สองคนนั่น กำลังคิดจะทำอะไรอยู่” ชโลธรรำพึง

“ฉันว่าแกต้องระวังตัวให้มากนะ ต้องเป็นแผนการของยัยแพรวนั่นพันเปอร์เซ็นต์”ชมพู่ออกความคิดเห็นทันที

ทั้งคู่เดาถูกเพราะครั้งหนึ่งชโลธรเคยรับรู้วิธีการสกปรกที่มีผู้เป็นหัวหน้าของคนทั้งสองร่วมลงมือไปด้วย

“พวกแกไม่มีวันทำได้สำเร็จหรอก” ชมพู่ว่าบ้าง

แต่ยังไม่ทันไรก็มีโทรศัพท์จากสำนักงานใหญ่มาถึงชโลธร เนื้อความคือให้เธออยู่ที่เมืองนี้ต่อ โดยเลื่อนตำแหน่งให้เป็นเลขาฯ ของหัวหน้าฝ่ายคนใหม่ที่ทางสำนักงานใหญ่ส่งมาแทนกิตติ

“หรือนี่จะเป็นสิ่งที่คุณรันบอกว่าจะช่วยเรา เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น เงินเดือนเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ยังไม่รวมเงินพิเศษอื่นๆ อีก” โดยที่ยังไม่ทันเล่าให้ชมพู่ฟัง หญิงสาวค่อยๆ เดินออกจากสำนักงาน เพื่อออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านนอก เธอนึกตรึกตรองดูอีกทีว่าจริงๆ แล้วเธออยากจะอยู่เมืองนี้ต่อหรือไม่ เพราะในระยะเวลาที่กำหนด อีกไม่ถึงสิบวันเธอก็จะได้กลับกรุงเทพฯ แล้ว

ชโลธรเล่าเรื่องที่สำนักงานใหญ่เลื่อนตำแหน่งและเงินเดือนให้ชมพูนุชฟัง แต่ต้องทำงานที่นี่ต่อจนกว่าห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่เปิดได้หกเดือน ถึงจะทำเรื่องย้ายกลับไปที่กรุงเทพฯ ได้อีกครั้งหนึ่ง

รถเก๋งสองคันบรรทุกผู้โดยสารมาแน่นเอี๊ยด มาจอดสนิทที่หน้าร้านอาหารอันคุ้นเคยนั้น บรรดาหนุ่มๆ สาวๆ ต่างทยอยกันออกมาจากรถอย่างยากลำบาก เพราะอัดเบียดเสียดกันมาอย่างแน่นขนัดมีเพียงคุณยุพาหัวหน้าคนใหม่เท่านั้นที่จะขับรถตามมาสมทบกับคุณสมชาย

หนุ่มสาววัยทำงานนับรวมกันแล้วก็สิบห้าคนพอดี กำลังส่งเสียงเซ็งแซ่ระหว่างการสั่งอาหาร คนนี้จะเอาอย่างนั้น อีกคนจะเอาอย่างนี้ บางคนกำลังสั่งเครื่องดื่มจากบริกรหนุ่มน้อย แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต่างก็มีเหมือนกันคือรอยยิ้ม วันนี้ทุกคนบนโต๊ะอาหารมีรอยยิ้มอาบอยู่ที่ใบหน้า เคล้ากับเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะอย่างขบขันในบางจังหวะ มันช่างเป็นชั่วโมงที่แสนจะมีชีวิตชีวาเสียจริง

เมื่อเงยหน้าขึ้นจากรายการอาหาร หญิงสาวผู้นั่งหัวโต๊ะก็ชำเลืองตาไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ แต่ก็ทำให้หญิงสาวต้องชะงักงันในสายตา เพราะในสายตาของเธอนั้นไปบรรจบกับสายตาอีกคู่หนึ่ง ที่กำลังเพ่งมองเธอยู่ด้วยแววตาที่ยากจะอธิบาย คงไม่มีใครจะมีแววตาเช่นนี้ได้นอกเสียจาก หญิงสาวหน้าสวยคนนั้น

