6 พฤษภาคม 2548 22:47 น.

... จด - หมา ... ถึงพี่ภูตะวัน ...

keekie

สวัสดีค่ะ ... พี่ภู


	กี้ไม่ได้เขียนชื่อเรื่องตกหล่นนา  ...

	ก็พี่ภูบอกว่าให้กี้เล่าเรื่องหมาๆ บ้าง เพราะติดใจเรื่องแมวๆ ที่กี้เล่าให้ฟัง ..

	
	กี้นี่ก็แปลกเน๊อะ ...เกิดเป็นคนแท้ๆ ไม่ชอบยุ่งเรื่องคน ...

	ดันไปยุ่งเรื่องของหมาแมวมัน ..มันอยู่ของมันดีดีแท้ๆ เชียว ...

	เหอะ ... อีกหน่อยพวกมันคงบอกกี้ว่า .. 
	...อย่ามายุ่งเรื่องของผมได้ไหม? ...ขออยู่แบบสงบๆ ...

	กี้กะจะตอบพวกมันว่า ..ก็มีคนบอกให้ยุ่งนี่ ..ก็พี่ภูนั่นแหละ...


	จริงๆ แล้ว กี้ไม่เคยคิดว่าตัวเองรักสัตว์หรอกค่ะ ไม่ว่าจะเป็นหมาหรือแมว ..
	แต่มีเหตุให้ต้องยุ่งกะพวกมันมาโดยตลอด ...

	ตั้งแต่จำความได้ ...กี้โตมาในบ้านชั้นเดียว ขนาดสี่สิบสองตารางวา ..
	ที่มีสมาชิกดังต่อไปนี้ ..คนสิบหกคน..หมา ..นกพิราบ..นกเอี้ยง..นกขุนทอง..
	นกกระตั้ว..นกหงษ์หยก..ไก่แจ้..ไก่โต้ง..ไก่พันธุ์ไข่..ไก่งวง..ห่านสองตัว..

	เอ...อารัยอีกน้า ....?????

	อ้อ ..ปลาเงินปลาทอง ..ปลาแรด ..ปลาหางนกยูง ...แล้วก้อเต่า...

	เฮ่อ...มีแต่คนกะห่าน..ที่กี้จำได้ว่ามีกี่ตัว ..นอกนั้น ..จำไม่ได้หรอกค่ะ ...
	
	บ้านกี้เหมือนสวนสัตว์ขนาดย่อมเลยเน๊อะ ...

	จนบางที..กี้คิดอยากจะเปลี่ยนป้ายจาก...บ้านปานมโนธรรม...
	มาเป็น...สวนสัตว์ดุสิตจ้ะ...

	ส่วนเจ้าหมาเนี่ย ...มีแยะมากค่ะ ..กี้ไม่เคยรู้หรอกว่ามันพันธุ์อะไรบ้าง ..

	รู้แต่ว่ามันชื่อ..นายต้นหอม..นางสาวผักชี..นายเหมียว 
(ตัวเนี้ยหมานะ ..งงอยู่เหมือนกันหมาชื่อเหมียว)
	แล้วก็อื่นๆ อีกมากมายที่กี้จำไม่หมด
	
	กี้ไม่ได้ไปสรรหามาเลี้ยงเองหรอกค่ะ ..

	ญาติผู้พี่ของกี้...เธอมักจะประกาศเสมอว่า...อะฮั้นรักหมาฮ่ะ...
	แล้วก็ไปสรรหามาเลี้ยง ...แต่ละตัวน่ะหมาฝรั่งขนสวยๆ นะเออ ...
	เจ้าบางแก้ว..หลังอานน่ะ..ฝันไปเหอะ..เกรดไม่ถึงจะได้อยู่บ้านกี้หรอก

	ตอนพวกมันเด็กๆ คุณเธอก็รักใคร่ทะนุถนอมมันดีอยู่หรอก ..
	กลับจากโรงเรียนก็รีบวางกระเป๋ามาเล่นกับมัน...
	ตกเย็นก็อุ้มมันออกไปเดินเล่น...

	คุณเธอทำแบบนี้ทุกวัน...สม่ำเสมอ...เป็นเวลาไม่เกินสองอาทิตย์หรอกค่ะ ..

	คุณเธอก็จะเริ่มเบื่อ...และไม่สนใจมัน ...

	พอกี้กลับมาจากโรงเรียน...วางกระเป๋า...คว้าจักรยาน  BMX คันเก่งเตรียมจะไปซิ่ง ...
	นายต้นหอมก็มายืนทำตาละห้อย...เหมือนจะถามกี้ว่า ...พาผมไปด้วยได้ไหมฮับ?

	กี้ทำไม่สนใจ...ขืนพามันไปด้วยก็ซิ่งไม่มันส์น่ะซี้...เมินซะเถอะ...
	
	พอกี้ขี่จักรยานออกไป...มันก็วิ่งตาม...

	ในที่สุด...กี้ก็ใจอ่อน...
	ต้องยอมอุ้มมันด้วยมือข้างหนึ่ง...มืออีกข้างหนึ่งจับแฮนด์รถ...

	เอ..ก็สนุกดีเหมือนกันนะ ...ขี่จักรยานด้วยมือข้างเดียว...

	เรื่องชักจะสนุกมากขึ้นไปอีก ...เมื่อนางสาวผักชีเห็นกี้อุ้มนายต้นหอมขี่รถจักรยาน..
	มันก็เอามั่ง...วิ่งตามรถจักรยานกี้...แล้วก็เห่าบ๊อก ๆๆ ..
	เหมือนจะตัดพ้อว่า...ลำเอียง!!!...ลำเอียง!!! ...

	ในที่สุด...กี้ก็ใจอ่อน ... ยอมใช้มืออีกข้าง ...อุ้มนางสาวผักชี ...

	กี้เพิ่งได้รู้ตัวเองว่า ...กี้ขี่จักรยานปล่อยมือได้ ...

	ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ....เอิ๊ก...เก่งจริงเจ้ากี้เอ๊ยยยยยย....

	พอหัวเราะจนเป็นที่พอใจ ... กี้ก็ลืมตา ...
	อนิจจ า... ฝาท่อข้างหน้ามันเปิดอยู่ ......
	กี้เบรคสุดแรงเกิด ... แต่ช้าไปเสียแล้ว ...	
	...ล้อหน้าจักรยานตกลงไปในท่อ ...

	ทั้ง...น้องกี้...นายต้นหอม...นางสาวผักชี...
	กระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง ...

	ได้แผลกัน คน  และ ตัว  ละไม่ใช่น้อย

	คราวนี้เดินกระเผลกกลับบ้านเองแล้วกันทั้งสองคน เอ๊ย ทั้งสองตัว ...
	ไม่มีอารมณ์จะอุ้มกลับแล้ว...

	หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ...กี้ ...นายต้นหอม...และนางสาวผักชี..
	เลยกลายเป็นซี้กัน ...ต้องขี่จักรยานเล่นด้วยกันทุกเย็น...

	
	อีกสองอาทิตย์ต่อมา ...
	คุณญาติผู้พี่ ... เธอก็ประกาศอีกว่า ... อะฮั้นรักสุนัขฮ่ะ...
	
	แล้วเธอก็พานายเหมียวมา.......


	เฮ่อ..กี้โม้จนคอแห้งแระค่ะ...เอาไว้กี้มาโม้ต่อคราวหน้าละกันนะคะ ..

	นั่นแน่...พี่ภูอยากรู้ล่ะสิ...ว่ากี้จะใช้มือไหนอุ้มนายเหมียวขี่รถจักรยานใช่ม้า?

	อดใจไว้หน่อยนะ...ไว้จะเล่าให้ฟัง ...				
5 พฤษภาคม 2548 00:58 น.

