8 พฤษภาคม 2547 11:45 น.

ฤทธิ์อภิญญา.........ตอนที่ 4

วสุนทรา

สองวันมานี้ ทั้ง กวิน เวคิน และทินกร ฝึกกสิณจนชำนาญ สามารถขยาย ย่อ ขนาดของกสิณให้ใหญ่ เล็ก สูง ต่ำ ได้ตามความนึกคิด และการทำกสิณของทั้งสาม สุดท้ายมีสภาพกับดวงแก้วประกายพรึก สวยสดงดงามสว่างไสว ไม่ว่า ลืมตา หลับตา ก็สามารถเห็นดวงกสิณได้ชัดเจนราวกับ มองด้วยตาเปล่า 

ตอนนี้ทั้งสาม นั่งอย่างสงบเสงี่ยมภายในถ้ำต่อหน้าหลวงปู่ พระภิกษุชราเอ่ยขึ้น 

ตอนนี้พวกเอ็งนั้นฝึกกสิณกองเริ่มต้นได้ดีแล้ว สำหรับกองต่อ ๆ ไม่ยาก แค่นึกก็ทำได้แล้ว แต่บางคนอย่างช้าก็ต้องฝึก 7 วัน ถึงจะได้เพิ่มกองหนึ่ง สำหรับพวกเอ็งปู่คิดว่า คงไม่กี่วันพวกเอ็งก็ฝึกได้ทุกกองหมด อย่าลืมนะจุดสำคัญของกสิณทุกกอง มันต้องไปจบตรงฌาน 4 วันนี้ปู่จะสอนวิธีอธิษฐานฤทธิ์ก่อน จากนั้นจะบอกเกี่ยวกับกสิณกองที่เหลือ 

การอธิษฐานจิตให้เกิดผลตามฤทธิ์ที่ต้องการ ให้พวกเอ็งทำสมาธิเข้าฌาน 4 ก่อน ของกสิณในแต่ละกองที่พวกเอ็งฝึกมา จากนั้นออกจากฌาน 4 มาหยุดอยู่เพียงอุปจารฌาน คือ ให้มันมีอารมณ์คิดได้ ถ้าเข้าฌานลึกกว่านี้มันจะไม่มีอารมณ์คิด พอถอยจิตมาอยู่อุปจารฌาน เอ็งก็อธิษฐาน จากนั้นก็เข้าฌาน 4 ใหม่ ถอยออกมาจากฌาน 4 หยุดลงที่อุปจารฌาน แล้วอธิษฐานทับลงไปอีกครั้งหนึ่ง เป็นอันเสร็จ  

 กสิณทุกกองก็ใช้วิธีอธิษฐานฤทธิ์แบบนี้เหมือนกันหมด แต่อย่าลืม ที่ปู่ย้ำให้พวกเอ็งเข้าออกฌานจนคล่องก็เพราะแบบนี้ การอธิษฐานทับนี่อย่างดีต้องนึกปั๊บ สำเร็จปุ๊บ แบบนี้จึงจะเรียกว่า ชำนาญ เอาละไปทดสอบกันนอกถ้ำ 


 

เมื่อทั้งหมดมาออกมาอยู่หน้าถ้ำ หลวงปู่หันไปทางกวิน 

เอ็งทำอย่างที่ปู่บอก แล้วอธิษฐานให้ตัวเบาเหมือนลม 

กวินทำตามที่หลวงปู่บอกเพียงไม่ถึงวินาที เขารู้สึกว่าร่างกายเบาโหวงเหวง ลองกระโดดขึ้น ร่างกายของเขาก็พุ่งขึ้นไปในอากาศทันที กวินดีใจจนหัวเราะดัง ๆ อย่างชอบใจ หากแต่ร่างกลับดิ่งวูบ 

โอ๊ยยยย..! 

เสียงครางโอดโอย ดังพร้อม ๆ กับร่างน้อยหล่นตุ๊บบนพื้น ท่าทางของกวินทุกลักทุเลยิ่ง เวคินกับทินกรถึงกับหัวเราะคิกคัก 

ยังไช้ไม่ได้ อย่าดีใจจนเกิดไป ทำใจมันมันกลาง ๆ ซีวะ ควบคุมอารมณ์จิตดี ๆ เอาเอ็งไปยืนตรงนู้น 

กวินมองดูที่ๆ หลวงปู่ชี้ นั่นคือ ริมหน้าผาหน้าถัดออกจากที่พวกเขายืนอยู่ไม่ไกลนัก 

กวินเดินไปยังตำแหน่งที่หลงปู่บอก 

โดดลงไป 

ห๋าาาาหลวงปู่จะให้หลานโดดหรือเจ้าค่ะ มันสู้งสูง ถ้าโดดมีหวังหลานซี๊แหง๋แก๋แน่ 

กวินทำหน้าเบ้ เขามองดูพื้นเบื้องล่างแล้วหวาดเสียวจริง ๆ 

หลวงปู่เดินมาอยู่ด้านข้างตอนไหนไม่รู้ ท่านพูดเสียงดัง 

เอ็งจะโดด หรือไม่โดด 

กวินทำท่าอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ กึ่งกล้า กึ่งกลัว หลวงปู่ก็เลยบอกว่า 

เอ็งไม่โดดงั้นข้าช่วย 

ไม่ทันสิ้นเสียง หลวงปู่ก็พลักเลย เวคินกับทินกรได้แต่ ตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก 

กวินรู้สึกเข้าเหยีบถูกใส่ธาตุอากาศ ไหนเลยจะมีเวลาคิดมากความ ก็ได้แต่ทำอย่างหลวงปู่บอก 

ขอให้ตัวเบา ขอให้ตัวเบา 

พี่เวคินดูซิ ทินกรพูดอย่างตื่นเต้น พลางชี้มือไปยังอากาศเบื้องบน 

เอ็งหลับตาทำไม เจ้ากวิน 

กวินได้ยินเสียงของหลวงปู่ชัด เขาค่อย ๆ ลืมตาพบว่า ตอนนี้เขายืนอยู่บนอากาศที่ว่างเปล่า เขาลองขยับตัว และกระโดดไปมา คราวนี้ไม่ตกเหมือนครั้งแรก กวินเล่นเหาะตีลังกา เลี้ยวไปเลี้ยวมา สามารถบังคับกายให้ช้าให้เร็วได้ตามใจนึก 

พอก่อนโว้ย ข้ามองจนตาลายแล้ว เอ็งลงมาก่อน ข้าจะสอนให้อีกอย่าง 

กวินพอนึกว่าไปที่หลวงปู่ ร่างของเขาก็พุ่งปราดมายังหลวงปู่ทันที ด้วยความเร็วสุดแสน 

นอกจากเอ็งจะเหาะได้แล้ว ยังอธิษฐานเรียกลม ได้ เป็นของไม่ยาก วันนี้พอก่อน แล้วค่อยไปฝึกเล่นเองวันหลัง 

ถึงตาเอ็งแล้ว เวคิน 

เอ็งอธิษฐานให้มีสายน้ำพุ่งออกมาจากพื้นตรงหน้าปู่ซิ 

เวคินทำตาม สายน้ำก็พุ่งออกมาจากพื้นสูงหลายวา ราวปาฏิหาริย์ แต่น้ำหาได้ถูกตัวหลวงปู่ไม่ 

เจ้าทินกร เอ็งเข้ามาอยู่ในรัศมีของน้ำ แล้วอธิษฐานขอให้ร่างกายไม่เปียกน้ำ 

ทินกรอาศัยที่ฝึกเตโชกสิน น้ำตกลงมาใส่เขามากมาย แปลกที่ตัวเขาไม่เปียก รอบกายเขาคล้ายมีกระแสความร้อนห่อหุ้มภายนอก แต่เขาไม่รู้สึก เมื่อน้ำจะกระทบกับกายเขาพลันระเหยกลายเป็นไอจนหมดสิ้น 

หลวงปู่ดูผลการฝึกของทั้งสาม ท่านจึงพูดขึ้น 

พวกเอ็งถือว่าทดสอบผ่าน ขอให้ตั้งใจฝึก กองแรกนี้ปู่จะไม่สอนเพิ่มน่ะ ให้พวกเอ็งเวียนกันฝึกของแต่ละคน ปู่จะบอกกองที่เหลือก่อน 

เวคิน นอกจากที่เอ็งทำวันนี้ เอ็งยังสามารถเรียกฝนได้ ทำให้ของแข็งเป็นของอ่านได้ หรือ เสกของต่าง ๆได้ ส่วนเจ้าทินกร นอกจากนี้ เอ็งสามารถทำที่มืดให้สว่างได้ ทำให้ที่เย็นจัดอบอุ่นได้ และสามารถเห็นภาพที่อยู่ไกล ๆ ได้ดุจตาทิพย์นะ เออวันหลังจะมีอาจารย์พาพวกเอ็งไปฝึกเล่นฤทธิ์อย่างที่ปู่บอก และลักษณะสิ่งแวดล้อมมันต่าง พวกเอ็งก็ต้องอาศัยกสิณที่ฝึกมานี่แหละเข้าช่วยประคับประคองธาตุของกาย 

ตอนนี้ถ้ากลับไปก็ไปฝึกให้มันคล่อง ๆ ส่วนกสินกองที่เหลือปู่จะบอกวิธีฝึกนะ ส่วนการอธิษฐานฤทธิ์ปู่จะสอน ทีหลังว่ามีอานุภาพใช้ยังไง 

ปฐวีกสิณ ให้พวกเอ็งไปหาดินสีอรุณ แล้วมาทำเป็นรูปวงกลม โดยทาไว้บนผ้า ขึงแล้วเพ่งจำภาพ ภาวนาว่า ปฐวีกสิณัง 

นิลกสิณ เพ่งสีเขียว เพ่งดูสีเขียวจากใบไม้ก็ได้ แล้วทำเช่นเดียวกับที่ฝึกมา ใช้คำภาวนาว่า นิลกสิณัง 

ปีตกสิณ เพ่งสีเหลือง ให้ภาวนาว่า ปีตกสิณัง 

โลหิตกสิณ เพ่งดอกไม้สีแดงก็ได้ แล้วภาวนา โลหิตกสิณัง 

โอทากสิณ เพ่งสีขาว แล้วภาวนา โอทากสิณัง 

อาโลกสิณ เพ่งแสงสว่างที่ลอดมาตามกิ่งไม้ ง่ายดี แล้วภาวนา อาโลกสิณัง 

ทุก ๆ กองสุดท้ายจะปรากฎดวงกสิณเหมือนกันหมด และจบลงที่ฌาน 4 วิธี ผลที่ฝึกก็เหมือนกัน ดังนั้นเมื่อพวกเอ็งคร่องกองแรก ทีเหลือก็เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก 

นอกจากคุณสมบัติที่จะได้ฤทธิ์แล้ว ก็ยังสามารถมี ทิพย์จักขุญาณ คือ สามารถเห็นในสิ่งที่ตาเนื้อมองไม่เห็น เพียงแต่กำหนดจิตเข้าฌานอย่างที่ปู่เคยบอก อธิษฐานขอให้ภาพกสิณจงหายไป ขอให้ภาพที่เอ็งอยากเห็นปรากฏขึ้นมา วิธีนี้พวกเอ็งไม่ได้ไปเอง แต่สามารถมองเห็นได้ด้วยจิตที่ที่มีความชำนาญในกสิณช่วยให้เห็นภาพขึ้นมา 

 ถ้าฝึกจนคล่อง ไม่ว่าจะทำกิจการงานใด ๆก็ตาม พอคิดจะรู้มันก็รู้มีภาพปรากฏชัดขึ้นมาทันที อย่างนี้ถือว่า สำเร็จ เมื่อได้ทิพย์จักขุญาณ ญาณอื่น ๆก็จะตามมาอีก ไว้ เพื่อนข้าจะมาสอนเอ็งทีหลัง ไม่ใช่หน้าที่ข้า 

วันนี้คงพอแค่นี้ก่อน ไปฝึกที่ปู่สอนนะ ปู่จะไม่อยู่อีกหลายวัน ไม่ต้องมาหา แล้วกลับมาปู่จะสอนอานุภาพของกสินที่เหลือ เอ้าไปได้แล้ว 

ทั้งสามกราบหลวงปู่อย่านอบน้อมก่อนจากมา 


เมื่อทั้งสามเดินไปจนลับตาแล้ว ภายในถ้ำมีชายฉกรรจ์ผิวขาวผ่อง ขาวสวยเดินออกมา เขานั่งพับเพียบและกราบหลวงปู่ 

ข้าฝากดูแลหลานๆด้วย มันทำอะไรไม่ถูกไม่ควรก็สั่งสอนมันได้ แต่อย่าให้มันเห็นตัวนะ 

ขอรับพระคุณเจ้า 

ข้าต้องไปก่อน นัดกับสหายเก่าไว้ มีเรื่องคุยกันยาว 

หลวงปู่กล่าวจบ พร้อมกับร่างได้หายไปราวปาฏิหาริย์ 

(จบตอนที่ 4 )				
7 พฤษภาคม 2547 07:53 น.

ฤทธิ์อภิญญา.........3

วสุนทรา

ทั้งหมดเมื่ออกมายืนอยู่บริเวณหน้าปากถ้ำซึ่งเป็นลักษณะชะง่อนผายื่นออกมา 

พระภิกษุชรากล่าวว่า 

ปู่จะสอนเจ้ากวินก่อน การฝึกวาโยกสิณนั้น เอ็งมองไปที่ยอดไม้ เห็นไหมว่า ยอดไม้มันจะมีอาการเคลื่อนไหวโบกพัดไปตามกระแสลม เองกำหนดลมที่พัดใบไม้ไหวเป็นตัวอารมณ์ แล้วเพ่งพิจารณา แล้วจงภาวนาว่า วาโยกสิณัง ๆๆๆๆๆๆ 

หลวงปู่หันหน้าไปทางเวคิน แล้วพูดกับเขาว่า 

เอ็งตามปู่มา เจ้าทินกรรอข้าอยู่ที่นี่เดี๋ยวข้าจะมา 

หลวงปู่จูงมือเวคินกลับเข้าไปในถ้ำ ขณะที่ทั้งสองก้าวเข้าไปในถ้ำ ภาพเบื้องหน้าของเวคินถึงกลับกลายสภาพจากถ้ำเป็นน้ำตกขนาดใหญ่อยู่เบื้องหน้า เวคินมองจนตาค้างไม่เข้าใจว่าไฉนจึงมาอยู่ที่นี่ มันไม่ใช่ความฝัน เพราะเขาได้ยินเสียงน้ำตกชัดเจน ละอองน้ำน้อย ๆ กระเซ็นมากระทบหน้าเขาจนชื้น 

ฉับพลันกึ่งกลางน้ำตกปากฎกระแสน้ำพวยพุ่งขึ้นมาเป็นลำโต จากนั้นค่อย ๆ หมุนวนและรวมตัวกลายเป็นวงกลมใสประหนึ่งดวงแก้วขนาดใหญ่ ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา เวคินเอื้อมมือน้อย ๆ ไปแตะ มันยังคงเป็นน้ำมือเขาก็เปียก หากแต่ไฉนน้ำมันไม่ยักไหล กลับคงสภาพเป็นวงกลมใสขนาดใหญ่ลอยอยู่ตรงหน้าเขา 

เอาละ เวคินเอ็งจำภาพวงน้ำขนาดใหญ่นี้ไว้ ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา ก็ต้องจำภาพนี้ให้ชัดเจนแจ่มใส พร้อมกับภาวนาว่า อาโปกสิณัง ๆๆๆๆ เอ็งฝึกอยู่ตงนี้นะปู่จะไปสอนเจ้าทินกรมันก่อน 

ทินกรผงกศีรษะเบา ๆ สายตาของเขายังคงฉานแววฉงนต่อเหตุการณ์เบื้องหน้า หากเมื่อสิ้นเสียงหลวงปู่เขาหันไปมองท่าน หลวงปู่ได้หายไปจนไร้ร่องรอยแล้ว 


หลวงปู่เดินส่ายอาด ๆๆๆ อกมาจากถ้ำช้า ๆ ทินกรน้องน้อยยังนั่งรออยู่อย่างสงบเสงี่ยมผิดวิสัยความซุกซน 

เจ้าทินกรเอ็งนั่งตรงนี้แหละ ฟังปู่ให้ดีนะ 

ทินกรนั่งขัดสมาธิบนลานหน้าถ้ำ เขาหันหน้าไปทางหลวงปู่ ปรากฎการณ์ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่ออยู่ๆ ที่เบื้องหน้าทินกรมีกองไปขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมา หากแต่ไม่ร้อน เปลวไฟสีเหลืองนวลไม่แสบตา 

เอ็งอย่าได้สนใจเปลวไฟที่ไหวไปไหวมา เอ็งจงดูบริเวณที่มีแสงหนาทึบนั้น แล้ว ภาวนาว่า เตโชกสิณัง ๆๆๆ ไปเรื่อย ๆ นะ หลวงปู่พูดจบท่านก็กลับเข้าไปในถ้ำตามเดิม 
....................................................................................................

เวลาบ่ายคล้อยเงาของพระอาทิตย์ได้เลยผ่านกึ่งกลางศีรษะไปนานแล้ว หากแต่สายลมยังโชยพัด เสียงเสียดสีของกิ่งไม้ยามต้องลมดังเอี๊อดอ๊าดๆ เป็นระยะ แสงแดดส่องจ้า หากกวินและทินกรดูเหมือนจะไม่รับรู้เรื่องราวต่าง ๆภายนอก คนหนึ่งนั่งอยู่หน้ากองไฟไม่ไหวติง อีกคนยืนเหมอมองการเคลื่อนไหวของใบไม้ นับว่าเป็นภาพที่ประหลาดอยู่มากโข 

พวกเอ็งทั้งสองฝึกแค่นี้ก่อน เข้ามาหาปู่ในถ้ำ 

กระแสเสียงนุ่มนวลกังวาล แววมาตามสายลม 

กวินเดินมาหาทินกร ซึ่งเขากำลังลุกขึ้น น่าแปลกที่กองไฟได้หายไปแล้ว เด็กน้อยทั้งสองเดินเข้าไปในถ้ำ ก็เห็นเวคิน นั่งสำรวมอยู่ 

หลวงปู่รอให้ทั้งสองนั่งเรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวขึ้น 

เอ็งฝึกไปถึงไหนแล้วกวิน 

กวินตอบเสียงใส 

หลังจากที่หลายภาวนาไปกำหนดภาพไปชั่วครู่ หลานมองเห็นการไหวตัวของลมที่กระทบกับใบไม้ มีลักษณะคล้ายไอของการหุงต้มอาหาร มากระทบกับตา ไอนี้มีลักษณะคล้ายไอที่น้ำต้มเดือดๆเจ้าค่ะ จากนั้นเจ้าไอนี้มันก็ลอยขึ้น แต่ไม่เคลื่อนไหวคล้ายกับเมฆก้อนบาง ๆลอยอยู่อย่างนั้นเจ้าค่ะ  

เจ้าเวคินเอ็งละ 

หลานมองดูน้ำวงใหญ่นั่นและภาวนาไปเรื่อย ๆ น้ำในวงนั้นมีลักษณะของการกระเพื่อมไหวเวลาถูกลมพัดเจ้าค่ะ แล้วค่อย ๆมีประกายระยิบระยับสวยมากเหมือนกับน้ำเวลาต้องแดด แต่สว่างกว่า ระยิบระยับมากกว่าเจ้าค่ะ 

แล้วเอ็งล่ะทินกร 

เมื่อหลานเพ่งดูตรงส่วนทึบของกองไฟและภาวนาไป ปรากฎว่ามันมีลักษณะคล้ายดวงกลม ๆ สีแดง เมื่อภาวนาไปเรื่อย ๆ สีแดงก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองคำเจ้าค่ะ 

หลวงปู่ผงกศีรษะแล้วพูดว่า 

เออ..ถือว่าใช้ได้ วันนี้ฝึกแค่นี้ก่อนนะ แต่อย่าลืมกลับไปห้ามทิ้งให้กำหนดนิมิตกสิณให้ติดตาติดใจ ไม่ว่าจะทำอะไรให้นึกเห็น นึกเมื่อไหร่ก็เห็นภาพใสแจ๋ว พวกเอ็งต้องจำอารมณ์และนิมิตเดิมไว้จากนั้น เข้าฌาน 1,2,3,4 หรือ 4,3,2,1 จากนั้นสลับ 3,1,2,4 สลับไปสลับมา คิดจะเข้าฌานระดับใดเมื่อใดก็ได้ ฝึกให้ดวงกสิณขยายขนาดเล็ก ใหญ่ สูง ตามชอบใจ ที่ปู่บอกปู่ให้เวลาสองวันนะ แล้วต่อไปปู่จะสอนวิธีอธิษฐานฤทธิ์  

ก่อนจะกลับปู่แถมอีกนิดนะ ต่อไปนี้ก่อนนอให้พวกเอ็งภาวนาคาถา โสตัตตะ อภิญญา เป็นคาถารวมอภิญญา มีผลเร็วในด้านการรวบรวมของเก่า อย่าลืมเรื่องศีลนี่พวกเอ็งต้องบริสุทธิ์ ที่นี้ปู่จะให้ข้อปฏิบัติเพิ่มอีกอย่างที่พวกเอ็งต้องทำก่อนตื่นนอน และก่อนหลับ ให้เอ็งกำหนดลมหายใจเข้าออก พอมีอารมณ์สบาย ๆ แล้วคิดว่า ถ้าหากว่ายังมีลมหายใจเพียงใด ขึ้นชื่อว่าความชั่งทุกอย่างจะไม่กระทำ จะรักบุคคลอื่นในโลกนี้ไม่ว่าหรือสัตว์ เท่า ๆกับรักตัวเอง พรหมวิหารสี่ ที่ปู่สอน ทำให้มันมาก ๆ โดยเฉพาะเจ้าทินกร มันขี้ใจร้อน เอ็งนะต้องวางอุเบกขา หัดไว้ ใหม่ ๆ ก็อาจทำได้บ้างไม่ได้บ้าง อีกหน่อยก็ชิน ชินแล้วมันก็เป็นฌาน เพราะฌานนี่ เขาแปลว่า ชิน เจ้าด้วยนะกวินและเวคินที่ต้องปฏิบัติ 

จากนั้นให้พิจารณาใคร่ครวญ ถึงความตายของคนเราว่ามันมีจริง มันเป็นของเที่ยงแท้ที่คนเราจะต้องตาย แต่ว่ามันไม่รู้เวลา พวกเอ็งเข้าใจไหม ปู่หมายถึง คนเราก็ดี สัตว์ป่าที่พวกเอ็งเจอก็ดี มันย่อมมีความตายเป็นเรื่องปกติของชีวิต แต่ความตายนี่เราไม่รู้ว่ามันจะมาถึงตอนไหน มันไม่ได้ตะโกนบอกเอ็งว่า พรุ่งนี้ มะรื้นนี้เอ็งจะตายแล้วนะโว้ย ไม่มี มันไม่ได้บอกอย่างนี้ ดังนั้นขอให้เอ็งทั้งสามอย่าประมาท อย่าคิดว่ามีฤทธิ์แล้วจะอยู่เป็นอมตะไม่ตาย นี่ยังไม่ใช่ความดีสูงสุดในพระพุทธศาสนา 

แม้กระทั่งปู่เองก็หนีความตายไม่พ้น คิดอย่างนี้นะทุกวัน ว่าเราจะต้องตาย ตายแล้วกายนี้มันก็พัง ถ้าพังเมื่อไหร่ขอไปนิพพาน เอาแค่นี้ก่อน คิดแค่นี้ก่อนนะ เอ็งต้องเรียนแบบโง่ ๆ ก่อน ฉลาดมาทีหลัง 

เวคินถามขึ้น 

หลวงปู่เจ้าขา แล้วคำว่า ร่างกายมันพัง หลานจะต้องทำอย่างไรถึงจะแจ้งเจ้าค่ะ 

หลวงปู่มองหน้าเวคินนิดหนึ่ง ท่านยิ้มน้อย ๆ ก่อนกล่าวว่า 

เรื่องนี้ จะมีอาจารย์มาสอนพวกเอ็ง เอาให้เห็นแบบจะจะ ไม่งั้นพวกเอ็งมันขี้สงสัย ตอนนี้แค่เริ่มต้นดอก ถึงตอนนั้นนอกจากพวกเอ็งจะสนุกแล้ว ยังซีทรู โว้ย 

ทินกรพูดขึ้น 

เดี๋ยวนี้หลวงปู่พูดภาษาปกิตด้วย.ทันสมั๊ยทันสมัย 

หลวงปู่พูดพลางขำพลาง 

หน๋อยอย่าคิดว่าข้าอยู่ป่าอยู่ดอย นะเอ็ง ปู่พูดได้ทุกภาษา อีกอย่างอาจารย์ผี ๆ ของพวกเอ็งก็นิยมใช้ ข้าเคยได้ยิน ปู่ของเอ็งพูดว่า โลกนี้ระรี้ระริก signal ต่ำ แล้วอีกสองวันอย่าลืมขึ้นมาหาปู่บนถ้ำนะ 

ทินกรพนมมือถามขึ้น 

หลวงปู่ไม่มีคาถาเพิ่มหรือเจ้าค่ะ 


 เอ็งนี่ ได้หนึ่งจะเอาสอง เอาละปู่จะบอกพระคาถาของพระพุทธองค์ไว้ บทหนึ่งเพื่อเอาไว้ช่วยคน คาถานี้คือ นะโมพุทธายะ เป็นพระนามขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ห้า พระองค์ 
นะ หมายถึง พระพุทธเจ้ากกุสันโธ 
โม หมายถึง พระพุทธเจ้าโกนาคม 
พุท หมายถึง พระพุทธเจ้ากัสสป 
ธา หมายถึง พระพุทธเจ้าสมณโคดม 
ยะ หมายถึง พระศรีอาริยเมตตรัย 

เวลาเรานึกถึงพระพุทธเจ้าไม่ว่าจะองค์ไหนก็ตามนะ เอ็งเจริญในพุทธานุสสติกรรมฐานแล้ว

คาถานี้นอกจากใช้ภาวนาเป็นพุทธานุสสติแล้ว ยังช่วยระงับความทุกขเวทนาของร่างกาย อย่างเวลาที่เอ็งเจ็บนู้นเจ็บนี่ให้นึกถึงพระพุทะเจ้าทั้งห้าพระองค์ แล้วภาวนา จะหาปวด หรือถ้าเอ็งไปเจอคนที่เจ็บหนัก ก็ให้อยู่เหนือศีรษะเขา แตะไปที่ตัวเขาเบา ๆ แล้วภาวนาว่า นะโทพุทธายะ เขาก็จะหายเจ็บ ถ้ากำลังสมาธิมาก จิตสะอาดมาก ยิ่งมีผลมาก   ทุกอย่างที่อยู่จิตตัวเดียว  คาถาเดียวกันแต่การใช้ของแต่ละคนไม่ได้ผลเสมอกัน  ก็เหมือนอย่างคนมีศีล กับคนไม่มีศีลนั่นแหละ  ความดีเสมอกันที่ไหนล่ะ 

ถูกใจละซิ จะเอาคาถาจากพระสาวกอื่น ๆ อีกไหมหึ 

ทินกรยิ้มแก้มปริ กล่าวว่า 

ไม่เอาเจ้าค่ะ ได้ของหัวหน้าแล้ว ลูกน้องไม่อาว 

ทีของข้าเอ็งยังเอา 

แห๋ม ก็หลวงปู่รูปหล่อนี่เจ้าค่ะ 

เดี๋ยวเถอะ..เอ็ง 

ทั้งสามรีบเพ่นก่อนที่จะถูกคนละโป๊กสองโป๊ก คิดว่าออกมาอยู่ในรัศมีที่ปลอดภัยแล้ว จึงกราบหลวงปู่งาม ๆ สามครั้ง ก่อนวิ่งหนีสุดชีวิต 

ในถ้ำได้ยินเสียงหลวงปู่หัวเราะชอบใจแว่วออกมา 

(จบตอนที่ 3)				
6 พฤษภาคม 2547 16:18 น.

