31 สิงหาคม 2548 22:01 น.

.. I will always love you ..

keekie

เสียงโทรศัพท์มือถือดังกังวาน ..
	ฉันหยิบมันออกจากกระเป๋าถือใบสีขาว ..
	มองชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอ .. 	
	
	.. มอง .. 

	.. ฉันเก็บมันใส่กระเป๋าถือใบสีขาวตามเดิม ..

	"อ้าว .. ไม่รับหรอ ..? "  เพื่อนตัวดีถามทั้งๆ ที่มีไก่ย่างเต็มปาก ..

	"เคี้ยวของในปากไปพูดไป .. แม่บอกว่าไม่สุภาพ .. "  
	ฉันตอบ พลางตักส้มตำปูปลาร้ารสจัดเข้าปาก .. ทำไม่รู้ไม่ชี้ ..

	"หนอย .. แกว่าฉันนี่หว่า .. แม่ผู้ดีอังกฤษ .. แหม .."  
	มันทำตาปะหลับปะเหลือกใส่ฉัน .. แต่ปากมันก็ยังไม่หยุดเคี้ยว ..
	แล้วมันก็บ่นต่อยืดยาว .. ดี!! .. จะได้หยุดถาม ..				
26 สิงหาคม 2548 23:08 น.

.. จดหมายจากผู้ให้ ..

keekie

10 มิถุนายน 2546

	สวัสดีครับท่านผู้อุปการะที่เคารพ ..

	ผมชื่อเด็กชายเศรษฐาปกรณ์  ชื่อเล่นชื่อนัทครับ  ผมเรียนอยู่ชั้น ป.1
	ผมอาศัยอยู่กับคุณพ่อและคุณแม่ .. 
	ในห้องเรียนของผมมีเพื่อนเก้าคน ผมชอบเรียนวิชาภาษาไทย 
	กีฬาที่ผมชอบคือฟุตบอล 

	ผมขอบคุณท่านมากครับที่รับอุปการะผม 
	ขอบคุณที่ให้โอกาสผมได้มีการศึกษาสูงๆ 
	ผมจะตั้งใจเรียนครับ ..

	ด้วยความเคารพอย่างสูง ..
	เด็กชายเศรษฐาปกรณ์

	
	ตัวหนังสือโย้เย้ .. บนกระดาษสีขาวตีเส้นธรรมดา ..
	แนบมาพร้อมจดหมายแนะนำตัว ..
	วันนี้ .. ฉันมีแรงบันดาลใจในการทำงานแล้วสินะ ..
	อย่างน้อย .. ชีวิตการศึกษาของใครสักคน .. ก็มีฉันเข้าไปเกี่ยวข้อง ..

	

	21 กรกฎาคม 2546

	สวัสดีครับพี่กี้ ..

	ผมได้รับจดหมายของพี่ .. ผมดีใจมากครับ ..
	ผมจะเรียกพี่ว่า .. พี่กี้ .. อย่างที่พี่อยากให้ผมเรียก ..
	ตอนนี้ผมกำลังสอบครับ ..
	ผมเรียนไม่ค่อยเก่งหรอก .. แต่ผมจะตั้งใจเรียนครับ ..
	ถ้าผมสอบไม่ได้ที่หนึ่ง พี่กี้อย่าเสียใจนะครับ ..
	
	ผมขอให้พี่กี้มีความสุขมากๆ ครับ 

	เด็กชายเศรษฐาปกรณ์ 


	เย็นวันหนึ่ง .. ยามเหนื่อยอ่อนกลับมาจากทำงาน ..
	จดหมายฉบับนี้ถูกวางอยู่บนโต๊ะ ..
	.. เปิดซอง .. พบลายมือเขียนจากดินสอ .. ตัวหนังสือตัวโต .. โย้เย้ ..
	จุดรอยยิ้มบนริมฝีปากฉัน .. มันช่างอ่อนละมุนนัก .. 
	.. ความรู้สึกจากหัวใจเล็กๆ นี้ ..

	ผมเรียนไม่ค่อยเก่งหรอก .. แต่ผมจะตั้งใจเรียนครับ ..
	ถ้าผมสอบไม่ได้ที่หนึ่ง พี่กี้อย่าเสียใจนะครับ ..

	จ้ะ .. พี่กี้ก็ไม่ใช่คนเก่งหรอก .. แต่พี่กี้จะเข้มแข็งนะ ..
	ถ้าวันไหนพี่กี้ทนไม่ได้ ต้องร้องไห้ .. น้องนัทอย่าเสียใจนะ ..
	ที่พี่กี้แสดงความอ่อนแอออกมา ..

	ฉันนึกตอบถ้อยคำจากตัวหนังสือโย้เย้นั้น .. ในใจ ..
	มันช่างน่ารักนัก .. แค่บางประโยคจากใครก็ไม่รู้ .. 
	.. สร้างกำลังใจให้ฉันอย่างประหลาด ..				
24 สิงหาคม 2548 18:28 น.

เวลา .. นาฬิกา .. ความทรงจำ

keekie

ชายหนุ่มบังคับตัวเองให้นั่งอย่างสงบไม่วอกแวก 
	อีกห้านาทีจะสิบเอ็ดโมง .. เป็นเวลาที่นัดหมายไว้ ..
	.. หันไปมองนอกหน้าต่าง .. เมฆฝนจางหายจากฟ้าแล้ว ..
	คงเหลือไว้แต่เพียงหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่ตามกิ่งใบของต้นอโศกสปัน

	ลมเย็นแอบพัดผ่านเข้ามาทางบานหน้าต่างที่เปิดค้างอยู่ ..
	เขาเหลือบมองเข็มนาฬิกาอีกครั้ง .. อีกสี่นาทีจะสิบเอ็ดโมง ..
	อากาศสงบนิ่ง .. แต่รู้สึกได้ถึงไอเย็นที่ระเหยจากดินหลังสิ้นฝน ..
	เขานึกอยากเป็นเข็มนาฬิกา .. ที่เดินเป็นวงกลม ..
	ไม่มีอดีต .. ไม่มีอนาคต .. ไม่มีข้างหน้าที่ต้องหวัง .. ไม่มีข้างหลังที่ต้องลืม ..

	
	เหลือบมองเข็มนาฬิกาอีกครั้ง .. อีกสามนาที ..
	เขานึกชื่นชมความสม่ำเสมอของเข็มนาฬิกา .. มันเดินด้วยจังหวะความเร็วคงที่ ..
	.. มีเพียงจิตใจคนเท่านั้น .. ที่รู้สึกว่ามันเดินเร็วไป หรือ ช้าไป 

	เขาพยายามนึกเรื่องอื่น .. เพื่อให้ลืมเรื่องเวลา ..
	ในส่วนลึกเขาไม่อยากให้ถึงเวลานัดหมาย .. 
	เขาไม่แน่ใจว่าการนัดหมายครั้งนี้ .. เป็นการกระทำที่ถูกหรือผิด ..

	เหลือเวลาอีกสองนาที ..
	
	บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด .. จนเขาได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาเดิน ..
	จะเริ่มต้นอย่างไรดี .. เขาควรจะบอกความจริงเลย .. หรือควรบอกทีหลัง ..
	หรือไม่ต้องบอกอะไรเลย? .. 

	เขาเริ่มลังเล .. 
	.. ยังพอมีเวลาที่จะเดินออกไปจากที่นี่ .. 

	ชายหนุ่มพยายามบังคับสายตาไม่ให้เหลือบมองเข็มนาฬิกา .. 
	เขารู้สึกเกลียดตัวเองที่กำลังตกเป็นทาสของอะไรบางอย่าง .. 
	ที่ตัวเองไม่อาจจะเข้าใจได้ .. 
	
	ครั้งแรกที่เขาเหยียบเข้ามาในร้านอาหารแห่งนี้ .. 
	เขาต้องกลับออกไปพร้อมความรู้สึกผิดหวัง พ่ายแพ้ ..
	วันนี้ .. เขากลับมาที่นี่อีกครั้ง .. มันจะเป็นยังไง? ..

	อีกไม่ถึงหนึ่งนาที จะสิบเอ็ดโมงแล้ว ..

	เขาสูดลมหายใจลึกๆ เหมือนต้องการเปลี่ยนลมหายใจเป็นพลังบางอย่าง
	เพื่อเอาไว้รับมือกับความจริง .. ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า ..
	สายตาของเขาทอดวางอยู่ที่บานประตูไม้คู่นั้น .. 

	หญิงสาวก้าวผ่านบานประตูเข้ามา ..	
	เธอสวมเสื้อสีขาว .. กับกระโปรงยาวบานลายดอกไม้สีสดใส ..
	ผมที่ยาวคลุมไหล่พริ้วไหวไปตามจังหวะการเดินของเธอ ..

	เขาทอดสายตาจับจ้องอยู่ที่เธอ ..

	"นั่งสิแก้ว .." เขาเชื้อเชิญพร้อมลุกขึ้นยืนต้อนรับ .. 

	เธอนั่งลงบนเก้าอี้ว่างเบื้องหน้าเขา ..

	"ขอบคุณที่อุตส่าห์มา .." 
	"แก้วไม่เคยปฏิเสธเพื่อน .." 
	"จะทานอะไรดีล่ะ"  เขาถาม .. 
	"เหมือนอย่างครั้งที่แล้วที่เรามาทานด้วยกัน .." เธอตอบ ..

	เขาหันไปสั่งอาหารกับบริกร ..

	"ความจำของคุณยังดีนี่ .. เกือบห้าปีแล้วใช่ไหมที่เราพบกันครั้งสุดท้าย .. ที่นี่.."
	เธอถามพร้อมรอยยิ้ม .. ที่ตราตรึงในทรงจำของเขาตลอดมา และจะคงอยู่ตลอดไป ..

	"ห้าปีกับอีกหกเดือน .. " เขาจำได้ดี .. เพราะวันนั้นเป็นวันเกิดเขา ..
	เธอพาเขามาทานอาหารที่ร้านนี้ .. จนถึงวันนี้เขาก็ยังไม่แน่ใจว่า .. 
	อาหารมื้อนั้นเป็นการเลี้ยงวันเกิดเขา หรือเป็นการเลี้ยงอำลา .. 	
	ก่อนที่เธอกับเขาจะแยกทางกันเดินหลังจากวันนั้น ..

	"ยังทำงานอยู่ที่เดิมหรือเปล่า?"  

	"แก้วยังอยู่ที่เดิม .. ยุทธล่ะ?"  
	"ผมว่าจะย้ายไปอยู่บริษัทอื่น .. ที่นี่มันงกเงินเหลือเกิน ..
	มันทำให้ชีวิตผมแห้งแล้ง .. มัวแต่วิ่งหาเงิน .. 
	ผมว่ามีอะไรอีกหลายอย่างนะที่มีค่ามากกว่าเงินทอง .."

	"แก้วก็เบื่อ .. อยากจะหนีกลับไปเรียนต่อด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ
	ให้มันสะใจไปเลย .. กลับไปหาอะไรที่มันงดงาม บริสุทธิ์ มีคุณค่าทางจิตใจ .."

	เขากับเธอเจอกันครั้งแรกโดยบังเอิญที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย 
	ตอนนั้นเขากำลังหาหนังสือสถาปัตยกรรมยุคกลาง ..
	แต่หาไม่เจอ .. จึงหยิบหนังสือศิลปะยุคกลางมาเปิดดู ..

	เหลือบเห็นเธอมายืนคอยอยู่ด้านหลัง .. เขาจึงหันไปถาม ..	
	
	"ผมยืนขวางทางคุณหรือเปล่า?" 
	"ไม่ค่ะ .. เอ่อ .. มายืนคอยหนังสือเล่มที่คุณถืออยู่ในมือ" 

	"อ้อ .. หนังสือเล่มนี้บอกให้ผมรู้ว่างานสถาปัตยกรรมแฝงตัวอยู่ในงานศิลปะมากมาย" 
	เขาบอก .. แล้วส่งหนังสือเล่มนั้นให้เธอ ..