.. แมว ..

keekie

ในวันนี้เมื่อปีที่แล้ว ...

	ฉันและแม่กลับมาถึงบ้านตอนสามทุ่ม ...

	แม่ฉันมาเปิดประตูระเบียงห้องนอน ... 
	ก็ได้พบ ลูกแมวตัวแดงๆ พร้อมรก ... เลือดยังสดอยู่ ..
	แสดงว่า ..แม่แมวเพิ่งตกลูก .. และคงตกใจเสียงเปิดประตู จึงกระโดดหนีไป

	แม่เรียกฉันไปดู .. เพราะแม่เกลียดสัตว์ทุกชนิด ..มันทำให้บ้านสกปรก 

	ตัวฉันเองก็กลัวแมว .. กลัวเสียงร้องของมัน ..กลัวแววตามัน 
	สงสัยเพราะเคยดูเรื่องปอบผีฟ้าตอนเด็กๆ .. เพลงประกอบละครมันมีเสียงแมวร้องด้วย

	แต่ก็ต้องจำใจไปดู .. ลูกแมวตัวแดงๆ สองตัวกำลังส่งเสียงร้อง ...

	นั่น..เขาเรียกรกมันใช่ไหม? .. จะทำไงดี ..

	ฉันบอกแม่ว่า .. อีกเดี๋ยวแม่มันก็คงกลับมา ..มันไม่ทิ้งลูกหรอก 

	จึงปิดประตู ...ปล่อยมันไว้ที่เดิม ...

	ฉันนอนฟังเสียงมันร้อง จนเที่ยงคืนกว่า ... เริ่มเป็นห่วงกลัวมันจะตาย
	เลยเปิดประตูระเบียงออกไปดูมัน ...

	นั่น .. แม่แมวหรือป่าว? เห็นมันเกาะอยู่ตรงระเบียง 
	แต่มันไม่เข้าใกล้ลูก ..แม่แมวยืนมองฉันสักพัก แล้วมันก็กระโดดหายไป 

	ฉันเห็นแม่แมวมาแล้ว .. ก็คิดว่าเดี๋ยวมันคงเอาลูกมันไป ..

	จึงปิดประตูเข้านอน ..

	

	...ฉันลืมตาตื่นขึ้นตอนเจ็ดโมงเช้า ...

	เอ้...เสียงอะไรน้า ....ดังแง้วๆๆ...


	...ลูกแมว...!!!

	พอนึกได้ ..จึงเปิดประตูออกไปดู ..
	
	เจ้าลูกแมวสองตัวยังคงส่งเสียงร้องไม่หยุด ...
	และพยายามตะเกียกตะกายจะคลาน แต่ไปไหนไม่ได้ ...
	เพราะรกเปื้อนเลือด..มันแห้ง..ติดพื้น ...
	มดแดงขึ้นเต็ม ...

	โอ๊ย...ฉันรีบกดโทรศัพท์หาหนึ่ง .. เขาเปิดร้าน    pet shop 	
	คงพอรู้เรื่องบ้างหรอก ...

	หนึ่งบอกว่าให้ฉันรีบตัดรกมันออก .. โดยใช้กรรไกรสะอาด ..
	ไม่งั้นมันจะตาย ...แล้วหานมให้มันกิน ...
	ตอนนี้แม่มันคงไม่กลับมาแล้ว ...เพราะลูกแมวแปลกกลิ่น ..
	เนื่องจากฉันไปถูกตัวมันเข้า ...	พอกลิ่นสาปคนติด ...แม่จะทิ้งลูกมัน ...

	ฉันรีบทำตามที่หนึ่งบอก .. ตัดรก ..แล้วหาตะกร้าสะอาด ..
	เอาผ้าขนหนูรอง ..แล้วก็จับเจ้าสองตัวใส่ตะกร้า ...
	แล้วก็พามันไปไว้ข้างล่าง ...หน้าบ้าน ...

	พอฉันกลับขึ้นมาบนห้องนอน ...ได้ยินเสียงลูกแมวร้องอีก ...

	เอ๊... ยังไง ...
	เลยไปมองหาที่ระเบียงห้องนอน ..มองซ้ายมองขวา ... 

	นั่นไง ...

	มีอีกสองตัว .. อยู่ที่กระถางต้นไม้ริมระเบียง ..

	มีชีวิตรอดเพียงหนึ่งตัว ..อีกตัวมันตายเสียแล้ว ..
	
	เอ๊า..ตกลงครอกนี้มีสี่ตัวสินะ ..ฉันช่วยพวกเจ้าไว้ได้แค่สามตัวเท่านั้น ..

	ฉันต้องปีนระเบียงลงไปพามันขึ้นมา ..

	เฮ้อ ..จะทำไงดีกะลูกแมวตัวแดงๆ สามตัวที่ถูกแม่ทิ้ง ..
	ใจร้ายชะมัด .. ทิ้งลูกได้ไง ...


	ฉันพยายามเอานมสดกล่องป้อนมัน ..เพราะมันร้องกันไม่หยุด ..สงสัยจะหิว 
	แต่มันไม่ยอมกิน ...

	ในที่สุด ..ฉันต้องหิ้วตะกร้าขึ้นรถ พามันไปโรงพยาบาลสัตว์ 

	หมอหมา เอ๊ย หมอแมว ..ยื่นกระป๋องนมผงสำหรับลูกแมวให้ ..	
	พร้อมขวดนมขนาดจิ๋ว ..

	แล้วก็บอกให้ฉันป้อนนมมันทุกชั่วโมง ...

	ฉันถามอะไรอีกมากมาย ..เช่น ..ต้องทำอะไรอย่างอื่นอีกไหม? 
	หมอบอกไม่ต้อง ..แค่ขยันป้อนนมมันก็พอ ..

	เฮ้อ...ชีวิต..ไม่เคยคิดว่าจะต้องเป็นแม่แมว..ก็เป็นแม่แมว..

	ฉันแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน ..เพราะต้องคอยป้อนนมพวกมันทุกชั่วโมง ..

	และคุณแม่สุดที่รักไม่ชอบสัตว์ทุกชนิด ..จึงปฎิเสธที่จะดูแลมันระหว่างที่ฉันไปทำงาน

	จะทำไงได้ ..ฉันกลายเป็นแม่ลูกอ่อน ..

	ต้องแบกตะกร้าลูกๆ ขึ้นรถไปทำงาน ..

	ใครๆ ที่ทำงานมาดูกันใหญ่...บอกแต่ว่า .."ไอ้กี้เอ๊ยยย.. จะเลี้ยงมันได้สักกี่วัน.." 
	แล้วก็พากันส่ายหัวไม่พูดอะไรต่อ ..

	ฉันแบกมันไปทำงาน แล้วก็แบกมันกลับบ้าน ..

	เข้าสู่วันที่สอง...

	เริ่มรู้สึกรักมันเสียแล้ว .. 

	เจ้าตัวแรก ..มันมีสีดำปนขาว เหมือน สุนัขเกรทเดน ..

	เจ้าตัวที่สอง..มันเป็นแมวลายทางสีเทา ..เจ้าตัวนี้ค่อนข้างซนและขี้อ้อน ..
	ชอบอ้อนให้จับมันไว้ในอุ้งมือ ..แล้วมันก็จะคลอเคลียระหว่างซอกนิ้วของฉัน ..
	ฉันจึงรู้สึกเอ็นดูมันเป็นพิเศษ ..

	ส่วนเจ้าตัวสุดท้อง ..ที่ฉันปีนไปพามันขึ้นมา ..เจ้าตัวนี้สีดำสนิท ..

	ฉันเลยตั้งชื่อมันเรียงลำดับ ..เจ้าหนึ่ง ..เจ้าสอง..และเจ้าสาม..


	คืนนี้ฉันสังเกตุเห็นมันถ่ายเหมือนจะท้องเสีย .. 
	เอ..ฉันก็ไม่ได้เอานมค้างให้มันกินนี่นา ..
	ด้วยความกังวล .. ฉันจึงพาพวกมันกลับไปหาหมอ ..
	หมอคนเดิมยังยืนยันว่ามันสบายดีให้ฉันให้นมมันเหมือนเดิมทุกชั่วโมง..

	เข้าสู่วันที่สาม ..ฉันหิ้วตะกร้าลูกแมวขึ้นรถ ..
	พามันไปทำงาน .. คอยดูมันทุกชั่วโมง .. ไม่เป็นอันทำงาน ..
	เพราะวันนี้ดูมันหงอยๆ ไม่ค่อยยอมกินนม

	วันนี้ ฉันต้องขับรถตะเวนไปหลายที่
	พวกมันรับไอแดดร้อนระอุในรถ ..

	ดูมันสะลึมสะลือ ... เจ้าสองที่นอนนิ่งสนิท ลุกขึ้นมาเดินวนรอบตะกร้า 
	มันทำท่าเหมือนหายใจไม่ออก .. แบบนี้หรือป่าว? ที่เรียกว่าแมวหอบแดด 

	ฉันใจไม่ดี .. พอเสร็จธุระ ..	ฉันรีบตรงดิ่งไปโรงพยาบาลสัตว์ .. 
	พบหมอคนเดิม ..เขาดูอาการมันแล้วก็บอกว่ามันปกติ ..

	เอ..มันจะปกติได้ไง ..ก็มันไม่ยอมกินนม ..

	แต่..เมื่อหมอยืนยันมาแบบนั้น ..ฉันก็พามันกลับบ้าน ..

	พยายามป้อนนมมัน ..
	
	เจ้าสองที่เคยซุกซน ..เคยร้องไม่หยุด ..ตอนนี้มันนอนนิ่งเงียบ ..
	เจ้าหนึ่งกับเจ้าสามก็เช่นกัน ...

	ฉันอุ้มมันทีละตัว ..ป้อนนม ..แต่มันไม่ยอมกิน ..

	ยิ่งเจ้าสองยิ่งแย่ ..ตัวอ่อนปวกเปียก ..

	ฉันลงมาดูมันทุกชั่วโมง ..แทบจะนั่งเฝ้ามันซะด้วยซ้ำ ..

	จนตีสอง ..ฉันลงมาดูมันอีกครั้ง .. เจ้าสองนอนนิ่ง ..
	ไม่ส่งเสียงร้อง ..ฉันจึงอุ้มมันขึ้นมา..

	โหย..ตัวมันเย็นเฉียบ ..ไร้การตอบสนอง..ตัวอ่อนปวกเปียก ..

	เท่านั้น ..ฉันคว้ากระเป๋าตังค์กับกุญแจรถ ..
	หิ้วตะกร้าแมวไปโรงพยาบาลสัตว์ทันที .. มันเป็นโรงพยาบาลที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง 

	พอไปถึง ..พยาบาลก็ป้อนนมมันโดยใช้ไซริงค์กรอกนมลงไปในท้องมัน 
	เขาเรียกว่า ฟีด ...

	ฉันจึงบอกว่า ..ฝากทั้งสามตัวไว้ที่โรงพยาบาลแล้วกัน ..อาการมันไม่ค่อยดีเลย 
	ฝากเลี้ยงหน่อยแล้วกัน ..


	แล้วฉันก็กลับบ้าน ..เพิ่งสังเกตุ ..ตัวเองออกมาทั้งชุดนอน ..
	น่าอายจริง ..

	วันรุ่งขึ้นฉันโทรไปที่โรงพยาบาลแต่เช้า 
	ได้คำตอบว่า ..เจ้าสองตายแล้ว..

	อื้ม ..ฉันช่วยชีวิตมันไว้ไม่ได้ ..
	ไม่เป็นไร..ยังเหลือเจ้าหนึ่งกับเจ้าสาม..

	ตอนบ่าย..เสร็จงาน..ฉันโทรไปที่โรงพยาบาลสัตว์อีกครั้ง ..

	ได้รับคำบอกเล่าว่า...
	เจ้าหนึ่งกับเจ้าสามก็ตามเจ้าสองไปแล้วเช่นกัน ..

	อื้ม..แค่ชีวิตลูกแมวสามตัว..
	ฉันยังช่วยมันไว้ไม่ได้ ...

	ฉันขับรถกลับไปที่โรงพยาบาลสัตว์อีกครั้ง ..
	จ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมด ..
	และฝากเขาจัดการ ..เจ้าสามตัว..นั้นด้วย ..

	ฉันพบหมอคนเดิม .. เขาบอกว่า ..ลูกแมวเพิ่งเกิด 
	ต้องเปิดโคมไฟส่องมันไว้ตลอดเพื่อรักษาอุณหภูมิให้ใกล้เคียงเวลามันซุกอกแม่
และมันมีอาการท้องเสียแทรกซ้อนด้วย...เลยทำให้ช่วยมันไว้ไม่ได้...
	
	ฉันมองหน้าหมอ..ถามเขาว่า..หมอบอกตอนนี้..มีประโยชน์อะไร?
	เคยถามแล้ว ..แต่ไม่ได้รับคำตอบแบบนี้ ...

	ฉันถามหมอคนเดิมว่า ..
	ถ้ามันเป็นแมวเปอร์เซีย..มันจะตายง่ายๆ อย่างนี้ไหม?

	เขาเงียบ ...

	ฉันกลับบ้านด้วยจิตใจห่อเหี่ยว ..

	วันนี้ฉันระลึกถึงเหตุการณ์นั้นอีกครั้ง ..

	เพราะขณะที่ฉันนั่งเขียนเรื่องนี้อยู่...
	มีแมวแม่ลูกอ่อน ..มาตกลูกอยู่ที่ระเบียงห้องนอนฉันอีกแล้ว ..

	ฉันได้ยินเสียงมันร้องมาหลายวันแล้ว ..
	แต่ฉันไม่เคยออกไปดูมัน ..
	
	กลัว..กลิ่นสาปคน..จะทำให้มันแม่ลูกต้องพลัดพรากกันอีก ...

	กลางคืน..เสียงมันร้องน่ากลัว ..
	แม้ฉันจะรู้สึกดีกับแมวขึ้นมาบ้างแล้ว ..
	แต่ฉันก็ยังคงกลัวเสียงมันอยู่ดี ..

	นี่ก็ดึกมากแล้ว ..มันยิ่งร้องโหยหวนมากขึ้นทุกที ..
	ฉันขอหอบหมอนกะผ้าห่มไปนอนห้องแม่ก่อนนะ..

	ราตรีสวัสดิ์ ..

	กึ๋ย...เผ่น!!!!				
4 พฤษภาคม 2548 21:12 น.

.. อิสระ ..

keekie

4 พฤษภาคม 2548,   13.45น.  
	Plam  Street 



	แม่คะ ...


	บ่ายที่แสนจะร้อนอบอ้าวเช่นวันนี้ หนูแอบมานั่งหลบไอแดดอยู่ในร้านกาแฟค่ะ ..

	เดี๋ยวค่ะแม่ ...!!! อย่าเพิ่งบ่น ...
	หนูดื่มสตอเบอร์รี่ -โยเกิร์ตปั่นค่ะ .. ก็หนูรับปากแม่แล้วนี่คะ ..
	ว่าจะดื่มกาแฟให้น้อยลง ... หนูรักษาสัญญาเสมอค่ะแม่ ...


หนูไม่ได้เล่าเรื่องราวของหนูให้แม่ฟังซะนาน ...
	คงเป็นเพราะงานที่รัดตัวมากขึ้นทุกวัน ...

	แม่กำลังจะถามใช่ไหมคะ? 
	...ว่าถ้างานยุ่งแล้ว ทำไมหนูยังมีเวลานั่งเล่นในวันและเวลาทำงานเช่นนี้...

	เพื่อนๆ  หลายคนเคยบอกว่า อิจฉาหนูค่ะแม่ ..

	อิจฉาที่ .. หนูมีชีวิตอิสระในทุกด้าน ...
	ทำงานในเวลาที่อยากทำ ..ตื่นในเวลาที่อยากตื่น ...
	และได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ...


	แต่พวกเขาน่ะไม่มีทางเลือก ..
	งานที่ต้องตอกบัตรเข้าแปดโมงเช้า..ตอกบัตรออกห้าโมงเย็น 

	ในที่ทำงานก็มีหัวหน้าคอยกวดขันออกคำสั่งให้ทำงานตามระบบซะอีก ...

	แถมตอนกลับบ้านต้องรีบกลับให้ตรงเวลา
	เพราะที่บ้านมีคนคอยควบคุมเวลาตอกบัตรเข้า-ออกบ้านอีกที 


	เฮ่อ...หนูกำลังนั่งนึกถึง .. คำว่า ...

	...อิสระ ... 

	มันเป็นสิ่งหอมหวน ..ฟังดูดี .. ใครๆ ก็มักเรียกร้องหา ..อิสระ..
	
	หากเมื่อเรามีมันอยู่ในมือแล้ว ..เราจะเข้าใจและรู้เท่าทันมันได้จริงหรือป่าว?  

	ตอนเด็กๆ  หนูเคยถูกนิ้งเหน่ง กับเฮียคิด จับขังไว้ในตู้เสื้อผ้าของแม่น่ะค่ะ ..
	แม่ไม่รู้ใช่มั๊ยล่า... ก็ตอนนั้นแม่ไปทำงานนี่คะ ...

	ความมืดทำให้หนูอึดอัด ...ความคับแคบทำให้หนูหายใจไม่ออก ...
	แต่หนูทำอะไรไม่ได้ค่ะ ...ได้แต่ทุบประตูตู้แล้วก็ร้องสุดเสียงให้พวกเขาปล่อยหนูออกไป ..

	หนูยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้เลยค่ะแม่ ...
	หากหนูต้องอยู่ในที่แคบๆ  ขยับตัวไม่ได้ .. หนูทรมาน ..

	นี่คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หนูควานหา ..อิสระ .. ให้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้ 

	วันนี้หนูมีมันในระดับหนึ่ง ...
	
	เวลาที่เป็นอิสระ ...ชีวิตส่วนตัวที่เป็นอิสระ...งานที่เป็นอิสระ...

	
	..อิสระ..คงไร้ซึ่งขอบเขตใช่มั๊ยคะแม่...
	หากมีขอบเขต ..มันคงไม่ใช่...อิสระ ...

	บางครั้ง...อิสระ...มันเคว้งคว้าง...
	จนหนูไม่รู้จะเดินไปทางไหน?

	แต่หากมีใครมาขีดทางให้หนูเดิน...
	หนูก็จะบอกว่า ...หนูมีสมอง ...หนูขีดทางเดินของตัวเองได้ ...
	หนูจะเดินไปตามทางที่ขีดเอง ...

	บางครั้งนะคะแม่ ... 
	หนูเดินไปในทางที่ใจอยากจะเดิน...ทางที่หนูขีดเอง...
	แม้จะรกไปด้วยไม้หนาม ..ได้รอยแผล..รอยขีดข่วน...เลือดซิบๆ เชียวค่ะ
	..มันทำให้หนูเจ็บจนต้องร้องไห้ ..แต่หนูก็บอกตัวเองให้อดทน ...
	เพราะมันเป็นทางที่หนูใช้อิสระขีดเอง ...

	หนูอดทนเดินไปจนสุดทาง ..เพื่อที่จะพบว่าทางตัน ..
ต้องย้อนกลับ .. ฝ่าดงหนามให้ได้แผลอีกรอบ...
	
	กับอีกบางครั้ง ..ปลายทางเป็นหุบเหว ..ต้องตัดสินใจว่าจะกระโดด หรือ ถอยหลังกลับ ..


	อิสระ...มันเป็นเช่นนี้เอง ...
	ก่อให้เกิดประสบการณ์ที่สร้างรอยสักไว้ในชีวิต ....

	หนูอยากจะบอกวัยรุ่นสมัยนี้นักว่า ...

	อย่าไปสักรอยให้เสียกะตังค์พ่อแม่เลยหนูเอ๊ย ...
	อีกหน่อย ..หนูจะมีรอยสักเยอะแยะ ...รอยสักที่ยากจะลบเลือน...
	
	และสำหรับหนูๆ ที่ไม่อยากมีรอยสัก ...เพราะไม่อยากเจ็บปวด ...
	ก็จงฟังคำเตือน ..คำห้าม ..คำสอนของคุณพ่อคุณแม่ไว้เห๊อะ ...
	อย่าควานหาอิสระกันนักเลย ..หากไม่รู้จักวิธีควบคุมมันจริง ...

	วันนี้ ..หนูพยายามใช้..อิสระ..ที่มี 
	สร้างเรื่องอันสมควรในชีวิตค่ะแม่ ...
	
	แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ ...หนูคิดว่า...รอยสักในชีวิตของหนูมากพอ..
	ที่จะทำให้หนูรู้เท่าทันจิตใจตัวเอง ...
	
	ไม่ใช้..อิสระ..ที่มี 
	ไปสร้างเรื่องเลวร้ายให้เกิดขึ้นในชีวิตอีก ...

	แต่หากมีผิดพลาดพลั้งเผลอได้รอยสักมาอีกล่ะก็ ...
	ก็จะเป็นรอยสักใหม่ค่ะแม่ ...
	หนูจะไม่ยอมให้รอยสักรูปเดิมๆ เกิดขึ้นในตัวหนูอีก

	แหม ...ถ้าตอนนี้หนูส่งคืน...อิสระ...ที่มีได้ก็คงดี 
	จะได้มีคนคอยบอกคอยเตือนคอยสอน ...

	แต่...มันไม่ทันแล้วใช่ไหมคะแม่ ...
	ไม้แก่ดัดยาก ...และอีตอนเป็นไม้อ่อนก็ยังทะนงตนไม่ยอมให้ดัดซะอีก ...

	...สมควรแล้ว ...


	โอ๊ะ...แม่คะ...
	นั่นดาราหนุ่มที่แต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อยนี่คะ ...
	หนูจำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร ..จำได้แต่ว่าเขามีคู่ฝาแฝด ...
	ที่เพิ่งแต่งงานกับแฟนที่คบกันมาเก้าปีเมื่อไม่นานมานี้...

	เค้ามากับครอบครัวค่ะแม่ ...ลูกสองคน ...น่ารักจัง ...

	
	เค้าคงรู้จักใช้อิสระที่มี ..สร้างงาน ..สร้างครอบครัว ..
	สร้างความสุขในชีวิตนะคะแม่ ...

	ท่าทางจะเป็นครอบครัวหรรษา...

	สุดท้ายนี้ ...

	หนูอยากบอกว่า ...หนูรักอิสระค่ะแม่ ...

	แต่หนูรักแม่มากกว่า ...

	รักแม่จังค่ะ ...

	...กี้...				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟkeekie
Lovings  keekie เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟkeekie
Lovings  keekie เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟkeekie
Lovings  keekie เลิฟ 0 คน
  keekie
ไม่มีข้อความส่งถึงkeekie