19 ตุลาคม 2549 13:44 น.

ตลาดเช้า รากเหง้า และสาวไอที

จันทร์เพ็ญ จันทนา

เช้าวันหยุดแท้ๆ ตามปกติ ไม่ว่าใครก็ชอบที่จะนอนสบายๆ อยู่กับเตียงนุ่มๆ ใช้เวลาอ้อยอิ่งให้ความเกียจคร้านเป็นฝ่ายชนะหน้าที่และความรับผิดชอบกันบ้าง อันที่จริงแล้ว เช้าวัหยุดส่วนใหญ่ของฉันก็เป็นเช่นนั้น... ยกเว้น เช้าวันนี้

หลังจากที่เมื่อคืนฉันเข้าอินเทอร์เน็ต ไปโพสท์บทกวีที่แต่งหมาดๆ ไว้ที่เว็บบอร์ดของเว็บไซต์หนึ่ง กว่าจะหาภาพประกอบที่ลงตัวเพื่อให้บทกวีมีรสมีชาติก็แทบแย่ ถึงแม้จะดึกไปหน่อย แต่จากเนื้อหาบทกวีที่ขึ้นจากส่วนหนึงของเนื้อชีวิตฉันจริงๆ เช้านี้ เลยมีแรงบันดาลใจบางอย่าง... ที่ทำให้ฉันอยากจะตื่นเช้า

ฉันตั้งชื่อบทกวีชิ้นนี้ว่า ของฝาก  คำฝาก เขียนด้วยภาษาง่ายๆ เหมือนภาษาพูด อาจไม่พริ้งเพริศด้วยลีลาสัมผัสของคำ แต่สำหรับฉัน บทกวีชิ้นเล็กๆ ชิ้นนี้มีคุณค่าอยู่ที่การ สัมผัสใจ เพราะความรัก ความห่วงใยของแม่ อยู่ที่เรื่องราวเหล่านี้

ของฝาก...คำฝาก

อาบน้ำ-แต่งตัวเสร็จ แล้วหรือจ๊ะ
มามะ ดูของฝาก แม่เตรียมให้
นานนาน มาบ้านที แม่ดีใจ
เลยเตรียมของยกใหญ่ให้แก้วตา

มะม่วงเปรี้ยว มะม่วงสุก มะม่วงมัน
แม่ใส่ถุงรวมกันสองโลกว่า
มะม่วงเราปลอดภัย ไม่ฉีดยา
เอาไว้กิน ยามเหนื่อยล้า จากทำงาน

น้ำพริกเผา ต้มยำ เพิ่งตำเสร็จ
ทั้งแกงเผ็ด แกงส้ม ผสมผสาน
ใส่ตู้เย็น เอาไว้ กินได้นาน
ได้ลองลิ้มขี้คร้าน จะติดใจ

ยามจะกิน ก็ง่ายง่าย ใส่เนื้อ-ผัก
น้ำแกงเดือดพลั่กพลั่กแล้วค่อยใส่
ซดร้อนร้อน คล่องคอ อย่าบอกใคร
นะลูกนะ กินได้ ตั้งหลายมื้อ

กล้วยน้ำว้า ก็มี หวีใหญ่ใหญ่
อย่าอายเลย นะทรามวัย ที่จะถือ
พริกขี้หนูสดใหม่สองกำมือ
เรามีของ ไม่ต้องซื้อ เขาแพงแพง

นี่ขนุนจำปาดะเนื้อดี๊ดี
อาจจะหนักไปหน่อยนี่ แม่เฉือนแบ่ง
มะละกอแขกดำ เนื้อแด๊งแดง
แม่จัดแจงใส่กระเป๋า เจ้าแล้วนะ

อาจจะถือพะรุงพะรังบ้างนิดหน่อย
ถึงกรุงเทพฯ ก็อร่อย ทั้งนั้นหละ
ทั้งอาหาร เสื้อผ้า สัมภาระ
ถือดีดีนะลูกนะ ให้ระวัง

ทั้งรถราก็มากมายอย่าประมาท
ลูกพลั้งพลาด แม่คงช้ำ น้ำตาหลั่ง
รักษาเนื้อ รักษาตัว สะตุ้งสะตังค์
แม่นี้อยู่ข้างหลัง จะอวยชัย

จะสวดมนต์ภาวนา จิตแน่วแน่
ให้ลูกแม่ อนาคต สุขสดใส
ให้แคล้วคลาดโดยตลอด ให้ปลอดภัย
ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ให้คนรัก

คุณธรรมความดีเป็นที่ยึด
ความประพฤติทั้งหลายให้แน่นหนัก
อยู่กรุงเทพฯ ไกลแท้ แม่ห่วงนัก
ไกลจากอกแม่ปกปักยากเต็มที

นี่หลวงพ่อองค์น้อย ห้อยคอเถิด
ชีวิตลูกจะประเสริฐสมศักดิ์ศรี
เป็นคนดี นะลูกนะ เป็นคนดี
ทั้งกายใจ ไร้ราคี พระคุ้มครอง

เป็นคนดี นะลูกนะ เป็นคนดี
จำเริญจำเริญ ขวัญชีวีแม่คุ้มครอง!

คำตอบของการตื่นเช้าในวันหยุดของฉันวันนี้ก็คือ ฉันจะไปเดินตลาดสด เพื่อซื้อผักปลามาใส่แกงส้มที่แม่ฉันตำน้ำพริกแกงไว้ให้เมื่อคราวกลับไปเยี่ยมบ้านครั้งล่าสุด นานเต็มที ที่ชีวิตในเมืองหลวงของฉัน เหินห่างจากตลาดเช้า ซึ่งเป็นเสน่ห์ของวิถีชีวิตที่ติดดินแบบวิถีไทยดั้งเดิม ความเร่งรีบในชีวิตเมือง บางทีก็ทำให้เราฝากท้องและโภชนาการไว้กับร้านอาหารนอกบ้าน จนลืมการเข้าครัว ทำอาหารแบบไทยๆ ที่อร่อยเหลือใจและดีต่อสุขภาพ


คว้าโทรศัพท์มือถือ กระเป๋าเงินและกุญแจบ้านใส่ในถุงผ้าที่พิมพ์ลายเป็นชื่อเว็บไซต์ที่ฉันเคยเป็นเว็บมาสเตอร์ เดินทอดน่องไปตลาด ระยะทางราวๆ ห้าหกร้อยเมตรแค่นี้นับว่าเป็นเรื่องเล็ก ถ้าเทียบกับเมื่อคราวลาพักร้อนครั้งก่อน ที่ฉันพักชีวิตชาวเน็ตไปเป็นชาวดอย เดินขึ้นลงภูเขาวันหนึ่งตั้งหลายกิโลเมตร จะว่าไป การไปเที่ยวดอยครั้งนั้น เหมือนเป็นสิ่งเน้นย้ำ ที่ทำให้ฉันยิ่งเชื่อมั่นว่า ชีวิตสมัยใหม่ ที่รายล้อมไปด้วยวัตถุและเทคโนโลยีไฮเทค ไม่ใช่อุปสรรคที่จะทำให้เรารู้จักจัดสรรเวลาในการพาตัวเองเข้าไปหาและกลมกลืนกับธรรมชาติ ตราบใดที่หัวใจเราเรียนรู้ว่า อะไรคือความสุขพอดีที่เราต้องการ

ที่ตลาดฝั่งโขง ตลาดสดขนาดใหญ่ของดอนเมือง พ่อค้าแม่ขายมากหน้าหลายตามีอาหารสดสารพัดมาวางขาย ทั้งเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ และยังพ่วงท้ายด้วยของแห้งคู่ครัวต่างๆ ฉันได้ผักหลายชนิดและกุ้งสดที่จะทำให้แกงส้มมื้อพิเศษอร่อยเด็ดเหลือใจ ดอกขจรเอาไปผัดไข่ ปลาอินทรีเค็มเอาไปทอด ตั้งใจว่าจะหาผลไม้ติดไว้ซักหน่อย เป็นแอปเปิ้ลก็คงดี สุภาษิตฝรั่งว่าไว้ กินแอปเปิ้ลแค่วันละผล ก็พ้นจากการไปหาหมอ ฉันซื้อมาก กินมาก สุขภาพจะดีมากตามไปด้วยมั้ยนะ

ยังไม่ทันถึงแผงร้านผลไม้ ฉันก็ต้องสะดุดกึกเหมือนต้องมนต์สะกด ตรงพื้นฟุตบาท กระจาดสองใบ ที่มีกล้วยน้ำว้า ตำลึงและผักบุ้งท้องนา พร้อมป้าคนขาย และเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ ทำให้ฉันต้องหยุดมองและพูดคุยสองสามคำ...ท้ายที่สุด ฉันยื่นแบงค์ร้อยให้น้องไป แล้วฉันก็ได้กล้วยน้ำว้ามาสองหวี ตำลึงและผักบุ้งอีกอย่างละสี่กำ...

ฉันเดินกลับมาบ้าน จัดการทำแกงส้มผักรวม ดอกขจรผัดไข่ และปลาอินทรีเค็มทอด ทำเสร็จ  ก็ดูโทรทัศน์ไป กินไป ผักบุ้งและตำลึงที่อยู่ในตู้เย็น คงจะเป็นอาหารสำหรับพรุ่งนี้...ฉันก็ไม่แน่ใจหรอกว่าถึงพรุ่งนี้ ผักพื้นบ้านทั้งสองอย่าง จะยังสดอร่อยอยู่หรือเปล่า แต่จะเป็นไรไป ในเมื่อฉันไม่ได้ซื้อแค่ผักหรืออาหารนี่นา...ความรู้สึกฉันบอกเช่นนั้น

ถ้าคุณเป็นฉัน...เด็กผู้หญิงตัวผอมๆ ดำๆ หัวฟูๆ ที่เกิดและเติบโตมากับธรรมชาติและวิถีชนบท เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ อยู่กับท้องไร่ท้องนา พายเรือมาหลายคลอง หาปลามาหลายหนอง ปะเหมาะเคราะห์ดี ที่เป็นเด็กเรียนดี มีครูดี เพื่อนดี และชีวิตส่วนใหญ่ก็พบเจอแต่คนดีๆ ทำให้ มีโอกาสได้เป็นนักเรียนทุนในมหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติ ได้เข้าเฝ้ารับพระราชทานรางวัลต่างๆ มากมายจากพระบรมวงศานุวงศ์และบุคคลสำคัญ ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปดูงานด้านสื่ออินเทอร์เน็ตที่ต่างประเทศ และได้งานที่แม้จะไม่โก้หรูล้ำเลิศแต่ก็เป็นงานที่ทำให้ชีวิตมีความสุขในทุกวัน... คุณจะเข้าใจ ที่สำคัญ สิบกว่าปีที่แล้วนั้น ฉันก็เคยนั่งกับพื้นฟุตบาท ช่วยแม่ขายของในตลาดแบบน้องคนนี้ คำว่า รากเหง้า และ เบ้าหลอม มีอิทธิพลอย่างนี้นี่เอง 

ฉันไม่ได้ซื้อแค่ผัก แต่ฉันซื้อภาพความทรงจำและความสุขในอดีตของตัวเองมาไว้ดื่มด่ำ  ฉันไม่ได้ให้แค่เงินทองแลกของซื้อขายกับน้องคนนั้น แต่ฉันให้โอกาสเล็กๆ กับเธอ เหมือนที่ฉันเคยได้มาอย่างสม่ำเสมอในชีวิต ที่สำคัญ ถ้าฉันกินอาหารที่ซื้อมากจากป้าและลูกสาว ฉันคงไม่ได้อิ่มแค่กาย...แต่อิ่มไปถึงหัวใจ อย่างแน่นอน

เพื่อนคนสนิท ส่งข้อความผ่านมือถือมาหา ชวนฉันไปพักผ่อนที่ทะเลระยองในวันหยุดอาทิตย์หน้า  ฉันตอบตกลงทันที เพราะจะได้มีโอกาสแวะไปเยี่ยมแม่ด้วย แต่สำหรับอาทิตย์นี้ ฉันยังมีภารกิจต้องไปดูหนังเรื่องนึงก่อนที่จะลาโรง หนังฝรั่งชั้นดีที่ซ่อนปรัชญาตะวันออกไว้อย่างแนบเนียน ตบท้ายด้วยการแวะร้านต้นไม้ หาตะบองเพชร และพลูด่างสวยๆ มาตั้งข้างๆ คอมพิวเตอร์ที่บ้าน 

แม้ใครจะบอกว่า การที่เราอยู่ในเมืองใหญ่ มีชีวิตสมัยใหม่ แล้วจะทำให้หัวใจเราเป็นเครื่องจักรเครื่องกลไปด้วย ฉันขอปฏิเสธอย่างที่สุด เทคโนโลยียังสามารถไปกันได้ดีกับธรรมชาติ พอๆ กับที่เราสามารถพัฒนาคุณภาพของชีวิตควบคู่กับการพัฒนาคุณธรรมของจิตใจได้ หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตและสังคมของเรา ยังสามารถที่จะปรับปรน และกลมกลืนได้อย่างลงตัว...เพียงแต่เรารู้ว่า วันนี้ พรุ่งนี้ และวันต่อๆ ไป คุณค่าและความสุขที่แท้จริงของชีวิตเรา...อยู่ที่ตรงไหน

ท้ายที่สุด เพียงอยากจะบอกว่า ทุกตัวอักษรที่ฉันเขียนขึ้นนี้ เป็นความจริงทั้งหมด อาจจะเรียบๆ ง่ายๆ... อาจจะไม่ได้สูงส่งงดงาม แต่ฉันก็ทำด้วยความตั้งใจและสุขใจ ขอบคุณคอมพิวเตอร์ ตัวแทนความสมัยใหม่ ที่ช่วยให้ฉันได้ถ่ายทอดเรื่องราวเล็กๆ ของชีวิตคนธรรมดาๆ สู่สายตาและสู่หัวใจของใครๆ อีกหลายคน...				
14 มิถุนายน 2547 01:07 น.

นางฟ้าของปาน

จันทร์เพ็ญ จันทนา


ปานรู้สึกกระสับกระส่าย เห็นแม่นั่งเด็ดต้นหอมผักชี และกำลังเตรียมของมากมาย สำหรับขายก๋วยเตี๋ยว ทุก ๆ เย็นแม่กับน้าจะไสรถเข็นไปขายของตรงแถบตึกที่มีการก่อสร้าง ลูกค้าก๋วยเตี๋ยวส่วนใหญ่ของแม่ก็เป็นพวกคนงานก่อสร้าง

ใช่...อาชีพคนงานก่อสร้างและ พวกกรรมกร ปานชินชาเสียแล้ว ก็เพราะพ่อของปาน ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของสังคมนี้ ปานเป็นลูกคนงานก่อสร้างที่เหมือนกับเด็กอีกหลายคน ที่ขาดโอกาสทางการศึกษา ไม่ใช่ปานไม่ เคยเรียนหนังสือ ปานเคยเรียนจนถึง ป.2แล้วก็ต้องออก เพราะอาชีพของพ่อ ต้องอพยพโยกย้ายอยู่บ่อย ๆ ไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง อยู่ที่ไหนได้ไม่นาน พอหมดการก่อสร้างก็ต้องย้ายไปที่อื่น ๆ อีก ปานเคยรบเร้าขอเรียนหนังสือต่อ แต่พอปานพูดเรื่องนี้กับแม่ทีไร แม่ก็ทำท่าจะร้องไห้ทุกที เมื่อปานรู้อย่างนี้ปานก็ไม่เคยพูดเรื่องเรียนกับแม่อีกเลย


เพราะการที่ไม่ได้เรียนหนังสือนี่เอง ที่ทำให้ปานเหงาไม่รู้จะทำอะไรไปช่วยแม่ ขายก๋วยเตี๋ยวเรอะ ไม่สนุกสักนิด ร้อนก็ร้อน จะออกไปวิ่งเล่น แม่ก็ห้ามแม่คงกลัวปาน เป็นอย่างน้ำฝนกระมัง คิดถึงเรื่องน้ำฝน ปานยังกลัว ๆ ไม่หายปานกลัว..กลัวมากจริง ๆ ก็เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง น้ำฝนซึ่งเป็นลูกลุงชัย ช่างฉาบปูนเพื่อนของพ่อที่อยู่ห้องถัดไป จากห้องของปาน โดนปั้นจั่นหล่นลงมาทับตาย ใคร ๆ เห็นก็สลดใจเป็นที่สุด ลุงชัยกับป้ามาลี กอดศพลูกสาวร้องไห้อย่างน่าเวทนา แต่เถ้าแก่เจ้าของบริษัทก่อสร้างกลับเกรี้ยวกราด

" ก็เด็กมันเดินยุ่มย่ามไม่รู้เรื่องเองนี่หว่า ไม่ต้องมาโวยวายเรียกร้องเงินทองนา อั๊วไม่ จ่ายแน่นอน มีลูกก็ไม่ดูให้ดี ซวยชิบ!"


เถ้าแก่สั่งเรื่องนี้ให้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับ เพียงอาทิตย์กว่า ๆ ทุกคนก็ลืมเรื่องนี้กัน แต่ปานยังไม่ลืมหรอก สภาพศพเละเทะนั้น แทบจำไม่ได้ว่าเป็นน้ำฝนที่ปานเคยรู้จัก ทั้งสงสาร กลัว แล้วก็ติดตา นึกแล้วขนลุกอย่างนี้ถึงแม่ไม่ห้ามปานก็คงไม่ไปยุ่งแถวก่อสร้างหรอก ปานกลัวเป็นน้ำฝนคนที่สองนี่นา


เมื่อเดือนที่แล้วพ่อและเพื่อนคนงานอื่น ๆ ย้ายมาทำก่อสร้างที่นี่ ตอนมาใหม่ ๆ ปานตื่นเต้นที่สุด เพราะเห็นพี่ ๆ เขาแต่งเครื่องแบบนักเรียน สวยงาม เออ...ไม่ใช่นักเรียนสิ พี่ ๆ พวกนี้เขาเป็นนักศึกษา หน้าตาสดใสกันทั้งนั้น ที่นี่เขาเรียกมหาวิทยาลัย ใช่!มหา วิทยาลัย ปานท่องตั้งนานกว่า จะจำได้ ปานไม่รู้หรอกว่าทำไมเขาถึงเรียกอย่างนี้ คงเพราะมันมีอะไร ๆเยอะแยะไปหมดกระมัง มีทั้งคน รถเก๋งสีสวย ๆ ตึกหลังใหญ่ ๆ พวกนักศึกษาก็เป็นหนุ่มสาว ไม่ใช่เด็ก ๆ อย่างปาน เห็นตึกใหญ ๆ แล้วปานภูมิใจจัง พ่อปานเก่งที่สุด สร้างตึกสวย ๆ สูง ๆ มาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว 


แต่ปานก็สงสัยอยู่ว่า เมื่อไหร่พ่อจะสร้างตึกอย่างนี้ให้ปานอยู่บ้างหนอ ปานเคยถามพ่อ พ่อก็จะคว้าปานไปกอดแล้วบอกว่า

"ตึกสวย ๆ น่ะมันที่อยู่ของพวกคนมีเงิน พวกเศรษฐีเขาลูกเอ๊ย อย่างเราน่ะมีที่ซุกหัวนอนก็บุญแล้ว" 


แม่เองก็ว่าต้องมีเงินเยอะเท่านั้น ถึงจะทำอะไรได้ เอ..แต่ปานก็มีเงินนี่นา ปานเก็บไว้ในกระปุกออมสินตั้งเยอะแล้ว ไม่แน่นะ ถ้าปานเก็บ เงินได้มาก ๆ ก็อาจพอจะ อยู่ตึกสูง ๆ มีรถคันโต ๆ สวย ๆ ขับได้ว่าแต่ว่า...จะต้องมีเงินมากสักแค่ไหนหนอ ถึงจะพอ... ปานเองก็ยังสงสัยอยู่


แต่บ้านที่ปานอยู่ทุกวันนี้ก็ดีแล้วหละ สำหรับความรู้สึกของปาน มีสังกะสีกั้นไว้เป็นห้อง ห้องละครอบครัว ห้องของปานอยู่ริมสุด ติดกับตึกเรียนหลังหนึ่ง ตึกนี้ดีนะ มีคนสวย ๆ มาเรียนเยอะ ปานชอบไปแอบยืนดู โดยเฉพาะตามโคนต้นไม้ที่มีโต๊ะหินอ่อนตั้งอยู่ จะมีพี่ ๆ นักศึกษาสวย ๆ หลายคนมานั่ง ท่าทางแต่ละคน เหมือนนางเอกในละครวิทยุ ที่ปานฟังกับแม่เป็นประจำเลย


ปานอยากจะคุย อยากจะพูดกับพี่ ๆ พวกนั้นเวลาปานไปแอบยืนดูพวกเธอ เห็นเธอเหล่านั้นพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะใส ๆ ดังมาเป็นระยะ ๆ ทำยังไงนะ ปานจะรวบรวมความกล้าของตัวเอง เข้าไปพูดคุยกับพวกเธอบ้าง ใคร ๆ หลายคนเคยเอ่ยปากชมปาน ว่าเป็นเด็กที่น่ารัก แต่ถึงอย่างไรปานก็รู้ตัวดีว่าเนื้อตัวปานออกจะมอมแมม เสื้อผ้าของปานไม่ขาวสะอาดเหมือนพี่ ๆ พวกนั้น 


นางเอก...นางฟ้าของปาน พวกเธอจะสนใจ บ้างไหมนะถ้าปานเข้าไปคุยด้วย พวกเธอจะเอ็นดูปานเหมือน ที่ใคร ๆ เอ็นดูหรือเปล่า ปานจินตนาการเห็นภาพของตัวเองอยู่ท่ามกลางพี่ ๆ พวกนั้น เป็นเด็กน้อย ท่ามกลางหมู่นางฟ้า ปานเฝ้าด้อม ๆ มอง ๆ มาหลายวัน คอยที่จะเข้าไปหาพวกเธอ คอยโอกาส และคอยความกล้าของตัวเอง ถึงวันนี้ เดี๋ยวนี้ ปานก็ได้แต่เฝ้าบอกตัวเองว่ายังไม่กล้าพอ ทั้ง ๆ ที่ก็ตั้งใจไว้แล้ว ตั้งแต่เมื่อคืนแต่อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เช้าจนถึงสาย ๆ ปานก็ยังคลุกอยู่กับแม่และน้า ช่วยหยิบโน่นจับนี้ไปตามเรื่อง ทั้ง ๆ ที่ปานรู้ดีว่า ใจตัวเองไปอยู่ที่พี่ ๆ พวกนั้นแล้ว อากาศในห้องร้อนอบอ้าวเต็มที่ ทำให้ปานพาลหงุดหงิด แม่คงสังเกตเห็น

" เป็นอะไรไปน่ะปานเอ้ย หน้าหงิกเชียว ร้อนละซิท่า ไปเดินเล่นข้างนอกไป๊ แต่อย่าไปไกลนะ แม่เป็นห่วง ยิ่งมีเอ็งคนเดียวด้วย " 

ปานเดินออกมาจากห้องพัก ไม่รู้จะไปไหนดี แต่แล้วเท้าของปานก็มา หยุดอยู่ตรงมุมตึก บริเวณที่ปานเคยมาแอบยืนดูพี่ ๆ พวกนั้นเป็นประจำ ตอนนี้คงเป็นเวลาพักเที่ยงแล้ว พวกพี่ ๆ นางฟ้าของปาน จับกลุ่มคุยกันอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนตัวเดิม เอ๊ะ! นั่นพวก เธอกำลังดูอะไรกันอยู่หรือน่ะ เท่าที่ปานเห็น รู้สึกจะเป็นผ้าสีชมพู ๆ ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ปานเดินเข้าไปใกล้พวกเธอเรื่อยโดยไม่รู้ตัว สายตาของปาน ก็จ้องแป๋วไปที่ของ ชิ้นนั้น ที่พี่คนถักเปียเขาเอาวางไว้ที่ม้านั่งข้าง ๆ ตัว อ๋อ! ปานรู้แล้วล่ะ ที่แท้เจ้าผ้าสี ชมพูสวย ๆ นั่นคือโบว์สำหรับติดผมนั่นเอง ความสนใจและเพราะความลืมตัวทำให้ปานเดิน ไปจนใกล้พวกพี่ ๆ เอื้อมมือไปจะจับมัน ช่างสวยจับใจจริง ๆ นางฟ้าคนสวยมีแต่ของสวย ๆ ทั้งนั้น แต่...

"ว้าย! ไอ้เด็กบ้า! นี่จะมาขโมยของเหรอ ไป...ตกใจหมด " 

ปานสะดุ้งเฮือก ด้วยความตกใจสุดขีด เด็กหญิงส่ายหน้าน้อย ๆ ไม่มีคำพูดใด ๆ เล็ดลอดออกมา จากปานของปาน นางฟ้า...นางฟ้า.. ปานวิ่งหันหลังกลับ วิ่ง...วิ่ง

แล้วก็วิ่ง วิ่งเร็วที่สุดในชีวิต กลับไปที่ห้องของตัวเอง ห้องที่เล็ก แคบ และสกปรกเหมือนรูหนูของปานไม่มีใคร อยู่สักคน ปานถลาเข้าไป ตรงกองฟูก ซบหน้าลงกับหมอนที่เก่าและเหม็นสาบ รู้สึกเจ็บปวดแปล๊บ ๆ ที่ตรงหัวใจ มือกำผ้าห่มแน่น... แล้วปานก็ร้องไห้ 				
24 พฤษภาคม 2547 15:23 น.

รับหนัง (สือ) ดราม่าอุ่นๆ เหงาๆ งามๆ ซักเรื่องมั้ยคะ?

จันทร์เพ็ญ จันทนา

เมื่อหลายปีก่อน สุวรรณี สุคนธา เขียนถึงลูกชายที่ชื่อ "น้ำพุ" เพื่อเป็นหนังสือแจกงานศพของเขา ลึกซึ้งด้วยความรู้สึกของแม่ และเป็นอุทาหรณ์ที่ดีของสังคม ต่อมาน้ำพุ ก็กลายเป็นหนังสือนอกเวลา เป็นหนังสร้างชื่อ และเป็นละครโทรทัศน์ที่หลายๆ คนยังประทับใจ 

      วันนี้ ฉันมีหนังสือในมือเล่มหนึ่ง เป็นงานกวีนิพนธ์ ความยาวร้อยกว่าหน้า "พอวา ชีวิตเธอเป็นบทกวีนิรันดร์" คือชื่อหนังสือ งานเขียนของ "คำ พอวา" เขาอาจจะเป็นนักเขียนที่ไม่ได้โด่งดังนัก แต่งานชิ้นนี้ ละเอียด ละเมียด มีชีวิต และ ความรู้สึกเต็มเปี่ยม ฉันเชื่อว่า คำ พอวา ไม่ได้เรียงร้อยเรื่องราวทั้งหมดในเล่มมาจากความเป็นกวี แต่น้ำหนักอยู่ที่ความเป็นพ่อ ที่สูญเสียลูกสาวอันเป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับต่างหาก 

      จริงอยู่ เรื่องราวเล็กๆ ของเด็กผู้หญิงวัยหกขวบ อาจไม่ถูกถ่ายทอดสู่สื่อหลายสื่อ สู่คนหลายคนอย่างเรื่องราวของน้ำพุ แต่ความลึกซึ้งดื่มด่ำ ที่แม่เขียนถึงลูกชายในน้ำพุ และ พ่อเขียนถึงลูกสาวในพอวา หนังสือสองเล่มนี้ ทำหน้าที่ได้ใกล้เคียงกันที่สุด 

      อ่านหนังสือเล่มนี้จบ เชื่อได้ว่า เราจะรู้จักเด็กหญิงผู้มีชื่อที่แปลว่า "ดอกไม้สีขาวบนภูเขา" เป็นอย่างดี และบางที อาจจะไม่ใช่แค่รู้จัก แต่อาจพ่วงความรู้สึก รัก เสียดาย อาลัย เข้ามาด้วย ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นนางงาม หรือ รักเด็กหรือไม่ก็ตาม เพราะชีวิตดอกไม้ขาวเล็กๆ ของเธอ คือภาพผสมของความบริสุทธิ์ อ่อนโยน สดใส มีชีวิตชีวา เป็นความรัก เป็นของขวัญที่มีความหมายของหลายๆ คนในแบบที่เราสัมผัสได้ 

      กวีนิพนธ์เล่มนี้ เหมือนเป็นสายใยเชื่อมภาพของครอบครัวที่อบอุ่นและคนเคยคุ้นในวงการน้ำหมึกเป็นอย่างดี คำ พอวา ผู้เป็นพ่อเขียนเรื่องราวแห่งความรักอาลัย, เด็กหญิงพอวา เป็นเจ้าของภาพประกอบทั้งหมดในเล่ม,'รงค์ วงษ์สวรรค์ เขียนคำนำ และ ตบท้ายด้วย บทกวีร้อยตามดวงดอกไม้ ของนักเขียนอีกหลายต่อหลายคน อย่างเทพศิริ สุขโสภา, กานติ ณ ศรัทธา, พจนาถ พจนาพิทักษ์, ศักดิ์สิริ มีสมสืบ, ประกาย ปรัชญา และ ไม้หนึ่ง ก. กุนที เป็นต้น 

      เขียนจากใจ ไม่ใช่เขียนจากสมอง เขียนจากความรู้สึก ไม่ใช่เขียนจากเหตุผล น่าจะเป็นคำอธิบายส่วนหนึ่งของงานกวีนิพนธ์ชุดนี้ได้ ข้อเขียนของสุรสม กฤษณะจูฑะ ในช่วงหนึ่งของตอนต้นหนังสือ กระทบใจฉันจังเบ้อเร่อ "การรับรู้ชะตากรรมของชีวิตเล็กๆ มีส่วนสำคัญไม่น้อยกว่าการหยัดยืนเพื่อต่อสู้ชะตากรรมของโลก" สังคมกว้างใหญ่ คือแผ่นน้ำผืนกว้างที่เกิดจากการรวมตัวของธารชีวิตเล็กๆ และหลายๆ ครั้ง การเข้าใจปรัชญาคุณค่าของชีวิตอย่างลึกซึ้ง ก็มีรากฐานมาจากการความรู้สึกร่วมพื้นๆ ของคนธรรมดาๆ นี่เอง 


"พ่อนั่งเขียนบทกวีด้วยความรู้สึกใหม่ทุกวัน
โอสถชั้นเยี่ยมละลายความโศกเศร้า
แต่อีกกี่ชิ้นถั่งโถมออกมาเล่า จึงจะพอเพียง
เยียวยาเนื้อเยื่อภายในที่แตกสลาย และหายใจได้ไม่ลำบาก"

เพลงปลอบ: คำ พอวา


"ถ้าเธอรู้ล่วงหน้า โลกปิดฉากลงง่าย ๆ
เธอคงไม่ตั้งความหวังไว้กับรอยเท้าวันพรุ่ง
ละวางก้าวย่างที่ผ่านเลยลงเสียบ้าง
แล้วเพ่งมองความจริงจากลมหายใจ
เธอจะได้มีชีวิตอยู่ เพียงวันนี้จริงจริง"

แดดยามบ่าย (2): คำ พอวา


หนังสือเล่มนี้ เหมือนหนังดราม่า ที่ผูกเรื่อง 
สร้างตัวละครเอกไว้มีเสน่ห์เหลือเกิน 
ภาษาละเมียดเรียบสะอาดอย่างกวีนิพนธ์ 
แต่เรื่องราวลึกซึ้งสะท้านใจอย่างนิยายชีวิต 
ที่สำคัญ การมองและรู้สึกจากคนเขียนคำหลายๆ คน
ทำให้เราได้ถอยห่างและมองภาพรวมจากจุดเล็กๆ 
ที่ต่าง ภายใต้ภาพใหญ่ภาพเดียวกัน

"เจ้าหญิงองค์น้อย ไปร้อยเรียวเดือน
มาเย้ามาเยือน เหมือนยังมีอยู่
เป็นลมเริงริน ยินดีเอ็นดู
ห้อมพรม หอมพรู ผู้คนหายใจ"

ประกาย ปรัชญา:


"พอแล้ว พอวา พอเถิด
พราวพรู ประตูเปิด บรรเจิดจ้า
เกิดดับ เกิดดับ ธรรมดา
พอเถิด พอวา พอแล้ว

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
พอเถิด พอวาพอแล้ว"

- ศักดิ์สิริ มีสมสืบ- 


      โดยธรรมดาแล้ว ความสูญเสีย ความปวดร้าว และความเหงา น่าจะนำไปสู่ความเหน็บหนาวในหัวใจ แต่อ่านหนังสือเล่มนี้จบ ในรอบแรก และรอบซ้ำๆ กลับนำมาซึ่งความรู้สึกอบอุ่น เพราะแท้จริงแล้ว ความรักเป็นนามธรรมที่จะยังอยู่เสมอ แม้ในวันที่ความรักรูปธรรมได้จบลง บริสุทธิ์ งดงาม อ่อนโยน และแว้บนึงของความรู้สึก "ฉันคิดถึงพ่อ"				
31 มกราคม 2547 16:20 น.

ดอยอินทนนท์ หน้าฝน และคนใจดี

จันทร์เพ็ญ จันทนา

"อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ "ขึ้นชื่อลือชา เรื่องความสวยงามของไม้เมืองหนาว จนใครต่อใครต่างเชื่อว่า ถ้าจะเที่ยวดอยอินท์แบบแฮปปี้สุดชีวิต สวยสุดชีวา ต้องหน้าหนาวเท่านั้นจะมีซักกี่คนที่รู้ว่า เสน่ห์ของดอยอินท์หน้าฝน นั้นตรึงหัวใจได้เพียงไหน

ก่อนที่จะพาคุณเที่ยวจริง พักผ่อนจริง ขอบอกเล่าข้อมูลคร่าวๆ ของดอยอินท์กันซักหน่อยค่ะอันว่าดอยอินท์นั้น ตั้งอยู่ที่อำเภอสันป่าตอง อำเภอจอมทอง และอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เอกลักษณ์ ที่โดดเด่นคือ เป็นยอดเขาสูงที่สุดในประเทศไทย เป็นแหล่งปลูกพืชเมืองหนาวของไทย และมีภูมิอากาศหนาวเย็นตลอดปี และเป็นที่ที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวตลอดปี แม้ในฤดูร้อน ขนาดพื้นที่โดยประมาณ 482 ตารางกิโลเมตร หรือ 301,500 ไร่

การไปเที่ยวดอยอินทนนท์ หลายคนก็คงมีวิธีการที่หลากหลาย แต่จะบอกให้ เราไปคราวนี้ (เป็นครั้งแรก) เดินทางโดยรถไฟ ไปต่อสองแถว ไปต่อรถเหมา แล้วหลังจากนั้น เราก็เป็นหนุ่มสาวนักโบกกันเป็นว่าเล่นไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะสี่ห้าวันของชีวิตบนดอยอินท์ เราพักผ่อนนอนอาศัยกันที่บ้านพักอุทยาน (ซึ่งต้องมีการจองล่วงหน้า) แต่การสัญจรไปไหนมาไหน เราใช้เท้าสำหรับเดิน และใช้มือสำหรับโบกแค่นี้ก็เอาอยู่แล้วค่ะ 

 การโบกรถเที่ยวดอย ให้อะไรมากกว่าที่คิดค่ะ เราได้ดื่มด่ำน้ำใจไมตรีชาวเหนือ และชาวเขาใจดี (สำเนียงการพูดของเขาไม่มีตัวสะกด แต่น้ำใจของเขา สะกดใจเราไว้ได้จริงๆ) เด็กๆ ชาวเขา ตาใสๆ แก้มแดงๆ ตาหยีๆ แต่เปี่ยมด้วยท่าทีของความเป็นมิตร แล้วทำให้เรารู้สึกว่า ความซื่อใส รอยยิ้มอายๆ แบบไร้เดียงสานั้น น่ารักเพียงใด

ยิ่งสูงยิ่งหนาว แต่เรายิ่งอบอุ่นอิ่มเอม ฤดูฝนอันฉ่ำชื้น ทุกที่ทุกทาง ต้นไม้เขียวขจี อากาศสะอาดชื่นใจ เหมือนพาร่างกายและหัวใจมาอัพเกรด คนที่ไปด้วย รำพึงให้ฟังเรารู้สึกกันเช่นนั้นจริงๆ

ความอุดมสมบูรณ์ของป่าดึกดำบรรพ์ ชักชวนให้เราเพลิดเพลินกับการศึกษาโยงใยแห่งชีวิตของธรรมชาติ หากใครจินตนาการถึงโลกดึกดำบรรพ์ไม่ออกละก็ สามารถหาดูได้ที่นี่แหละ ต้นไม้ปกคลุมด้วยตะไคร่และพืชพรรณจำพวกมอส เฟิร์น แบบที่เรียกว่า ต้นไม้ห่มผ้า ผสมผสานกับเสน่ห์ของหมอกเหมยที่ห่มป่าอินทนน์จึงสงบ สงัด และสวยงาม

ที่นี่ ยังมีน้ำตกสวยๆ ให้ลงแหวกว่ายเล่น หรือเพียงนั่งมองกระแสธารเย็นๆ ก็ฉ่ำชื้นหัวใจ ไม่ว่าจะเป็น น้ำตกแม่ยะที่มีระดับความสูงกว่า 280 เมตรด้วยชั้นน้ำตกถึง 30 ชั้น นับเป็นน้ำตกที่สวยงามและสูงใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย น้ำตกวชิรธาร น้ำตกที่มีน้ำไหลตลอดปีจากความสูง 80 เมตรสู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง ที่นี่ เรานั่งเอาเท้าแช่น้ำ ชมนกชมไม้ สบายใจเป็นที่สุด น้ำตกสิริภูมิ น้ำตกสองสายที่ได้รับขนานนามเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถอยู่ในแหล่งชุมชนขนาดใหญ่ของชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง น้ำตกแม่กลาง กลุ่มน้ำตกแม่ปาน ที่ชวนให้เราละลานกับมนต์เสน่ห์ที่งดงามฉ่ำชื้น

อ่างกาหลวงเป็นอีกจุดที่นักท่องป่าศึกษาไพรทั้งหลายไม่ควรพลาด เพราะเป็นจุดที่สามารถสัมผัสธรรมชาติของป่าดิบเขาได้ใกล้ชิดที่สุด มีเส้นทางเดินไม้นำเข้าสู่ป่าเป็นระยะทาง 300 เมตร พร้อมป้ายให้ความรู้ตลอดทาง นอกจากนี้ยังมีเส้นทางดูนกป่ากว่า 400 ชนิด (ดอยอินทนนท์ป็นแหล่งดูนกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่ง) พลาดไม่ได้ ก็คือการแวะไปนมัสการพระธาตุพระมหาธาตุนภเมทนีดล และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ งานสถาปัตยกรรมที่งดงาม สง่าตระหง่าน กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับทัศนียภาพโดยรอบ และที่นี่เอง เป็นจุดชมวิวที่ทำให้เรารู้สึกว่า เหมือนกับได้อยู่บนสรวงสวรค์ 

โครงการหลวงดอยอินทนนท์เป็นอีกที่หนึ่งที่ไปเยี่ยมไปเยือนแล้วอดไม่ได้ ที่จะรู้สึกชื่นใจกับความงามของพืชพันธ์ไม้เมืองหนาว ที่เป็นอาชีพ เป็นวิถีชีวิตการดำรงอยู่ที่เรียบง่ายของชาวเขาชาวดอย 

ฝนฝอยๆ ที่โปรยปรายมาในช่วงบ่ายๆ ของทุกวัน สายฝนปะทะหน้า ลมเย็นปะทะผิว และความอบอุ่นที่แผ่ซ่านประทับใจไม่ว่าวันนี้วันไหน ดอยอินทนนท์ก็จะยังเป็นมิติที่เปี่ยมเสน่ห์ รอให้เราไปสัมผัสกับความหมายของความสุข และความสงบงาม ไม่ลืมลา				
14 ธันวาคม 2546 10:55 น.

ผู้หญิงคนดี ผมสีดอกเลา

จันทร์เพ็ญ จันทนา

วันหยุดประจำปียาวๆ หากใครถามฉันว่าจะไปเที่ยวที่ไหน ฉันก็จะบอกว่า "กลับไปหาแม่" วันลาพักร้อน หากไม่ไปเที่ยวพักผ่อนกับเพื่อนฝูง การกลับไปหาและใช้ชีวิตช่วงสั้นๆ อยู่กับแม่ที่บ้านเกิด คือสิ่งที่ฉันจะทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่ฉันไม่รู้จักโต หรือติดแม่ แต่เพราะฉันเชื่อว่า ช่วงเวลาแห่งความสุขของฉันกับแม่ เป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับปัจจุบัน และจะเป็นความทรงจำ เป็นความประทับใจที่งดงามที่สุดสำหรับวันข้างหน้า

แม่ของฉัน ผู้หญิงชาวบ้านธรรมดา  ผมสีดอกเลา ผิวคล้ำ เพราะทำงานหนักมาตลอดชีวิต ใส่เสื้อผ้าแบบชาวบ้าน แม่ไม่ได้จบการศึกษาสายบริหารใดๆ แต่แม่ก็ดูแลลูกทุกคนได้อย่างไม่บกพร่อง แม่ส่งเสียให้ฉันได้มีโอกาสทางการศึกษาในมหาวิทยาลัย เพราะแม่เชื่อว่าความรู้คือสมบัติอันมีค่า ช่วยเหลือตัวเราเอง และยังช่วยเหลือสังคม ประเทศชาติได้ด้วย  

ฉันเป็นลูกคนสุดท้องที่แม่เรียกว่า"ไข่ลูกยอด" เพราะแม่มีฉันตอนอายุสี่สิบแล้ว ตอนแม่ตั้งท้องใครๆ ก็ทักท้วงให้เอาออกเพราะมีแนวโน้มที่จะปัญญาอ่อนหรือไม่แข็งแรง แต่แม่ไม่เชื่อ แม่เชื่อในความรักที่มีต่อลูก ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไรแม่ก็รัก ประโยคนี้ เวลานึกถึงครั้งใด ก็อดไม่ได้ที่จะซาบซึ้ง แล้วอย่างนี้ จะไม่ให้ฉันรักบูชาและประทับใจแม่ได้อย่างไร

แม่เลี้ยงฉันด้วยความอบอุ่น ไม่ใช่เลี้ยงด้วยเงินทองหรือวัตถุ แม่ยอมเหนื่อยยาก เป็นทั้งแม่บ้านและยังต้องช่วยพ่อทำงานเกษตรนอกบ้านทุกชนิด พ่อกับแม่ซื้อที่ดินไว้เป็นมรดกให้ลูกๆ ทุกคนจำนวนหนึ่ง นอกเหนือจากมรดกทางการศึกษา มันเป็นหยาดเหงื่อและแรงงานของท่านทั้งสองอย่างแท้จริง  

เมื่อฉันเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก ฉันก็สูญเสียพ่อ เหลือเพียงแม่กับพี่ๆ ซึ่งต่างก็มีครอบครัวกันหมดแล้ว การสอบเข้ามหาวิทยาลัย แม่ให้ฉันตัดสินใจตามความชอบ ความถนัด และความสามารถ โชคดีที่ฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ พร้อมๆ กับการได้ทุนการศึกษา จึงเบาใจเรื่องภาระค่าใช้จ่าย แต่ฉันก็ไม่วายเป็นห่วงแม่ เพราะการเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ทำให้ฉันต้องไกลแม่ แต่แม่ก็ยืนยันว่า แม่อยู่บ้านได้ มีพี่ๆ ซึ่งปลูกบ้านอยู่ไม่ไกลนักคอยดูแล มีค่า ช่วยเหลือตัวเราเอง และยังช่วยเหลือสังคม ประเทศชาติได้ด้วย 

ถ้ามีเวลาว่าง ฉันจะกลับบ้านไปหาแม่เป็นประจำ ทุกครั้งที่ได้กลับบ้าน คือการได้เติมความหวังกำลังใจอันวิเศษ คำสอนของแม่เป็นยาชูกำลังที่มีค่า ฉันและแม่ทำกับข้าว กินข้าวด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย กับข้าวฝีมือแม่อร่อยที่สุดในโลก แม่ดูแลฉันราวกับเป็นเด็กๆ พร้อมกับพูดว่า สำหรับแม่แล้ว ไม่ว่าลูกจะโตขนาดไหน แม่ก็ยังต้องรัก และห่วงอยู่เสมอ  

ในสังคมมหาวิทยาลัย ฉันเจอเพื่อนมากมาย แม่ของเพื่อนบางคนเป็นคุณหญิง เป็นภริยาทูต เป็นหมอ เป็นอาจารย์ แต่อย่างไรก็ตาม ฉันก็ไม่เคยอายที่จะบอกเพื่อนๆ ว่าแม่ของฉันเป็นใคร  ความความภาคภูมิและประทับใจในตัวแม่กลับยิ่งมีมากขึ้น ในความคิดของฉัน แม่เก่งที่สุด ที่สามารถส่งเสียให้ฉันได้มีโอกาสมายืนในจุดๆ เดียวกับลูกคนใหญ่คนโตที่เขามั่งมีเงินทองได้ หลายครั้งที่ท้อแท้กับการเรียนและปัญหาต่างๆ ในชีวิต แม่คือกำลังใจแรกที่ฉันนึกถึง

วันที่ฉันรับปริญญา แม่ลงทุนตัดเสื้อใหม่ทั้งชุด เป็นเสื้อลูกไม้สีขาว ผ้าซิ่นสีเขียว ตามแบบฉบับของแม่ ในสายตาของฉัน คิดว่าเป็นชุดที่สวยที่สุดในโลก แม่ร้องไห้ แต่ฉันก็รู้ว่าเป็นเพราะแม่ตื้นตันและภาคภูมิใจ แม่เป็นกันเองกับทุกคนที่ไปร่วมงาน จากวันนั้น เพื่อนๆ ของฉันก็ต่างพากันเล่าถึงความประทับใจที่พวกเขามีต่อแม่ แม่ดูซื่อๆ ใจดี นอกเหนือจากทำอาหารอร่อย จนเพื่อนๆ อิ่มไปตามๆ กัน

ลักษณะงานที่ทำ ทำให้ฉันยังต้องอยู่กรุงเทพฯ แต่ก็โชคดีที่ชลบุรีกับกรุงเทพฯ ไม่ไกลกันนัก ขอบคุณโทรศัพท์ ที่ทำให้ฉันคุยกับแม่ได้บ่อยเท่าที่ใจต้องการ ขอบคุณความเจริญของถนนหนทางที่ทำให้ฉันกลับบ้านได้ง่ายและสะดวก ทุกครั้งที่กลับบ้าน แม่ก็จะมานั่งรอที่หน้าบ้าน กับข้าวของโปรดจะต้องถูกจัดเตรียมไว้เป็นประจำ  

"คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะทำความดีได้"  นี่คือสิ่งที่แม่พร่ำสอนเป็นประจำ แม่คือแม่พระ คือแม่พิมพ์ คือผู้ให้สำหรับชีวิตและอนาคตของฉันอย่างแท้จริง ยิ่งเติบโต ยิ่งเห็นชีวิตเห็นสังคมและเห็นโลก ฉันยิ่งตระหนักซาบซึ้งในความรักอันยิ่งใหญ่ของแม่ ในทุกวันเกิด สิ่งแรกที่ฉันจะนึกถึงคือ แม่  เพราะในวันเกิดของเราคือวันที่แม่เจ็บปวดทุกข์ทรมานที่สุด การตอบแทนบุญคุณแม่ คือสิ่งที่ฉันยึดมั่นเสมอ และความประทับใจระหว่างฉันกับแม่..."ผู้หญิงชาวบ้านธรรมดา  ผมสีดอกเลา ผิวคล้ำ เพราะทำงานหนักมาตลอดชีวิต" ... ก็จะยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เป็นเรื่องราวความผูกพันลึกซึ้งที่บริสุทธิ์งดงาม ทั้งในภาพชีวิต และภาพความทรงจำตราบชั่วชีวิตของฉัน   				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟจันทร์เพ็ญ จันทนา
Lovings  จันทร์เพ็ญ จันทนา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟจันทร์เพ็ญ จันทนา
Lovings  จันทร์เพ็ญ จันทนา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟจันทร์เพ็ญ จันทนา
Lovings  จันทร์เพ็ญ จันทนา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงจันทร์เพ็ญ จันทนา