29 มกราคม 2554 15:43 น.

* * * หนูหิ่ง ฯ ตอน หญิงแกร่ง อัจฉริยะ และมหัศจรรย์ * * *

หิ่งห้อยน้อยใจ


* * * มหัศจรรย์ * * *
วันที่ 1 มกราคม 2516  ช่วงเช้า  ผู้ใหญ่บ้านแวะมาก่อนที่จะไปเผาไร่ที่อยู่เลยบ้านหนูหิ่ง ฯ ไปประมาณ 500 เมตร

พอตกเย็น  แม่ก็เก็บข้าวเก็บของให้พ่อไปนอนเฝ้าที่ไร่  เพราะกลัววัว ม้า แพะ ไปกินผักที่ปลูกไว้ในสวน

สารพัดเหตุผลที่แม่ให้พ่อไปนอนสวน  จริง ๆ แล้วแม่บอกว่าแม่อาย  ^__^  ไม่อยากให้พ่อเห็นตอนคลอดหนูหิ่ง ฯ

หลังจากที่พ่อไปแล้ว  แม่ก็จัดแจงต้มน้ำ  ฉีกผ้าอ้อม  เตียมอุปกรณตัดสายสะดือ  ปูผ้า  แล้วก็นอน

แล้วก็ถึงเวลาที่หนูหิ่ง ฯ ลืมตาขึ้นมาดูโลก  หญิงแกร่งของหนูหิ่ง ฯ คลอดเอง  ตัดสายสะดือเอง

อาบน้ำให้หนูหิ่ง ฯ เอง  เก็บรกเอง  ทำความสะอาดบ้านและตัวเองเสร็จสรรพ  มหัศจรรย์มาก

จะเป็นเพราะว่าแม่มีประสบการณ์การทำคลอดให้คนอื่น  กับตัวเองมาแล้วหลายคนมั้ง  ก็เลยทำอะไรเป็นง่ายไปหมด

คลอดหนูหิ่ง ฯ ก็ง่าย  เพราะหนูหิ่ง ฯ เป็นลูกคนที่ 7  พี่ชาย 3 พี่หญิง 3 คงทำให้แม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น


พอรุ่งเช้าวันที่ 2 ลุงกำนันแวะมาที่บ้าน  นั่น  ได้เป็นผู้มีพระคุณที่กรุณาตั้งชื่อให้หนูหิ่ง ฯ ไม่งั้นหนูหิ่ง ฯ อาจจะได้ชื่อแปลก ๆ 

เป็นต้นว่า  คำอ้าย  คำอี่  หรือคำหล้า  ก็เป็นได้  เพราะที่บ้านก็มีทั้งคำเอ้ย  และคำแปง

ขอบคุณมากนะคะลุงกำนัน  ที่ช่วยออกใบเกิดแล้วก็ตั้งชื่อให้


สาย ๆ หน่อยพ่อก็กลับมาบ้าน  ได้อุ้มหนูหิ่ง ฯ เป็นคนที่ 2 รองจากลุงกำนัน



* * * แกร่ง * * *
พอโตขึ้นจำความได้แล้ว  มักจะมีคนมาหาพ่อกับแม่ที่บ้านเสมอ  มาเยี่ยมบ้าง  มาให้ช่วยบ้าง

ที่บ้านต้มเหล้าขาวและเหล้าข้าวโพดขายค่ะ  ชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งตำบลเพราะสมัยนั้นตร.ไม่จับเนาะ

จำได้ว่าครั้งหนึ่ง  มีคนถูกต้นไม้โค่นลงมาเฉี่ยว  จนเสี้ยนของต้นไม้....ใหญ่มาก  ทิ่มเข้าไปที่ข้อเท้า  จนถึงแถวเข่า

เลือดก็เยอะ  คนก็เจ็บ ร้องโอดโอย  ถูกหามมาหาแม่ที่บ้าน  อุแม่เจ้า  น่ากลัวสุด ๆ 

แม่หนูหิ่ง ฯ ทำไงหรอคะ  เอาฝิ่นขนาดเท่าหัวไม้ขีดไฟให้คนเจ็บกิน  แล้วเอาเหล้า 45 ดีกรีที่ต้มเองราดไปที่แผล

แล้วก็ให้คนช่วยจับมือไพล่หลังแล้วมัด  เพราะกลัวคนเจ็บดิ้นมาก  จะจับไม่อยู่

จากนั้นก็ใช้มีดโกนแหวกปากแผล  แล้วก็ดึงเสี้ยนขนาดใหญ่ออก  เสร็จแล้วก็เอาเหล้าราดอีกที

จากนั้นก็ใช้เข็มกับด้ายธรรมดา ๆ ที่มีแช่ในเหล้า  แล้วก็มาเย็บ ๆ ๆ ๆ ชุน ๆ ๆ ๆ เหมือนผ้า

โฮ่ ๆ ๆ ๆ หนูหิ่ง ฯ จาเป็นลม  ส่วนคนเจ็บน่ะสลบไปแล้วค่ะ  



* * * แกร่ง * * *

ด้วยความที่อยู่ในป่าในเขา  ก็ต้องมีเรื่องฝิ่น  กับปืนเถื่อนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอยู่เสมอ ๆ 

บ้านหนูหิ่ง ฯ ก็จะได้ต้อนรับเหล่าบรรดาข้าราชการบรรดาศักดิ์อยู่เนือง ๆ 

ไม่ว่าจะเป็นครู  หมอ  เกษตร  ป่าไม้  กรมทาง ฯ ตำรวจภูธร  ตำรวจตระเวนชายแดน ฯลฯ

มีอยู่วันหนึ่ง  ตำรวจตระเวนชายแดนมาตรวจค้นที่บ้าน  สงสัยมีคนแจ้ง.... หรือเปล่า ?

ก็ค้นเจอปืนเอ็ม 16 เถื่อน 2 กระบอก  ปีน 19 มม. 2 กระบอก ปืน .357 อีก 2 กระบอก  ปืน .22 อีก 1 กระบอก (อันนี้มีทะเบียน)

ส่วนใหญ่ล้วนไม่มีทะเบียนทั้งสิ้น  อาจจะมีคนมาขายให้บ้าง  หรือจำนำบ้างมั้งคะ  จำไม่ได้ค่ะ

แม่เห็นตชด.มาแม่ก็คงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  แม่บอกให้พ่อรีบไปสวน  แล้วอย่ากลับมาจนกว่าจะไปเรียก

เพราะพ่อหนูหิ่ง ฯ เป็นคนจีน  พูดไทยไม่ได้  ขืนให้พ่อรับว่าเป็นเจ้าของบ้านคงจะยุ่งอีรุงตุงนัง

แล้วแม่ก็รับเป็นเจ้าของบ้าน  ก็เลยถูกเชิญขึ้นรถฟรีไปที่โรงพักอำเภอฮอด  ระยะทางประมาณ 90 กม.

ข่าวดังมาก  จนหมอศุภกิจ  ที่รู้จักแม่  แล้วก็สนิทกันมากมาหาที่โรงพัก  จะพาแม่ไปนอนที่บ้าน

แล้วก็ขอเอาตำแหน่งข้าราชการประกันตัวแม่  แต่ตำรวจไม่ให้ประกัน  จะจับแม่เข้าห้องขังให้ได้

แต่หมอไม่ยอม  หมอบอกตำรวจว่า  ถ้าจะจับพี่สาวผมเข้าคุก  ผมจะเข้าแทน  

ผมไม่ยอมให้พี่สาวไปนอนในห้องขังเด็ดขาด  เจอทีเด็ดหมอยืนกรานขนาดนั้น  

ตำรวจก็ต้องปล่อยแม่ให้ไปนอนบ้านหมอ  แล้วก็เสียค่าปรับไป  ปืนได้คืนหรือเปล่าไม่รู้  จำไม่ได้ค่ะ

โชคดีที่ไม่เจอฝิ่น  เพราะปรกติแล้วที่บ้านจะมีฝิ่นด้วย  เอาไว้ขาย  แล้วก็เป็นค่าจ้างคนงาน

^___^  ตอนนี้พูดได้  เพราะเวลาผ่านไปหลายสิบปี  และขณะนี้ก็ไม่มีฝิ่นให้เห็นแล้ว  ปืนก็มีใบเรียบร้อยแล้ว

ตอนหนูหิ่ง ฯ โต  แม่พาไปกราบหมอศุภกิจครั้งหนึ่ง  จำได้คลับคล้ายคลับคลาอยู่แถวแม่ริม หรือแม่แตงนี่ล่ะค่ะ

แต่ตอนนี้ไม่ได้ข่าวเลย  ไปหาบ้านก็ไม่เจอแล้ว  จำไม่ได้แล้วค่ะ



* * * อัจฉริยะ * * *

ต่อมาไม่นาน  ที่หมู่บ้านของหนูหิ่ง ฯ ก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวฝรั่งไปเดินป่า  ไปน้ำตก  ไปหมู่บ้านชาวเขา

แล้วแม่ก็ขายของชำ  ขายก๋วยเตี๋ยว  ขายกับข้าว  เพราะเลิกทำเหล้าแล้ว

พอมีฝรั่งมาบ่อย ๆ ปรากฎว้า.... แม่หนูหิ่ง ฯ สปีคอิงลิชได้วุ้ย  คุยกะฝรั่งรู้เรื่องด้วย  คิดเงินถูกด้วย

ทั้ง ๆ ที่แม่ได้รู้หนังสือเลยสักกะติ๊ด  ตัวเลขอะไรเป็นอะไรก็ยังงง ๆ แต่คิดเงินเก่งชะมัด

แล้วเวลาเล่นไพ่ก็รู้หมดว่าอะไรเป็นอะไร  แต่เวลากดโทรศัพท์  ไม่เคยกดได้เองสักครั้งเลยนะแม่นะ

ต้องตั้งเบอร์โทรด่วนให้  กดค้างเลข 2 จะเป็นเบอร์ไคร  กดค้างเลข 3 เป็นเบอร์ของใคร

จนกระทั่งถึงเลข 9  แม่ก็จำแม่นมากว่าเบอร์ไหนเป็นของใคร  

ขึ้นลิฟท์ก็ยังขึ้นไม่เป็นจนกระทั่งทุกวันนี้  เดือดร้อนชาวบ้านต้องพาไปส่งทุกทีนะแม่นะ

นอกจากสปีคอิงลิชกะฝรั่งรู้เรื่องกันแล้ว  แม่ก็ยังพูดจีน  กะเหรี่ยง  ลั้วะ  แม้ว  อีก้อ  มูเซอ  ไต  แซ่ม และเย้าได้

นั่น ! อัจฉริยะไหมคะ


มีอยู่ครั้งหนึ่งพี่ซิงจับแม่ยัดใส่เครื่องมาหาหนูหิ่ง ฯ ที่กทม.   หนูหิ่ง ฯ ก็ไปรับที่ดอนเมือง  แม่ก็สามารถนะ  ไม่กลัวด้วย

แต่เวลากลับ  ต้องไปขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิ  นั่น ! แม่จะหาทางไปขึ้นเครื่องยังไงล่ะเนี่ย ? ? ?  หนูหิ่ง ฯ เข้าไปไม่ได้ด้วยสิ

แม่บอกไม่เป็นไร  เดี๋ยวแม่ถามเอง  หรือไม่ก็ให้เจ้าหน้าที่เขาไปส่ง  นั่นแน่  แม่แน่มากจะใช้เจ้าหน้าที่เขาซะงั้น

พอไปเช็คอิน  โชคดีมีคนไปไฟล์ทเดียวกัน  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยฝากแม่ไปกับเขา  รอดตัวไปทีนะแม่นะ

ไม่งั้นแม่อาจจะหลงทางอยู่ข้างในทั้งวันก็ได้  ^__^

ปัจจุบันวันนี้แม่อายุ 71  ยังแข็งแรงดี  สุขภาพจิตดี  เที่ยวดี  ใช้เงินก็ดี  นิแม่นิ


				
23 มกราคม 2554 21:19 น.

* * * หนูหิ่ง ฯ ตอน นับถอยหลังครั้งสุดท้าย (4) * * *

หิ่งห้อยน้อยใจ


วันพุธ ที่ 19 มกราคม 2554

ประมาณตี 4 พี่สาวบ่นร้อน  แล้วก็ดึงผ้าห่มออก  ดึงเสื้อผ้าออก  แล้วก็ดึงเข็มที่ติดไว้กับหลอดเลือดเทียมเหนือหน้าอกด้านซ้ายหลุด

หนูหิ่ง ฯ ก็เลยเรียกพยาบาลมาดู  พี่เขาบอกไม่เป็นไร  พรุ่งนี้จะใส่ให้ใหม่

ประมาณ 06.00 น.พี่ซิงก็ตื่น  แล้วคุยกับหนูหิ่ง ฯ ว่าเราพาพี่กลับบ้านกันไหม ?  เพราะหมอก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว

หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกให้โทร.ไปคุยกับหลาน  ให้หลานไปคุยกับพี่เขย  เพราะจนกระทั่งปัจจุบันนี้เขาก็ยังไม่ยอมรับความจริง

พี่เขยหนูหิ่ง ฯ เป็นคนดีมาก ๆ รักพี่สาวหนูหิ่ง ฯ มาก ๆ ทั้ง ๆ ที่พี่สาวหนูหิ่ง ฯ อ้วนแล้วก็ไม่แต่งตัวเลย

พี่เขยคนนี้ก็เหมือนเป็นพ่อคนอีกคนของหนูหิ่ง ฯ เพราะอายุต่างกันมาก  หนูหิ่ง ฯ ยอมรับว่าพี่เขยเป็นคนที่รักภรรยาจริง ๆ 

ไม่เคยเจ้าชู้ เหล้าก็ไม่กิน  บุหรี่ก็ไม่สูบ ไม่เคยมีเล็กมีน้อย  ทั้ง ๆ ที่โดยฐานะแล้วจะมีเป็นสิบคนก็ยังได้

ที่สำคัญพี่สาวหนูหิ่ง ฯ มีลูกสาวหมดเลย 5 คน  ไม่มีผู้ชายไว้สืบสกุลสักคนเดียว  (คนจีนจะให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว)

แต่พี่เชยหนูหิ่ง ฯ ก็ไม่ได้ว่าอะไร  ไม่เคยคิดจะมีคนใหม่เพื่อให้ได้ลูกชายเหมือนคนอื่นที่เคยได้ยินมา

เวลาประมาณ 07.00 น. พี่โหย่งก็มาถึงโรงพยาบาลพร้อมแผ่นซีดีเปล่า  เมื่อคืนหนูหิ่ง ฯ นั่งโหลดเพลงพระคาถาชินบัญชร

ทั้งภาษาบาลี  และแปลภาษาไทย  ได้พระคาถาพาหุงด้วย  จะได้เปิดให้พี่สาวฟังเวลาแกหลับ

ประมาณ 08.00 น.  พี่ซิงก็ช่วยให้พี่สาวล้างหน้า - แปรงฟัน  เสร็จแล้วก็ให้กินน้ำเต้าหู้กับรังนก  เพราะแกไม่ยอมกินอย่างอื่นเลย

หนูหิ่ง ฯ ถามว่าเจ้รักหนูไหม  แกก็พยักหน้า  เจ้จำได้ไหมเวลาที่หนูไปทำงานต่างจังหวัด

เจ้มักจะส่งสารพัดผักไปกับคนขับรถให้หนูทีละเข่งเสมอ  เพราะเจ้รู้ว่าหนูชอบกินผัก

ฤดูที่มีเห็ดถอบ  เจ้ก็นำมาต้มแล้วแช่แข็งเก็บไว้ให้หนูกินเวลาหนูกลับไปบ้าน  

กับสัตว์ประหลาดต่าง ๆ ที่หนูชอบกินเจ้ก็จำได้  ถ้ามีเมื่อไหร่เจ้ก็จะเก็บแช่แข็งไว้ให้หนูอีกเหมือนกัน

เวลาเจ้ได้กินอะไร  หนูก็ได้กินด้วยเสมอ  (แต่เวลาหนูได้กิน  เจ้ไม่ได้กินเนาะ  ^__^)

เมื่อเดือนก่อนหนูมียาหม้อมาต้มให้เจ้กิน  เจ้ไม่ยอมกิน  จนหนูต้องกินเป็นเพื่อน  

เห็นไหมขนาดกินยาเรายังกินด้วยกัน   ป่วยเราก็ป่วยด้วยกัน  เข้าโรงบาลเดียวกัน

เพราะเราเป็นพี่น้องกัน  ทีนี้พอถึงเวลาเจ็บ  เราก็ต้องเจ็บด้วยกัน  ดังนั้นเมื่อไหร่ที่เจ้เจ็บ

เจ้ต้องแบ่งให้หนูครึ่งหนึ่งนะ  ตกลงไหม ?   แกก็ยิ้ม  แล้วพยักหน้า  ^__^

แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ถามว่าตอนนี้เจ้อยากกลับบ้านไหม  แกก็พยักหน้า  ^__^

ประมาณ 09.30 น.  หลานสาวกับหลานเขยก็มาถึงโรงบาล  พวกเราช่วยกันเก็บข้าวเก็บของกลับบ้าน

กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็บ่ายสองโมงครึ่ง  กลับถึงบ้านบ่ายสามโมงครึ่ง  พี่สาวถามว่าถึงบ้านแล้วหรือ  พอบอกว่าถึงแล้วแกก็ยิ้ม

ดูท่าทางแกไม่ทุรนทุราย  คิ้วไม่ขมวด  แสดงว่าแกคงไม่เจ็บ  ญาติ ๆ จากต่างจังหวัด  ต่างอำเภอก็มากันเต็ม

กลางคืนหนูหิ่ง ฯ กับหลานเซียงนอนก็พี่สาว  เพราะต้องคอยดูอ็อกซิเจนให้แกด้วย  กลางคืนพี่สาวหลับดีมาก

ไม่มีบ่นร้อนเหมือนตอนอยู่โรงบาลเลย  สงสัยว่าเตียงของโรงบาลจะหุ้มด้วยพลาสติก  นอนนาน ๆ ก็เลยร้อนที่หลัง

คืนนี้ไม่ได้ยินเสียงพี่สาวเรียกเลย  แต่ก็ลุกขึ้นดูสายอ็อกซิเจนตลอดคืน  เพราะแกรำคาญคอยแต่จะดึงออกค่ะ

หนูหิ่ง ฯ เพิ่งรู้สึกว่าโรคเครียด - นอนไม่หลับมีประโยชน์คราวนี้นี่เอง  ได้ดูแลพี่สาวเต็มที่  นอนวันละ 2 - 3 ชั่วโมง

เวลา 06.30 น.พี่ซิงก็มาเช็ดหน้า  เช็ดฟัน  แล้วก็ป้อนรังนก  แกก็กินได้  หลังจากนั้นแกก็หายใจแรง  แม่เข้ามาดู

แล้วก็บอกว่าให้ไปเรียกพี่เขยมา  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยไปเรียกพี่เขย  หนูหิ่ง ฯ บอกแกว่าจะขอไปเก็บข้าวของเครื่องใช้

กับเพชร - ทองของพี่สาวมาใส่ให้เขานะ  แล้วพี่เขยก็ไปอยู่กับพี่สาวนะ  อยากคุยอะไรก็คุย  แกก็ถามว่าจะไปแล้วหรอ

ยังมั้ง  น่าจะไปพรุ่งนี้นะ  วันนี้ยังไม่น่าไปหรอก  ประมาณว่าจะดึงให้พี่สาวหนูหิ่ง ฯ อยู่ให้นานที่สุดอ่ะค่ะ  *__~

พวกหนูหิ่ง ฯ ก็ทำกรวยดอกไม้ - ธูป - เทียน ให้พี่สาวถือไว้แล้วพูดนำให้แกคิดตาม  เพื่อขออโหสิกรรมกับแม่

เสร็จแล้วพี่เขยก็ขออโหสิกรรม และอโหสิกรรมให้กับพี่สาวพร้อมทั้งบอกให้พี่สาวอย่าได้เป็นห่วงเลย  

หลาน - น้อง - ญาติ  ก็นำกรวยดอกไม้ - ธูป - เทียน  เพื่อขอให้พี่สาวอโหสิกรรม  พร้อมทั้งบอกแกว่าอย่าได้เป็นห่วง

พวกเราจะดูแลกันอย่างดี  ไม่ต้องกังวล  ขอให้ไปอย่างหมดห่วง  หลาน - เหลนน้อย  พวกเราจะดูแลให้โตขึ้นเป็นคนดี

แล้วหนูหิ่ง ฯ กับหลานเชียง หลานหุ๋ย ก็ช่วยกันสวดพระคาถาชินบัญชร  อิติปิโส พาหุง  แล้วก็จับมือพี่สาวกรวดน้ำ

แผ่เมตตา  อุทิศส่วนกุศล  แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็นำน้ำไปกรวดใต้ต้นไม้....  ขอให้ดวงวิญญาณพี่สาวไปสู่สุคติ

หนูหิ่ง ฯ กับหลานก็สวดพระคาถาชินบัญชรต่อ  น้ำตาไหลไป  ก็สวดไป  แต่ไม่ให้น้ำตาถูกตัวพี่สาวนะ  เดี๋ยวแกจะมีกังวล

จากนั้นญาติพี่น้องก็ทะยอยกันเข้ามาในห้องเอามือแตะตามตัวของพี่สาวแล้วก็อธิฐานให้แกไปอย่าได้มีกังวล

แล้วพี่สาวหนูหิ่ง ฯ ก็จากไปอย่างสงบ  พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า วันพฤหัสบดี  ที่ 21  เวลา 11.39 น.   เป็นเวลาสิ้นสุดท้ายลมหายใจ......

หนูหิ่ง ฯ กับพี่ ๆ ก็ช่วยกันโทร.บอกญาติต่างจังหวัด  หลาน ๆ ก็ช่วยกันโทร.บอกลูกค้า  คนที่เคารพนับถือกัน

ก็บอกครบบ้างไม่ครบบ้างเพราะนึกไม่ออก  ส่วนเพื่อน ๆ หนูหิ่ง ฯ ก็ SMS ไปบอก  เพราะไม่อยากคุยโทรศัพท์

บางคนก็โทร.กลับมาแต่หนูหิ่ง ฯ ไม่ได้รับ  เพราะยุ่งมาก  พี่เขยหนูหิ่ง ฯ ให้ไว้แค่ 3 วัน 2 คืน 

เสียวันที่ 21 เผาบ่ายวันที่ 23  น้าของหนูหิ่ง ฯ มาถึง 5 โมงเย็นไม่ทันเห็นพี่หลั่ง  แกร้องให้ใหญ่เลย  

เพราะแกเป็นคนเลี้ยงพี่หลั่งตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่ง 6 ขวบ  ต่อมาแกก็ได้สามีเป็นคนจึนอาศัยอยู่ที่เชียงตุง  ประเทศพม่า

กว่าจะทำเรื่องผ่านแดนมาถึงเชียงใหม่ได้ก็เสียเวลา  ทำให้แกมาไม่ทัน  ก็ได้แต่กอดกันร้องให้  

พรุ่งนี้บ่ายก็จะเก็บกระดูแล้ว  ก็เลยให้แกรอเก็บกระดูกแทนค่ะ  *__~

* ขอให้พี่จงไปสู่สุคติเถิด *

แสนอาลัย  พี่สาว  สุดที่รัก
เคยทายทัก  พูดจา  อยู่เสมอ
จากวันนี้  ต่อไป  ไม่มีเธอ
ให้พบเจอ  อีกแล้ว  นะแก้วตา

หลับเถิด  พี่สาว  ที่แสนดี
ในวันนี้  จะบรรเลง  เพลงหรรษา
ให้พี่ค่อย  พักผ่อน  หย่อนกายา
หลับตา.... ให้สนิท....  ตลอดกาล

สิ้นทุกข์โศก  ภพนี้  ที่เจ็บป่วย
ก็เพราะด้วย  โรคร้าย  ได้เผาผลาญ
จึงต้องลา  ลับร่าง  ทิ้งอังคาร
เดินทางผ่าน  ภพนี้  หนีจากไป

ขอให้พี่  ไปดี  มีความสุข
ละทิ้งทุกข์  โรคภัย  ได้สดใส
ยังภพภูมิ  เบื้องหน้า  ฟ้าอำไพ
อย่าห่วงใย  คนข้างหลัง  ยังอยู่ดี

จารึกไว้  ในใจ  ทุกผู้คน
ความดีล้น  มากมาย  ในโลกนี้
ชนรุ่นหลัง  จะจดจำ  ชั่วชีวี
สิ่งที่พี่  สร้างสมไว้  ในโลกา

ขออันเชิญ  เทวราช  ชั้นสูงสุด
รับวิญญาณ  อันพิสุทธิ์  สู่ชั้นฟ้า
ส่งเทวินทร์  มารับ  ศรีกัลยา
สู่สวรรค์  เทวาลัย  ไปนิรันดร์

				
19 มกราคม 2554 01:42 น.

* * * หนูหิ่ง ฯ ตอน นับถอยหลัง 3 * * *

หิ่งห้อยน้อยใจ



วันอังคาร ที่ 18 มกราคม 2554

วันนี้พี่สาวหนูหิ่ง ฯ เปลี่ยนชื่อเป็น  ฐิติรัตน์  :  ชีวิตที่ประเสริฐ    ได้ชื่อเล่นใหม่  :  ปัฐ  :  มีอายุยืนยาว เป็นที่รักใคร่ของผู้อื่น

เกิดวันอังคาร  ที่ 18  มกราคม  เวลาบ่าย 3 โมง  ปีกระต่าย   หนูหิ่ง ฯ สงสัยว่าพระที่ทำพิธีสวดจะตั้งให้ค่ะ

เช้านี้หนูหิ่ง ฯ ต้องไปรับยาที่อินทราทัวร์  เมื่อวานนี้ให้ตุ่นไปซื้อส่งมาให้  เป็นยาที่หายากจริง ๆ 

ทั้งประเทศมีขายแค่ 3 ที่เท่านั้น  หนูหิ่งก็เลยสั่งมา 5 กล่อง ๆ ละ 850.-  วันนี้เย็น ๆ จะไปโอนตังค์ให้ตุ่น

ยานี้หนูหิ่ง ฯ รู้มาจากพี่อรัญ  เป็นลูกค้าอยู่ จ.ตราด  พี่เขาบอกว่าพี่ชายเขาก็เป็นมะเร็ง  มีคนแนะนำให้กินยาตัวนี้

แล้วพี่ชายเขาไม่มีอาการเจ็บปวดเลย  จนกระทั้งเสียชีวิต  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยขอให้แกไปหาชื่อยามาให้

แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็หาข้อมูลของยาทางอินเตอร์เน็ท  ท้ายที่สุดก็ต้องโทร.ไปถามที่กรมราชองครักษ์  

พี่ที่รับโทรศัพท์ชื่อพี่อำนาจ  ใจดีมาก ๆ เลย  อาสาจะซื้อส่งทางไปรษณีย์ให้ด้วย  แต่หนูหิ่ง ฯ ต้องการด่วนที่สุด

ก็เลยบอกพี่เขาว่าจะให้เพื่อนไปซื้อวันจันทร์แล้วส่งรถทัวร์  เช้าวันอังคารก็มาถึง

ยาตัวนี้ชื่อว่า  ยาประดง  เป็นยาแผนโบราณ  แก้น้ำเหลืองเสีย  ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งเลย

แต่ไม่เป็นไร  ตอนนี้ที่ต้องการก็คืออยากให้พี่ปัฐหายจากอาการปวดและทรมาณเท่านั้น  ถ้าจะไปก็ไปอย่างสงบ  อย่าได้ทรมาณเลย

พี่ซิงตื่น 05.30  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยอาบน้ำ - สระผม  แล้วก็ไปรับยา  แล้วก็เลยไปซื้อโจ๊ก - ต้มเลือดหมู  แล้วก็ซื้อกับข้าวไปใส่บาตร

กลับมาถึงโรงบาล 07.00 น.  พี่โหย่งมาถึงแล้ว  พี่ปัฐตื่นแล้ว  ก็เลยให้ล้างหน้าแปรงฟันที่เตียง

แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็บอกแกว่าหนูหิ่ง ฯ ไปใส่บาตรมา  เดี๋ยวเรามากรวดน้ำด้วยกันนะ  ให้พี่พูดตามหนูนะ  พูดในใจก็ได้  (แกไม่ค่อยมีแรงพูดค่ะ)

หนูหิ่ง ฯ จับมือซ้ายพี่สาวถือขวดน้ำ  แล้วก็เอาถ้วยมารอง  มือขวาให้พี่สาวแตะที่เตียงใต้ถ้วยรอง

" อิทังเมโหตุสุขิตาโหตุญาตโญ "

" ข้าพเจ้านางฐิติรัตน์  สิมะนราธร  ขออนุญาตพระแม่ธรณี พระแม่คงคา  กรวดน้ำอุทิศผลบุญกุศลที่น้องสาวข้าพเจ้าได้ตักบาตรแทนในวันนี้

ขอผลบุญกุศลนี้ส่งไปถึงผู้มีอุปการะคุณที่ท่านตลอดจนเจ้ากรรมนายเวร  ทุกองค์  ทุกท่าน  ทุกผู้  ทุกตัว  ทุกตน  ไม่ว่าจะอยู่ในภพ - ภูมิใด ๆ

เมื่อได้รับแล้วขอให้ทุกท่านมีความสุขกายสบายใจปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ แล้วก็อโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าที่เคยล่วงเกินไว้

ไม่ว่าจะโดยทางกาย - วาจา - ใจ  ทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ  ขอให้หมดเวร - หมดกรรมต่อกันนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

และขอให้ข้าพเจ้าหายจากการเจ็บป่วยในครั้งนี้ด้วยเทอญ  สาธุ "

เสร็จแล้วหนูหิ่ง ฯ ก็นำไปกรวดต่อที่ใต้ต้นไม้หน้าโรงบาล  โทร.หาเจิน เจิน  ให้รีบมาไม่ต้องแวะที่ไหน  แล้วก็ซื้อถุงมือไซค์ S

กับแพมเพิร์สผู้ใหญ่ไซค์ L มาด้วย  เจิน เจิน บอกว่าจะแวะไปที่ปั้ม (พี่ปัฐเปิดปั้มน้ำมันอยู่อ.จอมทองค่ะ) เพื่อเอายาสมุนไพรมาให้กิน

หนูหิ่ง ฯ บอกว่าไม่ต้องแวะ  เพราะว่าตอนนี้แม่ไม่กินอะไรสักอย่าง  ซื้อของแล้วก็รีบมาให้ไว  ก่อนน้าหิ่ง ฯ จะมีมะโห  ^__^

ขึ้นมาที่ห้องหนูหิ่ง ฯ ก็กินโจ๊กเปล่า ๆ กับน้ำพริกของแม่  เพราะเดือนมกราคมของทุกปีหนูหิ่ง ฯ จะกินเจ หรือมังสวิรัติ  

เนื่องจากเดือนนี้เป็นเดือนเกิด  แล้วก็จะกินเจจริง ๆ  (ไม่ใช่มัง ฯ) ในช่วงเข้าพรรษาจนกระทั่งออกพรรษา

เสร็จแล้วก็หายาของตัวเองมากิน  จริง ๆ แล้วกินยาก็เกือบอิ่ม  ก็เลยต้องกินข้าวแต่น้อย ๆ (เป็นการลดความอ้วนไปในตัว  ^__^)

ส่วนพี่ซิงก็ชงโปรตีนผสมน้ำเต้าหู้  และยาประดงไปให้พี่ปัฐกิน  แต่พี่หลั่งไม่ยอมกินยา  กินแต่น้ำเต้าหู้

แล้วหมอก็มาดู  ก็ไม่มีอะไร  ดู ๆ ไปตามหน้าที่ค่ะ  เพราะคงไม่ทำอะไรมากไปกว่าการฉีดยาระงับปวด

ประมาณ 11.00 น.  หลานเจิน เจินกับเหลนน้อยหวา หวา ก็มา  พี่ปัฐตื่นอีกครั้ง  (จริง ๆ แล้วไม่รู้ว่าหลับหรือตื่น  เพราะแกหลับตาเกือบตลอดเวลา)

หนูหิ่ง ฯ เข้าไปจับมือไว้  แกถามว่าจะกลับเมื่อไหร่  หนูหิ่ง ฯ บอกแกว่าไม่ไปแล้ว  ตอนนี้จะอยู่นี่ตลอดไป  กลับมาบ้านมาเกาะพี่สาวกินดีกว่า

ไปทำงานไกลบ้านเหนื่อยก็เหนื่อย  ข้าวก็ไม่ค่อยได้กิน  อยู่นี่ได้กินทุกอย่าง  น้องตัวเล็กนิดเดียวเลี้ยงได้ไหม ?  

พี่ปัฐ....ยิ้มแล้วก็พยักหน้า  ^__^  (ค่อยยังชั่ว.... มีคนเลี้ยงแล้ว)

พี่โหย่งก็เลยแหย่ว่า.... หนูหิ่ง ฯ เกาะพี่สาวกิน  แต่กอ (พี่ชาย) เกาะเมียกิน  เพราะตอนนี้มาอยู่กับพี่ปัฐก็เลยไม่ได้ทำงาน  ^__^

ประมาณเที่ยงเศษ ๆ พี่ซิ  พี่ชายคนที่ 2 กับพี่สะใภ้ก็มาเยี่ยม  ดีจัง  มีหมอนวดมาเพิ่มอีกแล้ว  จะได้แอบงีบ  (พี่โหย่งบอกว่า....นิสัยดีน่าดู  ^__^)

พี่สะใภ้แอบมาถามว่า.... ผลตรวจชิ้นเนื้อเป็นไงบ้าง  หนูหิ่ง ฯ ก็บอกว่า.... ไม่เป็นไร  สบายมาก  ระดับนี้แล้วไม่เป็นไรหรอก  ^__^
 
พี่สะใภ้คนนี้นิสัยใจอ่อน  ขึ้แยสุด ๆ ขืนบอกความจริงมีหวังช็อค  แล้วก็คงจะช็อคกันไปทั้งครอบครัว  สักพักพี่ซิกับพี่สะใภ้ก็กลับขึ้นดอย

ก่อนบ่ายโมงเล็กน้อย  พี่ปัฐทำหน้านิ่ว  แล้วบอกว่าปวดจัง....ปวดจังเลย....  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยถามว่าปวดที่ไหนเจ้  ปวดที่ไหนจ้ะ

แกบอกว่าปวดไปหมด  ปวดทั้งตัว  หนูหิ่ง ฯ จึงหลอกล่อให้แกกินยาประดง  จะได้หายจากการเจ็บปวด

ไม่ทราบว่าเป็นผลของฤทธิ์ยาหรือเปล่า  ทำให้แกหลับไปอย่างไม่กระวนกระวาย  ดีจังเลย  ^__^

แล้วเจิน ๆ กับหนูหิ่ง ฯ ก็เดินไปเซ็นทรัลกัน  หนูหิ่ง ฯ อุ้มเหลนน้อยหวา หวาไปด้วย  เหลนน้อยทำหน้าตาบ้องแบ๊ว  ดูนั่นดูนี่ไม่งอแงเลย

ไปได้ DVD VIDEO บทสวดมนต์คาถาพาหุง  มหาการุณิโก  ของหวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม  :  เล่าถึงที่มาของคาถาพาหุง ฯ

มีบทสวดขึ้นเป็นตัวอักษรพร้อมสวดตาม  (หลวงพ่อจรัญ  ณ วัดอัมพวัน  อ.พรหมบุรี  จ.สิงห์บุรี)  มาเปิดให้พี่ปัฐดู + ฟัง

แต่ก็ยังไม่ได้เปิดเพราะพี่ปัฐหลับ  ตื่นเป็นบางครั้งตอนผู้ช่วยพยาบาลมาวัดความดัน ฯ วัดไข้  ดีจังรู้สึกเหมือนแกไม่ค่อยทรมาณ  ^__^

บ่าย 3 โมงหนูหิ่ง ฯ ง่วงมาก  ก็เลยบอกพี่โหย่งว่าจะนอนนะ  ส่วนพี่ซิงกลับไปทำอาหารเย็นที่บ้านค่ะ

เพิ่งปูผ้าที่พื้น  วางหมอน  ห่มผ้าล้มตัวลงนอน  พี่โหย่งก็เรียก  ปรากฎว่าพี่ปัฐขอกอดหน่อย  พี่โหย่งกับหนูหิ่ง ฯ ก็เลยจับมือไว้คนละข้าง

แล้วก็ก้มลงไปกอดแกคนละข้าง  สบตากันแล้วต่างคนต่างทำตาแดง ๆ แล้วก็หันไปทางอื่น  ไม่งั้นน้ำตาไหลทั้งคู่

พี่ปัฐถามว่าซิงไปไหน  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกว่ากลับไปทำกับข้าวที่บ้าน  จะได้มีกับข้าวอร่อย ๆ กินนะ  แกก็พยักหน้าเข้าใจ

แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็เลยนั่งจับมือพี่ปัฐ....ฟุบอยู่ข้างเตียงนั่นเอง  *__~

หลังจากที่กินยาประดงไป  รู้สึกว่าพี่ปัฐจะไม่กระวนกระวายจากการเจ็บปวดทรมาณเท่าไหร่นัก  ดีจังเลย.....

เวลาพี่ปัฐตื่น  หนูหิ่ง ฯ กับพี่โหย่งก็พยายามจะให้แกกินยาประดงอีก  แต่หลอกล่อยังไงก็ไม่ยอมกินสักที  ไม่รู้จะทำยังไง.... ?

จนกระทั่งพี่ซิงนำอาหารมาถึงประมาณหนึ่งทุ่ม  ไม่รู้ว่าทำยังไง  พี่ปัฐยอมกินยา  ดีจังเลย  ^__^  หวังว่าคืนนี้แกคงจะหลับสบาย  ^__^

พี่ปัฐก็บอกว่า  ซิงกอดหน่อย  ซิงกอดหน่อย  (แกจะพูดซ้ำ ๆ อาจจะเพราะกลัวพวกเราไม่ได้ยิน)  พี่ซิงก็ไปกอดแกบนที่นอน

หนูหิ่ง ฯ ก็เลยแซวแกว่า.... พี่ปัฐลำเอียงนี่นา  หนูอยู่ทั้งวันกอดหนูนิดเดียวเอง  ไม่ยอม  ไม่ยอม  ต้องกอดหนูใหม่นะ  พี่ปัฐก็ยิ้มแบบขำ ๆ ท่าทางอารมย์ดี

เวลาประมาณสองทุ่มเศษ ๆ หนูหิ่ง ฯ ก็ทำเหมือนคืนก่อน คือ อาบน้ำแล้วก็นอนก่อนพี่ซิง  ไว้รอเปลี่ยนตอนดึก ๆ ..................

ตื่นอีกทีเที่ยงคืนพอดี  เพราะได้ยินเสียงพี่ปัฐเรียกซิง ซิง  พี่ซิงก็ขานอยู่บนโซฟาแล้วสบตาหนูหิ่ง ฯ บอกว่าคืนนี้ดูแกไม่ค่อยปวดเท่าไหร่  ดีจัง  ดีจัง  ดีจัง

แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ลุกมาเฝ้าพี่ปัฐ  คงเฝ้าถึงเช้าเหมือนเดิม  คืนนี้ดูแล้วพี่ปัฐไม่กระวนกระวาย  ไม่บ่นว่าปวดจังเลย....เหมย  ปวดจังเลย....ให้ได้ยิน  ดีจังเลย  ดีจัง  ดีจัง  ^__^

พรุ่งนี้กลางวันถ้าหลานมาเยี่ยมหนูหิ่ง ฯ จะกลับบ้านสักพัก....ไม่ได้ซักผ้าเลย.



ถ่ายรูปกับกำลังใจของหนูหิ่ง ฯ  เหลนน้อยหวาหวา  อายุ 5 เดือนค่ะ

				
18 มกราคม 2554 02:26 น.

* * * หนูหิ่ง ฯ ตอน นับถอยหลัง 2 * * *

หิ่งห้อยน้อยใจ


วันนี้วันจันทร์ ที่ 18 มกราคม 2554

เมื่อคืนต้องตื่นทั้งคืน  เพราะพี่สาวเรียกให้ช่วยพาแกลุกนั่ง  แล้วก็ต้องคอยนวดขา นวดแขนให้แก

เมื่อวันอาทิตย์เช้า  เป็นวันแรกที่หนูหิ่ง ฯ นวดให้  พี่สาวจะบอกว่านวดแรง ๆ เหมย (น้อง) หนูหิ่ง ฯ ก็เลยเปลี่ยนวิธีนวด

จากสองแขนขนานกัน  หนูหิ่ง ฯ ก็เปลี่ยนเป็น 2 แขนกำรอบแล้วก็บีบเข้าหากัน  อาจจะเป็นเพราะเท้าแกใหญ่  และบวม

มือหนูหิ่ง ฯ ก็เลยกำได้ไม่รอบ  จึงต้องใช้วิธีนี้แทน  พี่ซิงก็เลยแซวว่า  หัดนวดให้เป็นนะ  ถ้านวดไม่เป็นจะถูกไล่กลับบ้าน  ^__^

จริง ๆ แล้ววันนี้หนูหิ่ง ฯ คิดว่าจะกลับไปนอนกลางวันที่บ้าน  เพราะว่ากลางวันมักจะมีญาติ ๆ คนอื่นมาเยี่ยม  จะนอนไม่ได้

แต่พยาบาลบอกว่า  วันนี้จะมีหมอมาเยี่ยมดูอาการ 3 ท่านด้วยกัน  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยไม่กลับ  แล้วก็ไม่ได้รู้สึกง่วงเลย.....

เช้าวันนี้พี่สาวหนูหิ่ง ฯ ก็เลยมีหมอนวดประจำตัวถึง 2 คน  มีหนูหิ่ง ฯ กับพี่ชายคนเล็ก  พี่สาวหนูหิ่ง ฯ ชอบให้พี่คนนี้นวดมาก

เพราะเขานวดกันมาก่อนหน้าที่หนูหิ่ง ฯ จะกลับเชียงใหม่  พี่โหย่งรักพี่สาวคนนี้มาก  ตั้งแต่เข้าโรงพยาบาล  ก็จะมาหาทุกวัน

แล้วก็อยู่จนค่ำหรือดึกค่อยกลับบ้าน  หนูหิ่ง ฯ ถามว่าช่วงนี้ไม่ทำอะไรหรอ  พี่โหย่งบอกว่าไม่ทำ  ช่วงนี้เกาะเมียกิน  นั่น  ! เป็นงั้นไป

จริง ๆ แล้วช่วงนี้แกไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรมากกว่า  เพราะปรกติแกจะไปเหมาผักตามสวน  หรือไม่ก็รับจ้างบรรทุกผัก

แล้วก็ทำสวนเองด้วย  แต่ช่วงนี้พี่โหย่งไม่ทำอะไรเลย  มาเฝ้าพี่สาวทุกวัน  พี่โหย่งมือใหญ่ด้วยเขาก็เลยนวดได้น้ำหนักพอดี ๆ แบบรู้ใจกัน

เวลาประมาณ 9.00 น.  หมอเจ้าของไข้ยังไม่มา  แต่เป็นหมอที่ช่วยดูเกี่ยวกับโรคตับ  หมอจะถามพี่สาวว่าเจ็บตรงไหน  เจ็บยังไง

พี่สาวจะบอกต่อว่า  " โหย่ง บอกหมอทีว่าพี่เจ็บตรงไหน "  บอกด้วยเสียงค่อย ๆ  หมอก็มองหน้างง ๆ พี่โหย่งก็เลยชี้แถว ๆ กระดูกสันหลังด้านซ้าย

แล้วบอกคุณหมอว่า  " แกเคยบอกไว้ว่าถ้าหมอถามว่าเจ็บตรงไหนให้ชี้บอกหมอ "  หนูหิ่ง ฯ คิดว่าเป็นเพราะแกเอื้อมมือไปชี้ไม่ได้

แกก็เลยบอกไว้ว่าถ้าหมอถามให้บอกแทนที   หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกคุณหมอว่าพี่สาวบ่น ๆ เจ็บช่วงท้อง  แล้วก็หูอื้อ

คุณหมอก็เลยกดดูที่ท้องแล้วก็ถามว่า  เจ็บยังไง  เจ็บหน่วง ๆ หรือเจ็บปวด ๆ อะไรสักอย่างนี่ล่ะค่ะ  แกก็บอกว่าไม่เข้าใจ

เวลาที่คุณหมอคุยกับพี่สาว  จะคุยเสียงดัง  เพราะคิดว่าแกไม่ได้ยิน  แต่หนูหิ่ง ฯ คิดว่ายิ่งคุณหมอเสียงดัง  มันจะไปสะท้อนในหูของแก

หนูหิ่ง ฯ ก็จะคอยบอกที่ริมหูของพี่สาวอีกที  แล้วก็ถามใหม่  พยายามหาคำถามที่คิดว่าแกจะเข้าใจ  เพราะบางทีคุณหมอถามแกจะงง ๆ 

เช่น  หูอื้อยังไง ลมออกหูหรือเปล่า แกก็ไม่เข้าใจ  คงคิดว่าหูอื้อก็คือหูอื้อ  ทำไมต้องถามว่าอื้อยังไง  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยต้องบอกแกว่า  หูอื้อแบบลมออกหูหรือเปล่า

คล้าย ๆ เวลานั่งเครื่องนาน ๆ เราต้องเอามือมาปิดจมูกแล้วหายใจออกแรง ๆ ลมก็จะสะท้อนออกหู  แล้วเราก็จะรู้สึกดีขึ้น  แกก็เลยพยักหน้า

หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกคุณหมอว่า  น่าจะเป็นเพราะพี่สาวไม่ได้กินอะไร  กินแต่น้ำถั่วเหลือง+รังนก  ก็เลยหูอื้อ  เพราะหนูหิ่ง ฯ ก็เคยเป็น

คุณหมอก็เลยเรียกพี่ชายไปปรึกษาข้างนอก  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยอยู่กับพี่สาว 2 คน  ส่วนพี่ซิงกลับไปทำธุระที่ออฟฟิท  แล้วไปเอาของที่บ้าน

พี่สาวบอกว่าช่วยพาตะแคงหน่อย  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยไปอยู่อีกด้านที่แกจะตะแคงไป  แล้วก็เอื้อมมาโอบฝั่งตรงข้าม  ดึงเข้าหาตัว  ก็ช่วยให้แกตะแคงได้ครั่งเดียว

ส่วนตรงเอวไปถึงเท้าไม่ได้ตะแคง  เพราะถ้าเทียบกันแล้วตัวแกใหญ่กว่าหนูหิ่ง ฯ มาก  ก็เลยได้แค่นี้  หนูหิ่ง ฯ ก็โอบกอดแกไว้  ถ้าปล่อยแกจะพลิกคืน

เวลาพลิกตัวแรง ๆ จะเจ็บ  บางทีพลิกค่อย ๆ ก็ยังเจ็บอยู่ดี  ต้องคอยสังเกตสีหน้าตลอดเวลา  ก็จะพอรู้ว่าตอนนี้แกรู้สึกยังไง

สักพักพี่สาวก็บอกว่า  นอนเหมย นอน  หนูหิ่ง ฯ ก็ค่อย ๆ ปล่อยให้เอนนอนลงไป  สักพักแกก็บอกว่าเหมยพลิกตัว พลิกตัว  หนูหิ่ง ฯ ก็ไปอยู่อีกด้าน

เอื้อมมือไปโอบช่วงไหล่  แล้วก็ดึงแกเข้ามากอดไว้ในท่าตะแคงครึ่งเดียว  แล้วพี่สาวก็บอกว่าปวดจังเลยเหมย....ปวดจัง  หนูหิ่ง ฯ ไม่รู้จะทำยังไง

ก็ได้แต่ลูบหลังให้แก  แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา  ไม่ได้ตั้งใจจะร้อง  ไม่อยากร้องเลย  เพราะกลัวแกเห็น  กลัวคนอื่นเข้ามาเห็น

น้ำตายังไม่หยุดไหล....  สักพักแกก็บอกว่านอนเหมย.... นอน  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกว่าเจ้หลับตานะ  หลับตาไว้นะ  แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ปล่อยแกนอน

แอบนั่งยอง ๆ แล้วก้มหน้าเช็ดน้ำตาใต้เตียงแกจะได้ไม่เห็น  แล้วพี่ชายหนูหิ่ง ฯ ก็เข้ามา  แกเห็นหนูหิ่ง ฯ ร้องไห้  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกว่าพี่สาวบ่นเจ็บ

แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็เดินไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ  ทาแป้งเด็กกลบร่องรอยการร้องให้  พี่ชายบอกว่าหมอจะให้ไปอัลดร้าซาวด์เวลาบ่าย 2 เพื่อจะดูว่าตับเป็นยังไงบ้าง

สักพักพี่เขยหนูหิ่ง ฯ อยู่ อ.จอมทอง ก็มาถึง  หนูหิ่ง ฯ สวัสดีแล้วยิ้มให้  แต่พี่เขยไม่ยิ้มเลย  ดูผอมไปด้วย  หลานฟางทำโซชิฝากมาให้กิน  พร้อมกับน้ำเก็กฮวยแก้วใหญ่ ๆ

วันนี้ครบ 7 วันของการทำพิธีอะไรสักอย่าง  ที่หนูหิ่ง ฯ บอกว่าให้ใส่เสื้อดำ  แล้วก็ให้คนที่มีนักษัตรดวงเป็นศัตรูกันในแต่ละวันมาผูกข้อมือเรียกขวัญให้น่ะค่ะ

ก็จะมีมะพร้าวแก่ 2 ลูก  เสื้อสีชมพู 2 ตัว  ด้ายสีแดง 1 ถุง  และกาละมัง จะทำการถอดเสื้อดำ  แล้วใส่เสื้อใหม่ตอนบ่ายโมง

พี่สาวบอกไม่ให้ใช้กาละมังของโรงบาล  เพราะไม่สะอาด  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกแกว่าไม่เป็นไร  เดี๋ยวจะไปซื้อให้ใหม่

สักพักหมอเจ้าของไข้ก็มาตรวจ  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยเดินจากโรงบาลไปเซ็นทรัล  ซึ่งอยู่หลังโรงบาลนี่เอง  เดินไปดูที่ท็อป  มีใบเล็ก ๆ สีดำ  

หนูหิ่ง ฯ ก็เลยต้องไปดูฝั่งเซ็นทรัลที่ชั้น 3  ก็ได้ใบสีครีมมา 1 ใบ  จริง ๆ แล้วอยากได้สีชมพู  หรือขาว  แต่ไม่มีค่ะ  หนูหิ่ง ฯ ได้ส่วนลด 10 % ด้วย  เพราะไม่ใส่ถุง

พนักงานขายบอกว่าช่วงนี้ที่ห้างมีโครงการลดภาวะโลกร้อน  โดยไม่ใส่ถุง  เพราะกาละมังใบใหญ่  ต้องใช้ถุงใหญ่  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกว่าดีจังค่ะ  หนูถือไปได้โรงบาลอยู่ตรงนี้เอง

ได้ส่วนลดตั้ง 10 % แถมยังช่วยลดภาวะโลกร้อนอีก  ได้กำไรหลายต่อนะเนี่ย  ^__^  หนูหิ่ง ฯ เดินกลับถึงโรงบาลบ่ายโมงพอดี  แม่หนูหิ่ง ฯ ก็มาถึงแล้ว

พี่เขยก็ให้แม่เป็นคนทำ  โดยการถือลูกมะพร้าว 1 ลูก  นำไปวนรอบศรีษะพี่สาว  วนไปทางซ้าย 2 รอบพร้อมทั้งอธิฐานว่าให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายทั้งปวง

แล้วก็ส่งให้พี่โหย่งผ่าเอาน้ำมะพร้าวใส่ในกาละมัง  ส่วนแม่ก็นำมะพร้าวอีกลูกหนึ่งวนรอบศรีษะพี่สาวไปทางขวาอธิฐานเหมือนเดิม

แล้วส่งให้พี่โหย่งผ่าเอาน้ำออกมาใส่ในกาละมัง  แล้วก็ให้แม่ใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวของหนูหิ่ง ฯ ซับน้ำมะพร้าวแล้วก็เช็ดจากหน้าผากไปด้านหลัง 2 ครั้ง

พร้อมทั้งอธิฐานให้หายจากการเจ็บป่วย  เช็ดจากด้านหลังมาทางหน้าผาก 2 ครั้ง  อธิฐานเหมือนเดิม  แล้วก็ใส่ผ้าไว้ในกาละมัง

พี่เขยตักน้ำมะพร้าวให้พี่สาวบ้วนปากทิ้ง 2 ครั้ง  ให้แกอธิฐานว่าขอให้หายจากการเจ็บป่วยทั้งภายในและภายนอก  

เสร็จแล้วก็ถอดเสื้อดำออกไปใส่ไว้ในน้ำมะพร้าว  นำกรรไกรตัดด้ายดำที่ข้อมือทั้ง 2 ข้าง  ใส่รวมกันไว้ในน้ำมะพร้าว  

แล้วก็ให้แม่นำด้ายแดงมาผูกเรียกขวัญที่คอและข้อมือทั้ง 2 ข้าง  วันนี้เป็นวันที่นักษัตรปีวอก  กับปีเสือไม่ถูกกัน  พี่เขยหนูหิ่ง ฯ เกิดปีวอก

วอกออกหากินตอนกลางวันก็เลยผูกด้ายแดงเรียกขวัญให้ในตอนกลางวัน  ส่วนพี่ซิงเกิดปีเสือ  ต้องผูกด้ายแดงเรียกขวัญให้ในตอนกลางคืน  

สำหรับสิ่งของที่อยู่ในน้ำมะพร้าวก็ช่วยกันซับน้ำมะพร้าวในกาละมังจนหมด  พี่เขยเทใส่ถุง  แล้วบอกว่าจะนำไปใส่ไว้ในโลงกระดาษสีดำ

แล้วให้น้าที่เป็นหนาน  (คนเคยบวชเรียนค่ะ) ไปทำพิธีสวดเป็นเวลา 7 วัน  โชคดีที่ช่วงนี้หมู่บ้านหนูหิ่ง ฯ มีพระสงฆ์จากหลาย ๆ ที่ไปเข้ากรรมฐาน

วันนี้วันที่ 17 ตอนเย็นจะเป็นวันแรกของพิธีกรรม  รวมทั้งหมด 9 วัน  มีจำนวนพระสงฆ์จากที่ต่าง ๆ มากว่า 80 รูปแล้วค่ะ  

ปีนี้เยอะกว่าทุก ๆ ปี  คาดว่าน่าจะมากันเกินกว่า 100 รูปในตอนเย็น

ครอบครัวของหนูหิ่ง ฯ เป็นเจ้าภาพน้ำดื่ม - กาแฟ และผ้าห่มทุกปี  ส่วนเจ้าภาพเรื่องอาหารก็ช่วย ๆ กันหลายหมู่บ้านค่ะ  แม่บ้านนุ่งขาว  ไปช่วยกันทำอาหาร

ตอนเย็นหลาย ๆ คนก็นุ่งขาวไปปฏิบัติธรรมและนอนที่รวมกันที่ศาลา  ช่วงนี้อากาศเย็นมาก  มากันเยอะแบบนี้ไม่รู้ว่าผ้าห่มจะพอหรือเปล่านะ

ปีที่ผ่านมาหลานหนูหิ่ง ฯ ถักหมวกสีจีวรพระไปถวาย  ปีนี้ไม่ได้ทำเพราะหลานมีลูกเล็ก ๆ ชื่อน้องหวา หวา  อายุจะ 5 เดือนวันที่ 20 นี้และพี่สาวก็ป่วยด้วยค่ะ

หลังจากน้าหนานนำโลงสีดำไปให้พระสงฆ์สวดทำพิธีครบ 7 วันแล้ว  ก็ให้เผาค่ะ  แล้วพี่เขยหนูหิ่ง ฯ กับแม่ก็กลับขึ้นไปบ้านที่บนดอยแม่โถ

พอพี่เขยออกไปสักพักพี่ซิงก็กลับมา  แล้วก็เห็นผ้าดำที่หมวกยังไม่ได้ตัดไป  ก็เลยโทร.ถามพี่เขยว่าจะให้ขับรถไปส่งให้ไหม ?  หรือว่าจะให้ทำยังไง

พี่เขยบอกว่าให้ไปใส่ไว้ในเมรุก็ได้  แล้วอธิฐานขอให้พี่สาวหายจากการเจ็บป่วย  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยอาสาไปใส่ให้ที่เมรุประตูหายยา

พอพี่สาวไปอัลดร้าซาวด์  มีพี่โหย่งไปเป็นเพื่อนแล้ว  หนหิ่ง ฯ ก็เลยที่เมรุ  ไปถึงเวลาประมาณบ่าย 3 โมง  ปรากฎว่าเตาเผาเขาปิดไว้ด้วยเหล็กแผ่น

หนูหิ่ง ฯ เห็นมีรอยอ้าอยู่นิดนึง  ก็เลยงัดแล้วหยอดผ้าดำลงไป  พร้อมทั้งอธิฐานว่าให้พี่สาวหายจากการเจ็บป่วยด้วยเถิด

แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็แวะกลับไปที่บ้านอยู่ตรงข้ามกับสวนราชพฤกษ์  หนูหิ่ง ฯ ลืมนาฬิกาข้อมือ  กับสร้อยลูกปัดสีเขียวที่พระอาจารย์ที่วัดท่าตอนให้มาในวันเกิด

แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็เอาขนมโมจิกับถ้วยฟูที่ซื้อมาจากสุพรรณไปแขวนไว้ที่กุญแจหน้าบ้านเพื่อน  เพราะเพื่อนไปทำงาน  แล้วก็กลับไปที่โรงพยาบาล

ช่วงนี้หนูหิ่ง ฯ คงอยู่โรงบาลทุกวันจนกว่าพี่สาวจะออกจากโรงบาลค่ะ  หนูหิ่ง ฯ ไปต่างจังหวัดบ่อย  ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างอยู่ในรถอยู่แล้ว

ก็เลยไม่มีอะไรมาก  ต้องการอะไรก็ไปหยิบที่รถ  รถเป็นบ้าน  บ้านเป็นรถเจ้าค่ะ

สักพักผู้ช่วยพยาบาลก็เข็นเตียงพี่สาวกลับมาที่ห้อง  (ไปทั้งเตียงค่ะ  ไม่ได้ไปเตียงเล็ก  เพราะเวลาเคลื่อนย้ายต้องระวังกระดูกค่ะ)

เวลาประมาณ 6 โมงเย็น  พี่ชายคนที่ 2 กับพี่สะไภ้ก็มา  สักพักเพื่อนบ้านที่แม่โถก็มา  หลานสาวที่แต่งงานไปอยู่ป๋างอุ๋งก็มาพร้อมกับน้ำพริกปลาทู ^__^

คราวนี้มีคนเยี่ยมสิบกว่าคนเต็มห้อง  ต้องแบ่งกันนั่งโซฟาบ้าง  พื้นบ้างตามถนัด

คราวนี้พี่สาวเลยได้หมอนวดรอบเตียง  นวดพร้อมกันที่ละ 4 คน  แขน 2 ข้าง  ขา 2 ข้าง

เวลาประมาณ 2 ทุ่มทุกคนก็กลับ  เหลือพี่ซิงกับหนูหิ่ง ฯ นอนเฝ้า 2 คน  

เมื่อคืนหนูหิ่ง ฯ ปล่อยให้พี่ซิงหลับ  เพราะแกเฝ้ามาตั้งแต่พี่สาวเข้าโรงบาล  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยไม่ได้นอน  กลางวันก็ไม่ได้นอนเลย

หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกพี่ซิงว่าขอนอนก่อนนะ   แล้วค่อยเปลี่ยนกัน  ประมาณ 3 ทุ่มหนูหิ่ง ฯ ก็หลับไม่รู้เรื่อง  พี่ซิงหลับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

เวลาประมาณ 23.30 น.  เพราะได้ยินเสียงเรียกเหมย เหมยเอ้ย เบา ๆ แลไปเห็นพี่ซิงหลับ  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยลุกไปหา

แกบอกว่าอยากลุก  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยประคองลุกขึ้นนั่ง  ลำบากนิดหน่อยเพราะแกตัวโตกว่า  แล้วข้อมือซ้ายของหนูหิ่ง ฯ ก็อักเสบนิดหน่อย

อาศัยยาพ่นจากโรงบาลพญาไท 2 ที่เหลือจากครั้งกล้ามเนื้อหลังอักเสบ  ทำให้ไม่ค่อยปวดเท่าไหร่  อีก 2 วันคงหายค่ะ

นั่งหลับตาสักพักแกก็ทำหน้านิ่วบอกว่าเจ็บจังเลย  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยลูบหลังให้  ประมาณ 40 นาที หนูหิ่ง ฯ ก็เลยถามว่านอนไหม  แกพยักหน้า

หนูหิ่ง ฯ ก็เลยปล่อยให้แกนอน  เอาหมอนข้าง 2 ใบประคองไว้ข้าง ๆ ห่มผ้าที่ขา  แล้วก็เอาผ้าพันคอคลุมคอไว้  แกชอบอากาศเย็น  จึงเปิดแอร์เย็นมาก

กลัวว่าถ้าคอเย็นแล้วแกจะไอค่ะ  เพราะหนูหิ่ง ฯ เป็นคนขึ้หนาว  ถ้าคอเจอความเย็น  หรือพัดลมเป่าที่หน้า  เช้ามาก็จะไอ

แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็มานั่งพิมพ์บันทึกนี้ล่ะค่ะ  พอมาดูหน้าโน้ตบุ๊คก็เจอข้อความของเพื่อนว่าได้รับขนมแล้ว  ประทังความหิวได้  ^__^

แล้วซันจีสเพื่อนจากอินเดียก็ข้อความมาที่เฟทบุ๊คว่าจะเมลล์รูปแม่ - พี่สาว - น้องสาวมาให้ได้ที่ไหน  หนูหิ่ง ฯ ก็เลย SMS กลับไป  คงเข้าไปที่มือถือแล้วค่ะ

ประมาณปลายเดือนซันจีสบอกว่าจะกลับอินเดีย  หนูหิ่ง ฯ ว่าจะหาซื้อตุ้มหูเงินที่เชียงใหม่ฝากไปให้ค่ะ  ก็เลยขอให้แกส่งรูปมาให้  จะได้รู้ว่าควรซื้อแบบไหน  ^__^

คืนนี้หนูหิ่ง ฯ คงนั่งหน้าคอม ฯ เฝ้าแกทั้งคืน  เพราะตาสว่างแล้ว  ไม่รู้สึกง่วงเลย 

คืนนี้แกเรียกหาเหมย  ซึ่งก็คือหนูหิ่ง ฯ ในขณะที่คืนก่อน ๆ แกจะเรียกหาแต่พี่ซิง  

ปรกติหนูหิ่ง ฯ จะนอนไวอยู่แล้ว  แกเรียกเบา ๆ ก็จะได้ยิน  บางทีเสียงแกขยับตัว  หรือลูบท้อง  ก็ยังได้ยิน  แล้วก็ลุกไปดู

แกไม่ชอบห่มผ้า  เพราะบ่นว่าร้อน  หนูหิ่ง ฯ ก็จะบอกว่าห่มนิดนะ  เพราะกลัวว่าจะเป็นปอดบวมอีก  คราวก่อนหมอบอกว่าเป็นปอดบวม (น้ำท่วมปอด)

นั่นเป็นเพราะพี่ไม่ชอบห่มผ้า  ก็ต้องค่อย ๆ บอกเหตุผลให้ฟัง  แกก็จะพยักหน้า  แล้วก็ค่อยห่มให้แกค่ะ  ไม่งั้นแกก็จะดึงออกเหมือนเด็ก ๆ ^__^

คืนนี้ร้องให้นิดเดียว  พยายามที่จะไม่ร้องแล้วนะ  แต่บางทีน้ำตาก็ไหลออกมาเอง  ไม่เป็นไรไม่มีใครเห็น  *__~



				
17 มกราคม 2554 01:11 น.

* * * หนูหิ่ง ฯ ตอน นับถอยหลัง 1 * * *

หิ่งห้อยน้อยใจ


วันนี้วันอาทิตย์  ที่ 16 มกราคม 2554

หนูหิ่ง ฯ กลับมาถึงเชียงใหม่เมื่อวันเสาร์เย็น ๆ เข้าไปเก็บข้าวของบางส่วนไว้ที่บ้าน  แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ไปหาพี่สาวที่โรงบาล

กะว่าจะนอนเฝ้าแกที่โรงบาล  แต่พอสี่ทุ่ม  แกก็บอกให้กลับ  ให้พี่ซิงเฝ้าคนเดียว  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยกลับไปนอนบ้าน

กว่าจะนอนได้ก็เกือบตี 3  ตื่นอีกทีพี่ซิงโทร.มาเรียกให้ตื่นไปโรงบาล  หนูหิ่ง ฯ ก็ตาลีตาเหลือกลุกขึ้นอาบน้ำไปโรงบาล

พี่ซิงบอกว่าพี่หลั่งเรียกทุกชั่วโมงเลย  เพราะแกปวดมาก  จะทำยังไงดี ? ? ? ไม่อยากให้แกต้องทรมาณกับการปวดไปทั้งตัวแบบนี้

หลายครั้งต้องพึ่งมอร์ฟีน  ทั้งฉีด แปะ กิน  *__~

นึกได้ว่าเมื่อวานตอนเช้ากะลังขับรถไปสุพรรณ  พี่อรัญการเงินตร.ตราดโทร.มาเรื่องยา  เพราะพี่ชายเขาก็เป็นมะเร็งตับ

ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว  แต่พี่อรัญเล่าให้ฟังว่า.... พี่ชายแกไม่มีอาการเจ็บปวดทรมาณเลย  เพราะกินยาตัวหนึ่ง  ชื่ออะไรก็ไม่รู้

รู้แต่ว่าเป็นยาของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ ฯ หนูหิ่ง ฯ ก็เลยรบกวนให้พี่เขาช่วยหากล่องใส่ยา   หรือชื่อยาให้หน่อย  จะได้ให้พี่หลั่งกินบ้าง

อย่างน้อยแกจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดทรมาณแบบนี้

หนูหิ่ง ฯ ก็เลยโทร.ไปหาอีกครั้ง  พี่เขาก็บอกว่ายาชื่อ ปะดง  กล่องสีฟ้า  ของบริษัท กรุงเทพทิพโอสถ

เช้าวันนี้หนูหิ่ง ฯ ก็เลยไปหาที่เซ็นทรัล  ถามเภสัชหลายร้าน  เขาก็ทำหน้าไม่รู้จัก  แล้วก็บอกว่าไม่มี

หนูหิ่ง ฯ เดินหาจนจะ 11.00 น.  ก็คิดว่าไปหาข้อมูลในเน็ทแล้วก็ไล่โทรถามดีกว่า 

หนูหิ่ง ฯ ก็หาคำว่ายาปะดง  ก็เจอแต่เป็นกล่องสีแดง  เป็นของห้างขายยาตาเสือมังกร  แล้วภาคเหนือมีขายที่ อ.งาว จ.ลำปาง

หนูหิ่ง ฯ ก็หาเบอร์แล้วก็โทร.ไปถาม  เขาบอกว่าตอนนี้ไม่ได้ขายแล้ว  โทร.ถามร้านขายยาในเชียงใหม่ก็ไม่มี  *__~

หนูหิ่ง ฯ ก็เลยหาข้อมูลใหม่  หาไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งไปเจอกระทู้หนึ่ง  เขาบอกว่ามีขายที่

1.  ร้านค้าสวัสดิการของกรมราชองครักษ์  แถววัดเบญ    2.  ร้านจิตรลดา  ในสวนจิตร   3. พระราชวังไกลกังวล ที่หัวหิน

แล้วหนูหิ่ง ฯ จะไปซื้อยังไงเนี่ย  โทร.ถามเบอร์ร้านค้าสวัสดิการ  แต่ก็ได้เบอร์ของกรมราชองครักษ์มา

หนูหิ่ง ฯ ก็เลยโทร.ถาม  พี่เขาบอกว่าร้านเปิดวันและเวลาราชการ  ไม่มีบริการส่งทางไปรษณีย์

แต่ถ้าต้องการพี่เขาจะไปซื้อส่งให้ก็ได้  ให้เบอร์มือถือมาด้วย  ขอบคุณค่ะพี่อำนาจ  พี่ใจดีจริง ๆ 

หนูหิ่ง ฯ บอกว่าหนูหิ่ง ฯ ต้องการด่วน  ก็เลยจะให้เพื่อนไปซื้อแล้วส่งอินทราทัวร์มาให้ 

วันอังคารเช้าจะได้ไปรับได้เลย  เพราะตอนนี้พี่สาวหนูหิ่ง ฯ น่าสงสารมาก  แค่เห็นหน้าเขาหนูหิ่ง ฯ ก็น้ำตาตกในแล้ว

ไหลออกมาข้างนอกไม่ได้  ต้องยิ้มอยู่เสมอ  บางทีทนไม่ไหวก็ไปแอบร้องให้ไม่ให้ใครรู้  ไม่ให้ใครเห็น

วันนี้พี่หลั่งอนุญาตให้หนูหิ่ง ฯ นอนเฝ้าที่โรงบาลกับพี่ซิง  ขณะนี้นั่งพิมพ์ไปก็น้ำตาไหลไป  พี่ซิงหลับแล้ว

พี่หลั่งก็กว่าจะนอนได้  ต้องไปนวดให้ไม่รู้กี่ครั้ง  ทุกครั้งที่แกเรียก  เหมือนว่าแกจะเกรงใจมาก

พอหนูหิ่ง ฯ ลุกขึ้น  แกก็จะยิ้มให้  แล้วบอกว่าปวดมาก  เสียงพูดก็ไม่ค่อยได้ยิน  ต้องให้อ็อกซิเจนด้วย

หนูหิ่ง ฯ ก็จะไปนั่งข้าง ๆ นวดให้เบา ๆ นวดแรงไม่ได้แกจะยิ่งเจ็บ  หมอบอกว่าตอนนี้กระดูกพรุนไปหมดแล้ว

ห้ามลุกจากเตียง  เพราะถ้าล้มกระดูกจะหัก  เวลาเอ็กซเรย์  โรงบาลก็จะเข็นเครื่องมาทำให้ที่ห้อง

ต้องขอให้แกใส่แพมเพิร์ส  เพราะลุกนั่งลำบาก  หนูหิ่ง ฯ จะทำยังไงดี  จะทำยังไงดี  จะทำยังไงดี

เวลามีแขกมาเยี่ยม  แกจะฝืนยิ้มให้ทุกคนเสมอ  ทั้ง ๆ ที่เจ็บปวดทรมาณขนาดนั้น

บ่ายวันนี้หนูหิ่ง ฯ ได้ข้อมูลมาแล้ว  ก็เลยโทร.หาตุ่น  วานตุ่นเป็นธุระไปหาซื้อยาปะดงพระสังข์ทรงช้างให้หน่อย

ตุ่นก็รับปากจะไปซื้อให้วันจันทร์  ถ้าไปไม่ได้จะจ้างคนไปซื้อให้  แล้วก็จะส่งให้ที่อินทราทัวร์ประตูน้ำ

ขอบใจมากนะเพื่อน  ถ้าไม่มีเพื่อนอยู่  หนูหิ่ง ฯ คงต้องนั่งรถเครื่องไปซื้อเองแล้ว  เพราะใจร้อน

ไม่อยากเห็นใครต้องทนทรมาณแบบนี้เลย....

พี่เขยหนูหิ่ง ฯ ไปได้พิธีกรรมอะไรมาก็ไม่รู้  ให้พี่หลั่งใส่เสื้อดำ  แล้วก็ให้คนเกิดปีที่เป็นศัตรูกันในแต่ละวัน

มาผูกข้อมือให้เป็นเวลา 7 วัน  อยากรู้ก็ดูปฏิทินของจีนจะมีบอกไว้

วันนี้วันที่ แพะ  เป็นศัตรูกับ ฉลู  หนูหิ่ง ฯ เกิดปีฉลู  ก็เลยได้ผูกข้อมือให้พี่หลั่งด้วย

พี่ชายหนูหิ่ง ฯ เกิดปีแพะ  ก็เลยไม่ต้องไปหาใคร

สายสิญจน์สีดำ  มีกี่เส้นก็ไม่รู้  แต่ให้ดึงออก 2 เส้น  แล้วก็ไปป้ายที่ศรีษะของแกจากหน้าผากไปด้านบน 2 ครั้ง

แล้วพูดว่า  ขอให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ  แล้วก็ทำแบบเดียวกันที่ฝ่าเท้าทั้ง 2 ข้าง

แล้วนำสายสิญจน์ที่เหลือผูกข้อมือให้แก

หนูหิ่ง ฯ ก็อธิฐานว่า.... เนื่องด้วยในวันนี้เป็นวันที่แพะกับวัวเป็นศัตรูกัน  หนูหิ่ง ฯ เกิดปีฉลู  จึงขอผูกสายสิญจน์เรียกขวัญให้

ขอให้พี่หายจากโรคภัยทั้งหลาย  ขอให้มีอายุมั่นขวัญยืน  อยู่กับสามี แม่ น้อง ลูกและหลานไปอีกนานแสนนาน

สำหรับบุญกุศลที่หนูหิ่ง ฯ ได้กระทำมา  ขอได้โปรดดลบันดาลให้พี่สาวหนูหิ่ง ฯ อย่าได้เจ็บปวดทรมาณเลย

หากแม้นว่าหนูหิ่ง ฯ มีอายุยืนยาว  ก็ขอให้ท่านยมพบาลแบ่งให้พี่สาวหนูหิ่ง ฯ สัก 10 ปี หรือ 20 ปี ก็ได้

พี่สาวหนูหิ่ง ฯ ก็ยิ้มให้  แล้วพูดว่า  อยู่ด้วยกันนาน ๆ จะถูกแกบ่น - ด่าทุกวันนะ  หนูหิ่ง ฯ ก็บอกว่าไม่เป็นไร

หนูหิ่ง ฯ ไม่ค่อยได้อยู่บ้านให้ด่าอยู่แล้ว   แกก็พูดว่าขอบใจนะ

แล้วก็ทำซ้ำเหมือนเดิมอีกรอบ  เพราะต้องผูกข้อมือทั้ง 2 ข้าง  ส่วนด้ายที่ดึงออกมาข้างละ 2 เส้น

ให้ไปทิ้งไว้ใต้ต้นกล้วย  หนูหิ่ง ฯ ต้องไปทิ้งพรุ่งนี้  เพราะว่าวันนี้อยู่เฝ้าแกที่โรงบาล  แล้วก็ติดต่อเรื่องยา

กลางคืนก็นอน - นั่งเฝ้าแกต่อ  ไม่ได้ไปไหน

ขณะที่พิมพ์  แกก็เรียกให้ไปช่วยพาแกลุกหลายครั้ง  แกก็จะยิ้มให้ทุกครั้ง  บอกว่าอยากลุก

บอกว่าปวดจังเลย  หนูหิ่ง ฯ ก็จะไปนั่งข้าง ๆ เป็นเพื่อน  จับมือไว้บ้าง  นวดให้แกบ้าง  แต่ไม่ชวนคุย  เพราะแกรำคาญ

พอแกบอกจะนอน  หนูหิ่ง ฯ ก็ปรับที่นอนลง  แล้วก็มานั่งพิมพ์ต่อ

ถ้าแกลืมตาหันมาเห็น  ก็จะถามว่าทำไมยังไม่นอน  หนูหิ่ง ฯ ก็บอกว่าพิมพ์งานอยู่  ยังไม่ง่วง  จะได้อยู่เป็นเพื่อนพี่ไงคะ

วันนี้คงจะพิมพ์แค่นี้  เป็นการระบายความเครียด  คืนนี้คงจะนอนไม่หลับทั้งคืน 

 ไม่เป็นไร  ให้พี่ซิงหลับไปเพราะแกอดนอนมาหลายคืนแล้ว  พี่หลั่งไม่ยอมให้คนอื่นนอนเฝ้าแกเลย

อาจจะไม่อยากให้เขาเห็นแกตอนปวด - ทรมาณหรือเปล่า  หรือจะเป็นเพราะรำคาญ   หรือกลัวคนเฝ้ารำคาญแก

แต่หนูหิ่ง ฯ ดีใจนะที่วันนี้แกให้หนูหิ่ง ฯ นอนเฝ้า  พี่ซิงจะได้หลับพักผ่อนบ้าง  

ส่วนหนูหิ่ง ฯ ถ้าง่วงก็จะกลับไปนอนที่บ้านตอนกลางวัน  เพราะนอนที่โรงบาลมีคนเข้า ๆ ออก ๆ ทั้งวัน  คงไม่หลับ

หากพี่ ๆ ท่านใดเข้ามาอ่าน  หนูหิ่ง ฯ ก็ขอให้ช่วยส่งกำลังใจให้ด้วยนะคะ  ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ  ^__^


				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหิ่งห้อยน้อยใจ
Lovings  หิ่งห้อยน้อยใจ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหิ่งห้อยน้อยใจ
Lovings  หิ่งห้อยน้อยใจ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหิ่งห้อยน้อยใจ
Lovings  หิ่งห้อยน้อยใจ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงหิ่งห้อยน้อยใจ