ฤทธิ์อภิญญา........2

วสุนทรา

ทั้งสามยืนหอบหายใจชั่วครู่ ก่อนมองเข้าไปในถ้ำ ที่นี่เป็นถ้ำที่หลวงปู่มักจะมาปฏิบัติธรรมทุกคืน ท่านไม่ได้อยู่ที่กุฏิด้านล่าง และ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตให้มาหาอย่างวันนี้ ทั้งสามก็จะไม่กล้าเข้าไปในถ้ำเด็ดขาด เพราะจำได้ว่าเคยลองดีแอบขึ้นมาแล้วเกือบช๊อคตาย 

เสียงหลวงปู่ดังออกมาจากในถ้ำ 

พวกเอ็งเข้ามาได้แล้ว 

ทั้งสามฟังแล้วอดขนลุกเกลียวไม่ได้ หากก็เดินเข้าไปช้า ๆ ในถ้ำกว้างอย่างยิ่งและมีแท่นหินสามแท่นตั้งอยู่กลางถ้ำราวกับจัดไว้เป็นที่สำหรับรับแขก เสียงน้ำหยดจากหินย้อยกระทบกับพื้นดังติงตังระรื่นหู อากาศในถ้ำเย็นสบาย เมื่อไม่เห็นสิ่งที่วิตกกังวลทั้งสาม รีบวิ่งแจ้นไปกราบหลวงปู่ประหลก ๆ 

เจ้าตัวเล็กกล่าวเสียงใส 

วันนี้พี่งูไม่อยู่หรือเจ้าค่ะ 

หลวงปู่มองดูหน้าน้อย ๆ ที่กึ่งกล้ากึ่งกลัวของทินกร ต้องหัวเราะ หึ ๆ 

พวกเอ็งยังไม่เข็ดหลาบรึ เดี๋ยวข้าเรียกให้ 

ไม่เอาเจ้าค่ะ 

เวคินกับกวินรีบปฏิเสธเสียงหลง ยังจำเหตุการณ์ที่แอบเข้ามาในถ้ำได้ดี ขณะที่จะเข้าถ้ำพลันปรากฏงูเผือกตัวใหญ่มหึมา ตาสีแดงจัด บนหัวมีหงอนสีแดงฉานราวเปลวเพลิง ชูคอแผ่แม่เบี้ยดุจจะกินเลือดกินเนื้อพวกเขาทั้งสามไหนเลยมีอารมณ์คิดจะสอดรู้สอดเห็นอีก ต่างคนต่างปลุกอาจารย์โกย วิ่งแนบชนิดไม่เห็นฝุ่น คิดทีไรทั้งสามขนลุกทุกที 

เป็นไงวันนี้เจออาจารย์ของเจ้าแล้วอึ้งเลยรึ 

อาจารย์! ทั้งสามอุทานอย่างงุนงง 

เออ ซิวะ นอกจากข้าจะสอนเองแล้ว บรรดาอาจารย์ผี ๆ ทั้งหลายที่จะมาสอนพวกเอ็งมีอีกเพียบ 

เวคินถามขึ้น 

ผี คือ อะไรเจ้าค่ะหลวงปู่ 

ผีก็คือ จิตของคนที่ออกจากร่างกายเวลาตายไปแล้ว คนมักเรียกว่า ผีมั่ง วิญญาณมั่ง แต่ในภาษาธรรมเขาเรียกกันว่า จิต หรือ อทิสมานกาย อทิสแปลว่า ไม่เห็น คือ กายที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า 

แล้วผีมีกี่ประเภทเจ้าค่ะหลวงปู่ ทินกรถามอย่างสงสัย 

สรุปง่าย ๆ ก็มีทั้งผีดีและผีไม่ดีโว้ย 

ผีดีก็ผีที่ชอบช่วยเหลือคน สงเคราะห์คน ที่ปฏิบัติดี มีคุณธรรม ผีดีก็มี ผีเทพ ผีพรหม ผีพระอริยะ เหล่านี้ย่อมมีภูมิธรรมแตกต่างกันไป และมักสงเคราะห์ผู้ที่เกี่ยวเนื่อง ส่วนผีไม่ดีนี่ มันเป็นผีที่น่าสงสารพวกมันตายไปแล้วยังต้องได้ไปรับผลกรรมที่ทำไว้ตอนเป็นมนุษย์ หรือไม่ก็พวกที่ตายก่อนอายุขัย มักถูกพวกหมอผีอวิชชาจับไปเป็นทาสแล้วบังคับให้มันไปทำร้ายคน จริง ๆ มันไม่อยากทำดอก แต่มันสู้อำนาจพวกมิจฉาเหล่านี้ไม่ได้ อีกหน่อยถ้าพวกเองไปเจออย่าได้ทำร้ายพวกมันนะ อุทิศส่วนกุศลและแผ่เมตตาให้ซะ ที่พวกมันต้องเจอแบบนี้ก็เป็นกรรม ไว้วันหลังข้าจะเล่าให้ฟัง 

หลวงปู่หยุดนิดหนึ่ง ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด จริงจัง 

เออแล้วพวกเอ็งนี่ฝึกเข้าฌานจนคล่องแล้วซิ ที่ปู่บอกว่าฌาน1 ฌาน2 ฌาน3 ฌาน4 นี่มันต้องคล่อง ชนิดที่เรียกว่า คิดเข้าฌานไหนมันก็เข้าได้ทันที ไม่ใช่มานั่งหลับตานานสองนานอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ดีที่พวกเอ็งไม่เกียจคร้าน จะเดิน ยืน นั่ง นอน ก็ทรงฌานตลอด อย่างเวลาปกติ ๆ พวกเอ็งทรงให้อยู่ในระดับปฐมฌานก็ถือว่าใช้ได้  

เวลาปู่ชมก็อย่าเหลิง อย่าคิดว่าได้แค่นี้มันวิเศษวิโสอะไร จำไว้นะ สิ่งที่ปู่สอนให้ไว้ ไม่ใช่เอาไว้ไปอวดคน ไม่ใช่ให้เอาไปรังแกคน แต่เอาไว้เป็นกำลังในการตัดกิเลส ด้วยวิสัยของพวกเอ็งมันต้องฝึกอย่างแบบนี้ แบบที่เขาเรียกว่า อภิญญา 

ตอนนี้ยังเด็กไม่จำเป็นต้องเข้าใจความหมายอะไรมากนัก เอาเป็นว่าถ้าอยากเรียนกับปู่ก็ต้องเรียนแบบโง่ ๆ คือ ไม่ออกนอกลู่นอกทางผิดคำสั่ง ปู่บอกให้ทำก็ทำ ถ้าขืนเอ็งทั้งสามไม่เชื่อฟัง ต่อไปก็อย่าคิดที่จะได้เจอกับปู่อีก 

ทั้งสามยังไม่เคยเห็นหลวงปู่พูดจริงจังแบบนี้มาก่อน จึงรับฟังอย่างว่าง่าย พร้อมกับรับปากท่าน แม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนัก หากสรุปก็คือ ถ้าหลวงปู่บอกให้ทำอะไร ก็อย่าขัดคำสั่ง 

หลวงปู่ยิ้มอย่างการุณ ท่านลูบหัวทั้งสามด้วยความเมตตา แล้วกล่าวว่า 

ต้องว่าง่าย ๆ อย่างนี้ ก่อนที่ปู่จะสอนกสิณ ปู่ต้องบอกไว้ก่อนว่าพวกเจ้ายังเป็นฌานโลกีย์ คือ ทำแล้วเสื่อมง่าย หายง่าย ดังนั้น ตั้งแต่พวกเอ็งพอรู้ความปู่จึงสอนให้รักษาศีลห้า จำได้ไหมมีอะไรบ้างห๋าเจ้าทินกร 

ทินกรพนมมือแต้พลางกล่าวว่า 

หลวงปู่บอกว่า ห้ามฆ่าหรือรังแกคนและสัตว์ ห้ามพูดปด ห้ามมีชู้ลูกเมียบุคคลอื่น ห้ามลักขโมย ห้ามดื่มของมึนเมา 

เออ.เอ็งนะมันชอบเข้าไปรื้อหาสมบัติข้าเรื่อย ข้าไม่ถือ ที่เอ็งและพี่ของเอ็งสอดรู้สอดเห็นไปทั่ว 

แล้วปู่พูดถึงการรักษาศีลห้ายังไงอีก เจ้ากวิน 

หลวงปู่บอกว่า นอกจากเราจะไม่ทำลายศีลด้วยตนเองแล้ว เราจะไม่ยุยงให้บุคคลอื่นทำลายศีล และไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีล 

เวคิน..เจ้ารู้ไหม ว่าทำไมปู่จึงสอนให้พวกเอ็งรักษาศีลมาตั้งแต่เล็ก ๆ  

เวคินครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนตอบว่า 

หลานคิดว่า ที่หลวงปู่สอนคงจะมีผลต่อการที่พวกหลานจะฝึกอะไรต่อมิอะไรที่หลวงปู่บอกเจ้าค่ะ 

เออเอ็งมันฉลาดตอบ 

ปู่จะบอกให้นะ ที่ปู่ให้พวกเจ้ารักษาศีลนั้น ก็เพราะศีลเป็นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ รู้ไหมมนุษย์นี่เขาแปลว่า ผู้มีจิตใจสูง คนที่จะเป็นมนุษย์ได้น่ะต้องมีศีลครบ และที่เจ้าเวคินมันพูดก็ถูกเพราะมันมีผลต่อสิ่งต่าง ๆ ที่ปู่จะสอน 

ศีลจะเป็นตัวเชื่อมให้สมาธิและปัญญาเกิด การฝึกกสิณต้องอาศัยกำลังของสมาธิ ถ้าศีลขาดเมื่อไหร่ ที่เอ็งฝึกมาก็พังเข้าใจไหม ดังนั้นคนที่คิดจะฝึกอย่างพวกเอ็งนี่ไม่ใช่ฝึกก็ฝึกเลย ศีลมันก็ต้องพร้อม ต้องครบ ถ้าศีลครบ สมาธิคล่อง โดยเฉพาะการเข้าฌานสลับฌานคล่อง แป๊บเดียวเอ็งฝึกได้สบายมาก 

พวกเอ็งแต่ละคนที่ฝึกกสิณกองเริ่มต้นต่างกัน เพราะของเก่ามันถนัดกองไหนก็ฝึกกองนั้นก่อน แล้วค่อยฝึกกองที่เหลือ ถ้าฝึกกองแรก ๆ ได้ชำนาญ กองอื่น ๆก็ตามมาเอง ไม่ต้องฝึกเหมือนกองแรก อย่างน้อยสามเดือนพวกเอ็งฝึกกสินทั้งสิบกองได้หมด 

ปู่จะอธิบายเรื่องกสินให้พวกเอ็งก่อนแล้วค่อยฝึก คำว่ากสิณนี่ แปลว่า เพ่ง กสิณมีทั้งหมดสิบกอง คือ ปฐวีกสิณ เพ่งดิน อาโปกสิณ เพ่งน้ำ เตโชกสิณ เพ่งไฟ วาโยกสิณ เพ่งลม ปีตกกสิณ เพ่งสีเหลือง นิลกสิณ เพ่งสีเขียว โลหิตกสิณ เพ่งสีแดง โอทากสิณ เพ่งสีขาว อาโลกสิณ เพ่งแสงสว่าง อากาศกสิณ เพ่งอากาศ แต่ในส่วนมากคนจะเว้นไม่ฝึกสองกองคือ อาโลกสิณและอากาศกสิณ แต่ปู่ก็ฝึกทั้งสิบกองจนครบ 

สำหรับหลักปฎิบัติถ้าจะให้อธิบายแบบตำรามันมาก ปู่จะให้ปฏิบัติเลยจะได้ไม่เสียเวลา พวกเอ็งตามปู่ออกไปนอกถ้ำ 

พระภิกษุชราเดินนำออกไปก่อน เด็ก ๆทั้งสามจึงทะยอยกันออกไปนอกถ้ำ 


.................จบตอนที่ 2.............				
4 พฤษภาคม 2547 11:08 น.

ฤทธิ์อภิญญา.......(เรื่องสั้นขนาดยาว)...1

วสุนทรา

เสียง กริ่ง ดังขึ้นเป็นสัญญาณบอก การสิ้นสุดของการเรียนในวันนี้ เด็ก ๆชั้นประถม ของโรงเรียน สหวิทยา พากันกรูออกมาจากห้องเรียน เสียงเจี๊ยวจ๊าวจ๊อกแจ๊กจอแจดังระงม 

หน้าโรงเรียนมีแม่ค้าแผงลอยนำขนมและของกินต่าง ๆมาวางขาย ไม่ว่าจะเป็น ไอศครีม น้ำแข็งใส ก๊วยเตี๋ยวผัด ก๊วยเตี๋ยวกวางตุ้ง สาระพัด เด็กนักเรียนจับกลุ่มยืนซื้อขนมขบเคี้ยวก่อนกลับบ้าน รถรับส่งนักเรียน ต่างพากันจอดอยู่เต็มบริเวณลานกีฬาข้างโรงเรียน 

กวิน เด็กชายวัยแปดขวบ ขึ้นนั่งในรถรับส่งนักเรียนคันสีแดง พร้อมกับยื่นมือน้อย ๆมาฉุด เวคิน และทินกร น้องชายคนรอง และน้องชายคนเล็ก เด็กน้อยทั้งสามคนกลับมีใบหน้าประพิมประพายคล้ายกันยิ่ง หากแต่ กวินผิวขาวผ่อง เวคิน ผิวคล้ำนิดๆแต่สวย ส่วนทินกร ผิวเหลืองนวลขมิ้น ใครๆที่พบเห็นเด็กทั้งสามก็อดไม่ได้ที่จะนึกรักนึกเอ็นดู 

กวินหยิบขนมในกระเป๋านักเรียน แบ่งให้น้อง ๆและเด็ก ๆที่นั่งข้าง ๆอย่างใจดี ขณะที่รถได้แล่นออกไปช้า ๆ เด็ก ๆต่างคุยกันโขมงโฉงเฉงอย่างสนุกสนาน ขณะที่คุยกันเพลิน ๆอยู่นั้น ก็มีเสียงเด็กผู้หญิงกรีดร้องอย่างตกใจ พร้อมกับเสียง โครม ดังสนั่นหวั่นไหว กวิน เวคิน และทินกร รู้สึกว่าร่างของพวกเขากระตุกไปข้างหน้าอย่างแรง จนขนมในมือร่วงหล่น พร้อมกับความรู้สึกที่ร่างถูกแรงอัดมหาศาลมากดทับจนหายใจไม่ออก ภาพเบื้องหน้าพร่ามันและค่อยๆเลอะเลือน หากสิ่งที่ปรากฏขึ้นแทนคือแสงสีขาว สว่างไสว เจิดจ้า จนทั้งสามต้องหลับตาลง เวลาคล้ายผ่านไปนานยิ่งในความรู้สึก ทั้งสามพยายามขยับตัวและลืมตา แต่ทำไมได้ ดูเหมือนร่างกายไม่รับฟังคำสั่งใดๆทั้งสิ้น 

ความกดดันในตอนแรกค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆจนร่างกายรู้สึกเบาโหวงเหวง ทั้งสามลองขยับตัวและลืมตาขึ้นช้า ๆ ความมืดสนิทปรากฏเป็นอันดับแรก ต่อเมื่อสายตาได้ปรับสภาพจึงเห็นภาพที่ปรากฏอยู่ในคลองจักษุชัดเจน 

ถ้ำ ทั้งสามอุทานในใจ หากแต่ยังคงมองเพดานถ้ำที่มีหินย้อยสีขาวสล้างเรียงรายอย่างสวยงาม 

ตื่นแล้วรึลูก เสียงสดใส หากแฝงแววเมตตาดังขึ้น 

ทั้งสามตกใจ ลุกนั่ง ความงุนงงปรากฏในจิตใจ พระภิกษุชรา สวมจีวรสวย นั่งอยู่บนแท่นหิน ไม่ห่างจากพวกเขาเท่าใดนัก กวิน เวคิน ทินกร รู้สึกคลับคล้ายคลับคราว่า เคยเห็นพระภิกษุรูปนี้ที่ไหนมาก่อน 

คล้าย..คุ้นเคย.ความรู้สึกอบอุ่นอาบไปทั่วอณูของร่างกายอย่างประหลาด เด็กน้อยทั้งสาม ก้มลงกราบพระภิกษุชราอย่างไม่ขัดเขิน เพราะทางบ้านได้อบรม สั่งสอนให้เด็กทั้งสามเป็นพุทธศาสนิกชนที่งามพร้อม 

พระภิกษุชรายังคงแย้มยิ้มอย่างเมตตา 

ประหลาดใจหรือลูก ปู่มาเนื่องเพราะสัญญา ที่รอดมาได้พระท่านช่วย ลูกทั้งสามหลับเสียเถิด ปู่จะพาไปดูสัญญาเดิม 

กวิน เวคิน ทินกร ไม่เข้าใจความหมายที่ภิกษุชรารูปนี้พูดแม้แต่น้อย หากแต่ความง่วงงุนพลันจู่โจมกระทันหัน หนังตาเริ่มหนักอึ้ง พร้อมกับภาพพระภิกษุชราเริ่มพล่า.เลอะเลือนจนหายไปในที่สุด 

****************************************************************************

ทิวเขาพนมดงรักทอดตระหง่านง้ำเป็นแนวยาว แบ่งแม่น้ำมูลและแม่น้ำโขงออกจากกัน สายน้ำโขงทอดตัวคดโค้งไปมา หมอกยามอรุณประหนึ่งม่านบางเบากางกั้นระหว่างท้องฟ้ากับพื้นน้ำ 

ป่าแถบนี้ยังเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ ต้นไม้น้อยใหญ่พากันชูช่อแผ่กิ่งก้านสาขาเพื่อรับสัมผัสอันนุ่มนวลยามเช้าจากแสงอาทิตย์ 

เสียงดนตรีจากป่าได้เริ่มบรรเลงอีกครั้งเพื่อรับเช้าวันใหม่ จั๊กจั่นตัวน้อยแข่งขันกันขยับปีก เสียงดังสนั่นลั่นป่า เก้ง กวาง พญาช้าง ส่งเสียงร้องก้องเป็นระยะๆ 

ณ ที่แห่งนี้ มี กุฏิน้อยหลังหนึ่ง ปลูกชานเตี้ยๆยื่นออกมาพอให้คนนั่งได้ สามสี่คน เหนือกุฏิเป็นต้นไม้ขนาดมหึมาแผ่กิ่งครอบคลุมพื้นที่รอบกุฏิออกไปหลายสิบวาอย่างน่าอัศจรรย์ 

ไม่ไกลเท่าใดนัก ปรากฎพระภิกษุชรา สวมจีวรสีกรักเก่าคร่ำคร่า สะพายบาตรเก่าๆ เดินมาอย่างช้าๆ มาตรว่าพระภิกษุชราจะดูสูงวัยกว่าแปดสิบปี แต่ฝีเท้ากลับมั่นคง กระฉับกระเฉง ดวงตาท่านใสแจ๋วบริสุทธิ์แฝงความเมตตาปราณีอย่างเปี่ยมล้น เห็นท่านก้าวเท้าช้า ๆ ไม่กี่ก้าวก็มาถึงหน้ากุฏิน้อยแล้ว 

พระภิกษุชรานั่งลงบนชานพร้อมกับวางบาตรไว้ข้างๆ รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นบนใบหน้าที่เมตตาการุณนี้ ท่านคล้ายกำลังรอสิ่งใด และก็คล้ายกำลังมีเรื่องราวสนุกสนานใดเกิดขึ้น 

ชั่วครู่เสียงฝีเท้าสับสนกับเสียงเอะอะตึงตังดังขึ้นพร้อมกับร่างน้อยๆสามร่างกระโดดพลุ้งขึ้นมายังกุฏิทันที เป็นเด็กชายน่าตาน่าเอ็นดู สามคน ทั้งสามแต่งกายเหมือนกันคือนุ่งโจงกระเบนสีม่วงสวย สวมเสื้อคอกลมสีขาว บนศีรษะน้อยๆ เกล้าผมเป็นมวยเล็ก ๆ ดูน่ารักน่าชังยิ่ง เด็กชายคนแรกดูจะเป็นพี่ใหญ่สุด อายุแปดขวบมีนามว่า กวิน ผิวพรรณขาวผ่อง สดสวย ถัดมาเป็นเด็กชายอายุเจ็ดขวบมีนามว่า เวคิน ผิวคล้ำนิดๆ ที่โดดเด่นมากคือดวงตากลมโตแฝงแววเจ้าปัญญาและดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ส่วนเจ้าตัวเล็กอายุหกขวบมีนามว่า ทินกร ผิวออกเหลืองขมิ้นสวย ตาใสๆแฝงแววซุกซนดื้อรั้น หากว่าอาการของทั้งสามที่ปรากฏต่อหน้าพระภิกษุชรา คือการหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย เจ้าตัวเล็กดูเหมือนจะเป็นคนช่างพูดที่สุด ส่งเสียงแหลมเล็กสดใสขึ้น 

"หลวงปู่เจ้าขา หลานกับท่านพี่เกือบถูกเสือกินแล้วเจ้าค่ะ " 

กวินรีบเสริมทัพทันที 

" จริงนะเจ้าคะ หลวงปู่เสืออาร๊ายตัวหย๊ายหยาย พวกหลานๆถูกมันไล่กวดวิ่งหนีเกือบไม่ทันเลยเจ้าค่ะ " 

พระภิกษุชราหัวเราะหึๆ ชอบใจก่อนหันไปมองเวคินเป็นเชิงถามว่า 

" เอ็งไม่มีอะไรจะรายงานข้ารึ " 

เวคินยิ้มอย่างรู้ทัน ราวกับจะบอกกับหลวงปู่ว่า 

" หลวงปู่นะหลวงปู่รู้แล้วยังจะมาถามอีก" 

"บ๊ะ เจ้านี่มันฉลาดเป็นกรด มันตามข้าทันอยู่เรื่อย " 

กวินและทินกรมองหน้าหลวงปู่สลับกับเวคิน ไม่เข้าใจว่าสองคนนี่กำลังคุยอะไรกันอยู่ ก็หลวงปู่พูดเองเออเอง ท่านพี่เวคินก็มะเห็นพูดสักหน่อย หากแต่ทั้งสองก็ชินอยู่หรอก เพราะหลวงปู่มักรู้เสมอว่า เวลานี้คิดอะไร ทำอะไร ไม่ต้องบอก รู้หมด 

" ข้าน่าจะบอกให้เสือคาบพวกเอ็งไปกินซะเลย " 

เจ้าตัวเล็กรีบพูดประจบ 

"หลวงปู่ไม่รักพวกหลานๆแล้วหรือเจ้าคะ" 

" หน๊อย ทำเป็นปากดี ปากหวานเจ้านี่ โทษฐานที่ไม่ฟังคำสั่งปู่ โดยเฉพาะเจ้าทินกร ตัวร้ายนัก เจ้ากี้เจ้าการวางแผน ซนหยั่งกะลิง บอกว่าไม่ให้ตามปู่ออกไปก็ยังแอบตามไปอีก คราวหน้าถ้าเอ็งแอบตามข้า จะให้ช้างไล่พวกเอ็งทีเดียว" 

"ก็หลานอยากรู้นี่เจ้าคะ ว่าหลวงปู่บิณฑบาตรยังไง แถวนี้ไม่เห็นมีคนสักกะหน่อย" 
เจ้าตัวเล็กตอบเสียงใส 

" โทษของพวกเอ็งยังไม่หมด.....เป็นไงกุฏิข้า เข้าไปค้นแล้วได้อะไรบ้างห๋า..." 
ทั้งสามมองฟ้ามองดินมองนู้นมองนี่หลายที 

"แห๋ม หลวงปู่นี่หูยาว ตายาว เสียจริ๊ง" 

"ยังจะมานินทาข้าอีก ถ้าเอ็งไม่บอก ข้าก็จะไม่สอนพวกเอ็ง " 

คราวนี้ทั้งสามหูผึ่งรีบตอบ 

"บอกแล้วเจ้าคะ" 

หลวงปู่หัวเราะเอิ๊กอาก 

"เออๆ......พูดทีละคนซิวะ ไม่ต้องรีบดอก ข้ารู้พวกเอ็งคงเนื้อเต้น" 

กวินพี่ใหญ่สุดตอบว่า 

"หลานเจอวิธีฝึกวาโยกสิณเจ้าค่ะ" 

เวคินตอบว่า 

"หลานเจอวิธีฝึกอาโปกสิณเจ้าค่ะ" 

เจ้าตัวเล็กรีบเสริม 

"หลานเจอวิธีฝึกเตโชกสิณเจ้าค่ะ" 

" เออ....บ่ายนี้ไปหาข้าที่ถ้ำ แล้วข้าจะสอนวิธีใช้ พวกเอ็งนี่นะวิสัยเก่าติดมาแก้ยังไงก็ไม่หายชอบนักฤทธิ์เดช ปู่ของเอ็งเนี่ยตัวดี ชอบเอาลูกๆหลานๆ เป็นโขยงๆมาฝากข้า ถ้าไม่เพราะปู่เอ็งฝากข้าไว้ ข้าก็ไม่สอนโว้ย คงหิวแล้วซิ" 

