26 เมษายน 2550 10:54 น.

ความว่างเปล่าของกาลเวลา-ชุดที่2

ศรทอง

เวลาของในเมืองเดินเร็วกว่าเวลาในต่างจังหวัดหรือในชนบทเพราะในชนบท ชาวบ้านไม่ต้องรีบร้อนออกไปทำงานทำให้เกิดความว่างเปล่าของเวลา ลองให้คนในเมืองลองไปอยู่ในชนบทแต่ในชนบทนั้นไม่เจริญเหมือนในเมือง แต่ในชนบทนั้นไม่ต้องรีบร้อนออกไปทำงานเหมือนคนในเมืองยกตัวอย่างง่ายๆเลย คนในกรุงเทพเนี่ยวันๆหนึ่งต้องไปทำงานทุกๆวันแล้วต้องเพื่อเวลาเอาไว้อีก แต่ถ้าเป็นในชนบทไม่ต้องเพื่อเวลาไปทำงาน คนในชนบทป่วยนิดๆหน่อยๆ เขาไม่เข้าโรงพยาบาลหรอก แต่ถ้าในกรุงเทพป่วย นิดๆหน่อยๆ ก็ต้องเข้าโรงพยาบาลแล้วเพราะอากาศในกรุงเทพนั้น มีแต่ควันพิษ และ มลพิษ ส่วนในชนบทมีอากาศที่ดีเพราะฉะนั้นในชนบทจึงเกิดช่องว่างแห่งเวลาขึ้นมา 


                    สรุปคือในชนบทนั้นมีเวลามากกว่าในเมืองเพราะฉะนั้นชนบทจึงเกิดช่องว่างแห่งเวลาขึ้นมา				
26 เมษายน 2550 08:20 น.

ความว่างเปล่าของความคิด-ชุดที่1

ศรทอง

คนเราคิดว่าความว่างเปล่ามักจะอยู่หับคนที่พิ่งจะเสียคนรักไปหรือไม่ก็เสียของรักของห่วงไป  แต่บางทีคนเราก็อยู่กับความว่างเปล่าอยู่กับความเวิ้งว้าง ความว่างเปล่าทำให้คนคิดอะไรได้มาก เช่น คุณที่ไปเที่ยวทะเลหรือภูเขาแล้วลองไปยืนที่ชายหาดหรือยอดเขาดู คุณสามารถคิดอะไรๆได้มากว่าการนั่งคิดแบบไม่มีบรรยากาศ บางทีบรรยากาศก็สามารถช่วยให้เราคิดอะไรๆได้มากกว่า ความว่างเปล่าของความคิดคุณสามารถคิดอะไรได้มากกว่า การนั่งคิดเพื่อแต่กลอนหรือแต่งเรื่องสั้นนะละครับ ความว่างเปล่าของความคิดเป็นสิ่งที่ให้ให้เราคิดอะไรๆใส่เพิ่มเข้าไปในความว่างเปล่าในความคิดให้เต็มก็เหมือนกับกระปุกออมสินที่รอการหยอดเงินให้เต็ม ความว่างเปล่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคนที่ ช่างคิด ช่างฝัน แต่สำหรับคนที่ไม่เป็นคนประเภท ช่างคิด ช่างฝัน เขาอาจจะเบื่อหรือเครียดก็ได้ ความว่างเปล่าของคนเรานั้น แตกต่างกันไปแต่สำหรับผมแล้ว ความว่างเปล่าในความคิดเป็นสิ่งที่ดีสำหรับผม อย่างเรื่องที่ผมแต่งให้ผู้อ่านทุกๆท่านอ่านเนี่ย ก็มาจากความคิดจากความว่างเปล่าของความคิดของผมเช่นกัน

                        "ความว่างเปล่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับบางคนนะครับ"				
25 เมษายน 2550 13:09 น.

ชิงช้าที่เดียวดาย

ศรทอง

เด็กสองคน คนหนึ่งต้องไปเรียนต่อที่กรุงเทพ อีกคนหนึ่งต้องไปเรียนต่อในตัวเมืองของจังหวัดภูเก็ต ชิงช้าที่เด็กสองคนเคยนั่งคุยกันวันนี้ต้องว่างเปล่า ถึงสองคนนี้จะอยู่กันคนละที่ แต่สองนี้ก็ยังเขียนจดหมายมาคุยกันโดยที่แม่ของทั้งสองฝ่ายไม่รู้เลยว่าเด็กสองคนเขียนจดหมายคุยกัน จนวันหนึ่งเด็กสองนี้จบมัธยมศึกษาตอนปลาย เด็กคนหนึ่งสอบชิงทุนได้ไปเรียนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนอีกคนหนึ่งก็ต้องไปเรียนต่อกรุงเทพ เด็กสองคนนี้ต้องแยกจากกันอีกรอบหนึ่งเด็กคนหนึ่งสัญญาว่า "เห้ย! เพื่อนถึงเราจะห่างกันนะแต่เราสัญญาว่าเมื่อเราเรียนจบเมื่อไร เราจะไปหานายที่ภูเก็ตและไปนั่งชิงช้าที่เราเคยนั่งกันตอนเด็กๆไง นะไม่ต้องเป็นห่วงเราหรอก สัญญานะว่าจะรอเรา " เด็กคนที่ต้องไปเรียนต่อที่กรุงเทพนั้นได้รับจดหมายก็รีบโทรไปถามว่า "เห้ย! ต้องไปจริงๆหรอ " อีกคนหนึ่งก็ตอบว่า " จริงสิวะ"  "งั้นเราจะรอนะ "  และแล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เด็กคนที่ได้ทุนไปเรียนเมืองนอก ก็กลับมาหา เพื่อนคนนั้น ตอนกลับมาก็เห็นเขานั่งชิงช้ารออยู่ที่ริมทะเล เพราะเขาเรียนจบก่อนจึงมานั่ง เมื่อเขาเห็นเพื่อนคนนั้นแล้วจึงตะโกนว่า "เห้ย! กลับมาแล้วหรอ แล้วทำไมไม่บอกก่อนละ ฮืม!"  "โอ้ยไม่เป็นไรหรอกเพื่อนเผอิญซื้อตั่วเครื่องบินมาลงที่สนามบินภูเก็ตเลยนะ"เขาพูดแบบนั้น อีกคนหนึ่งก็บอกว่า "เห้ยจะยังไงก็ชั่งเหอะ ยังไงๆแกก็กลับมาแล้ว เปลี่ยนไปเยอะไปเลยนะวะแกเนี่ย" 
                                      และสองคนก็อยู่ที่ภูเก็ตและนั่งคุยกันไปอีกนานเลยละครับ				
25 เมษายน 2550 08:21 น.

The Last Kings Of Sweden

ศรทอง

โหรจึงทำนายไว้ว่า" โอ้!ท่านในอีกพันปีข้างหน้าจะมีกษัตริย์อีกแค่องค์เดียวเท่านั้นที่ครองอณาจักร เหตุที่เหลือกษัตริย์เพียงองค์เดียวนั้นเพราะราชทายาทไม่ยอมผลิตราชทายาท จึงเหลือกษัตริย์ปกครองเพียงองค์เดีบวเท่านั้น และอีกไม่นานกษัตริย์องค์นี้ก็จะสึ้นพระชนลงพูดง่ายๆก็คือกษัตริย์จะหมดอำนาจลง และจะไม่มีกษัตริย์มาครองอำนาจต่อไป" เมื่อพระองค์ฟังจบจึงคิดขึ้นมาว่าถ้าไม่มีกษัตริย์มาครองอำนาจต่อจะเป็นอย่างไร พระองค์จึงถามโหรว่า "มีทางแก้ไขไหม" โหรบอกว่า "มี พยะคะ"แล้วข้าต้องทำอย่างไง "ท่านต้องแก้ดวงเมือง ทำบุญเมือง และท่านต้องทำสมาธิ7วัน7คืน มันเป็นทางแก้ที่ดีที่สุด"   " อืม! ข้าจะลองดู ข้าต้องทำเพื่อเมือง ข้าจะลองทำอย่างที่เจ้าบอกดู" 

                  เวลาผ่านไปพันปีก็ทีกษัตริย์มาครองเมืองสืบไป				
24 เมษายน 2550 12:30 น.

Letter

ศรทอง

จดหมายนี้บางคนในสมัยนี้ก็ยังส่งจดหมายเป็นการสื่อสารอยู่ เขาบอกว่าการส่งจดหมายนี้เป็นสิ่งที่คลาสสิก ถึงโลกจะมีการพัฒนาการสื่อสารไปถึงขนาดไหนผมก็ยังเชื่อว่าการส่งจดหมายที่ใช้การเขียนด้วยมือนั้นยังไงๆซะก็ต้องมีคนส่งจดหมายอยู่ดี ในกรุงเทพนั้นจดหมายไม่ค่อยจะได้รับความนิยม แต่ถ้าต่างจังหวัดในชนบทก็ยังมีการส่งจดหมายหรือโทรเลขอยู่เหมือนกันละ เพราะในชนบทนั้นการสื่อสารจำพวกโทรศัพท์มือถือนั้นยังไปไม่ถึง เพราะฉะนั้นเขาใช้การสื่อสารด้วยจดหมายหรือถ้าเรื่องด่วนเขาก็จะใช้โทรเลขแต่ในสมัยนี้โทรเลขก็ไม่ได้นิยมเหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนไม่มีโทรศัพท์มือถือเหมือนสมัยนี้เพราะฉะนั้นเมื่อเขามีเรื่องด่วนเขาก็จะใช้โทรเลขในการสื่อสารเพราะรวดเร็วกว่าจดหมายมาก แต่ถ้าเป็นโทรเลขเขาจะไม่นิยมใช้คำยาวเพราะจะเปลืองเงิน เขาจะใช้คำที่สั้น กระชับ และเข้าใจง่าย โทรเลขหรือจดหมายนั้นก็มีในหนังสือแบบเรียนภาษาไทยทุกๆระดับ ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับใครที่รู้ช่วยกรุณาโพสมาบอกผมด้วยนะครับ เอาละเข้าเรื่องกันดีกว่า จดหมายหรือโทรเลขนั้นในสมัยก่อนจำเป็นเหมือกับโทรศัพท์มีอถือในสมัยนี้เลยที่เดียวในสมัยนี้จดหมายอาจจะเป็นสิ่งที่น่าเบื่อเพราะมันช้ากว่าจะได้รับไม่เหมือนสมัยก่อนที่ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ

                       สรุปว่าจดหมายนั้นมีความสำคัญในสมัยก่อนแต่ในสมัยนี้ไม่ได้รับความนิยมแต่เราก็ควรอนุรักษ์การเขียนจดหมายเอาไว้มันจะได้ไม่สูญหายไปตามกาลเวลา				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟศรทอง
Lovings  ศรทอง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟศรทอง
Lovings  ศรทอง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟศรทอง
Lovings  ศรทอง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงศรทอง