8 กันยายน 2551 12:59 น.

โฉมหน้า...มือจุดระเบิดภาคใต้

น้ำผึ้งเดือนห้า

333.jpg


จับได้แล้ว....มือจุดระเบิดภาคใต้....				
1 กันยายน 2551 10:27 น.

จดหมายถึง...นายก

น้ำผึ้งเดือนห้า

เรียน ท่านนายก
เรื่อง  ประชุมกันไป....ก็ไร้ผล

	จากที่ได้ติดตามการประชุมของรัฐสภาเมื่อวานนี้ ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่ก็พอจะจับใจความได้ว่า แม้สมาชิกสภาทั้งหลายจะเสนอแนวทางใดๆก็ตาม ก็คงจะไม่มีผลอะไรต่อการตัดสินใจของท่านนายกเลย การประชุมรัฐสภาจึงเปรียบเสมือนประหนึ่งว่า ทำไปอย่างนั้นแหละเพื่อให้รัฐบาลมีภาพพจน์ที่ดีในสายตาคนอื่นว่ารัฐบาลน่ะ ต้องการแก้ไขปัญหาจริงๆ รัฐบาลฟังเสียงของทุกคนทั้งที่จริงแล้ว เหมือนสมาชิกรัฐสภานั้น สีซอให้ควายฟังก็ไม่ปาน ปากก็บอกว่าผมไม่มีอะไรที่ต้องห่วงหรือหวงเก้าอี้ แต่ถามว่าทำไมไม่ลาออกหรือยุบสภาไป ถ้ามั่นใจในความดีของตัวท่านและคณะซะขนาดนั้น หรือจะเสียชื่อว่าแพ้ต่อพันธมิตร หากท่านจะอายว่าท่านพ่ายแพ้ต่อพันธมิตร ท่านก็ออกมาพูดสาเหตุที่ท่านลาออกหรือยุบสภา เพราะท่านไม่ต้องการให้ประชาชนเกิดความขัดแย้งขั้นรุนแรงถึงขั้นที่ยกพวกมาปะทะกัน ไม่ต้องการให้ประชาชนเกิดความแตกแยก และต้องขออภัยต่อประชาชนที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ที่เลือกท่านมา จะมีก็เพียงบางกลุ่มเท่านั้นที่จะออกมาต่อต้านว่า ท่านอย่าลาออกนะ ทั้งที่จริงแล้ว ใจก็คิดว่า ท่านลาออกเถอะ เดี๋ยวพวกเราก็เลือกมาใหม่ได้

     	ท่านจะปฏิเสธหรือไม่หากกลุ่มพันธมิตรและกลุ่ม นปก.ของท่านมาปะทะกัน คงไม่ต้องออกมาปฏิเสธหรอกว่า นปก.ไม่ใช่ของท่าน เพราะไม่ต้องอ้าปาก คนไทยก็เห็นลิ้นไก่ท่านอยู่แล้ว การที่ท่านลาออกหรือยุบสภาไม่ได้หมายความว่า ท่านผิด หรือ ท่านแพ้ แต่หมายความว่าท่านได้เสียสละเพื่อประชาชน ในที่นี้คือ เสียสละโดยที่ท่านไม่ต้องการให้ประชาชนแบ่งเป็นสองฝ่าย ไม่ต้องการให้ประชาชนเกิดการปะทะกัน ทุกครั้งที่มีสส.หรือสว.ที่ออกมาพูดสนับสนุนรัฐบาลนั้น มันทุเรศสิ้นดี ท่านยังหูตามืดบอดไม่ฟังเสียงของคนอื่นอีกหรือ จริงอยู่ที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ได้ออกมาแสดงตน ยังเป็นพลังเงียบอยู่นั้น ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าเขาสนับสนุนท่านอย่างแน่นอน

    สิ่งที่อยากบอกท่านในวันนี้คือ

	1. ถ้าท่านยังอยู่ต่อ แล้วประชาชนทั้งสองฝ่ายจะต้องมาปะทะกันนั้น พลังเงียบขอบอกว่า ท่านยุบสภาเถอะ เพื่อไม่ให้เกิดการนองเลือด ซึ่งการยุบสภานั้นก็น่าจะเป็นที่พึงพอใจของฝ่ายพันธมิตร ที่ทุกวันนี้มันต้องการให้เกิดการนองเลือด เพื่อที่มันจะได้ชนะ เพราะหัวหน้ากลุ่มมันว่า มันอยู่ข้างประชาชน แต่ก่อนที่จะยุบสภา ทั้งนี้ควรนัดผู้นำกลุ่มพันธมิตรมาร่วมลงนามข้อสัญญาที่อาจจะร่างขึ้นเพื่อเป็นข้อยืนยันหรือข้อตกลงว่ากลุ่มพันธมิตรจะต้องสลายการชุมนุม จะต้องไม่มีการก่อกวนต่อการเลือกตั้งครั้งใหม่ และจะต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญที่ประชาชนได้ลงมติ ถึงแม้ท่านจะพูดว่า รัฐธรรมนูญที่ได้มานี้ไม่ชอบธรรม แต่ก็เป็นรัฐธรรมนูญที่ประชาชนได้ลงมติรับมาแล้ว อย่าพยายามเถียงว่าได้มาจากการรัฐประหาร เพราะทหารไม่ได้เอาปืนมาจี้ว่า พวกแกต้องรับร่างธรรมนูญนี้นะ ไม่งั้นตาย...อะไรประมาณนั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่เลย ถึงแม้ประเทศไทยจะมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ผืนแผ่นดินเป็นของคนไทยทุกคน	แต่การที่ประเทศไทยอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะนายกหรือรัฐสภา ไม่ใช่แต่เฉพาะประชาชน แต่เป็นเพราะการทูตของไทยที่พระเจ้าแผ่นดินท่านได้วางรากฐานไว้ และการทหารที่ปกป้องบ้านเมืองอย่างเข้มแข็ง (แม้เงินเดือนของทหารจะน้อยกว่าค่าขนมของลูกๆนักการเมืองที่อ้างว่าทำทุกอย่างเพื่อชาติก็ตาม) และอย่ามาพูดเรื่อง ประชาชนเป็นเจ้าของแผ่นดิน เพราะที่จริงแล้ว คนที่เป็นเจ้าของแผ่นดินอย่างแท้จริงคือพระเจ้าอยู่หัว 

	2. ถ้าท่านยังอยู่ต่อ ก็ขอให้ท่านแสดงท่าทีที่เป็นมิตรกับประชาชนทุกคน ทุกกลุ่มเสมอภาคกัน แสดงให้ประชาชนเห็นว่า ท่านได้ให้ความสำคัญกับประชาชนอย่างแท้จริง อย่าถูไถไปข้างๆคูๆ และอย่าคิดว่าตนเองดี เก่ง และวิเศษไปกว่าใคร คิดทำสิ่งใดให้นึกถึงประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นหลัก หากท่านจะอยู่ต่อได้ ท่านควรจะมีนโยบายที่มีผลดีต่อประชาชนและมาประกาศให้ประชาชนได้รับทราบ แต่ทุกวันนี้ที่ท่านประกาศนโยบายแต่ละอย่างออกมานั้น มันทุเรศ และไม่มีที่มา ที่ไป มีอย่างเดียวคือ ที่ให้พวกพ้องกิน
	3.ท่านควรออกมาแสดงท่าทีเรื่องกลุ่มนปก. และควรห้ามกลุ่มนปก.ไม่ให้ออกมาแสดงตนอะไรทั้งสิ้น กลุ่มพันธมิตรจะประท้วงอะไรก็ปล่อยไป ท่านไม่ต้องไปสนใจ สิ่งที่ท่านควรสนใจคือเรื่องของประชาชนเป็นหลัก และไม่ต้องออกมาแสดงท่าทีอะไรกับพันธมิตรอีก เพราะถ้าท่านทำงานหนักเพื่อประชาชน โดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนของตนและพวกพ้อง ไม่นำญาติหรือพวกพ้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำงานแล้ว เชื่อว่าประชาชนจะยอมรับให้ท่านทำงานต่อได้ แต่ถ้าท่านไม่เปลี่ยนนิสัยที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่พวกพ้อง เห็นแก่เงิน ฟังความคิดเห็นเฉพาะของพวกตนเอง ท่านก็ลาออกหรือยุบสภาเสียเถอะ มันไม่มีประโยชน์หรอก ที่ท่านจะอยู่แล้วให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศเริ่มเกลียดท่านมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะถึงแม้ประชาชนจะไม่เชื่อกลุ่มผู้นำของพันธมิตร แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าข้างท่าน พลังเงียบนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าข้างท่าน เพียงแต่เห็นว่า ทั้งกลุ่มพันธมิตรและรัฐบาลนั้น มัวแต่ทำเรื่อง ไร้สาระ กันอยู่ จึงไม่สนใจก็เท่านั้นเอง 

	4. ทุกวันนี้ ประชาชนต่างจับตามองท่าทีของท่านทุกอย่าง สิ่งที่ท่านได้แสดงกับสื่อหรือรัฐสภานั้น เป็นการบ่งบอกถึงความคิดในใจของท่าน ทุกคำพูดและการกระทำของท่าน มันบ่งบอกว่าท่านไม่ได้ ห่วงประชาชนเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้กลุ่มพันธมิตรเอง ก็ไม่ได้ห่วงประชาชนเหมือนกัน จะเห็นได้จากการที่ท่านให้กลุ่มนปก.ดึงประชาชนมาเพื่อใช้เป็นโล่กำบังเช่นเดียวกันกับกลุ่มพันธมิตรที่ใช้ประชาชนเป็นโล่กำบังให้ตัวเอง การที่ท่านสั่งการตำรวจ ท่าทีของท่านที่แสดงออกต่อกลุ่มของประชาชนที่ร่วมชุมนุม อย่างนี้หรือที่เรียกว่า รักประชาชน อย่างนี้หรือที่เรียกว่า รักชาติ เพราะการที่ท่านใช้ประชาชนเป็นโล่กำบังแสดงว่าท่านไม่ได้ห่วงเรื่องความปลอดภัยหรือชีวิตของคนเหล่านี้เลย ถึงแม้ตายไปท่านก็ยอมสละได้ เพราะคนเหล่านั้นไม่ใช่ตัวท่าน ไม่ใช่ญาติพี่น้องท่าน ไม่ใช่ลูกหลานท่าน ไม่ใช่เพื่อนของท่าน  เช่นเดียวกับกลุ่มพันธมิตรที่ยอมแลกประชาชนกับประชาธิปไตยที่ไม่รู้ว่ามันจะเอาโคตรประชาธิปไตยอะไรกันนักหนา ชีวิตทุกวันนี้มันไม่มีประชาธิปไตยตรงไหน ทุกวันนี้ถ้ามันไม่ได้เรียกร้องประชาธิปไตย มันจะตายหรือไง การที่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางประชาชนที่ไม่รู้เรื่องราวตื้นลึกหนาบางอะไร ไม่รู้ถึงเรื่องราวชั่วร้ายในสมองของผู้นำกลุ่มพันธมิตร ที่มันยอมให้ประชาชนเป็นด่านหน้า ยอมให้ประชาชนที่เป็นผู้หญิง คนชราไปเป็นด่านหน้า ไปตายด่านหน้าถ้าตำรวจใช้ความรุนแรง ซึ่งมันคิดว่าตำรวจจะไม่ใช้ความรุนแรง นี่หรือคนที่ประชาชนยอมตาย นี่หรือคนที่ประชาชนควรปกป้อง การกระทำทั้งฝ่ายรัฐบาล กลุ่มนปก.หรือกลุ่มพันธมิตร แสดงให้เห็นว่า ไม่ได้ห่วงชีวิตของประชาชนเลย ต้องการเพียงอย่างเดียวคือ บรรลุวัตถุประสงค์เท่านั้น ผิดกลับกลุ่มของทหารที่ออกมาทำการรัฐประหาร เป็นเพราะไม่ต้องการให้ประชาชนต้องเสียเลือดเนื้อ ไม่ต้องการให้ประชาชนแตกแยก ทหารออกมาขวาง เพียงเพื่อให้ประชาชนได้หยุดคิด ได้ถอยมาสักก้าวเพื่อคิดและมองออกไปเป็นมุมที่กว้างกว่าเดิม ถ้าเป็นกลุ่มของทหาร เขาจะไม่มีวันให้ประชาชนไปเป็นด่านหน้า ตัวของทหารเองจะเป็นด่านหน้า ด่านหลัง และคอยระวังรอบข้าง โดยให้ประชาชนอยู่ตรงกลาง เพื่อให้ประชาชนได้อยู่รอดปลอดภัย ความแตกต่างตรงนี้ที่ทำให้ดิฉันมองเห็นว่า การปฏิวัติรัฐประหาร เป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่ควรทำแล้วในเวลาที่ผ่านมานั้น

	สุดท้ายนี้ขอให้ท่านนายกได้คิดวิเคราะห์สถานการณ์อย่างตรงไปตรงมา คิดในแบบที่ต้องการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง อย่าคิดในแบบที่ยอมเสียเลือดเนื้อของประชาชน ขอให้ท่านได้รับผิดชอบชีวิตของคนทุกคนดังที่ท่านได้พูดเอ่ยอ้างอยู่ในสภา ขอให้ท่านได้มีจิตสำนึกดี ในการใตร่ตรองที่มา สาเหตุของปัญหา และแนวทางแก้ไข ถ้าหากท่านลาออกหรือยุบสภาไป ประชาชนก็เลือกท่านเข้ามาใหม่ได้ หากท่านและพรรคของท่านดีจริงดังที่ท่านคิดหรือมโนภาพเอง 
	
	ขอแสดงความนับถือ(ถ้าหากท่านยุบสภา)

พลพรรค...รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์


ขออภัย หากข้อความที่ปรากฏนั้นไม่ถูกใจท่าน...แต่มันคือความจริง ความรู้สึกนึกคิดของพลังเงียบที่ท่านว่า...				
29 สิงหาคม 2551 13:00 น.

วันแดงเดือด...ของพันธมิตร(ในที่สุดก็ปะทะกัน)

น้ำผึ้งเดือนห้า

ตอนนี้ ตำรวจเข้าไปตรึงกำลังตีล้อมพันธมิตรแล้ว รื้อเวทีสะพานมัฆวานแล้ว 
      ผู้นำของกลุ่มพันธมิตรพยายามที่จะเรียกร้องให้ประชาชนไปร่วมชุมนุมกัน....เหลืออีก 2 ช่องทางที่จะเข้าไปที่ทะเนียบได้ ...
       น่ากลัวจริงๆเลย...ขอให้คุณพระศรีรัตนตรัยโปรดช่วยคุ้มครองทั้งสองฝ่ายด้วยเถิด				
4 มิถุนายน 2551 14:19 น.

ไม้ขีดไฟในมือคุณ [มติชน 18-05-51]

น้ำผึ้งเดือนห้า

match2e.jpg 

วันนี้ความโกรธเกลียดกำลังอบอวลแผ่ซ่านไปทั่ว พร้อมจะประทุเป็นผรุสวาททันทีที่มีการพูดคุยถกเถียงเรื่องการเมือง เพียงแค่ได้ฟังข่าวสารบ้านเมืองอารมณ์ก็ขุ่นมัว หลายเดือนมานี้หลายคนพบว่าตนตื่นขึ้นมาทุกเช้าพร้อมกับความโกรธ ครุ่นคิดถึงฝ่ายตรงข้ามเมื่อใดก็อยากเห็นมันพินาศวายวอดเมื่อนั้น คราใดที่คนเหล่านี้มาเผชิญหน้ากัน บรรยากาศก็พลันเขม็งเกลียว 
เมืองไทยวันนี้กำลังร้อนระอุและปริร้าวเพราะการแบ่งฝ่ายแยกขั้วกันอย่างชัดเจน ต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันอย่างรุนแรง ถึงขั้นด่าว่ากันด้วยถ้อยคำหยาบคาย ในยามที่บ้านเมืองปกติ การกระทำดังกล่าวมักจำกัดวงอยู่ในกลุ่มคนเล็ก ๆ ที่อยู่ชายขอบของสังคม ใครที่ทำเช่นนั้นมักเป็นที่รังเกียจ และไม่มีผู้ใดอยากคบค้าสมาคมด้วย แต่ปัจจุบันวิธีการเช่นนี้กลับได้รับความนิยม แต่ละฝ่ายต่างสรรหาถ้อยคำรุนแรงมาว่ากล่าวกัน ราวประชันขันแข่งกันว่าใครจะแรงกว่ากัน เพราะต่างฝ่ายต่างเข้าใจว่ายิ่งพูดแรงเท่าไร ก็ยิ่งได้ผล เพราะนอกจากสะใจผู้พูดและเรียกเสียงเชียร์จากผู้สนับสนุนแล้ว ยังเป็นการลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้าม ที่สำคัญยังเป็นการปรามผู้ที่อยู่กลาง ๆ ไม่ให้วิพากษ์พวกตนเพราะกลัวถูกกล่าวหาด้วยถ้อยคำรุนแรง ผลก็คือมีแต่เสียงด่าของสองฝ่ายเท่านั้นที่ดังระงมตามสื่อต่าง ๆ ส่วนคนอื่นซึ่งไม่เห็นด้วยกับทั้งสองฝ่ายกลับแผ่วเสียงลงไปทุกที ขณะที่จำนวนไม่น้อยตัดสินใจเลือกข้าง เพราะเห็นอีกฝ่ายเลวร้ายตามข้อกล่าวหา หรือไม่ก็เพราะกลัวว่าจะถูกตีตราแขวนป้ายเหมือนคนอื่น ๆ 

การกระตุ้นเร้าให้เกิดความรู้สึกโกรธเกลียดอีกฝ่าย เป็นวิธีการที่ทุกฝ่ายนำมาใช้อย่างเต็มที่ ด้วยการสร้างภาพอีกฝ่ายว่าเลวร้ายอย่างมิอาจให้อภัยได้ และเป็นที่มาแห่งความเลวร้ายทั้งปวงที่กำลังเกิดขึ้น(และจะเกิดขึ้น)กับประเทศชาติ อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาให้ดีจะพบว่า สิ่งที่ทุกฝ่ายพยายามปลุกเร้ามิใช่ความโกรธและความเกลียดเท่านั้น ลึกลงไปกว่านั้นคือความกลัว 

ความกลัวเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานที่จำเป็นต่อความอยู่รอดของมนุษย์ แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นพลังที่มักถูกใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มต่าง ๆ อยู่เสมอ นักการเมืองที่กระตุ้นให้ผู้คนตื่นกลัว (เช่นปลุกผีคอมมิวนิสต์ หรือขู่ว่าจะมีการก่อการร้าย)จึงมักได้รับคะแนนเสียงท่วมท้น เมื่อใดที่ประชาชนถูกปลุกเร้าให้เกิดความกลัว ก็พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อหนีห่างจากภัยคุกคาม (เช่น สละสิทธิเสรีภาพบางอย่าง) และหากจวนตัวก็พร้อมจะสู้ยิบตาเพื่อกำจัดภัยนั้นให้สิ้นซาก ความกลัวนั้นสามารถแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกลียดและก้าวร้าวรุนแรงได้อย่างนึกไม่ถึง ดังชาวเยอรมันที่กลัวและเกลียดชาวยิวถึงขั้นล้างเผ่าพันธุ์ หรือประชาชนที่กลัวคอมมิวนิสต์ครองเมืองจนถึงกับลงมือสังหารนักศึกษาประชาชนที่ธรรมศาสตร์และสนามหลวง
ความกลัวนั้นกระตุ้นให้ร่างกายทำงานและมีปฏิกิริยาออกไปทันทีโดยไม่ต้องคิด วิธีนี้ช่วยให้เราเอาตัวรอดได้อย่างฉับพลันหากเจอสัตว์ร้ายหรือรถยนต์พุ่งชน แต่เมื่อมาอยู่ในสถานการณ์การเมืองที่แบ่งฝ่ายแยกขั้ว ความกลัวกลับทำให้ผู้คนตื่นตระหนกและไร้เหตุผลหรือขาดวิจารณญาณ ดังนั้นจึงเชื่อคำกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามอย่างง่ายดาย อคติอันเนื่องจากความกลัว หรือ
ภยาคตินั้น สามารถปรุงแต่งให้เราเห็นเชือกเป็นงู เห็นหมูเป็นช้าง และเห็นกวางเป็นเสือไปได้ไม่ยาก ด้วยเหตุนี้ความผิดพลาดอย่างไม่ตั้งใจของฝ่ายตรงข้ามแม้เพียงเล็กน้อยสามารถกลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้ทันที เมื่อผู้คนเกิดภยาคติขึ้นมา (ในขณะที่พวกเดียวกันแม้ผิดพลาดแค่ไหนก็ยอมรับได้เพราะอำนาจของฉันทาคติหรืออคติเพราะชอบ)

เมืองไทยกำลังเต็มไปด้วยความกลัว เราไม่ได้กลัวว่าเศรษฐกิจจะวิกฤตเท่านั้น แต่ยังถูกปลุกให้กลัวว่าสถาบันกษัตริย์กำลังถูกคุกคาม พุทธศาสนากำลังถูกกลืน ราชาธิปไตยกำลังกลับมา ทุนสามานย์กำลังทำให้สิ้นชาติ ควบคู่กับการปลุกเร้าภยาคติ ก็คือการตีตราแขวนป้ายให้แก่คนที่เห็นต่างจากคน หรืออยู่คนละกลุ่มว่า เป็นพวกไม่จงรักภักดีต่อสถาบัน หรือเป็นพวกเผด็จการสนับสนุนรัฐประหาร ฯลฯ ต่างฝ่ายต่างผลิตวาทกรรมและสรรหาหลักฐานต่าง ๆ เพื่อโจมตีใส่ร้ายซึ่งกันและกัน ทั้งหมดนี้ไม่เพียงปลุกเร้าความกลัวให้เกิดขึ้นกับผู้คนเท่านั้น มองให้ลึกลงไปพฤติกรรมดังกล่าวยังสะท้อนถึงความกลัวที่อยู่เบื้องหลังแกนนำของแต่ละกลุ่ม ใช่หรือไม่ว่าเขาเหล่านั้นพยายามทุกวิถีทางเพื่อโค่นล้มอีกฝ่าย เพราะกลัวว่าหากฝ่ายตรงข้าม ชนะ พวกตนก็จะต้องเดือดร้อน ถูกดำเนินคดี ริบทรัพย์ ติดคุก หรือสูญเสียผลประโยชน์จำนวนมหาศาล

ถึงที่สุดแล้วยิ่งปลุกเร้าให้ประชาชนตื่นกลัว ความกลัวก็กลับเพิ่มพูนขึ้นในใจของผู้ที่ปลุกเร้า ไม่ใช่เพียงเพราะว่ายิ่งสร้างภาพอีกฝ่ายให้เลวร้ายเท่าไร ตนเองก็ยิ่งเชื่อภาพที่สร้างขึ้นมากเท่านั้น หากยังเป็นเพราะว่าการกระทำเช่นนั้นทำให้อีกฝ่ายตอบโต้ด้วยวิธีที่รุนแรงและโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม รวมทั้งเล่นงานตรงจุดอ่อนหนักมือขึ้น พูดอีกอย่างคือยิ่งวาดภาพให้เขาเลวร้ายมากเท่าไร เขาก็ยิ่งเลวร้ายอย่างที่วาดภาพเอาไว้มากเท่านั้น

เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น ต่างฝ่ายต่างเป็นผลผลิตของกันและกัน ยิ่งกล่าวหาเขา ก็ยิ่งผลักให้เขาเป็นศัตรูและมีจุดยืนที่สุดโต่งมากขึ้น เมื่อสามีถูกภรรยาด่าว่าอย่างรุนแรงเพราะไปมีเมียน้อย เขาย่อมปกป้องตนเอง ทีแรกก็อาจกล่าวโทษว่าภรรยาเป็นเหตุ (เช่น เอาแต่ทำงาน ไม่สนใจดูแลสามี) แต่หากภรรยาต่อว่าไม่หยุด สามีก็จะเริ่มกล่าวหาภรรยาว่า ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเท่าไร ทีนี้ก็จะขุดคุ้ยความไม่ดีของภรรยาออกมา ครั้นภรรยาตอบโต้ด้วยถ้อยคำรุนแรง สามีไม่เพียงแต่จะหาเหตุผลมาสนับสนุนการนอกใจของตนเท่านั้น แต่อาจตะแบงไปถึงขั้นยืนกรานหน้าตาเฉยว่า มีเมียน้อยผิดตรงไหน? ถึงตรงนี้ต่างฝ่ายต่างอยู่ไกลเกินกว่าจะคุยกันให้รู้เรื่องได้ ไม่มีใครฟังเหตุผลกันแล้ว มุ่งมั่นแต่จะเอาชนะอย่างเดียว ทั้งนี้เพราะสามัญสำนึกไม่ทำงานแล้ว

ใช่หรือไม่ว่าในความขัดแย้งทางการเมืองที่กำลังร้อนแรงอยู่นี้ สามัญสำนึกกำลังเหลือน้อยลง เพราะความกลัว โกรธ เกลียด กำลังครองใจ ผู้คนไม่เพียงเชื่อคำใส่ร้ายป้ายสีของแต่ละฝ่ายอย่างง่ายดาย โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลหรือสนใจภูมิหลังของเขาอีกต่อไป หากยังไม่สนใจด้วยว่าการเผชิญหน้ากันด้วยความโกรธเกลียดและหวาดกลัวนั้นจะนำไปสู่อะไร ต่างฝ่ายต่างปรารถนาที่จะหาญหักใส่กัน ด้วยความเชื่อว่าความรุนแรงเท่านั้นเป็นคำตอบ ไม่มีใครสนใจว่าหากฟาดฟันกันให้ยับเยินไปข้างหนึ่งแล้ว บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ขอเพียงแต่ฉันได้รับชัยชนะก็พอแล้ว
ปัญหาอันสลับซับซ้อนของประเทศเวลานี้ถูกลดทอนให้กลายเป็นเรื่องตัวบุคคล ทางออกของบ้านเมืองจึงเหลือเพียงว่า จะเอาหรือไม่เอาทักษิณ(กับพวก) ต่างฝ่ายพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้เป้าประสงค์ของตนบรรลุผล โดยไม่คำนึงว่าจะเกิดผลเสียอย่างไรต่อบ้านเมือง พูดเช่นนี้มิได้หมายความว่าทั้งสองฝ่ายไม่คำนึงถึงส่วนรวม ความจริงแล้วแต่ละฝ่ายล้วนเห็นแก่บ้านเมือง แต่เมื่อเข้าไปในวังวนแห่งความขัดแย้ง มีการกระทบกระทั่งกันรุนแรงขึ้น ความโกรธเกลียดและความกลัวที่ผุดขึ้นมาก็เปิดช่องให้อัตตาขึ้นมาเป็นใหญ่เหนือจิตใจ ยิ่งเผชิญหน้ากัน ก็ยิ่งดึงเอาด้านมืดของแต่ละฝ่ายออกมา สำนึกต่อส่วนรวมเลือนหายไป สิ่งที่มาแทนที่คือความหวงแหนในผลประโยชน์ (ตัณหา) ความสำคัญตนว่าเหนือกว่า (มานะ) และความใจแคบเพราะยึดติดถือมั่นในความคิดของตน(ทิฏฐิ) ทั้งหมดนี้ทำให้ความขัดแย้งกันกลายเป็นเรื่องแพ้-ชนะส่วนบุคคล เพื่อ ตัวกู ของกู ยิ่งกว่าเพื่อบ้านเมือง

ความขัดแย้งไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ตราบใดที่ไม่ลุกลามไปเป็นการเผชิญหน้าด้วยความมุ่งร้ายต่อกัน หากถึงจุดนั้นเมื่อไร ก็ไม่ยากที่จะเกิดความรุนแรงจนถึงขั้นเลือดตกยางออกและผลักบ้านเมืองสู่วิกฤต สิ่งหนึ่งที่ทุกคนทำได้ก็คือไม่ช่วยโหมกระพือให้ความขัดแย้งขยายตัวไปถึงจุดนั้น จะทำเช่นนั้นได้ต้องตั้งสติให้มั่น รับฟังอย่างมีวิจารณญาณ ไม่หลงเชื่ออะไรง่าย ๆ เพียงเพราะพูดถูกใจหรือเพราะผู้พูดเป็นพวกเดียวกับตน รู้เท่าทันความโกรธ เกลียด และกลัวที่เกิดขึ้นเมื่อรับฟังข่าวสารบ้านเมืองหรือได้ยินคำกล่าวหาของแต่ละฝ่าย ขณะเดียวกันก็เปิดใจให้กว้าง ยึดถือ ความถูกต้อง ยิ่งกว่า ความถูกใจ

ในยามที่บ้านเมืองกำลังถลำสู่วังวนแห่งความคลั่งไคล้ไร้สติ การดำรงสติให้มั่นเป็นภารกิจที่สำคัญยิ่งของเรา สติของเราแต่ละคนสามารถแผ่ขยายไปยังคนรอบตัว และเรียกสติของเขาให้กลับคืนมาจนรวมกันเป็น สติมหาชนได้ ในยามที่สามัญสำนึกกำลังเลือนหายไปจากสังคม หน้าที่ของเราคือเรียกสามัญสำนึกให้กลับคืนมา ให้ผู้คนตระหนักว่าความรุนแรงนั้นนำความพ่ายแพ้มาสู่ทุกฝ่าย และถึงจะมีใครได้ชัยชนะก็เป็นชัยชนะชั่วครู่ชั่วยาม และไม่คุ้มค่ากับความย่อยยับของบ้านเมืองตลอดจนชีวิตที่ต้องสูญสิ้นไป มีใครบ้างที่อยากเห็นลูกหลานของตนเติบโตในสภาพเช่นนี้

เรายังสามารถเรียกสติและสามัญสำนึกของผู้คนให้กลับคืนมา ด้วยการเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการสาดโคลนหรือใส่ร้ายป้ายสีกัน ใช้เหตุผลยิ่งกว่าอารมณ์ ยึดมั่นในสันติวิธีและกติกาของผู้เจริญ หากจะโต้เถียงหรือทะเลาะกัน ก็ให้กระทำอย่างอารยชน จริงอยู่ผู้นำของแต่ละฝ่ายอาจไม่ฟังเสียงทักท้วงดังกล่าว ในกรณีเช่นนั้นก็สมควรที่เราจะไม่ฟังและไม่ใส่ใจกับคำพูดของคนเหล่านั้นตราบใดที่ยังมุ่งกระตุ้นเร้าความโกรธ เกลียด และกลัว อย่างไร้เหตุผล
อย่างไรก็ตามนอกจากวิธีการเฉยเมยและไม่รวมกระโจนเข้าไปในความขัดแย้งที่มีลักษณะเผชิญหน้ากันแล้ว เราควรเสนอทางออกเพื่อเป็นทางเลือกที่สามในประเด็นที่มีความขัดแย้งระหว่างทางสุดโต่งสองทาง ทางเลือกที่สามมีความสำคัญเพราะจะเป็นช่องทางสำหรับผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับทางสุดโต่งทั้งสอง ซึ่งเชื่อว่าน่าจะมีอยู่ไม่น้อย อีกทั้งเป็นการส่งสัญญาณไปยังทุกฝ่ายในสังคมว่าแท้ที่จริงแล้วทางสุดโต่งทั้งสองนั้นเป็นที่นิยมจริงหรือไม่ ในปัจจุบันประเด็นที่มีความขัดแย้งอย่างมากคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทุกวันนี้ผู้คนดูเหมือนจะมีทางเลือกแค่สองทางคือ ๑)ไม่แก้ไขเลยแม้แต่มาตราเดียว กับ ๒) แก้ไขด้วยวิธีรวบรัดโดยอาศัยเสียงข้างมากในสภา ทั้งสองวิธีมีแต่นำไปสู่การเผชิญหน้ากัน แท้จริงแล้วยังมีทางเลือกที่สามซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงความรุนแรงได้
ประเด็นอยู่ที่ว่าจะมีใครเสนอได้อย่างมีน้ำหนักหรือไม่ และสื่อสารถึงผู้คนได้กว้างขวางเพียงใด
วันนี้ความโกรธเกลียดและกลัวกำลังอบอวลแผ่ซ่านไปทั่ว พร้อมจะระเบิดเป็นความรุนแรงได้ทุกเมื่อ ไม่ต่างจากบรรยากาศที่อบอวลด้วยไอน้ำมัน ขอเพียงแต่มีผู้จุดไฟพร้อมกันหลาย ๆคน บัดนี้ไม้ขีดไฟอยู่ในมือทุกคนแล้ว อยู่ที่ว่าจะมีใครจุดหรือไม่ บ้านเมืองจะผ่านพ้นวิกฤตหรือไม่เป็นความรับผิดชอบของทุกคน มิใช่เป็นของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ถ้าคุณอยากให้บ้านเมืองมีความสงบสุขและจัดการความขัดแย้งได้อย่างสันติ อย่างแรกที่ต้องทำคือโยนไม้ขีดไฟทิ้ง หรือไม่ก็ดับประกายไฟเสีย ประกายไฟนั้นมิได้อยู่ที่ไหน หากอยู่ในใจคุณนั่นเอง

 โดย... พระไพศาล วิสาโล [ 03 มิ.ย. 2551 เวลา 09:03 ]

ที่มา http://www.budnet.info/webb0ard/view.php?category=textb&wb_id=155				
8 พฤษภาคม 2551 14:15 น.

การเขียนเรื่องสันและนวนิยาย

น้ำผึ้งเดือนห้า

อยากสอบถามเพื่อนๆค่ะว่า การเขียนเรื่องสั้นกับเขียนนวนิยาย เราจะเขียนแบบไหนคะ แบบว่า...เขียนไม่เป็นเลย แต่อยากลองน่ะค่ะ วิธีการเขียนจะเขียนยังไงดีค่ะ รบกวนเพื่อนๆที่เขียนเป็นช่วยแนะนำด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน้ำผึ้งเดือนห้า
Lovings  น้ำผึ้งเดือนห้า เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน้ำผึ้งเดือนห้า
Lovings  น้ำผึ้งเดือนห้า เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟน้ำผึ้งเดือนห้า
Lovings  น้ำผึ้งเดือนห้า เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงน้ำผึ้งเดือนห้า