 “แพรวพรรณ”

แต่แล้วสายตาชโลธรก็ไปสะดุดกับผู้เป็นมารดาของชายหนุ่มที่กำลังเดินออกมาจากห้องเล็กๆ ด้านในสุดของร้านหญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปสวัสดีกับผู้ที่สูงอายุกว่า นางเองเมื่อเห็นหญิงสาวก็ดีใจไม่น้อย แต่ก็นึกเสียดายที่บุตรชายขับรถกลับไปทันทีที่ส่งนางถึงหน้าร้าน

แตกต่างกับอีกคนที่เมื่อเห็นกลุ่มของชโลธรที่กำลังเข้ามาในร้าน กลับทำหน้าไม่รับแขก ใบหน้าสวยๆ นั้นแฝงไปด้วยความอิจฉาริษยา ชื่อของอานนท์ผุดขึ้นมาในทันที

เหตุใดในเวลานี้อานนท์จึงไม่อยู่ที่ร้าน

แต่ก็ยังถือว่าโชคดี เพราะโชคเองก็ไม่อยู่เหมือนกัน จะอยู่ก็แต่มารดาที่แพรวพรรณเองอยากจะให้เป็นอัมพาตไปให้รู้แล้วรู้รอด เพราะทุกวันนี้ที่เห็นหน้ากัน หล่อนก็ต้องฝืนยิ้มและฝืนพูดคุยด้วยทุกอย่าง

“พวกพนักงานบริษัทกิ๊กก๊อก มากันเยอะแบบนี้สงสัยเจ้านายจะพามาเลี้ยง ถ้าให้จ่ายเองคงไม่มีปัญญาหรอก” แพรวพรรณแสดงความคิดเห็นเมื่อหญิงสูงวัยผละออกมาจากชโลธร

“เขาจะมีจ่ายหรือใครจะจ่ายให้ เขาก็คือลูกค้า แพรวไม่ควรไปพูดวิจารณ์ลูกค้าอย่างนั้นนะ เรามีหน้าที่บริการเขา ก็ทำหน้าที่ของเราไป” หญิงสูงวัยกว่ากล่าวสอนด้วยวาจาที่นุ่มนวล

“คุณป้าก็มองโลกในแง่ดีตลอด เผื่อพวกมันกินแล้วไม่มีเงินจ่ายจะทำยังไงคะ”

“คงไม่มีเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นหรอกจ๊ะ หนูแพรวก็รู้จักหนูชโลธรไม่ใช่เหรอ คนที่นั่งหัวโต๊ะนั่น”

“รู้ค่ะ ก็แค่พนักงานบริษัท เงินเดือนจะซักเท่าไหร่เชียว”

หญิงสูงวัยถอนหายใจด้วยความระอาใจที่มีต่อแพรวพรรณ นางคิดว่าหากวันใดที่บุตรชายของนางมีแฟนเป็นตัวเป็นตน แพรวพรรณคงจะเลิกคิดและเลิกหวังกับบุตรชายของนางไปเอง แต่ในทางตรงกันข้าม แพรวพรรณกลับมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวยิ่งขึ้น

นางเลี่ยงออกไปที่ระเบียงร้านด้านที่ติดกับแม่น้ำ แล้วกดโทรศัพท์ไปหาบุตรชายเพื่อต่อว่าว่าเหตุใดจึงไม่รู้ว่าแฟนตนเองจะมาทานอาหารที่ร้านอาหาร นางจึงบอกให้บุตรชายรีบขับรถกลับมาโดยเร็ว

เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีโชคมาถึงที่ร้าน ชายหนุ่มปรี่เข้าหาชโลธรดั่งคนคุ้นเคย หญิงสาวทำตัวไม่ถูกด้วยความเขินอาย เพื่อนๆ ทุกคนในโต๊ะอาหารรวมทั้งชมพู่ต่างก็แปลกใจกับอากัปกิริยาที่เจ้าของร้านรูปหล่อ ปฏิบัติกับเลขาฯ คนใหม่ประดุจคนคุ้นเคยเช่นนั้น

แพรวพรรณคิดตำหนิอานนท์ที่ไม่เอาไหน ปล่อยให้เรื่องทุกอย่างเป็นอย่างที่เห็น คนที่เข้าไปสนิทสนมกับชโลธรต้องเป็นอานนท์ไม่ใช่โชค ที่บัดนี้ดูเหมือนจะเข้ากับกลุ่มเพื่อนของหญิงสาวได้เป็นอย่างดี เมื่อฟังจากเสียงหัวเราะอย่างเฮฮา ที่ดังมาจนถึงเคาน์เตอร์

หญิงสาวหน้าสวยขบฟันแน่น

ชมพูนุชถามชโลธรเมื่อทั้งคู่มาเข้าห้องน้ำ ว่าไปเป็นแฟนกับโชคตอนไหน ชโลธรได้แต่บอกว่าจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังเมื่อกลับถึงบ้านแล้ว ซึ่งก็ปล่อยให้ชมพู่ตกอยู่ในความสงสัยไปตลอดเวลาที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร

“น้องแหม่มเนี่ย เป็นแฟนของเจ้าของร้านก็ไม่บอก” หนึ่งในสมาชิกพูดเชิงตำหนิ

“เปล่านะคะ ไม่ได้เป็นอะไรกัน”

“ยังมาปฏิเสธอีก” ชายหนุ่มสวนขึ้นมาทันที

“โธ่ คุณชโลธรครับ คุณจะอายใครหรือครับ นี่ก็เพื่อนคุณทั้งนั้น ไม่ต้องอาย ขนาดผมยังไม่อายเลย” ชายหนุ่มพูดด้วยใบหน้าทะเล้น

หญิงสาวอยากจะเอาช้อนส้อมที่อยู่ในมือไปอุดปากผู้พูดเสียจริงๆ ในเวลานี้

“ขี้ตู่”

แต่ลึกๆ แล้วในใจหญิงสาวก็ไม่ได้ปฏิเสธแม้แต่น้อย จากหน้าตาที่ดูดีอยู่แล้ว เมื่อได้สัมผัสกับความน่ารักและความทะเล้นเล็กๆ ของเขา มันยากเหลือเกิน ยากที่จะรั้งใจตนเองไว้ ไม่ไห้ล่องลอยไปกับเขา

แต่แล้วนางมารร้ายก็ปรากฏร่างขึ้นมา แพรวพรรณเดินเชิดหน้าสวยๆ นั้นเข้ามายังชายหนุ่ม

“โชคคะ ท่านรองฯ อยากพบคุณค่ะ” แพรวพรรณเอ่ยเสียงเข้มพร้อมกับสองมือที่เข้ามาคล้องที่แขนของชายหนุ่ม และดึงรั้งเข้าหาตัว

ทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างชะงักการพูดคุยที่กำลังได้อรรถรสนั้น แล้วหันมามองแพรวพรรณเป็นตาเดียวกันสลับกับมองมาที่ชโลธร เป็นนัยๆ จะถามว่าหญิงสาวหน้าสวยผู้นี้เป็นใคร เหตุใดจึงมาควงแขนแฟนหนุ่มของเธอเช่นนี้

“ท่านรองฯ ลูกค้าประจำของเราไงคะ ท่านรออยู่ที่หน้าร้าน”หญิงสาวบอกแล้วหันหน้าออกไปทางหน้าร้าน

“คงไม่ต้องไปพบแล้วละมั้ง เพราะแม่คุยธุระกับท่านเรียบร้อยแล้ว แล้วหนูแพรวก็ควรจะปล่อยมือจากแขนโชคเสียที เพราะหากแม่เป็นหนูแหม่มแม่คงไม่พอใจ ที่คนอื่นจะมาควงแขนแฟนตัวเองอยู่อย่างนี้”

หญิงสูงวัยผู้ตามมาสมทบกล่าวขึ้น ทำเอาทุกคนบนโต๊ะอาหารอึ้งไปอีกรอบนางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่หากแฝงไปด้วยอำนาจ ดวงตานางแม้จะไม่กลมโตเหมือนหญิงสาวหน้าสวย แต่บัดนี้สายตาที่นางมองไปที่หญิงสาวผู้นั้น ราวกับว่าจะกระชากมือของหญิงสาวออกจากแขนของชายหนุ่มในบัดดล

“คนอื่น คุณป้าเรียกแพรวว่าเป็นคนอื่น แล้วสองคนนี้เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน จะเรียกว่าแฟนได้ยังไง” หญิงสาวพูดด้วยอารมณ์ไม่พอใจ

“ก็ลองถามเจ้าตัวเขาดูอีกทีสิ ว่าใช่หรือไม่ใช่” หญิงสูงวัยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบอีกเช่นเคย

พอดีกับคุณยุพาและคุณสมชายมาถึง ชโลธรจึงถือโอกาสแนะนำให้โชคและมารดาได้รู้จักกับหัวหน้างานตามมารยาท แต่ชายหนุ่มกลับถือวิสาสะบอกคุณยุพาว่าตนเองเป็นแฟนกับชโลธร ทุกคนบนโต๊ะอาหารชักชวนให้ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของร้านมานั่งร่วมโต๊ะด้วยกัน ชายหนุ่มอ้างว่าตนต้องดูแลแขกโต๊ะอื่นด้วย ขอให้ทุกคนตามสบาย มื้อนี้เขาขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงฉลองตำแหน่งใหม่ของชโลธรแล้วชายหนุ่มกับมารดาก็เดินเลี่ยงออกมา ปล่อยให้หญิงสาวหน้าสวยนั้นมองตามอย่างร้อนรน ที่ไม่มีใครแนะนำตนให้คนทั้งโต๊ะได้รู้จัก

26 พฤษภาคม 2559 15:08 น.

Home บ้านรักในรอยแค้น ตอนที่ 20

สมภพ แจ่มจันทร์

ตอน 20

ตลอดทั้งวันนับตั้งแต่เปิดร้าน แพรวพรรณราวกับอยู่ในกองไฟ หญิงสาวผุดลุกผุดนั่ง เดินไปเดินมา จนหญิงสูงวัยกว่าเอ่ยปากให้หยุดเดิน เพราะนางตาลายกับพฤติกรรมดังกล่าวจนทำให้ต้องมองหายาดมแม้ผู้เป็นบุตรชายจะบอกกับตนว่าไม่จำเป็นต้องเข้ามาที่ร้านก็ได้ เพราะมีแพรวพรรณกับอานนท์ดูแลอยู่แล้ว นางก็อดห่วงไม่ได้ ที่จะปล่อยให้คนไม่เคยทำงานบริการอย่างแพรวพรรณมาดูแลร้านในช่วงที่บุตรชายของนางเอ่ยปากว่าขอพักสักสองสามวัน

“โชคไปไหนค่ะคุณป้า แพรวโทรไปก็ไม่ติด”คำถามที่อยากจะถามมาตั้งแต่เปิดร้าน แต่หญิงสาวเพิ่งจะมาถามเอาตอนบ่ายแก่ๆ หญิงสาวนึกไว้ในใจแล้วตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อคืน ที่จู่ๆ โชคก็เดินออกจากร้านไป โดยไม่สนใจในตัวเธอเลย

“ไม่ค่อยสบายจ้ะ ป้าก็เลยมาแทนนี่ไง”หญิงผู้เป็นมารดาของชายหนุ่มกล่าวมุสาฯ เพราะจริงๆ แล้วบุตรชายของนางไม่ได้เป็นอะไรเลย และยังคงปกติดีทุกอย่าง

“งั้นแพรวไปดูแลโชคที่บ้านนะคะ”หญิงสาวไม่ละความพยายาม

“อย่าเลยหนูแพรว เขาทานยาไปแล้ว ให้เขาพักผ่อนเถอะ หนูอยู่ดูแลร้านกับป้านี่แหละดีแล้ว”

“.........................”

ประกายเพลิงในใจหญิงสาวปะทุขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพราะเชื้อเพลิงแห่งความเกลียดชังที่มีต่อหญิงสูงวัยที่กำลังสนทนาอยู่ด้วยนี้มันมีอยู่แล้ว หญิงสาวมองไปยังหญิงสูงวัยด้วยสายตาที่ไม่เคารพหรือยำเกรงแต่อย่างใดแต่ก็ต้องฝืนยิ้มเพื่อปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงนั้นไว้

เช่นเดียวกันกับสตรีสูงวัย ที่ขณะนี้ส่งยิ้มให้หญิงสาวอย่างผู้มีชัยชนะ แต่จริงๆ แล้วนางไม่ต้องการชัยชนะใดๆ เหนือหญิงสาวผู้นี้ เพียงแต่ต้องการให้ออกไปจากชีวิตบุตรชายเพียงเท่านั้น ซึ่งดูจากพฤติกรรมของคนทั้งคู่แล้ว นางก็พอจะคาดเดาออกว่าในขณะนี้บุตรชายของนางกำลังหาวิธีให้หญิงสาวก้าวออกไปด้วยวิธีที่นุ่มนวลที่สุด

เมื่อเช้าหลังจากนางใส่บาตรเสร็จ บุตรชายก็มาปรารภเรื่องจะซื้อหุ้นคืนจากแพรวพรรณ นางก็พอจะเข้าใจว่าบัดนี้สิ่งที่นางดูหญิงสาวคนนี้คงไม่ผิดเพี้ยนเป็นแน่ และบุตรชายของนางคงจะอึดอัดหากรู้ว่าเพื่อนที่เล่นหัวด้วยกันมาแต่เล็กแต่น้อย คิดอะไรมากกว่าคำว่าเพื่อน ซึ่งหากบุตรชายของนางชื่นชอบในตัวหญิงสาวมันคงไม่มีปัญหาใดๆ แต่ในทางกลับกันนางรู้ใจบุตรชายดีว่าจะไม่มีวันรักชอบแพรวพรรณในฉันชู้สาวไปได้เด็ดขาด

นางเองต่างหากที่บอกบุตรชายว่าไม่ต้องมาที่ร้าน ขอให้นางเข้ามาจัดการเองเถิด แม้ว่าจะถูกทัดทานจากทั้งผู้เป็นสามีและบุตรชาย นางก็ยังยืนยันว่านางสามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าอาการป่วยของนางทรุดลงไปอีก มิหนำซ้ำยังบอกบุตรชายว่าให้หยุดพักยาว และเสนอว่าควรจะไปตามรันชรีกลับมาที่นี่

เข็มสั้นบนหน้าบัดนาฬิกาเรือนใหญ่ในห้องรับแขกเดินอย่างเชื่องช้าสู่เลข 4 ของเวลาบ่าย ชายหนุ่มแต่งกายด้วยชุดสบายๆ เสื้อยืด กางเกงขาสั้น มองไปรอบๆ บ้าน มันนานนับตั้งแต่ที่เขาเทียวไปเทียวมาระหว่างเมืองนี้กับกรุงเทพฯ เพื่อเฝ้าอาการอัมพฤกษ์ของผู้เป็นมารดา ช่วงเวลาเย็นๆ เช่นนี้เขาไม่เคยได้อยู่ในบ้านเลย เพราะหากกลับมาจากโรงพยาบาล เขาก็ต้องไปที่ร้านอาหาร กว่าจะกลับถึงบ้านก็มืดค่ำ เกือบทุกวัน บรรยากาศเช่นนี้เรียกความรู้สึกเก่าๆ กลับคืนมาได้เป็นอย่างดี

ในวันวานที่เขาพารันชรีมาที่บ้านครั้งแรก มารดาตื่นเต้นกับการมาของหญิงสาวเป็นอันมาก นางทำอาหารแปลกๆ ให้กับอดีตเพื่อนรักได้ลิ้มรส ยิ่งเมื่อรันชรีสนอกสนใจเรื่องการทำอาหาร ยิ่งทำให้นางพึงพอใจอย่างเป็นที่สุด เขามองปราดเดียวก็รู้ว่ามารดาพยายามจะถ่ายทอดวิชาการทำอาหารให้กับรันชรี และก็เหมือนชะตาของคนทั้งสองจะต้องกัน รันชรีเข้ากับมารดาเขาได้เป็นอย่างดี ซึ่งเขาเองก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าเหตุใดมารดาจึงได้สนิทสนมและรักใคร่เอ็นดูเพื่อนคนนี้มาก

แต่ยิ่งนึกถึงเรื่องราวที่ล้วนแล้วแต่อบอวลไปด้วยกลิ่นไอของความสุขมากเท่าใด ความผิดหวังและความโกรธเคืองที่มีต่อหญิงผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนที่เขารักมาก มันกลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เขาขบกรามแน่นแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สมองกำลังสั่งให้จิตใจลืมเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับเพื่อนคนนี้ไปเสีย

เขามองหาผู้เป็นบิดา ที่ไม่ได้นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตัวโปรด ชายหนุ่มก้าวเดินอย่างไม่รีบเร่งออกมาที่หน้าบ้าน

ใกล้ๆ บ้านเป็นบึงน้ำสาธารณะ ในเวลาเย็นๆ เช่นนี้จะมีผู้คนมากมายมาใช้พื้นที่ร่วมกัน ทั้งออกกำลังกาย รำมวยจีน นั่งเล่น สารพัดจะทำได้ มันก็นานมากเหมือนกันที่เขาไม่ได้มาเยือนบึงน้ำแห่งนี้ วันนี้เขาจึงเลือกที่จะเดินเล่นๆ ไปที่บึงน้ำแห่งนั้น

ชายหนุ่มเดินทอดอารมณ์ออกจากบ้านมุ่งหน้าสู่บึง แต่แล้วในความว่างเปล่าในความรู้สึกกลับมีใครคนหนึ่งแทรกเข้ามา เขาแทบจะไม่อยากเชื่อความรู้สึกของตนในวันนี้เลย เพียงพบชโลธรไม่กี่ครั้ง หญิงสาวผู้นี้ได้ฉุดกระชากหัวใจของเขาไปเสียแล้ว เขาอยากพบชโลธรอีกครั้งหนึ่ง

เขารีบสลัดความคิดออกไปอย่างรวดเร็ว

ออกจากบ้านมาเพียงไม่กี่เมตร มีลูกสุนัขตัวหนึ่งวิ่งออกมาจากรั้วบ้านที่เปิดแง้มไว้ มันคงจะเหมือนเด็กเล็กๆ ที่ไม่รู้ว่าที่ตรงไหนปลอดภัยหรือันตรายสำหรับมัน

“เอี๊ยด......................” เสียงเบรกรถในระยะประชิด ดังสนั่น!!

“เอ๋งๆๆๆๆๆๆๆ” ลูกสุนัขตัวอ้วนร้องเสียงหลง

รถเก๋งสีแดงสดจอดนิ่งสนิท ก่อนที่ผู้โดยสารอยู่ด้านในจะเปิดประตูออกมา ชายหนุ่มมองดูด้วยความตกใจ เจ้าหมาน้อยตัวนั้นจะเป็นอะไรหรือเปล่า เขาวิ่งเข้าไปดูลูกสุนัขที่นอนหมอบอยู่กับพื้น

รอยลากของล้อรถ เป็นทางยาว พร้อมกับกลิ่นฉุนของผ้าเบรก ที่เขาคาดเดาว่ามันคงไหม้ไปเสียแล้ว

เมื่อไปถึงตัวลูกสุนัข ก็เป็นจังหวะเดียวกับประตูรถถูกเปิดออก

โอ...กามเทพตัวน้อยคอยติดตามมาแผลงศรให้เขาอีกคราหนึ่งหรือนี่

ผู้ที่ก้าวลงมาจากรถ เป็นคนๆ เดียวกับหญิงสาวที่เขากำลังคิดถึงอยู่ในขณะนี้ “ชโลธร” ในที่สุดเราก็พบกันอีกจนได้ เขากระหยิ่มยิ้มย่องในใจ

หญิงสาวลงจากรถมาด้วยใบหน้าตกใจ แล้วก้มมองลูกสุนัขที่นอนหมอบอยู่เบื้องหน้า

“ว้าย! ตายแล้วชนลูกหมา ตายหรือเปล่าเนี่ย” หญิงสาวเอ่ยขึ้นพร้อมกับวิ่งเข้ามาดูลูกสุนัขตัวอ้วนที่เนื้อตัวสั่นเทาอยู่บนพื้นผิวถนน

“คุณ...โชค” หญิงสาวหลุดปากเอ่ยชื่อชายหนุ่ม ที่นั่งดูลูกสุนัขอยู่ก่อนแล้ว

“ก็คุณเล่นลากเบรกซะยาว เจ้าตัวน้อยนี้เลยไม่เป็นอะไร” ชายหนุ่มผู้เห็นเหตุการณ์กล่าว

หญิงสาวใช้สองมือค่อยๆ สัมผัสไปที่ลูกสุนัข

“อื้อๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”

เจ้าตัวเล็กร้องครางในลำคอ

หญิงสาวอุ้มลูกสุนัขไว้แนบอก

“ไม่เป็นอะไรแล้วนะ แกปลอดภัยแล้ว ว่าแต่แกเล่นโผล่มาแบบนี้ คงไม่โชคดีอย่างนี้เสมอไปหรอก เจ้าตัวน้อย” หญิงสาวยกลูกสุนัขขึ้นมาต่อหน้า แล้วพูดราวกับว่ามันจะฟังรู้เรื่อง

ไม่นานเด็กผู้หญิงสองคนก็วิ่งตาลีตาลานออกมาจากบ้าน เพื่อมารับเอาลูกสุนัขคืน ชายหนุ่มกล่าวเป็นภาษาถิ่นว่าทีหลังให้ปิดประตูบ้านให้ดี เจ้าลูกหมาตัวนี้ไม่โชคดีอย่างนี้เสมอไปหรอก หลังจากเด็กหญิงทั้งสองรับลูกสุนัขคืนไปแล้ว เขาหันกลับมาที่หญิงสาวผู้ยืนอยู่เคียงข้างอีกครั้ง

“สวัสดีครับ คุณชโลธร” ชายหนุ่มเอ่ยทักทาย

“สวัสดีค่ะ”หญิงสาวทักทายกลับด้วยใบหน้าที่ไม่ยิ้มแย้มสักเท่าใด

“มาทำอะไรแถวนี้ครับ”

“มาส่งพี่ที่บริษัทค่ะ แล้วคุณ...ล่ะ”หญิงสาวตอบพลางส่งสายตาเลยไปที่หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน

“บ้านผมอยู่แถวนี้ นี่กำลังเดินเล่นไปที่บึงน้ำ ไปนั่งเล่นด้วยกันไหมครับ”

“ทำเอาหญิงสาวหน้าแดงโดยไม่รู้ตัว”

“เออ พี่ก็ว่าจะชวนน้องแหม่มอยู่แล้วเชียว บึงนี้เป็นบึงเก่าแก่ของเมืองเลยนะ” หญิงสาวผู้ร่วมโดยสารมาแสดงความคิดเห็น

“แต่พี่น้ำ...”

“พี่ไปด้วยก็ได้จ้ะ เดี๋ยวพี่จะโทรหาแฟนพี่ให้มาเจอกันที่บึง น้องแหม่มจะได้ไม่ต้องเข้าไปส่งพี่ในซอย ทางมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่” อีกฝ่ายเหมือนจะรู้ตัวว่าหญิงสาวไม่ต้องการไปกับชายหนุ่มเพียงลำพัง

หญิงสาวเพ่งพิจอยู่ที่ชายหนุ่มในชุดลำลองสบายๆ เช่นนี้ เขาดูมีเสน่ห์ไม่น้อย ยิ่งดวงตากลมโต รับกับขนตางอนยาวนั้น มันดูน่าค้นหาอย่างบอกไม่ถูก แต่ถึงอย่างไรเขาก็คือเพื่อนที่ใจร้ายที่สุด หญิงสาวพยายามสกัดกั้นความรู้สึกตนเองเอาไว้

สายลมพัดมาปะทะใบหน้าวูบใหญ่

หญิงสาวลงนั่งกับผืนหญ้าสีเขียวข้างบึงนั้น พลางใช้มือข้างหนึ่งตบลงบนพื้นหญ้านั้น

“แกลงมานั่งกับฉันสิ มานั่งนี่ อีกหน่อยเราจะไม่ได้มานั่งกันแบบนี้แล้วนะ”หญิงสาวเอ่ยออกมาโดยไม่มองหน้าชายหนุ่ม

ปล่อยให้ผู้รับฟังยืนอึ้งกับคำพูดเหล่านั้นเขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับประโยคเหล่านั้น มันคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน เขาได้แต่เก็บความสงสัยของตนเองไว้ แล้วก้าวไปนั่งลงที่ข้างๆ หญิงสาว

“คุณแหม่ม ผมจะเรียกคุณอย่างนี้ได้ไหมครับ” แทนคำตอบหญิงสาวยิ้มรับแล้วพยักหน้าหงึกๆ

เสียงมอเตอร์ไซต์ดังอยู่ใกล้ๆ หู คนทั้งสามหันไปตามเสียงนั้น ชายผู้หนึ่งโบกไม้โบกมือให้กับน้ำ พนักงานบัญชีที่แหม่มตั้งใจจะมาส่งที่บ้าน จนทำให้เจอกับโชคอีกครั้ง

“น้องแหม่ม แฟนพี่มารับแล้ว ขอตัวก่อนนะ” น้ำพรวดลุกขึ้น พร้อมกับโบกมือลาให้กับชายหญิงทั้งคู่

“อ้าวพี่น้ำ...” แหม่มเรียกตาม

“แหม กลัวผมหรือครับ” ชายหนุ่มกระเซ้าเล่น

“เปล่าค่ะไม่ได้กลัวอะไรทั้งนั้น เพียงแต่...”

“เพียงแต่อะไรครับ”

หญิงสาวไม่ตอบได้แต่มองไปทางกลุ่มเด็กๆ ที่กระโดดน้ำเล่นตูมตามอยู่ริมบึงอีกด้านหนึ่ง

“คุณยังไม่อนุญาตผมเลย ผมจะเรียกคุณว่าแหม่มได้ไหมครับ”

“ก็เรียกไปสิ ใครจะไปว่าอะไรเล่า” หญิงสาวตอบอย่างเขินอาย

แม้ว่าชายหนุ่มจะกำลังตกอยู่ในห้วงเวลาของความสุข แต่ทว่าประโยคคุ้นหูที่แหม่มเอ่ยขึ้นมา มันยังทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่มันก็เป็นประโยคทั่วๆ ไปที่ใครจะพูดก็ได้ ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องไปคิดตามอะไรมากมาย แต่จู่ๆ ที่เขากำลังจะหันมาคุยกับหญิงสาว เสี้ยวหนึ่งในความทรงจำก็โผล่ขึ้นมา

 

Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสมภพ แจ่มจันทร์
Lovings  สมภพ แจ่มจันทร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสมภพ แจ่มจันทร์
Lovings  สมภพ แจ่มจันทร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสมภพ แจ่มจันทร์
Lovings  สมภพ แจ่มจันทร์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสมภพ แจ่มจันทร์