	"คงเหมือนหนังสือเล่มนี้ที่บอกให้รู้ว่า งานศิลปะแฝงอยู่ในงานสถาปัตยกรรมก็มาก.."
	เธอชูหนังสือสถาปัตยกรรมยุคกลางที่อยู่ให้มือให้เขาดู 

	จากนั้น เขาและเธอก็หอบหนังสือเล่มโตไปยังโต๊ะว่างที่ตั้งอยู่มุมห้องสมุด 
	แล้วความรู้สึกบางอย่างที่คล้ายคลึงกันก็งอกเงยขึ้นในดวงใจของคนทั้งสอง ..

	เขาและเธอเรียนจบปีเดียวกัน .. 
	หลังจากเรียนจบเส้นทางชีวิตของทั้งสองก็ทอดยาวไปข้างหน้าร่วมกัน ..
	จนห้าปีให้หลัง .. เธอก็เดินจากไปกับจิตรกรหนุ่มไฟแรง ..
	และเขาก็เดินไปกับสถาปนิกสาว ..

	"ยังหลงเสน่ห์ศิลปะยุคกลางเหมือนเดิมมั๊ย?"  เขาถาม
	"ไม่เปลี่ยนแปลง "  เธอตอบด้วยรอยยิ้ม

	เกือบบ่ายโมงครึ่งแล้ว .. 
 	เขาและเธอยังอ้อยอิ่งกับอาหารเบื้องหน้า .. 
	ต่างคนต่างเก็บเกี่ยวความรู้สึกที่ขาดหายไปของกันและกัน .. 
	
	"เมื่อวันก่อน .. ผมแวะไปดูงานของ .............. ที่หอศิลป์"  
	เขาพยายามแล้วที่จะไม่พูดถึงจิตรกรหนุ่มไฟแรงคนนั้น .. แต่ไม่สำเร็จ ..
	ทำได้แค่เพียงหลีกเลี่ยงที่จะไม่เอ่ยชื่อ .. เท่านั้น 
	"รู้สึกงานของเขาพัฒนาไปมาก มีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ..
	แก้วคงมีส่วนช่วยเขาอยู่มากเชียว .."  

	"เขาตั้งใจจริง มุ่งมั่นมาก แก้วยืนช่วยอยู่ห่างๆ เท่านั้นเอง ..
	แล้วเจนเป็นยังไงบ้าง "  เธอเอ่ยถามถึงเพื่อนสาวสถาปนิกของเขา ..

	"กำลังสนุกกับงานออกแบบคอนโดฯ สามสิบชั้นที่เชียงใหม่" 

	"สังคมนี้มีแต่คนตั้งใจจะประสบความสำเร็จนะ .. ขยันกันจัง" 
	เธอรำพึงรำพัน ..

	"คงไม่มีใครเหมือนเราสองคนหรอก .. ที่ผูกตัวเองไว้ที่ปลายฝัน ..
	แล้วแต่ว่าความฝันจะพาเราไปไหน"  เขาระลึกถึงความหลัง ..

	"แก้วว่าความสุขมันไม่ได้อยู่ที่การประสบความสำเร็จ ..
	การมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของสังคม .. แก้วว่าความสุขอยู่ที่ความพอดี ..
	การรู้จักทำงานอย่างมีความสุข .. รู้จักยิ้มให้ตัวเอง .." 

	"บางทีผมก็ไม่เข้าใจ ทำไมทุกคนคิดแต่จะก้าวให้สูง .. ดูมันโดดเดี่ยว ..
	ทำไมไม่คิดก้าวไปข้างหน้า .. ไปให้ไกล .. ผมไม่แน่ใจว่า ..
	ระหว่างความยาวกับความสูง .. มันต่างกันหรือเหมือนกัน .." 

	เวลายังคงทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ .. 
	มันก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอ .. 
	เขาและเธอยังคงพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในเรื่องต่างๆ 	
	ความรู้สึกที่ขาดหายไปยังไม่ได้รับการเติมให้เต็ม ..

	บริกรเก็บจานอาหารไปหมดแล้ว ..
	เหลือเพียงแก้วน้ำส้มสองแก้ว .. 

	ทั้งคู่รู้ดีว่า .. เวลาของเขาและเธอกำลังจะหมดลง ..
	
	ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องบอกความจริงกับเธอ .. 
	เขากับเจนแยกทางกันเดินแล้ว .. 
	และอาทิตย์หน้าเขาจะเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อทำวิจัยให้รัฐบาล ..
	หลังจากนั้นเขาวางแผนว่าจะทำงานอยู่ที่นั่นอีกหลายปี ..

	ทำไมเราต้องบอกเธอด้วยล่ะ? ..  เขาถามตัวเอง ..
	เขาต้องการอะไรเป็นการแลกเปลี่ยนกับความจริงที่บอกออกไป ..
	ทำไมเขาจะต้องเสียสิ่งหนึ่งเพื่อให้ได้อีกสิ่งหนึ่งด้วยล่ะ ..

	ไม่จำเป็น .. เขาไม่ต้องการอะไรจากเธอ .. แม้แต่ตัวเธอ ..
	เขาโทรไปนัดเธอทานข้าวเพียงเพื่อต้องการเห็นหน้าเธอเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น ..
	เขาไม่กล้าหวังที่จะให้เธอกลับมาร่วมเดินทางเดียวกับเขา .. 

	"แล้วเมื่อไหร่แก้วจะแสดงผลงานเดี่ยวของตัวเองบ้างล่ะ" 
	"คงไม่มี .. แก้วไม่ชอบ .. แก้วคิดว่านั่นเป็นการทำเพื่อตัวเองมากเกินไป" 

	เธอนึกอยากจะบอกความจริงกับเขาว่า ..
	เธอกับจิตรกรหนุ่มไฟแรงคนนั้น .. หันหลังให้กันแล้ว ..
	และเธอตัดสินใจไปวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังให้กับวัดแห่งหนึ่งในชนบททางภาคเหนือ
	ด้วยความเชื่อที่ว่าศิลปะเป็นความงดงามบริสุทธิ์ .. เธออยากให้เด็กๆ ในชนบท 
	ได้เห็นความงดงามอันบริสุทธิ์นั้น ..

	แต่ .. เธอจะบอกเขาไปเพื่ออะไร? .. เธอถามตัวเอง ..
	แล้วเธอก็ตัดสินใจไม่บอกเขา ..

	ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวลงต่ำลับหายไปหลังต้นอโศกสปันแล้ว ..
	
	เขายกแก้วน้ำส้มขึ้นจิบ .. คำสุดท้าย ..
	ได้เวลาแล้ว .. ได้เวลาที่เขาต้องไป ..
	
	เขาเรียกบริกรมาคิดเงิน ..

	เขาและเธอนั่งนิ่ง .. เหมือนต้องการเก็บซับความทรงจำในช่วงเวลาสุดท้าย ..
	.. ให้นานที่สุด .. 

	ไม่มีใครต้องการจากไปพร้อมความเจ็บปวด ..

	เธออยากบอกความจริง .. 
	
	เขาเองก็รู้สึกเช่นเดียวกับเธอ ..

	แต่วินาทีจะมีใครรู้ .. นอกจากตัวของเขา และ เธอ .. 

	"เราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วนะ .. แก้ว .. " เขาตัดสินใจแล้ว ..

	เธอพยักหน้าเข้าใจ .. ความรู้สึกปวดร้าววิ่งรี่ไปจุกอยู่ที่ขอบตาทั้งสองข้าง ..

	เธอตัดสินใจแล้ว .. "ลาก่อน .. ยุทธ .."  

	แก้วเป็นฝ่ายขยับตัวลุกขึ้นด้วยความรู้สึกยากลำบาก ..

	"โชคดีนะแก้ว .. " 
	ริมฝีปากชายหนุ่มสงบนิ่ง .. แม้ได้เห็นน้ำใสๆ ไหลรินจากดวงตาหญิงสาว ..
	
	เขารู้ดีว่า แก้วรู้สึกปวดร้าวมากเท่าๆ กับเขา เพราะแก้วไม่เคยร้องไห้ ..

	แก้วหันหลังเดินจากเขาไปอย่างช้าๆ .. 
	เขาอยากตะโกนเรียกเธอให้หันกลับมาฟังความจริงที่เขาตั้งใจจะบอกเธอ ..
	แต่มันคงไม่มีประโยชน์อันใด ..  .. เขาหันหลัง เดินไป ..

	เวลา .. มีค่ายิ่งกว่าสิ่งอื่น ..
	ความทรงจำที่มีความหมายยิ่งในวันนี้จะตราตรึงในหัวใจตลอดไป .. 

	เขาและเธอจากกัน .. ใต้ต้นอโศกสปัน .. 
	โดยมีเพียงทั้งสองเท่านั้น .. ที่รู้ความจริงในหัวใจตัวเอง .. 


	.. ปล่อยทุกอย่างให้เป็นความทรงจำ ..
	.. ปล่อยถ้อยคำให้เลือนหายสู่ปลายฟ้า ..
	.. ปล่อยความรักให้กลืนกลบลบเวลา ..
	.. ปล่อยน้ำตารินรดหยดสุดท้าย ..				
20 สิงหาคม 2548 13:08 น.

.. ครึ่งทาง ..

keekie

ฉันยืนอยู่ขอบสระว่ายน้ำ ..

	เตรียมตัวกระโดด .. ดวงตาแน่วแน่จ้องมองไปยังลู่ตรงหน้า .. 

	แปดร้อยเมตร .. เป็นระยะทางที่ไม่น้อยเลยสำหรับฉัน ..
	การแข่งขันครั้งนี้ฉันต้องชนะ!! ..

	เหลียวมองคู่แข่งซ้ายขวา .. 
	ทุกคนมีสีหน้าเอาจริงเอาจัง .. 
	
	ฉันไม่ยอมหรอก .. เกิดเป็นคนมีสองแขนสองขาหนึ่งสมองเท่ากัน .. 
	ต้องวัดกันซักตั้ง .. ให้มันรู้ดำรู้แดง .. 

	ปิ๊ด ๆๆ .....   
	เสียงนกหวีดจากกรรมการดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าให้เตรียมตัว ..

	อีกไม่กี่นาที .. ก็รู้กันแล้ว .. ใครแน่กว่าใคร ..

	ฉันกลั้นหายใจ .. หัวใจเต้นรัวแรง .. คงเพราะตื่นเต้น
	.. ตื่นเต้นกับชัยชนะที่กำลังจะได้รับ .. 55555

	หันซ้ายขวามองผู้กำลังจะแพ้ข้างตัว ..
	เพื่อนเอ๋ย .. อย่าโกรธกันนะ .. การแข่งขันก็แบบเนี้ย .. มีแพ้ .. มีชนะ .. 	
	

	ปี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ...!!!!

	ฉันยืดตัวพุ่งลงน้ำด้วยแรงสปริงจากข้อเท้า ..
	ใช้กำลังทั้งหมดที่มี .. เร็วและแรงที่สุด .. เท่าที่จะทำได้ ..
	ผู้กำลังกำชัยชนะออกตัวอย่างงดงาม ..
	วาดแขนสะบัดขาด้วยท่วงท่าฟรีสไตล์ ..

	อา .. หัวไหล่อันแข็งแรงพาฉันพุ่งทะยานผ่านน้ำไปอย่างเร็ว .. 

	"สู้ๆ .. ไอ้กี้ .. สู้ๆ .. แกกำลังนำอยู่ .. เก่งมากเพื่อนเอ๋ย"  
	เสียงกองเชียร์ .. เหมือนทัพหนุนอุ่นใจไม่สู้กลัว .. 
	ยิ่งทำให้ฉันฮึมเหิม .. ใช้แรงทั้งหมดที่มีพาร่างกายพุ่งทะยานไปข้างหน้า ..

	สองร้อยเมตร ..
	อีกแค่หกร้อยเมตรเท่านั้นสินะ ...
	ฉันจะได้ขึ้นไปยืนบนจุดสูงที่สุด .. รับเหรียญทอง .. 
	
	ประกายโลหะสีทองยามต้องแสงที่ส่องแวววาวในจินตนาการ ..
	ยิ่งทำให้ฉันโหมกำลังที่มีพุ่งไปสู่จุดหมาย .. อย่างสุดแรงเกิด ..

	ชัยชนะเท่านั้นที่ฉันต้องการ ..

	สามร้อยเมตร ..

	อา .. ..

	หัวไหล่เริ่มล้า ..
	ทำไมมันไกลนักนะ ..

	เอาน่า .. ฉันแข็งแรงพอ .. !! 

	"เฮ้ย .. ไอ้กี้ .. เร่งหน่อย .. แรงหมดหรือไง? .. เขาแซงแกไปกันหมดแล้ว"  
	เสียงกองเชียร์แว่วเข้าหู

	ใครบอก .. ฉันกำลังนำอยู่ตะหาก .. 
	ฉันต้องชนะ .. ..!!!
	แต่ .. อีกไกลเท่าไหร่นะ .. ทุกทีมันไม่ไกลขนาดนี้นี่นา ..
	
	ประกายโลหะสีทองที่ส่องแสงในจินตนาการ .. เริ่มจางลง ..
	
	ถ้าไม่ไหว .. เหรียญเงินก็ได้ ..
	เป็นที่สอง .. ก็คงไม่รองใครสักเท่าไร .. 

	อา .. เหลืออีกเท่าไหร่นะ ..
	ชักจะไม่ไหวแล้ว ..

	"เฮ้ย .. ไอ้กี้ .. เกือบครึ่งทางแล้ว .. เร่งอีกหน่อย .. แกอยู่สุดท้ายแล้วนะ .."
	เสียงใครบางคนแว่วเข้าหู ..

	อา .. เพิ่งครึ่งทาง ..
	นี่ฉันยังต้องทนต่อไปอีกครึ่งทางหรือนี่ ..?
	ด้วยแขนขาที่ล้าขนาดนี้เนี่ยนะ ..

	สงสัยจะไม่ไหว .. 
	เอาน่า .. ขอฮึดอีกหน่อย .. สู้ให้ได้เหรียญทองแดงก็พอ ..
	ฉันพยายามวาดแขนที่อ่อนแรงไปข้างหน้า .. 
	รู้สึกมันหนักเหลือเกิน ..

	แต่ว่า .. ตอนนี้ฉันอยู่สุดท้ายแล้วนี่? ..
	ฉันพยายามตีขา .. แต่ .. มันล้าเหลือเกิน .. 

	อา .. สงสัยไร้ผล .. 
	ไม่ได้เหรียญอะไรสักเหรียญแน่ ..

	ขืนว่ายต่อไปข้างหน้าก็แพ้อยู่ดี .. 
	อีกตั้งครึ่งทางจึงจะถึงจุดหมาย .. แขนขาของฉันไม่ไหวแล้ว ..

	อา ... 

	กลับก่อนก็แล้วกัน .. การแข่งขันคราวหน้ายังมีอีก ..
	คราวนี้ไม่ชนะก็ไม่เป็นไร .. กลับไปซ้อมให้ดีกว่านี้แล้วค่อยแข่งใหม่ .. 
	คราวหน้า .. คราวหน้า .. 

	

	ฉันพลิกตัว ..
	แข็งใจว่ายกลับมายังจุดเริ่มต้น .. .. 

	ฉันไปได้แค่ครึ่งทาง ..				
12 สิงหาคม 2548 12:45 น.

.. Power of Silence ..

keekie

11 สิงหาคม 2548  เวลา 14.26น.
	ณ ที่จอดรถเงียบเหงาในห้างสรรพสินค้าใจกลางกรุง ..


	แม่คะ ..

	ตอนนี้หนูนั่งอยู่ในรถค่ะ .. นั่งอยู่คนเดียว .. 
	ฝนข้างนอกกำลังโปรยปราย ..
	หนูเห็นหยาดฝนปลิวร่วงหล่นจากฟากฟ้า ..
	แต่หนูไม่ได้ยินเสียงมันหรอกค่ะ แม่ ..
	กระจกรถคงกั้นไว้ .. กั้นสรรพเสียงจากภายนอกทั้งปวง ..

	.. หนูอยู่ในความเงียบ ..
	.. เงียบจริงๆ นะคะแม่ .. เงียบจนหูอื้อ ..
	.. เงียบจนหนูต้องถามตัวเองในใจว่า .. หนูได้ยินอะไรในความเงียบ .. ?

	.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

	หนูได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น ..

	.. ตุ๊บตั๊บ ๆ ๆ ๆ ..

	ยิ่งตอนมองดอกมะลิในขวดเทียนเจลใสๆ ด้วยแล้ว ..
	หัวใจหนูยิ่งเต้นแรงขึ้นไปอีกค่ะแม่ ..

	ในความเงียบ .. 
	ทำให้หนูนึกถึงวันนี้ .. ของทุกปี 
	หนูจะมีดอกมะลิไปฝากแม่ .. บางทีเป็นมะลิซ้อนทั้งต้น .. 
	บางทีเป็นมะลิฉัตร .. บางทีเป็นมะลิผ้า .. สบู่ .. ยางพารา .. ฯลฯ ..
	
	ดอกมะลิเต็มบ้านเราเลยใช่ไหมคะ แม่ ..?

	ปีนี้ .. หนูเอาดอกมะลิใส่ไว้ในขวดเทียนเจลใสๆ ..
	ของชอบของแม่ทั้งสองอย่างเลยนี่คะ .. ทั้งเทียนหอม และดอกมะลิ ..
	ห๊อม .. หอมค่ะแม่ ..

	หอมกลิ่นเทียน .. กลิ่นมะลิ ..
	กลิ่นความรัก .. กลิ่นความคิดถึง .. กลิ่นความอบอุ่น ..
	มันทำให้มะลิวันแม่ .. หอมกว่าทุกครั้งเลยค่ะ .. 	

	.. แม่รีบกลับมาเร็วๆ นะคะ .. 

	วันแม่ที่ผ่านมา .. หนูได้แต่ยื่นดอกมะลิให้แม่แล้วบอกแม่ว่า ..

	".. อ่ะ .. มะลิวันแม่ ..!!"

	แม่ยื่นมือมารับ .. 
	หนูไม่ทันได้มองตาแม่ด้วยซ้ำ ..ว่าแม่ดีใจหรือป่าว? .. 
	ไม่เคยถามแม่ว่า .. แม่ชอบมันหรือป่าว? 
	คงเป็นเพราะแม่อยู่กับหนูทุกวัน .. 
	แต่วันแม่ปีนี้ ... ... ... 
	
	.. แม่รีบกลับมาเร็วๆ นะคะ ..

	หนูจะกราบแม่ที่ตัก ..	แล้วส่งเทียนเจลดอกมะลิหอมๆ ... ให้แม่ ..
	แล้วก็หอมแก้มแม่ ..
	แล้วก็จะบอกว่า .. หนูรักแม่ ..
	แล้วก็จะกอดแม่ ..
	แล้วก็จะรอให้แม่กอด ..
	แล้วก็จะขอให้แม่หอมแก้มหนูด้วย ..

	.. .. .. .. .. .. 

	หนูรู้แล้วค่ะ ..
	ว่าหนูได้ยินอะไรในความเงียบ ..

	หนูได้ยินแม่บอกหนูว่า .. 

	"แม่ก็รักหนูจ้ะ .." 

	.. ใช่ไม๊คะแม่ .. ?				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟkeekie
Lovings  keekie เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟkeekie
Lovings  keekie เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟkeekie
Lovings  keekie เลิฟ 0 คน
  keekie
ไม่มีข้อความส่งถึงkeekie