หลวงปู่เปิดฝาบาตรข้างในเป็นข้าวสีเหลืองสวยมีกลิ่นหอมอ่อนๆกับดอกไม้แปลกๆอีกหลายดอก ตั้งแต่จำความได้ทั้งสามก็กินข้าวอย่างงี้แม้ว่าจะกินมื้อเดียวแต่แปลกที่อิ่มตลอดทั้งวันนอกจากนี้เห็นข้าวมีครึ่งบาตรก็เถอะ ต่อให้กินจุแค่ไหนก็พอดีทุกที และที่ทั้งสามประหลาดใจคือเวลาหลวงปู่ตักข้าวให้ทีไร จานเอย ช้อนเอย มันโผล่มาจากไหนไม่รู้ พอกินเสร็จ มันก็หายไปเลย แต่ก่อนเจ้าตัวเล็กเซ้าซี้หลวงปู่ให้สอนทำมั้ง หลวงปู่ได้แต่หัวเราะชอบใจบอกว่า 

"เอ็งยังเด็กยังไม่ถึงเวลา ถ้าโตอีกหน่อยแล้วข้าจะสอน" 
ทุกครั้งก่อนกินข้าวหลวงปู่จะสั่งนักสั่งหนา ว่า 

"อย่ากินเพราะอยาก อย่ากินเพราะรสอร่อย ให้คิดว่า กินเพื่อทรงร่างกายให้มันอยู่ได้ ที่กินทุกวันมันก็กินสิ่งสกปรกทั้งนั้น ข้าวปลูกมาจากดิน ใช้สิ่งปฏิกูลเป็นปุ๋ย มันก็สกปรก ก็ต้องเอาของสกปรกมาหล่อเลี้ยงสิ่งสกปรก คือร่างกาย เอ้า คิดอย่างที่ปู่สอนก่อน ตอนนี้เอ็งยังไม่เข้าใจอีกหน่อยจะเข้าใจเอง" 
ตั้งแต่นั้นมาทั้งสามก็ต้องคิดอย่างนี้ทุกครั้งก่อนกินข้าว 

พระภิกษุชราฉันข้าวคำสองคำก็อิ่ม ท่านปิดฝาบาตรชั่วครู่ ก่อนเปิดฝาบาตรอีกครั้ง จากเดิมที่ในบาตรเป็นข้าวกลับกลายเป็นน้ำใสสะอาด มีดอกมะลิสองสามดอก และขันเงินน้อย ๆ ลอยอยู่ ท่านฉันน้ำไปขันหนึ่งก่อนลุกช้า ๆ และเดินเข้าไปในกุฏิ 

เด็กทั้งสาม เมื่อกินข้าวอิ่มแล้ว จึงนั่งรอหลวงปู่เงียบ ๆ เวลาผ่านไปช้า ๆ แต่ก็นานมากสำหรับเด็กจอมซนเช่นทั้งสาม 
ทินกรค่อย ๆเขยิบไปใกล้กับกวิน แล้วซุบซิบเบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้ 

"วันนี้หลวงปู่มาแปลกนะท่านพี่ ทุกทีหลังฉันเสร็จก็จะเข้าป่า วันนี้ไห๋งเข้ากุฏิเงียบเลย" 

"พี่ก็ว่าอย่างงั้น" กวินเหลือบไปเห็นเวคินนั่งสัปหงกอยู่ จึงใช้มือน้อยหยิกขาอ่อนของเขา 

เวคินสะดุ้งโหยง แยกเขี้ยวยิงฟัน แต่ไม่ส่งเสียง หน้าน้อย ๆ หงิกงอ ทินกรและกวินหัวเราะคิกคัก แต่นึกได้ว่าหลวงปู่อยู่ในกุฏิจึงรีบยกมือปิดปากไว้ 

เวคินกึ่งบึ้งกึ่งยิ้ม มองทั้งสองประมาณว่า 

"ฝากไว้ก่อนเถอะแล้วจะเอาคืน" พร้อมกับลุกขึ้นช้า ๆ 

"โกรธหรือท่านพี่เวคิน" ทินกรส่งเสียงอ่อย เพราะบางทีเขาก็เดาความรู้สึกของเวคินไม่ออก 

"เปล่า พี่จะไปดูสมุนไพรที่ตากไว้ เมื่อคืนน้ำค้างลงจัด คงชื้น" 

" แล้วพี่ไม่รอหลวงปู่หรือ" 

"ไม่รอแล้ว ขี้เกียจรอเปล่า หลวงปู่ไปตั้งนานแล้ว" 

" อะไร๊"   ทั้งสองทำตาโต แบบไม่เชื่อ เวคินยิ้มอย่างภาคภูมิว่า 

" ไม่เชื่อก็เข้าไปดูซิ" 

ทั้งสองรีบตะลีตะลานเปิดประตูกุฏิ ข้างในนอกจากอาสนะเก่า ๆ สามใบและข้าวของที่หลวงปู่เก็บไว้ในหีบไม้เล็ก ๆ ไหนเลนมีร่างของหลวงปู่ ทั้งสองหันขวับมายังเวคินราวนัดแนะ 

"ท่านพี่รู้ได้ยังไง ว่าหลวงปู่ไปแล้ว" 

"มีอยู่คราวหนึ่ง พี่เห็นหลวงปู่เข้าไปในกุฏินานสองนานไม่ออกมาซะที พี่ก็เลยเข้าไปดู หลวงปู่หายไปไหนไม่รู้แล้ว เดาว่าท่านคงล้อเล่นพวกเรา " 

ทินกรทำหน้าตาขึงขัง ยกมือเท้าสะเอว กล่าวว่า 

" วันหลังต้องขอให้หลวงปู่สอนวิชานี้บ้าง เวลาเจอเสือจะได้ หนีทัน " 

กวินและเวคิน ผงกศีรษะเห็นพ้องกับความคิดเห็นของน้องคนเล็ก 

+ + + + + + + + + + ++ + + ++ + ++ + ++ + ++ + + + +

หลังกุฎิ เป็นลานเล็ก ๆ ซึ่งมีกระจาดสมุนไพรตากอยู่แห้งอยู่หลายจิบกระจาด เด็กทั้งสามช่วยกันตากสมุนไพร เพราะหลวงปู่บอกว่า ต้องเอาไปรักษาคน แต่ทั้งสามก็ไม่เคยเห็นหลวงปู่รักษาใครมาก่อน 

ในบรรดาจอมซนทั้งสาม กวินเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านสรรพคุณของสมุนไพรที่สุด เขาชมชอบรักษาสัตว์น้อยใหญ่ในป่า หลวงปู่เคยหัวเราะและพูดว่า 

"ยกให้เข้ากวินมันคนหนึ่ง ปู่มันเป็นหมอใหญ่เก่งด้วยโว้ย เลยได้เชื้อมา คนที่จะตายมิตายแหล่ ปู่มันให้กินยาเม็ดเดียว รู้เลยว่าเป็นโรคอะไร ต้องใช้ยาอะไร" 

สำหรับเวคินและทินกร ก็พอรู้บ้าง แต่ไม่สนใจมากนัก เช่น ถ้าปวดเจ็บเท้ามาก ๆ เหมือนเป็นกระดูกงอก ก็ให้แช่เท้ากับยาที่มีส่วนผสมของ ยี่หร่า รากไม้จันทร์ เกลือตัวผู้และขมิ้นขาว น้ำหนักอย่างละสองบาท หรือถ้าเป็นตุ่มพิษ มีน้ำเหลืองออกบวดแสบปวดร้อน ชนิดที่พอกฟ้าทะลายโจรแล้วใบฟ้าทะลายโจรยังแห้งกรอบ เพราะความร้อนจากตุ่มพิษมีมาก ให้กินว่านพี้ 5 ยอด เอาไปตากให้มันเฉา ยุบ แล้วม้วนเป็นลูกเล็ก ๆ กินกับน้ำ อาการก็จะบรรเทาลง ซึ่งมีมากมายจนทั้งสองไม่อยากจะจำ 

ขณะที่ทั้งสามกำลังผลิกด้านสมุนไพรอยู่นั้น พลันมีเสียงดนตรีกระหึ่ม พร้อมกับเสียงบรรเลงเพลงที่เพราะเสนาะดุจดุริยางค์ทิพย์ 

ทันใดนั้นบนอากาศปรากฎเหตุประหลาดมหัศจรรย์คือ มีคนตัวโปร่งใสเป็นแก้ว ลอยลงมาอยู่เบื้องหน้าพวกเขา ทั้งสามเหม่อมองคนตัวโปร่งใสอย่างตะลึง เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน รอบคนตัวโปร่ง มีประกายแพรวพราวสวยงามมาก มองแล้วดูงามจับใจ บนคอคนตัวใสมีประคำสีเพชรอมเมฆ ส่องประการสวย ดวงตาทั้งคู่สดใสไม่กระพริบ คนตัวใสยิ้มน้อย ๆ ไม่เห็นขยับปากพูดแม้แต่ประการใด แต่มีเสียงดังมาจากอนูของอากาศว่า 

"ต่อไปถ้าพ่อมาหา ให้ลูกเรียกว่า ท่านพ่อนะ สั้นดี" 

คนตัวใสพูดจบก็หายไป พร้อมกับเสียงดนตรีที่บรรเลงอย่างไพเราะนั้นจางหายไปเช่นกัน 

เวคินพูดขึ้น 

"พวกเราฝันไปหรือเปล่าเนี่ย" 

กวินและทินกรไม่ได้ตอบคำถามของเขา หากแต่มองตากันก็ทราบว่า ต้องไปหาหลวงปู่จึงจะรู้คำตอบ 

ทั้งสามพลิกยาให้ครบทุกกระจาด จากนั้นพากันวิ่งไปทางทิศเหนือ 

จากตรงนี้จะมองเห็นเขาเตี้ย ๆ ลูกหนึ่งคล้ายใกล้ คล้ายไกล ตั้งอยู่ จุดหมายของทั้งสามคือ ถ้ำบนภูเขานั่นเอง 

..........จบตอนที่ 1 ...................				
3 พฤษภาคม 2547 13:18 น.

มหากาพย์แห่งความรัก

วสุนทรา

กาลพุทธศกหนึ่งพันหลังองค์สมเด็จพระสมณะโคดมพุทธเจ้าดับขันธ์ล่วงสู่มหานฤพาน....ในดินแดนแห่งมหาชมพูทวีป มีนาครเล็กๆอยู่สองนาคร สองนาครที่คล้ายเมืองในม่านหมอก..คล้ายเร้นลับหลีกลี้..บางคล้ายมายา..บ้างคล้ายมีอยู่จริง นาครอันเหมือนต้องมนต์ ต้องคำสาปชั่วกัปกัลป์ ให้สองชนเผ่าเป็นอริราชศัตรูมิรู้สิ้น...รบข้ามแผ่นดินมิเว้นวาง  นานนับกว่าพุทธันดร...

จนกระทั่ง...เมื่อถึงรุ่นหนึ่งแห่งผู้ครองสองนาคร..เลือดแห่งสองศัตรูคล้ายผสาน...หทัยรักอันยิ่งใหญ่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว....ทว่า..อานุภาพแห่งรักก็มิอาจจะอยู่เหนือโศกนาฏกรรมที่ถูกลิขิตมาแล้วกระนั้น...

ท่ามรัชนีลอยเด่นอยู่กลางฟ้า...ดาริกายะแย้มยิ้มระริกแสงหว่างโพยม....สายธาราทอดเอือยอิ่งอ้อยสร้อย..ลมพัดอ่อนช้อยชวนให้ใหลหลง..เสียงซออ้อออดพรอดทำนองทุกข์ระทม....ใจเอ๋ยใจข้าแสนจะขื่นขม....น้ำตาข้าพรมโลมหน้าไม่เว้นคืน

ตำนานกล่าวขาน.ผ่านมานานนัก...มหากาพย์แห่งความรัก เริ่มต้นณ ถิ่นนี้   เจ้าเดือนเด่นฟ้าเอกราชาบดี
สถิตอยู่ที่แดนทับไทยทอง  พระผู้ผ่านเผ้าไม่มีใจเป็นสอง  หทัยนั้นหมายปองขัตติยนารี..นางผู้เป็นเทพี..แห่งอันธิกานคร....

..ฟังว่าทรงงามนักเลอลักษณ์ดั่งอัปสร  กิริยาชดช้อยอรชร...ยามเยื้องบาทบทจร  ปานพญาหงส์แห่งพงไพร

.ฟังว่าขนงโค้งคิ้วของพระนางดั่งคันศร  ..เนตรดำขลับระยับดั่งดารากร...โอษฐ์สีกุหลาบฉาบชมพูอ่อน..ทนต์ขาวสล้างสลอน ราบเรียบดุจมุกเม็ดงาม..

...ฟังว่าเกศาของพระนางหอมยิ่ง...ยามเสด็จผ่านจะทิ้งรอยหอม ปานกลิ่นดอกราตรี ให้ชื่นชมดมดอม สุคันธย้อมให้สั่นสะท้านทรวง

..ฟังว่าพระฉวีของพระนางผ่องพรรณราวสุวรรณเย้ยจันทร์ฉาย...ศศิธรสาดแสงยังหลบลี้หนีหายคล้ายจักอาย..ทั่วทั้งพระวรกายเมลืองรังรองรุจี

..ฟังว่าพระสุรเสียงเสนาะไพเราะนัก....ดุจทำนองเพลงรัก  วะแว่วหวานปานคีตาสวรรค์...ผู้ใดได้ยลยินจักตราตรึงพลัน...ให้หทัยไหวหวั่นสั่นสะท้านลงลานใจ

..ฟังว่าความงามของพระนางในธาษตรีหามีนารีนางใดจักงามเคียงข้าง...แม้เหล่าปราชญ์กวีนับเนื่องมาแต่โบราณกาลยังมิอาจลิขิตถ้อยพรรณนาโฉมเฉิดฉายพริ้งพรายได้เทียบเท่าองค์จริงแห่ง.....พระนางเจ้าสุคันธลักษมี..เทวีแห่งอันธิกา

เจ้าเดือนเด่นฟ้า..ฟังซอที่คลอขับ  ดุจตกในห้วงรัก มิอาจจะถ่ายถอน  ให้อุระร้อนรุ่ม เหมือนต้องมนต์....เหมือนลิขิตฟ้าดล  พระหทัยจึ่งร้าวรอน....หากมิอาจพบยอดบังอร ..ปานว่าจะสิ้นชีวีวาย

  ..ฤาจักเป็นลิขิตฟ้า.... เมื่อสององค์พบกัน กระแสแห่งความผูกพันหลากล้น  คล้ายแต่ปางบรรพ์เคยร่วมสร้างบุญ  เสน่หาเกื้อกูลตั้งแต่แรกเจอ

.....ฤาจักเป็นอาญาสวรรค์  ให้สองเผ่าพันธุ์เป็นอริราชศัตรู...เลือดหลั่งโลมปฐพีพรั่งพรู.....โอ้...โฉมตรู..ให้อนาจวาสน์ชะตา

เราไยต้องรบ  เราไยต้องทำลายเลือดเนื้อเผ่าพันธุ์แห่งผู้เป็นที่รักแห่งเรา  ความรักแห่งเราฤา..จักไม่สามารถลบความแค้นแต่ครั้งบรรพกาล      ครั้งหนึ่งเจ้าเดือนเด่นฟ้าเคยตรัสด้วยพระสุรเสียงที่รวดร้าว  

บางทีอาจเป็นกรรม เป็นอาญาสวรรค์ที่ถูกกำหนดมาเช่นนี้  หม่อมฉันยอมรับชะตากรรม   หากหม่อมฉันต้องตาย  ยินยอมตายด้วยหัตถ์ของฝ่าพระบาท     

พระหทัยแห่งจอมทับไทยทองแหลกสลายลงแล้ว   พระวิญญาณหลุดลอยล่องไปกับวิญญาณแห่งนางผู้เป็นมิ่งชีวัน   เหลือเพียงซากสังขาร....เหลือเพียงลมหายใจ...ทว่าพระหทัยระโหยหาอาดูร.... ทรง กอดตระกองร่างแน่งน้อยแน่นิ่งอันแปดเปื้อนไปด้วยพระโลหิต

..มหากาพย์แห่งความรัก ยังมิได้เริ่มต้น  เพียงแต่ในพงศาวดารมีบันทึกตำนานรักนี้ไว้เพียงเศษเสี้ยว... 
..คราหนึ่งสมัยพระนารายณ์มหาราชเจ้า...ฟังว่าพงศาวดารเล่มนี้ได้ถูกรักษาไว้ ณ..อโยธเยศธานี  จวบจนกระทั่งเมื่อครั้งที่ธานีดุจแดนสวรรค์ชั้นฟ้า...มีอันต้องวายวอดด้วยน้ำมือพวกม่าน..ธานีงามงดถูกทะเลเพลิงเผาผลาญ...
นับแต่นั้นก็ไม่มีใครได้พบเห็น พงศาวดารเล่มนี้อีก..ไม่มีใครรับรู้เรื่องราวมหากาพย์แห่งความรักอันยิ่งใหญ่ระหว่างสองเผ่าพันธุ์....กาลเวลาได้กลืนกินทุกสรรพสิ่ง.....หากนับเพลาที่ล่วงเลยมาแล้ว ของโศกนาฏกรรมแห่งรักระหว่างสองยอดกษัตริย์.... ท่ามกลางไอสงคราม ..ท่ามกลางธารโลหิตและน้ำตา...นับเนื่องได้หนึ่งพันห้าร้อยพรรษาแล้วกระมัง

....มาเถิดหมู่นราทั้งหลาย...จงมาฟังมหากาพย์แห่งรักนี้  เราจักเปิดตำนานที่มี  จักเล่าเรื่องราวให้ท่านฟัง....ถึงความรักอันยิ่งใหญ่...เรื่องราวแห่งสองหทัยคงมั่น....ฝากไว้ก่อนอัจกลับชีวิตแห่งเราจักสิ้นสู่ปถวี...เราจักขอจำหลักจารึกมหากาพย์แห่งรักนี้...แด่เหล่าอนุชนสืบไป...


............โปรดติดตามตอนที่ 1 : มหาธานินทร์ทับไทยทอง  ในโอกาสหน้า.........				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวสุนทรา
Lovings  วสุนทรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวสุนทรา
Lovings  วสุนทรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวสุนทรา
Lovings  วสุนทรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงวสุนทรา