27 มกราคม 2552 19:17 น.

ลดความเครียดโดยใช้สติ – สมาธิ – ปล่อยวาง

ลุงแทน

ลดความเครียดโดยใช้สติ  สมาธิ  ปล่อยวาง


โรค ทางกายในปัจจุบันสำรวจพบได้ง่ายดายว่า โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคที่เกี่ยวกับอุบัติเหตุ โรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดทั่วร่างกาย เป็นปัญหาของสังคมปัจจุบัน แต่ด้วยวิทยาการก้าวหน้าในทุกสาขา โรคต่าง ๆ เหล่านี้ได้รับการเยียวยา ผ่าตัดรักษาให้หายได้ไม่ยากนัก แต่โรคทางด้านของจิตใจ เช่น โรคจิตเภท โรคประสาท โรคซึมเศร้า อันมีสาเหตุมาจากความเครียด จากปัญหาของสังคม ทั้งสังคมทั่วไป เช่น การแข่งขันในด้านต่าง ๆ และปัญหาของสังคมครอบครัว ซึ่งมักจะมีความแตกแยก มีการทอดทิ้งหรือละเลยในการอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความอบอุ่น ความเมตตา ความเอื้ออาทรต่อกันในครอบครัว ปัญหาของสังคมที่ทำให้ประชาชนคนไทยเผชิญหน้ากับสภาวะเครียดเพิ่มมากขึ้น มีอาการหรือโรคซึมเศร้าเพิ่มมากขึ้น มีการฆ่าตัวตายทั้งในวัยผู้ใหญ่ วัยกลางคน และเริ่มจะเข้ามาปรากฏในวัยรุ่นด้วย ซึ่งพบเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เป็นระยะ ๆ

การหล่อหลอม หรือช่วยเหลือจากสังคมในสมัยนี้เห็นว่ามีอยู่ แต่ก็ช่วยได้ไม่มาก นักเพราะเรี่ยวแรงของความช่วยเหลือมีไม่ เพียงพอกับความต้องการ และดูว่าผู้ที่ตกอยู่ในสภาวะเครียด ซึมเศร้าขั้นรุนแรงนั้นก็ไม่ทราบ เสียด้วยซ้ำว่า จะไปพึ่งพาขอความช่วยเหลือจากที่ใดได้บ้าง

ทาง ด้านครอบครัวปัจจุบันนี้ พ่อแม่อยู่ห่างกันพอสมควรในชีวิตประจำวันด้วยความจำเป็นทางด้านการงาน ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม รวมทั้งเด็ก ๆ ในครอบครัวเองก็ต้องแข่งขัน ต้องเรียนเช้าจรดเย็น และอาจยังต้องกวดวิชานอกเวลาอีกต่างหาก ทำให้ความรัก ความเอื้ออาทรต่อกันมีน้อย เวลาที่จะอบรมสั่งสอน ให้ความรัก ให้ความอบอุ่นต่อกันมีไม่มากเพียงพอ แม้แต่ในเด็กเล็กในปัจจุบันจะตกไปอยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยอนุบาลของสถาน ที่ทำงาน หรือส่วนใหญ่จะถูกส่งเข้าโรงเรียนอนุบาลจึงห่างเหินพ่อแม่ไปพอสมควร เมื่อเติบโตขึ้นจะไม่เกิดความเข้มแข็ง ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะทางด้านจิตใจนั้นไม่สามารถมีสิ่งใดมาทดแทนได้

ใน ขณะนี้วงการแพทย์จึงมองว่า ผู้ใหญ่ในวัยทำงาน วัยพ่อแม่ วัยหลักของครอบครัวน่าจะต้องเป็นหลักหรือเป็นตัวตั้งให้กับสถาบันครอบครัว และสมาชิกในครอบครัวให้ได้ สามารถแก้ไขปัญหา แก้ไขความทุกข์ของตนเองและครอบครัวให้ได้ จึงจะต้องมีความเข้มแข็งทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ หาก ขาดไปอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะส่งผลกระทบในทางลบสู่บุคคลในครอบครัวและบุคคลแวดล้อมในสังคมทันที

ข้อมูล จากข่าวสารกรมสุขภาพจิต ISSN 0125-6475 ให้คำแนะนำว่า ทางออกเบื้องต้นโดยไม่ต้องลงทุนแต่ได้ผลคุ้มค่าโดยยึดหลัก ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน โดยมีแนวทางประพฤติปฏิบัติให้เกิดความสุข ความราบรื่นในงาน ในครอบครัวและในสังคมรอบข้างอย่างครบถ้วน หลักของ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน มีดังนี้

1. การมีสติ พุทธพจน์ที่ว่า ดูก่อนภิกษุ คถาคตกล่าวว่า สติช่วยในกิจทั้งปวง และสติสามารถฝึกและควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นตัวยับยั้งไม่ให้จิตฟุ้งซ่าน การมีสติเป็นการพัฒนาฝีมือของเราขึ้นมาก หากแม้จะไม่สงบก็ลดความฟุ้งซ่านได้ เช่น ขณะกำลังพิมพ์งานความวุ่นวายของคนรอบข้างจะเข้ามา แต่เราอยู่ด้วยใจที่จดจ่อจับกับลมหายใจทุกอย่างจะดีขึ้นเอง

2. การใช้สมาธิ ลองคิดดูเมื่อรู้สึกเหนื่อยจากการทำงาน งานก็จะผิดพลาดเป็นประจำ คิดอะไร เขียนอะไร จำอะไรก็ไม่ดี จิตใจหวั่นไหว ใครมาพูดกระทบแสดงความไม่พอใจ กล่าวกันว่า หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ต้องใช้ความอดทน การนั่งเฉย ๆ แล้วเอาจิตมาผูกกับลมหายใจ เพียงแต่รับรู้ลมหายใจเข้าออก เข้าก็รู้ ออกก็รู้ ที่เป็นจริง ต่อเนื่อง ตามลมหายใจ ความคิดก็ค่อย ๆ ไตร่ตรองแล้วก็หายใจเงียบ ๆ ประมาณ 5-10 นาที

3. การอยู่กับปัจจุบัน คือการแผ่เมตตา ปรารถนาดี ซึ่งมีอยู่จริง ๆ ในจิตของเรา ทำให้น้อมจิตแผ่เมตตา แบ่งความสุขไปยังทุกคนในที่ทำงานทุกทิศทุกทาง โดยทำความรู้จักกับลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ใครที่ทำให้ตนเองทุกข์ใจ ร้อนใจ ขัดเคือง เราก็ให้อภัยเขา ไม่เอามาคิด ที่จะทำให้ใจของเราเป็นสุข ไม่มีเวรและเป็นภัยต่อกัน

4. การปล่อยวาง คือ การไม่จมอยู่กับงานจนมั่นหมายเป็นบ้า ไม่หมกมุ่นอยู่กับอดีตที่ผ่านไป อนาคตที่ยังมาไม่ถึงและการสลัดตนให้พ้นจากความรู้สึก หรือภาพประทับใจเก่า ๆ ที่มาเกาะกุมจิตใจโดยไม่รู้ตัว

5. การสวดมนต์ กล่าวว่า จะทำให้จิตใจของเรายึดมั่นอยู่ในพระรัตนตรัยเป็นการฝึกจิตให้สงบ และมีสมาธิ จากการวิจัยของ นายแพทย์อีริค แลนเดอร์ ซึ่งเป็นแพทย์ทหารของกองทัพสหรัฐอเมริกากล่าวว่า หากรู้จักปลีกเวลาสัก 1 ชั่วโมง หลาย ๆ ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อการสวดมนต์เชื่อว่าจะก่อให้เกิดการเปลี่ยน แปลงในร่างกายและสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี

สิ่งที่แนะนำมาเบื้อง ต้นไม่ข้อใดข้อหนึ่ง สามารถกระทำเองได้โดยไม่ต้องลงทุนด้วยเงินทอง จะมีประโยชน์ 2 ส่วน คือ ตัวเราเองมีความสุข ความสัมพันธ์กับเพื่อนรอบข้างก็ดี งานก็สำเร็จ สัมฤทธิผล มีคุณค่าต่อสังคม เพราะว่ารู้จักนำธรรมะมาใช้กับงานอย่างถูกต้อง.

นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์


---------------------------------------------------------------
ที่มา

หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ (ออนไลน์) วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2548
ภาพจาก thaipetlover.com				
26 มกราคม 2552 18:14 น.

สุริยุปราคา

ลุงแทน

สุริยุปราคา 

สุริยุปราคา หรือ สุริยคราส เกิดขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก โคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกันโดยมีดวงจันทร์อยู่ตรงกลาง เมื่อสังเกตจากพื้นโลก จะเห็นดวงจันทร์เคลื่อนเข้ามาบดบังดวงอาทิตย์
  	

สุริยุปราคา หรือ สุริยคราส เกิดขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก โคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกันโดยมีดวงจันทร์อยู่ตรงกลาง เมื่อสังเกตจากพื้นโลก จะเห็นดวงจันทร์เคลื่อนเข้ามาบดบังดวงอาทิตย์
สุริยุปราคามี 4 ประเภท ได้แก่
• สุริยุปราคาบางส่วน: มีเพียงบางส่วนของดวงอาทิตย์เท่านั้นที่ถูกบัง
• สุริยุปราคาเต็มดวง: ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์หมดทั้งดวง
• สุริยุปราคา วงแหวน: ดวงอาทิตย์มีลักษณะเป็นวงแหวน เกิดเมื่อดวงจันทร์อยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลจากโลก ดวงจันทร์จึงปรากฏเล็กกว่าดวงอาทิตย์
• สุริยุปราคาผสม: ความโค้งของโลกทำให้สุริยุปราคาคราวเดียวกันกลายเป็นแบบผสมได้ คือ บางส่วนของโลกเห็นสุริยุปราคาเต็มดวง บางส่วนเห็นสุริยุปราคาวงแหวน บริเวณที่เห็นสุริยุปราคาเต็มดวง เป็นส่วนที่อยู่ใกล้ดวงจันทร์มากกว่า
สุริยุปราคาอาจจัดเป็นการบังกันประเภทหนึ่ง เกิดขึ้นเฉพาะในวันที่ดวงจันทร์มีดิถีตรงกับจันทร์ดับ				
25 มกราคม 2552 12:27 น.

อ่านกันเล่นๆ 2

ลุงแทน

'ธรรมกับความรักและการแต่งงาน'

 
พระธรรมโกศาจารย์ (2549)
            ความงดงามของพระพุทธศาสนาอยู่ตรงที่มีความหลากหลายของธรรมเหมือนกับสวนไม้ ดอกนานาพรรณมีดอกไม้หลากสีสันให้คนเลือกเก็บได้ตามต้องการ ธรรมมีจำนวนมากมายหลายประเภทพร้อมที่จะให้แต่ละคนเลือกนำไปปฏิบัติได้ตาม ความต้องการ ใครอยากไปนิพพานก็มีโลกุตรธรรมสำหรับคนที่ต้องการพ้นโลก ส่วนใครที่อยากประสบความสำเร็จในโลกนี้ก็มีโลกิยธรรมให้นำไปปฏิบัติเพื่อ ชีวิตที่ดีกว่าในปัจจุบัน สำหรับสามีภรรยาที่ต้องการความสำเร็จในชีวิตการแต่งงานก็มีธรรมสำหรับคนครอง เรือนให้เลือกปฏิบัติ
          เป้าหมายแห่งการแต่งงานอยู่ที่การสร้างครอบครัวที่มีแต่ความรักใคร่กลม เกลียวโดยไม่มีการหย่าร้าง สามีภรรยาจะบรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่อมีการปฏิบัติธรรมร่วมกัน การปฏิบัติธรรมจะช่วยให้ชีวิตคู่เข้มแข็งมั่นคงพอที่จะฝ่ามรสุมต่างๆไปได้ ดังนั้น คู่สามีภรรยาที่ต้องการมีชีวิตการแต่งงานที่ยั่งยืนตลอดไปต้องร่วมกัน ปฏิบัติธรรม
            คำว่า ธรรม ในที่นี้หมายถึงคุณธรรมและจริยธรรม
            คุณธรรม ได้แก่ คุณสมบัติที่ดีภายในจิตใจ เช่น ความรัก ความสงสาร ซึ่งช่วยให้คนเราทำหน้าที่ของสามีภรรยาได้โดยไม่ต้องฝืนใจ
            จริยธรรม ได้แก่ หลักแห่งความประพฤติที่ดีงามที่จะต้องปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขของตนเอง ครอบครัว และสังคม จริยธรรมเป็นข้อปฏิบัติซึ่งกำหนดไว้โดยศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีและกฎหมายว่าอะไรเป็นหน้าที่ที่สามีภรรยาจะต้องทำเพื่อความผาสุกแห่ง ครอบครัว
            จริยธรรมเป็นเรื่องการควบคุมพฤติกรรมที่แสดงออกทางกายและทางวาจา ซึ่งคนอื่นสามารถรับรู้และประเมินได้ว่าเรามีจริยธรรมมากน้อยเพียงใด เช่น การที่สามีภรรยาต้องให้เกียรติกันและกันเป็นจริยธรรมอย่างหนึ่ง คนทั่วไปสามารถมองเห็นได้ว่าสามีภรรยาคู่นี้ให้เกียรติกันและกันหรือไม่ ตรงกันข้ามกับคุณธรรมซึ่งเป็นเรื่องภายในจิตใจซึ่งยากที่คนทั่วไปจะตรวจสอบ ได้ว่ามีมากน้อยเพียงใด เช่น ความรักเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง คนอื่นไม่สามารถจะมองเห็นความรักภายในจิตใจของเราว่ามีมากน้อยเพียงใด เท่าที่คนทั่วไปจะทำได้ก็คือคาดคะเนจากพฤติกรรมภายนอกของเราว่าเรามีความรัก ในใจมากน้อยแค่ไหน
            คุณธรรมเป็นรากฐานของจริยธรรม เมื่อสามีมีคุณธรรมคือความรักภรรยาอยู่ในหัวใจ เขาก็จะปฏิบัติหน้าที่ของสามีต่อภรรยาโดยไม่ต้องฝืนใจ ความรักทำให้สามียอมเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อครอบครัวของเขา ดังนั้น ความรักจึงเป็นรากฐานสำคัญของชีวิตการแต่งงาน คู่สามีภรรยาที่แต่งงานกันด้วยความรักจะสามารถปรับตัวเข้าหากันได้ดีกว่าคู่ ที่แต่งงานกันโดยไม่มีความรัก เพราะความรักจะทำให้คู่รักยอมลงให้กันและทนกันได้
            คำว่า ความรัก ในพระพุทธศาสนามี ๒ ประเภท ดังนี้
            ๑. เปมะ ได้แก่ ความรักใคร่หรือความรักแบบโรแมนติกซึ่งเกิดจากสาเหตุ ๒ ประการ คือ (๑) บุพสันนิวาส หญิงชายเคยอยู่ร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน เมื่อเกิดใหม่มาพบกันในชาตินี้จึงเป็นเนื้อคู่กันและรักกัน (๒) การดูแลช่วยเหลือเกื้อกูลกันในชาติปัจจุบันก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของความรัก แม้หญิงชายจะไม่เคยอยู่ร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน ทั้งคู่ก็รักกันได้เพราะความมีน้ำใจของอีกฝ่ายหนึ่งที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูล กัน
            ๒. เมตตา ได้แก่ ความปรารถนาดีหรือความหวังดีที่จะให้คนอื่นมีความสุข ซึ่งเกิดจากการมองเห็นความดีงามหรือความน่ารักของคนอื่นแล้วเกิดความประทับ ใจจนถึงกับคิดส่งเสริมให้เขามีความดีงามหรือความน่ารักยิ่งๆขึ้นไป
            ชีวิตการแต่งงานจะยั่งยืนนานถ้ามีความรักทั้งสองอย่างคือมีทั้งความรักแบบ โรแมนติกและความรักแบบเมตตาเป็นพื้นฐาน ความรักแบบโรแมนติกสร้างความสุขความเพลินใจเมื่ออยู่ใกล้คนรัก แต่ไฟแห่งความรักใคร่มักโชติช่วงอยู่ได้ไม่นาน ความเคยชินเพราะอยู่ด้วยกันมานานมักทำให้ความรักใคร่จืดจางไปได้ ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องมีความรักแบบเมตตาตามประกบความรักใคร่เพื่อให้ความรักยั่งยืนยาว นาน
            ความรักแบบโรแมนติกถูกความน่ารักน่าปรารถนาของคู่ครองเป็นเครื่องกระตุ้นให้ เกิดอารมณ์รัก ความรักใคร่นี้มีธรรมชาติไม่แน่นอน เวลาใดคนรักทำตัวมีเสน่ห์น่ารัก เวลานั้นอารมณ์รักใคร่ก็จะเบ่งบานมีพลัง เวลาใดคนรักเอาแต่ใจทำตัวไม่น่ารัก เวลานั้นความรักใคร่ก็จะอับเฉาร่วงโรย ความรักใคร่แบบโรแมนติกจึงมีสภาวะขึ้นลงตามปัจจัยเงื่อนไขภายนอกอันได้แก่ กิริยาอาการของคนรักเป็นสำคัญ
            ครั้งหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลกำลังสำราญพระราชหฤทัยอยู่กับพระมเหเสีชื่อว่าพระนาง มัลลิกาเทวี พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสถามพระมเหสีว่า "เธอรักใครมากที่สุด"
            การที่พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสถามอย่างนี้แสดงว่าทรงอยู่ในอารมณ์โรแมนติกและ หวังว่าจะได้รับคำตอบแบบโรแมนติก แต่พระนางมัลลิกาเทวีกลับทูลตอบว่า "หม่อมฉันรักตัวเองมากที่สุด"
           พระเจ้าปเสนทิโกศลถึงกับหมดอารณ์โรแมนติก ทรงนำเรื่องนี้ไปเล่าถวายพระพุทธเจ้าและตรัสถามว่าทำไมพระมเหสีจึงกล่าว อย่างนั้น พระพุทธเจ้าทรงตอบว่าเพราะพระนางมัลลิกาเทวีเป็นคนตรงจึงกล้าพูดความจริงที่ ว่าคนทุกคนรักตัวเองมากที่สุด พระพุทธเจ้าได้เคยตรัสไว้ในที่อื่นว่า นัตถิ อัตตะสะมัง เปมัง ไม่มีรักใดไหนเล่าจะเท่ารักตนเอง
            ความรักใคร่แบบโรแมนติกเกิดโดยสิ่งเร้าภายนอกจากคนรักเป็นสำคัญจึงมีสภาวะ ไม่คงที่ถาวร สามีภรรยาที่ประสงค์จะทำให้ความรักใคร่เข้มแข็งมั่นคงต้องผสมความรักแบบ โรแมนติก ด้วยความรักแบบเมตตา
            ความรักแบบโรแมนติกเปรียบเหมือนรถยนต์ที่อาศัยคนอื่นคอยเติมเชื้อเพลิงให้ อยู่เสมอจึงจะแล่นไปได้ แต่ความรักแบบเมตตาเปรียบเหมือนรถยนต์ที่เจ้าของผลิตเชื้อเพลิงได้เองอย่าง ไม่มีขีดจำกัดจึงแล่นไปได้ตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะความรักแบบเมตตาเป็นสิ่งที่ใจเราสร้างขึ้นมาเองด้วยการฝึกมอง ให้เห็นความดีงามของคนอื่น คนเราจะมีเมตตาในใจได้ต้องฝึกมองโลกในแง่ดี ถ้าสามีภรรยาสามารถฝึกใจให้มองแต่แง่ดีของคู่ครอง ต่างฝ่ายต่างจะรักกันและกันได้ตลอดเวลาแม้แต่ในยามที่อยู่ด้วยกันมานานจนข้อ บกพร่องของอีกฝ่ายหนึ่งเริ่มปรากฏออกมา สามีภรรยาต้องสามารถทำใจให้มองข้ามข้อบกพร่องเหล่านั้นและเพ่งความสนใจไป อยู่ที่ความดีงามของคู่ครอง ดังคำประพันธ์ที่ว่า
  มองโลกแง่ดีมีผล เห็นคนอื่นดีมีค่า
  ปลุกใจให้เกิดศรัทธา ตั้งหน้าทำดีมีคุณ

            การฝีกใจให้มองแต่แง่ดีอย่างนี้เรียกว่าการแผ่เมตตา ใจของคนแผ่เมตตาจะเต็มไปด้วยความรักแบบไม่มีเงื่อนไข เช่นเดียวกับความรักของแม่ที่มีต่อลูกน้อยคนเดียว นั่นคือ แม่พร้อมที่จะรักลูกน้อยของตนโดยมองข้ามความบกร่องของลูกได้ ฉันใด คนแผ่เมตตาก็สามารถที่จะรักและให้อภัยคนอื่นได้ ฉันนั้น
            สามีภรรยาต้องฝึกแผ่เมตตาให้กันและกัน ความรักแบบเมตตาไม่ได้เกิดจากการกระตุ้นของคู่ครอง แต่เกิดจากการที่แต่ละฝ่ายเป็นผู้กำหนดความสนใจให้พุ่งเป้าไปที่ความดีงาม หรือความน่ารักของอีกฝ่ายหนึ่ง ความรักแบบเมตตาจึงดำเนินไปอย่างไม่รู้จบ เรียกว่าอัปปมัญญา คือไม่มีขีดจำกัด ตราบใดที่สามีภรรยายังนึกถึงความดีงามของอีกฝ่ายหนึ่ง ตราบนั้น ความรักแบบเมตตาก็ยังคงอยู่ตลอดไป
            ความรักแบบโรแมนติกมีวันจืดจางไปเมื่อความสวยงามร่วงโรยไปตามกาลเวลา แต่ความรักแบบเมตตายังคงที่คงทนเพราะไม่ได้ใส่ใจความสวยงามภายนอกที่ร่างกาย แต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ยังเพ่งความสนใจไปที่ความดีงามภายในจิตใจอีกด้วย นั่นคือความรักแบบเมตตาใส่ใจคนรักในฐานะที่เขาเป็นมนุษย์และเป็นเพื่อนชีวิต ของเรา
            ในการแต่งงานตามประเพณีไทยต้องมีพิธีหลั่งน้ำสังข์ ซึ่งเป็นการสอนธรรมให้คู่บ่าวสาวมีความรักความเมตตาต่อกันและอยู่ครองคู่กัน โดยไม่แตกแยกเหมือนกับสายน้ำสังข์ที่หลั่งรดมือนั้น คนโบราณได้ว่าคาถาหลั่งน้ำสังข์ให้พรคู่ บ่าวสาวว่า "อิทัง อุทะกัง วิยะ สะมัคคา อภินนา โหถะ ขอเธอทั้งสองจงปรองดองไม่แตกแยกกันเหมือนน้ำนี้เถิด" ดังคำประพันธ์ที่ว่า   ขอเธอทั้งสอง  อยู่ครองสมาน ดุจดังสายธาร  สะอาดสดใส
  สายน้ำมิแยก  แตกกันฉันใด ขอสองดวงใจ  ดุจสายธารเทอญ 

            อย่างไรก็ตาม ความรักแบบเมตตาเป็นเพียงคุณธรรมหนึ่งในสี่ข้อที่เป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิต การแต่งงาน คุณธรรมทั้งสี่ข้อรวมเรียกว่า พรหมวิหารธรรม แปลว่าธรรมเครื่องอยู่ของพรหมคือผู้ประเสริฐ ซึ่งประกอบด้วยเมตตา(ความรัก) กรุณา(ความสงสาร) มุทิตา(ความพลอยยินดี) และอุเบกขา(ความวางเฉย)
            คำว่า พรหมวิหารธรรม ที่แปลว่าธรรมเครื่องอยู่ของพรหมนี้ชวนให้นึกถึงภาพของพระพรหม ๔ หน้า พระพรหมใช้หน้าแต่ละหน้าไว้ดูแต่ละทิศทาง ฉันใด สามีภรรยาก็ใช้พรหมวิหารธรรมแต่ละข้อเพ่งพินิจลักษณะแต่ละด้านของคู่ครอง ฉันนั้น
            คุณธรรมทั้งสี่ข้อมีหลักปฏิบัติเหมือนกันตรงที่ว่าตัวเราเองเป็นผู้สร้าง คุณธรรมเหล่านั้นให้เกิดขึ้นในใจด้วยการกำหนดทิศทางแห่งความสนใจให้เพ่ง พินิจไปยังลักษณะแต่ละด้านของคนอื่นซึ่งจะช่วยให้เกิดความรัก ความสงสาร ความพลอยยินดีและความวางเฉยขึ้นในใจของเรา เช่น เมื่อเราเพ่งความสนใจไปที่ความดีงามของคนอื่น เราจะมีความรักแบบเมตตาต่อเขา แต่เมื่อเราเพ่งความสนใจไปที่ความทุกข์ระทมของเขา เราจะรู้สึกสงสารคือมีความกรุณาต่อเขา
            พรหมวิหารธรรมข้อที่ ๒ คือกรุณา หมายถึงความสงสารหวั่นใจปรารถนาจะช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ เมื่อคู่ครองของเราประสบความทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วย ในขณะนั้น เราหยุดเพ่งพินิจความดีงามของเขาเป็นการชั่วคราว แต่หันไปให้ความสนใจต่อความเจ็บป่วยของเขาเพื่อดูแลกันในยามเจ็บไข้ คู่ครองต้องไม่ทอดทิ้งกันในยามจนและยามเจ็บ ที่สำคัญก็คือคู่ครองต้องยืนหยัดเคียงข้างช่วยประคับประคองให้อีกฝ่ายหนึ่ง ผ่านพ้นปัญหาและอุปสรรคไปได้ ดังคำกล่าวที่ว่า "มีทุกข์ร่วมทุกข์ มีสุขร่วมเสพ" มีทุกข์ร่วมทุกข์ด้วยกรุณา มีสุขร่วมเสพด้วยเมตตา
            พรหมวิหารธรรมข้อที่ ๓ คือ มุทิตา หมายถึงความพลอยยินดีเมื่อคนอื่นได้ดีมีสุข เวลาที่คู่ครองของเราประสบความสำเร็จในชีวิต เราต้องแสดงความยินดีอย่างจริงใจด้วยมุทิตา คู่สามีภรรยาจะไม่อิจฉาริษยากันเองเพราะมองเห็นความสำเร็จของอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นความสำเร็จของส่วนรวมคือครอบครัว ต่างฝ่ายต่างเป็นกำลังใจให้กันและกันเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จจนสามารถพูดได้ เต็มปากว่าเบื้องหลังความสำเร็จทุกครั้งต้องมีเขาคนนั้นเป็นกำลังใจให้เสมอ
            พรหมวิหารธรรมข้อที่ ๔ คือ อุเบกขา หมายถึงมีใจเป็นกลางวางเฉยต่อสภาวะอันไม่น่าพอใจของคนอื่น เมื่อสามีภรรยามาจากภูมิหลังแตกต่างกันทั้งด้านการศึกษา สังคมและวัฒนธรรม ทั้งสองฝ่ายต้องยอมรับความแตกต่างนั้นด้วยอุเบกขา คือยอมปล่อยให้อีกฝ่ายหนึ่งมีความเป็นตัวของตัวเองบ้างโดยไม่มีการก้าวก่าย แทรกแซงจนเกินไป การฝึกมองข้ามข้อบกพร่องของกันและกันก็เป็นอุเบกขาอย่างหนึ่งซึ่งช่วยให้ทน อยู่ด้วยกันได้ ดังที่พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาส ภิกขุ) ประพันธ์ไว้ว่า
       เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา
จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ ต่อโลกบ้าง ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย

            นอกจากนี้ เรื่องญาติสนิทมิตรสหายของแต่ละฝ่ายอาจเป็นชนวนให้ปวดหัวได้ถ้าไม่รู้จักวาง ใจเป็นอุเบกขาด้วยการปรับตัวทำใจให้ยอมรับซึ่งกันและกัน แม้ใจจะไม่ชอบแต่ก็ไม่ถึงกับต้องชังกัน แม้จะมีความแตกต่างแต่ก็ไม่ถึงกับต้องแตกแยก นั่นคืออุเบกขาที่ทำให้สามีภรรยาทนกันได้โดยไม่ต้องหย่าร้างเพราะเกิดอาการ ที่เหลือจะทน
            พรหมวิหารธรรมทั้ง ๔ ข้อนี้เป็นคุณธรรมพื้นฐานภายในจิตใจที่จะทำให้คู่บ่าวสาวสามารถปฏิบัติ หน้าที่ของสามีภรรยาโดยไม่ต้องฝืนใจ หน้าที่จัดเป็นจริยธรรมเพราะเป็นเรื่องที่ต้องประพฤติปฏิบัติ พระพุทธเจ้าทรงแสดงหน้าที่ของสามีภรรยาไว้ในสิงคาลกสูตร ดังนี้
            สามีต้องปฏิบัติบำรุงภรรยา ดังนี้
                 ๑) ยกย่องให้เกียรติในฐานะภรรยา
                 ๒) ไม่ดูหมิ่น
                 ๓) ไม่นอกใจ
                 ๔) มอบความเป็นใหญ่ในงานบ้าน
                 ๕) ให้เครื่องประดับเป็นของขวัญตามโอกาสอันควร
            ภรรยาต้องปฏิบัติบำรุงสามี ดังนี้
                 ๑) จัดการงานบ้านให้เรียบร้อย
                 ๒) สงเคราะห์ญาติมิตรทั้งสองฝ่ายด้วยดี
                 ๓) ไม่นอกใจ
                 ๔) รักษาทรัพย์สมบัติที่หามาได้
                 ๕) ขยันไม่เกียจคร้านในงานทั้งปวง
            เมื่อว่าตามแนวสิงคาลกสูตรนี้ พิธีแต่งงานของชาวพุทธควรกำหนดให้คู่บ่าวสาวกล่าวคำปฏิญาณตนต่อหน้าพระรัตน ตรัยคือพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ว่าจะปฏิบัติหน้าที่ตามแนวสิงคาลกสูตรโดยฝ่ายเจ้าบ่าว เริ่มก่อนว่า
            " ข้าพเจ้าขอกล่าวคำปฏิญาณต่อหน้าพระรัตนตรัยว่า ข้าพเจ้าจะรักและซื่อสัตย์ต่อภรรยาของข้าพเจ้าตลอดชีวิต จะยกย่องให้เกียรติ ไม่ดูหมิ่น ไม่นอกใจ มอบความเป็นใหญ่ในงานบ้าน และให้เครื่องประดับเป็นของขวัญตามโอกาสอันควร"
            ฝ่ายเจ้าสาวกล่าวว่า
            "ข้าพเจ้าขอกล่าวคำปฏิญาณต่อหน้าพระรัตนตรัยว่า ข้าพเจ้าจะรักและซื่อสัตย์ต่อสามีของข้าพเจ้าตลอดชีวิต จะจัดการงานบ้านให้เรียบร้อย สงเคราะห์ญาติมิตรทั้งสองฝ่ายด้วยดี ไม่นอกใจ รักษาทรัพย์สมบัติที่หามาได้ และขยันไม่เกียจคร้านในงานทั้งปวง"
            คำปฏิญาณของคู่บ่าวสาวนี้ควรถือเป็นหัวใจสำคัญของพิธีแต่งงานแบบพุทธ
            จริยธรรมของสามีภรรยาในสิงคาลกสูตรนี้เน้นการแบ่งหน้าที่ของแต่ละฝ่ายเป็น สำคัญ นั่นคือ สามีเป็นฝ่ายทำงานหารายได้เข้าบ้าน ในขณะที่ภรรยาเป็นใหญ่ในงานบ้าน แต่สามีภรรยาในยุคปัจจุบันอาจช่วยสนับสนุนบทบาทของกันและกันก็ได้ เช่น ภรรยาออกไปทำงานหารายได้นอกบ้าน สามีช่วยภรรยาทำงานบ้าน แต่ไม่ว่าใครจะทำบทบาทใด สิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจก็คือต้องมีเวลาให้ความรักและความอบอุ่นแก่สามีภรรยา และบุตรธิดา ความรักและความอบอุ่นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับสมาชิกภายในครอบครัว บางที ความสำเร็จและความรุ่งเรืองในหน้าที่การงานนอกบ้านก็ไม่สามารถจะแทนที่ความ รักและความอบอุ่นภายในบ้าน ดังเรื่องต่อไปนี้
            เย็นวันหนึ่ง ขณะที่อากาศหนาวจัด แม่คนหนึ่งกำลังเตรียมอาหารมื้อเย็นอยู่ภายในบ้าน มองออกไปนอกบ้านก็เห็นชายชรา ๓ คนนั่งผจญความหนาวอยู่ใต้สะพานลอยหน้าบ้าน แม่จึงบอกลูกชายให้ไปเชิญชายชราทั้งสามคนเข้ามาทานซุปร้อนๆภายในบ้าน
            ลูกชายหายไปพักหนึ่งแล้วกลับมารายงานว่า "คุณลุงทั้งสามคนไม่เคยรับเชิญเข้าบ้านพร้อมกัน พวกเขาบอกว่าคุณแม่เลือกเชิญได้เพียงคนเดียว ไม่ทราบว่าจะให้เชิญคนไหน"
            แม่สั่งให้ลูกชายไปถามชื่อของคุณลุงทั้งสามก่อนเพื่อประกอบการตัดสินใจ
            ลูกชายวิ่งไปถามชื่อแล้วกลับมารายงานว่า คนแรกชื่อนายรัก คนที่สองชื่อนายสำเร็จ คนที่สามชื่อนายรุ่งโรจน์
            แม่สั่งลูกให้ไปเชิญนายรักเข้าบ้าน
            ลูกชายหายไปพักหนึ่งแล้วกลับมาพร้อมชายชราทั้งสามคน
            แม่อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า "ตอนแรกลุงบอกว่าจะรับเชิญเข้าบ้านได้เพียงคนเดียว ทำไมตอนนี้จึงมาพร้อมกันทั้งสามคน"
            ชายชราตอบว่า "นั่นขึ้นอยู่กับว่าท่านเชิญใครเข้าบ้าน ถ้าท่านเชิญนายสำเร็จหรือนายรุ่งโรจน์ ท่านจะได้เพียงคนเดียว แต่ถ้าท่านเชิญนายรักเข้าบ้าน นายสำเร็จและนายรุ่งโรจน์จะตามเข้าบ้านมาด้วย"
            ความรักสามัคคีมีอยู่ในที่ใด ที่นั่นก็จะประสบความสำเร็จและความรุ่งโรจน์ แต่ที่ใดเน้นแต่ความสำเร็จหรือความรุ่งโรจน์ ก็ไม่แน่ว่าที่นั่นจะมีความรัก
            ความรักเป็นพื้นฐานของชีวิตครอบครัว เมื่อมีความรักอยู่ภายในบ้าน ความสำเร็จและความเจริญรุ่งเรืองก็จะตามเข้าบ้านมาเองโดยไม่ชักช้า
            ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีความสำเร็จและความเจริญรุ่งเรือง
 
(ที่มา: วันมาฆบูชา[/url])				
25 มกราคม 2552 10:05 น.

เสี้ยวหนึ่งของชีวิตจริง

ลุงแทน

***** วันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เวลา ๑๓ นาฬิกาเศษ  มีโทรศัพท์มาถามหาฉัน เมื่อฉันไปรับสาย เป็นเสียงผู้ชายที่ระรื่นหู
" สวัสดีครับ ผมชื่อ boom ท่านชื่อ ศุภชัยใช่ใหมครับ.........???"
ใจฉันสั่นแบบไม่เคยเป็นมาก่อน กับคำพูดประโยคนั้น

"ใช่.....มีธุระอะไรหรือ....?????"

"ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี"......."ท่านเคยไปแถวเทพารักษ์ใหมครับ ซอยหมอพล"

"เคยไป....แต่นานมาแล้ว"

แม่ผมชื่อ "รัตนาภรณ์ ชื่อเล่น ชื่อ อี๊ด"

ฉันตื้นตันแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ....... เขาพูดต่อ.

"ยายเคยบอกผมเมื่อตอนผมอายุได้ ๗ ขวบว่า พ่อผมชื่อ ศุภชัย นามสกุล ฝากนกทิพย์  ผมจำได้ตั้งแต่วันนั้น  ผมอยากพบพ่อ  อย่างน้อยผมจะได้มีพ่อเหมือนคนอื่นเขา ....... ท่านเป็นพ่อของผมใช่ใหมครับ......."

ฉันบอกอยากไม่อายว่า ความดีใจ ตื้นตันใจล้นออกมาพร้อมกับน้ำตาแห่งความดีใจ
"ใช่  ฉันคือพ่อของเธอ boom ลูกพ่อ........แล้วเรารู้ได้อย่างไรว่าพ่ออยู่ที่นี้ โทรศัพท์เบอร์นี้.."

"ผมเซิลร์ จากอินเตอร์เน๊ตครับ ผมดีใจมากครับ ที่ผมรู้ว่าผมมีพ่อ  ตอนนี้ผมอยู่เชียงใหม่ เพียงย้ายมาได้ ๓-๔ เดือนครับ  ผมทำงานเกี่ยวกับการวางระบบไฟฟ้า ของรถไฟ BTS ครับ ตอนนี้ย้ายมาอยู่ที่นี่"

"พ่อดีใจมากเช่นกัน......" เสียงของฉันไม่ได้สั่น แต่เป็นเสียงสะอื้นด้วยความดีใจจน boom ต้องถามว่า " พ่อเป็นอะไรหรือเปล่าครับ...??????

"เปล่าๆๆพ่อไม่ได้เป็นอะไร    เราสะบายดีนะ แล้วมีครอบครัวยัง .."

มีแล้วครับ ตอนนี้แฟนผมตั้งครรภ์ได้ ๕ เดือนแล้วครับ..."

เขาถามเกี่ยวกับตัวเขาอีกมาก  ฉันตอบว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของลูกพ่อเก็บเอาไว้ครบ ไม่เคยทิ้ง อยู่กับพ่อตลอดเวลา 

"ผมอยากพบพ่อครับ..."   "เช่นกันพ่อก็อยากพบลูก....."

.............................................................................................................................
.......................................................................................................................

เงียบไปนาน............."แล้วผมจะไปหาพ่อครับ"............มาเมื่อไรโทรหาพ่อด้วย พวกป้าๆ ก็ดีใจมาก ที่ความฝันอยากพบหลานเป็นจริง ....."

คุยรำลากันอีกสักครู่ก็วางสาย  ฉันดีใจที่ความฝัน ๒๘ ปี ของฉันเป็นจริง ฉันปิดห้องทั้งประตู หน้าต่างทุกบาน แล้วฉันก็ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจอย่างที่ไม่เคยดีใจเท่านี้มาก่อน      ฉนรีบโทรบอกพี่สาว และเพื่อนที่ฉันสนิทบอกเขาว่า "ฉันจะได้พบลูกชายแล้ว พร้อมกับเสียงสะอื้น จนทุกคนที่ฉันโทรหา ตกใจว่าฉันเป็นอะไร


........๒๘  ปี กับการรอคอยที่เกือบเป็นศูนย์  แต่กลับมาเป็นจริงเกือบ ๑๐๐ % ในอีกไม่ช้า   ขอบคุณ ขอบคุณ ในบุญก็ศลที่ฉันได้กระทำมา

.....ฉันเดินไปที่โกฏิแม่ บอกกับท่านว่า แม่ แม่ได้พบหลานย่าของแม่แล้ว...........ฉันร้องไห้จนสะอื้น   เป็นความสุขใจที่ไม่เคยได้รับมาก่อนเลย


" นี้เองที่เขาว่า เสียใจก็ร้องไห้  ดีใจก็ร้องไห้ " เป็นอย่างนี้นี่เอง


.........และนี้คือเสี้ยวหนึ่งของชีวิตจริงที่ฉันได้รับ เมื่อวานนี้เอง..........

..............................ลุงแทน....................

ดีใจกับลุงแทนด้วยนะ				
19 มกราคม 2552 19:50 น.

แร่ที่นำมาเป็นส่วนผสมใน MMU มีมากมายหลายชนิด

ลุงแทน

A – Z Mineral Makeup Ingridiants 

แร่ ที่นำมาเป็นส่วนผสมใน MMU มีมากมายหลายชนิด จึงขอนำตัวที่มักพบใน MMU ทั่วๆไปมาให้รู้จักกัน เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกซื้อและใช้ MMU คะ

Allantoin : ส่วนผสมตัวนี้ช่วยในการปกป้องผิวหนัง และช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว และกระตุ้นให้เกิดเซลล์ผิวใหม่ จึงช่วยในเรื่องของการสมานผิวด้วย

Bismuth Oxychloride : เป็นแร่ธาตุที่ให้ความวาวๆ สวยเชียวคะ แต่ว่ามันอาจทำให้ผิวระคายเคือง อุดตันได้

Boron Glow : คุณสมบัติเหมือน Boron Nitride คะ แต่ต่างกันที่แร่ตัวนี้ ให้ลุคเงาวาวๆฉ่ำๆ ที่เรียกว่า Dewy คะ

Boron Nitride : มีคุณสมบัติช่วยในเรื่องของการต่อต้านแบคทีเรีย ช่วยดูดซับน้ำมัน ช่วยให้ผิวเรียบลื่น และเมคอัพติดทนขึ้นคะ ราคาก็แพงดีจังคะ

Boron Veil : คุณสมบัติเหมือน Boron Nitride คะ แต่ต่างกันที่แร่ตัวนี้ จะโปร่งแสง ที่เรียกว่า translucent คะ ในบรรดา Boron ทั้ง 3 ชนิด Boron Glow กับ Boron Veil จะแพงกว่า Boron Nitride (ซึ่งปกติก็แพงอยู่แล้ว)คะ

Calcium Carbonate : มีความสามารถในการดูดซับความชุ่มชื้นเอาไว้คะ

Color Clay : เป็นดินบริสุทธิ์ที่มีสีคะ มีความปลอดภัยและไม่ค่อยพบว่าจะให้ให้แพ้เป็นผื่นแต่อย่างไร ถ้าเป็นดินสีที่ใช้ในเพื่อให้สีกับเครื่องสำอางจะมีราคาค่อนข้างสูง

Iron Oxides : เป็นสารประกอบอนินทรีย์ที่ให้สีคะ ถ้าเป็น Cosmetic Grade จะผ่านขบวนการทำให้ปราศจากโลหะหนักซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ออกไปแล้ว สีออกแนวเอิร์ธโทน

Kaolin clay : เป็นดินขาวจีน เป็นดินบริสุทธิ์ ปกปิดปานกลางแต่ให้การซึมซับความมันสูง ติดทนและมีลักษณะเป็นเนื้อครีม และยังช่วยลดความวอกของผิวด้วยคะ

Magnesium Stearate : เป็นผงสีขาวอ่อนลื่นๆนิ่มๆ เพื่อช่วยในเรื่องของการยึดเกาะ ความลื่น

Mica : ทำมาจากแร่ซิลิก้าคะ มีสีสันสวยงามและให้ประกายวิ้งๆ

Micronized Pearl Powder : ผงไข่มุกแท้จะมีขนาดโดยประมาณที่ 5 ไมครอน ทำให้เวลาเราเอานิ้วขยี้ผงไข่มุกจึงรู้สึกได้ว่าเป็นเม็ดละเอียดเล็กๆเหมือน กากเพชร และยังมีความหนืดอย่างเด่นชัด ผงไข่มุกประกอบไปด้วยแคลเซียมถึง 31% และโปรตีนอีก 56% ซึ่งดีเท่ากับการแยกตัวของกรดอะมิโน ที่เชื่อกันว่าดีต่อการพัฒนาการทางกระดูก เสริมสร้างสุขภาพ และทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง

Micro Titanium Dioxide : เป็น Titanium Dioxide ที่มีขนาดเล็กกว่า โปร่งแสงมากกว่า เกาะตัวได้ดีกว่า และยังละลายในน้ำมันได้ดี มันเลยกันน้ำได้ด้วยคะ และราคาแพงกว่า Titanium Dioxide คะ

Micro Zinc Oxide : ก็คือ Zinc Oxide ที่มีขนาดเล็กกว่า คุณสมบัติเหมือนกับ Zinc Oxide แต่โปร่งแสงกว่า นุ่มลื่นกว่า ราคาแพงกว่าเยอะเลยคะ

Rice starch , Kosher: แป้งข้าวเจ้าเป็นทางเลือกที่ดีแทนการใช้แป้งข้าวโพดที่ทำมาจากพืชและมีอายุ สั้น และยังสุ่มเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย แป้งข้าวเจ้ามีคุณสมบัติฟื้นฟูผิว สร้างเกราะบางๆและการปกป้องผิว และดูดซับความมันได้ดี แต่ถึงแม้จะดูดซับความมันได้ดี ก็พบว่าการดูดซับความมันได้อย่างช้าๆกว่าแป้งข้าวโพดคะ

Silica Microsphere : ซิลิก้ามีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำและช่วยควบคุมความมัน ยังช่วยกระจายแสงช่วยพรางริ้วรอยต่างๆ อีกทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเมคอัพได้อีกด้วยคะ

Silk Powder : ผงไหมเป็นมอยเจอร์ธรรมชาติที่จับน้ำมัน และช่วยบรรเทาอาการไหม้ของผิวหนัง ช่วยฟื้นฟูผิว ช่วยให้ผิวหน้ารู้สึกเรียบลื่นดุจแพรไหมอีกด้วย

Serecite Mica : มีลักษณะโปร่งแสง เนื้ออ่อนละมุน และให้ความคงทนในระดับปานกลาง ช่วยสะท้อนแสงกลับอีกทั้งยังปกปิดรูขุมขนและริ้วรอยต่างๆ

Talc : มีคุณสมบัติเกาะติดดีมาก ลื่นและกระจายแสงได้เยี่ยม และราคาถูกจึงเป็นส่วนผสมหลักในเครื่องสำอางทั่วไป แต่มันอาจทำให้เกิดการระคายเคือง อุดตันได้

Titanium Dioxide : มักเป็นส่วนผสมหลักใน MMU คะ ให้คุณสมบัติในการปกป้องผิวจากแสงแดด มีการสะท้อนแสงกลับของแสงทั้ง UVA และ UVB ให้การปกปิดสูง และยังติดทนอยู่บนผิวหน้าด้วย

Ultramarine Colors : เป็นสารประกอบของ Sodium aluminium sulfosilica , Ultramarine ส่วนใหญ่ FDA ของอเมริกาไม่อนุญาติให้นำมาใช้บนริมฝีปาก ดังนั้นหากจะนำ MMU มาใช้กับปาก ให้ระมัดระวังว่าต้องไม่มีส่วนผสมของ Ultramarine โดยเด็ดขาด

Zea Mays / Constarch : คือแป้งข้าวโพดคะ ข้อดีคือแป้งข้าวโพดดูดซับความมันได้ดีและรวดเร็วเนื้อลื่นๆ แต่มีข้อเสียก็คือมันอายุสั้น จึงมีโอกาสเสี่ยงต่อการเจริญของแบคทีเรียได้ และอาจก่ออาการแพ้ ผื่นได้คะ

Zinc Oxide : ส่วนผสมหลักอีกหนึ่งตัวใน MMU มีคุณสมบัติในการป้องกันแสงแดด อีกทั้งยังช่วยบรรเทาผิวจากอาการระคายเคืองและช่วยในกรณีผิวมีปัญหาอย่าง rosacea (อาการแดงและเห็นเลือดฝอยบนใบหน้าอย่างชัดเจน) และยังให้การปกปิดที่ดีและยังติดทนอยู่บนผิวอีกด้วย

 
Create Date : 07 มกราคม 2552
Last Update : 8 มกราคม 2552 20:11:02 น. 			
7 comments
	
Counter : 416 Pageviews.

 คัดลอกมา เพื่อสาวๆ ได้พิจารณากันก่อนใช้				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงแทน
Lovings  ลุงแทน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงแทน
Lovings  ลุงแทน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงแทน
Lovings  ลุงแทน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลุงแทน