8 พฤษภาคม 2544 20:41 น.

Fun story 01

ผ่านมา...

20 กฎเหล็กยุทธภพ
1.พระเอกไมมีงานทำ แต่ก็มีเงินใช้ได้ตลอดทั้งเรื่อง 
2.ไม่ว่าหน้าผาจะสูงแค่ไหน ถ้าคุณเป็นพระเอก ยังไงก็ไม่ตาย 
3.หลังจากตกหน้าผา ถ้าไม่เจอคนใจบุญ(ผู้หญิงช่วยเอาไว้ ) ก้ต้องเจอสุดยอดคัมภีร์ 
4.ใครก็ตามที่อ้างว่าตนเองเป็นฝ่ายธรรมะ คนนนั้นมักจะเป็นคนเลว 
5.คนที่บ้ามักจะมีวรยุทธสูงพอๆกับความบ้า 
6.เวลาพระเอกได้เปรียบศัตรู มักจะใจดีปล่อยศัตรู ทั้งๆที่ปกติจะหาโอกาสยากอยู่แล้ว 
7.นางเอกมักเป็นลูกตัวโกง หรือไม่ก็อยู่พรรคมาร มักโดนเรียกว่านางมาร 
8.เวลานางเอกปลอมตัวเป็นผู้ชาย คนในเรื่องจะดูไม่ออก แม้คนทั้งโลกจะดูออกก็ตาม 
9.เวลาพระเอกหนาวหรือไอเย็นเข้าแทรก นางเอกมักจะเป็นผ้าห่มให้ 
10.เวลาโดนฝ่ามือลมปราณซัดจนบาดเจ็บ ถ้าเป็นผู้ชายกะผู้หญิง เวลารักษาจะต้องถอดเสื้อเดินลมปราณ แต่ถ้าเป็นผู้ชายกับชายจะไม่ต้องถอดเสื้อ 
11.ตัวละครที่อารมณ์ดีที่สุดในเรื่องมักจะเป็นตัวโกง เพราะต้องหัวเราะก่อนฆ่า 
12.ไม่ว่าจะได้รับบาดเจ็บรูปแบบใดก็ตาม เช่นโดนฟันขา ฟันแขน เลือดจะต้องออกทางปากเสมอ 
13.ถ้าเป็นตัวประกอบจะตายเร็วมาก แต่ถ้าเป็นตัวสำคัญจะใช้เวลาสั่งเสีย 2 ชม.กว่า 
14.ก่อนจะเงื้อดาบจะต้องข่มขวัญกันก่อน เช่น " ดาบข้าตีด้วยเหล็กเย็นใช้เวลา 7 ปี อาบเลือดคนมาแล้ว 100 ศพ" 
15.เวลาฝ่ายอธรรมมีคนมากกว่าฝ่ายธรรมะ มักจะเรียกว่าหมาหมู่หรือว่ารุม แต่ถ้าฝ่ายธรรมะมีมากกว่าเรียกว่า สามัคคีรวมใจปราบมาร 
16.ตัวละครมักจะกินมูมมามเสียงดังเลอะเทอะ แสดงว่าอาหารคนั้นอร่อย 
17.เวลาจะแอบดู ต้องเอานิ้วชุบน้ำลายแล้วเจาะประตูให้เป็นรู 
18.หมึกก็มีแต่ไม่ใช้ เวลาจะท้าประลอง ต้องกัดนิ้วแล้วใช้เลือดเขียน 
19.พิราบสื่อสารมักจะถูกฝ่ายตรงข้ามจับได้เสมอ 
20.หมอเทวดาส่วนมากมักเปิดคลีนิกอยู่ในป่า แล้วก็ไม่ชอบรับเงินซะด้วย				
5 พฤษภาคม 2544 18:32 น.

Love story 09

ผ่านมา...

ตอนจบของโดเรม่อน

ตอนจบของโดเรมอน 
อย่างที่คุณรู้อยู่แล้วว่า โดเรมอน เป็นการ์ตูนที่ไม่มีตอนจบ
แต่เรื่องต่อไปนี้ เป็นตอนจบของการ์ตูนดัง
มีบางคนได้เขียนเรื่องนี้ขึ้น และเก็บไว้ในโฮมเพจ และตอนนี้
ก็เป็นที่รู้จักกันไปทั่วญี่ปุ่น
โดยผ่านทางอินเทอร์เน็ท

---เนื้อหาเริ่มที่นี่------------------------

วันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันธรรมดาทั่ว ๆ ไป โนบิตะกลับมาจาก โรงเรียน
ขึ้นไปยังห้องนอน และพบโดเรมอนกำลังนอน หลับอยู่เหมือนปกติ นี่ !
โดเรมอน ตื่นมาเล่นกันเถอะ แต่โดเรมอนก็ยังหลับอยู่ โนบิตะคิดว่า
โดเรมอนคงเหนื่อยมาก จึงปลุกไม่ตื่น ดังนั้นโนบิตะ
จึงออกไปเล่นกับ ชิซูกะ และ เพื่อนคนอื่น หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง
โนบิตะกลับมายังบ้าน แต่โดเรมอน
ก็ยังหลับอยู่ โนบิตะรู้สึกแปลกใจ และพยายามปลุกโดเรมอน
แต่ก็ไม่ปฎิกริยาใด ๆ ทั้งสิ้นจากโดเรมอน โนบิตะเริ่มรู้สึกกลัว
และเหนื่อยที่จะปลุกโดเรมอน โนบิตะพยายามทำทุกอย่าง
แต่โดเรมอนก็ไม่ยอมตื่น โนบิตะรู้แล้วว่า มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป
และมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โนบิตะเริ่มร้องไห้โฮ
แต่โดเรมอนก็ไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว และแล้วโนบิตะก็คิดอะไรขึ้นมาได้
1 อย่าง และกระโดดเข้าไปในโต๊ะที่มีไทม์แมชชีน และ โนบิตะก็ได้ไปในอนาคต
เพื่อที่จะพบโดเรมีน้องสาวของโดเรมอน โนบิตะขอร้องให้โดเรมีช่วย
และฝืนใจโดเรมีให้กลับมาในปี 1998
หลังจากที่มาถึง โดเรมีก็ได้เข้าไปตรวจสอบในตัวโดเรมอนว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากนั้นไม่กี่นาที โดเรมีก็บอกโนบิตะว่า แบตเตอร์รี่หมด
โนบิตะถูกทำให้เชื่อว่าเป็นเช่นนั้นและถามโดเรมีเพื่อความแน่
ใจอีกครั้งว่า
แบตเตอรี่หมดหรือ ? อย่างงั้นโดเรมอนก็ไม่เป็นไรสิ ใช่ไหม? ถ้างั้น
ช่วยเปลี่ยยแบตเตอร์รี่ใหม่ให้หน่อยทำให้โดเรมอนกลับมามีชีวิตเหมือนเดิม
โดเรมีมองมาที่โนบิตะ และสั่นหน้า แล้วพูดว่า
ฉันควรจะเปลี่ยนแบตเตอร์รี่ใหม่หรือ 
โนบิตะจึงถามกลับว่า ทำไมโดเรมีจึงพูดอย่างนั้น
โดเรมีจึงตอบ ว่า แบตเตอร์รี่หลักของโดเรมอนอยู่ตรงนี้ ใกล้กับกระเป๋า
และก็ถูกใช้หมดแล้ว แต่จริง ๆ แล้วก็ยังมีแบตเตอร์รี่สำรองอยู่ที่หู
แต่อย่างทีรู้ ๆ กันอยู่ว่า หูทั้งสองข้างของโดเรมอนถูกหนูกินไป
เมื่อหลายปีก่อน
ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีแบตเตอรรี่สำรอง โนบิตะ จึงถามโดเรมี
เธอหมายความว่าไงน่ะ
ฉันหมายความว่า ถ้าฉันเปลี่ยนแบตเตอร์รี่ใหม่
โดเรมอนจะสูญเสียความจงจำทั้งหมด
เกี่ยวกับโนบิตะตลอดกาล แล้วฉันควรจะเปลี่ยนหรือ อะไรนะ โนบิตะปิดตา
แล้วก็ร้องไห้ แต่หลังจากนั้นไม่กี่นาที โนบิตะก็หยุดร้อง และพูดเบา ๆ
กับโดเรมีว่า
ขอบคุณมาก ผมจะจัดการส่วนที่เหลือเอง เธอควรจะกลับไปยังอนาคตได้แล้ว
โดเรมีไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ก็เข้าไปกอดโนบิตะ
แล้วโดเรมีก็ลาโนบิตะกลับบ้าน
หลังจากที่โดเรมีกลับไปแล้ว โนบิตะก็อุ้มโดเรมอนไปไว้บนชั้น

---- หลายปีผ่านไป------------

ในปี 2010 โนบิตะโตเป็นผู้ใหญ่ ตั้งแต่วันนั้น โนบิตะก็เปลี่ยนแปลง
และเรียนหนังสืออย่างหนักและก็ไม่เคยร้องไห้อีก และเขาอยู่โดยไม่มีโดเรมอน
โนบิตะบอกชิซูกะ และ เพื่อนๆ ทั้งหลายว่า โดเรมอนต้องกลับไปยังอนาคต
และไม่สามารถมา พบเพื่อน ๆ ทั้งหลายได้อีกแล้วชิซูกะประทับใจในตัวโนบิตะ
ที่มีความเปลี่ยนแปลง และต่างจากเมื่อ 10 ปีก่อนอย่างสิ้นเชิง
และทั้งสองก็รักกัน แล้วแต่งงานกัน โนบิตะเป็นนักวิทยาศาสตร์
และทำห้องของเขาเป็นห้องทดลอง และเขาก็ได้ตั้งใจทำงานอย่างหนักในงานของเขา
และห้ามไม่ให้ชิซูกะ เข้ามายังห้องทดลอง และแล้ววันหนึ่ง
โนบิตะก็เรียกให้ชิซูกะเข้ามา
ยังห้องทดลอง และมันเป็นครั้งแรกที่ชิซูกะเข้ามายังห้องของสามีของเธอ
ในขณะที่เธอเข้ามายังห้อง เธอถึงกับอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก
เธอเห็นโดเรมอนเพื่อนเก่าของเธอที่เคยเล่นด้วยกัน ในตอนที่ยังเป็นเด็ก
โดเรมอนไม่ขยับ และ เหมือนกับกำลังหลับ ดูนี่! ชิซูกะ
ผมจะเสียบปลั๊กแล้วนะ
โนบิตะเปิดสวิตช์หลัก บนตัวของโดเรมอน โดเรมอนค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
เป็นเป็นช่วงที่ ทำให้เข้าใจได้ว่าใครเป็นผู้ที่คิดค้นโดเรมอนขึ้นมา
ซึ่งก็คือ
โนบิตะนั่นเอง เขาเรียนอย่างหนัก เพื่อที่ว่าจะได้พบ และพูดคุย กับโดเรมอน
เพื่อนรักของเขา ที่มารู้จักกัน แล้วก็จากไป
โนบิตะเป็นผู้หนื่งที่ได้สร้างโดเรมอนขึ้นมา
เขาคิดค้นโปรแกรม และโครงสร้างทั้งหลาย สำหรับหุ่นยนต์โดเรมอน โนบิตะ
และชิซูกะ
ร้องไห้อย่างเงียบ ๆ โดเรมอนก็ลืมตาขี้น และก็พูดว่า โนบิตะ
นายทำการบ้านเสร็จ
แล้วหรือ มันเหมือนกับมี ก้อนเมฆสีขาวก้อนเดิม อยู่บนท้องฟ้า
ช่างเหมือนกับเวลาแห่งความทรงจำในอดีต ที่พวกเขามีร่วมกัน				
30 เมษายน 2544 21:33 น.

Love story 08

ผ่านมา...

   24 แ น ว คิ ด เ พื่ อ ชี วิ ต      
  


1.   การรักและไม่ได้รับรักตอบ เป็นทุกข์ แต่สิ่งที่ทุกข์ยิ่งกว่า คือการรักใครสักคน แต่ไม่มีความกล้าพอ ที่จะบอกให้คนคนนั้นรู้ 
และต้องมาเสียใจภายหลัง 
2.   พระเจ้า อาจจะต้องการให้เราพบคนที่ไม่ใช่ ก่อนที่จะมาพบคนที่ใช่ เพื่อเวลาเราพบคนคนนั้นแล้ว เราจะได้รู้สึกซาบซึ้ง ถึงพรที่ท่านประทานมา 
3.   ความรัก คือความรู้สึก ที่คุณยังห่วงใยใครสักคนอยู่ แม้จะแยกความรู้สึก ความลุ่มหลง และความสัมพันธ์แบบรักใคร่ออกไปแล้ว 
4.   สิ่งที่น่าเศร้าในชีวิต คือการพบคนที่ มีความหมายอย่างมากสำหรับเรา แต่มาค้นพบภายหลังว่า เราไม่ได้ถูกกำหนดมาเพื่อสิ่งนั้น 
และจะต้องปล่อยให้ผ่านพ้นไป 
5.   เมื่อประตูแห่งความสุขปิดลง ประตูแห่งความสุขบานอื่นก็จะเปิดขึ้น แต่เราก็มัวแต่มองประตูที่ปิดลงไปแล้ว 
เนิ่นนานจนกระทั่ง เรามองไม่เห็นประตูที่ เปิดไว้รอเรา 
6.   เพื่อนที่ดีที่สุดคือ คนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกัน โดยไม่พูดอะไร กันสักคำ แต่สามารถเดินจากไป ด้วยความรู้สึกเหมือนได้คุยกัน 
อย่างประทับใจที่สุด 
7.   เป็นความจริง ที่เราไม่สามารถรู้เลยว่า เรามีอะไรอยู่ จนกว่าเราจะสูญเสียมันไป แต่ก็จริงอีกเช่นกัน ที่เราไม่รู้ว่า เราพลาดอะไรไปบ้าง 
จนกระทั่งสิ่งนั้นเข้ามาหาเรา 
8.   การมอบความรักทั้งหมด ให้ใครสักคน ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า เขาจะรักเราตอบ อย่าหวังที่จะได้รักตอบ 
แต่จงรอให้มันงอกงามขึ้นในหัวใจเขา แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ก็ให้พอใจว่า อย่างน้อยมันก็ได้งอกงามขึ้นในใจของเรา 
9.   มีสิ่งที่คุณต้องการจะได้ยิน แต่คุณจะไม่ได้ยินมัน จากปากของคนที่คุณอยากได้ยิน แต่อย่าทำตัวเป็นคนหูหนวก โดยไม่รับฟังสิ่งนั้น 
จากคนที่เขาบอกกับคุณจากหัวใจ 
10. อย่าบอกลา ถ้าคุณยังต้องการจะพยายามต่อไป อย่าท้อใจถ้าคุณยังรู้สึกว่าคุณไปไหว อย่าพูดว่าคุณไม่รักคนคนนั้นอีกแล้ว 
ถ้าคุณไม่สามารถทำใจได้ 
11. ความรัก มักมาเยือนผู้ที่ยังคงหวัง ถึงแม้ว่าจะผิดหวัง และมาเยือนผู้ที่ยังคงเชื่อ ถึงแม้ว่าจะถูกทรยศหักหลัง และจะมาเยือนผู้ที่ยังคงรัก 
ถึงแม้จะเคยเจ็บปวดมาก่อน 
12. การที่เราจะประทับใจใครนั้น ใช้เวลาแค่เพียงนาที การที่เราจะชอบใคร ใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมง การที่เราจะรักใคร ใช้เวลาเพียงชั่ววัน 
แต่การที่จะลืมใครนั้น ต้องใช้เวลาชั่วชีวิต 
13. อย่ามองใครจากหน้าตา เพราะมันอาจหลอกเราได้ อย่ามองใครจากความร่ำรวย เพราะมันไม่จีรังยั่งยืน ให้มองหาคนที่ทำให้คุณยิ้มได้ 
เพราะเพียงยิ้มเดียว สามารถทำให้วันที่หม่นหมองกลับสดใส ขอให้คุณพบคนที่ทำให้คุณยิ้มได้ 
14. มีช่วงเวลาในชีวิต ที่คุณคิดถึงใครสักคน จนกระทั่งอยากดึงเขา มาจากความฝัน เพื่อกอดเอาไว้ ขอให้คุณได้ฝันถึงคนพิเศษนั้น 
15. ฝัน ถึงสิ่งที่คุณต้องการฝัน ไป ในที่ที่คุณต้องการไป เป็นในสิ่งที่คุณต้องการเป็น เพราะคุณมีเพียงชีวิตเดียว และมีโอกาสเดียว 
ที่จะทำทุกสิ่งที่คุณต้องการ 
16. ขอให้คุณมีความสุขมากพอ ที่จะทำให้คุณเป็นคนอ่อนหวาน ผ่านการทดสอบมามากพอ ที่จะทำให้คุณเข้มแข็ง มีความเศร้าโศกพอ 
ที่จะทำให้คุณยังคงความเป็นมนุษย์ และมีความหวังมากพอ ที่จะทำให้คุณเป็นสุข 
17. เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าคุณรู้สึกว่าสิ่งนั้นจะทำให้คุณเจ็บปวด รู้ไว้เถอะว่าคนอื่นก็เจ็บปวด จากสิ่งเดียวกันเช่นกัน 
18. คำพูดที่ไม่ได้ยั้งคิด อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง คำพูดที่โหดร้าย อาจทำลายชีวิต คำพูดที่เหมาะกาละเทศะ อาจลดความเครียด 
คำรัก อาจเยียวยาและทำให้มีสุขได้ 
19. จุดเริ่มของความรัก คือการปล่อยให้คนที่เรารัก เป็นตัวของตัวเอง อย่าดึงเขาจากภาพความเป็นเขา มิฉะนั้น จะหมายความว่าเขา 
เป็นเพียงภาพสะท้อนของตัวเรา ที่ปรากฎในพวกเขา 
20. คนที่มีความสุขที่สุด ไม่ได้หมายความว่าเขามีสิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่เขาสามารถทำสิ่งที่เขามี ให้ดีที่สุดได้ต่างหาก 
21. ความสุขรออยู่เบื้องหน้าผู้ที่มีน้ำตา ผู้ที่เจ็บปวด ผู้ที่ค้นหา และผู้ที่พยายามแล้ว เพราะมีเพียงพวกเขาเท่านั้น ที่รู้จักคุณค่าของผู้คน 
ที่ได้สัมผัสชีวิตพวกเขา 
22. ความรักเริ่มต้นด้วยรอยยิ้ม งอกงามด้วยรอยจูบ และจบลงด้วยคราบน้ำตา 
23. อนาคตที่สดใส มีรากฐานอยู่บนอดีตที่ถูกลืม คุณไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ดี ถ้าหากไม่รู้จักปล่อยวางความผิดพลาดในอดีต 
และความปวดใจ 
24. คุณร้องไห้ตอนคุณเกิด ในขณะที่คนรอบข้างกำลังยิ้ม จงมีชีวิตอยู่เพื่อเมื่อตอนคุณตาย คุณจะเป็นคนที่ยิ้ม ในขณะที่คนรอบข้างร้องไห้ให้				
30 เมษายน 2544 21:29 น.

Love story 07

ผ่านมา...

   บ ท ค ว า ม ท ด ส อ บ จิ ต ใ จ      

หากคุณเบื่อหน่าย ความวุ่นวาย ของงานเลี้ยง
หลบเลี่ยง ให้ห่างไกล จากฝูงชน
แต่ปรารถนา เดินเคียง ใครบางคน
นั่นคือคุณ อยู่ในห้วงรัก 

หากคุณอยู่ ชิดใกล้ ใครบางคน
แม้แสดงตน ไม่สนใจ ให้หวั่นไหว
แต่มองหา เมื่อเขา/เธอ อยู่ห่างไกล
นั่นคือคุณ อยู่ในห้วงรัก 

หากมีใคร ทำให้ คุณยิ้มแย้ม
คอยแต่งแต้ม ให้ชีวิต คุณสดใส
ให้คุณคอย ปรารถนา และห่วงใย
นั่นคือคุณ อยู่ในห้วงรัก 

หากเมื่อคุณ ปรายสายตา ผ่านรูปหมู่
แต่จดจ้อง มองดู เฉพาะที่
รายละเอียด เขา/เธอคนนั้น ที่พึงมี
นั่นคือคุณ อยู่ในห้วงรัก 

หากเมื่อคุณ มีภาระ ให้ปฏิบัติ
ต้องบอกปัด การพูดคุย ไม่ข้องเกี่ยว
แต่ไม่อาจ ตัดภาระ คนหนึ่งเดียว
นั่นคือคุณ อยู่ในห้วงรัก 

หากคุณเฝ้า รอข้อความ จากผู้หนึ่ง
แม้ไม่ซึ้ง แม้ไม่ยาว เท่าใจหมาย
แต่มีค่า กว่าถ้อยคำ อีกมากมาย
เมื่อนั้นคุณ อยู่ในห้วงรัก 

หากคุณมี ตั๋วหนังฟรี 2-3 ใบ
พลันทันใด ใจก็นึก ถึงบางคน
ชักชวนกล่าว ไปด้วยกัน ในบัดดล
เมื่อนั้นคุณ อยู่ในห้วงรัก 

หากคุณพร่ำ บอกกล่าวย้ำ ประโยคเดิม
ไม่ขอเติม ความเป็นเพื่อน ให้เกินเลย
แต่ในใจ ไม่อาจหยุด อยู่นิ่งเฉย
เมื่อนั้นคุณ อยู่ในห้วงรัก 

หากเมื่อคุณ ได้อ่านสิ้น ข้อความนี้
ทันใดมี บุคคลหนึ่ง ได้ปรากฏ
ในห้วงความ คิดคำนึง ที่เลี้ยวลด
เมื่อนั้นคุณ อยู่ในห้วงรัก 



If you like to get out from a noisy party
and walk together outside
only...with that someone, you are in love. 

When you are together with that someone,
you pretend to ignore him/her.
But when that someone is not around you,
you might look around to find him/her.
At that moment, you are in love. 

Although there is someone else
who always makes you laugh,
your eyes and attention .. might go only to that someone.
Then, you are in love. 

When you look at a group picture,
you might rather look for that special someone
(to know who was next to him/her 
or how he/she look like in that picture)
than look for yourself.
Then, you realize that you are in love. 

You have to hook out your telephone line for your busy study,
but you can not do it for one phone call from that special someone.
Then, you are in love. 

If you are much more exciting for one short e-mail from that someone
than other many long e-mails, you are in love. 

When you get a couple of free movie tickets,
You would not hesitate to 
think of that special someone
Then, you are in love. 

You keep telling yourself "he/she is just a friend"
but you realize that 
you can not help avoiding the special attraction from him/her.
At that moment, you are in love. 

While you are reading this article,
if someone appear in your mind,
you are deeply in love with him/her.				
26 เมษายน 2544 18:08 น.

Love story 06

ผ่านมา...

เสี้ยวหนึ่งของชีวิต 


เช้าวันศุกร์ ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง 
อีกสองวันก็ถึงวันที่ผมรอคอยและเตรียมตัวมาตลอด 2 ปี 
ผมเรียนพิเศษตลอด 2 ปี ก็เพื่อจุดหมายเดียวที่พ่อหวังไว้ 
ผมต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อให้ได้ 


ผมใช้เวลาวันละเกือบสิบชั่วโมง ใน 2 เดือนสุดท้าย 
เพื่อเตรียมตัวให้เหนือกว่าคู่แข่ง 
ช่วง 2 เดือนนี่เองที่ผมต้องนั่งทำแบบฝึกหัดจนถึงตี 3 ทุกวัน 
และก็ทุกวัน พ่อผมจะหากิจกรรมส่วนตัวของเขามานั่งทำเป็นเพื่อน
เรานั่งอยู่ด้วยกันจนเกือบเช้าทุกวัน ทุกๆคืน 
ผมจะมีไมโลร้อนๆมาวางอยู่ข้างหน้า 
พร้อมๆกับมือของพ่อที่จะคอยตบบ่าให้กำลังใจ คอยเตือนว่า 
"นอนได้แล้วหละลูก อย่าเครียดเกินไปเลย" 
ผมแทบจะไม่ได้ยินเสียงนั้นลอดหูเข้ามาเลย 
มันเป็นเสียงที่คุ้นเคยทุกวัน 
จนบางทีก็ออกจะรำคาญที่ถูกเตือนให้นอน 

เมื่อคืนก็เป็นเหมือนทุกคืน พ่อยังคงชงไมโลมาให้ 
แต่แปลกหน่อยตรงที่เมื่อคืนพ่อคุยกับแม่จนดึก 
แล้วค่อยมานั่งเป็นเพื่อนผม วันนี้วันศุกร์ อีกสองวันเอง 
ผมเดินสวนพ่อเข้าห้องน้ำด้วยความรู้สึกแปลกๆ 
รู้สึกว่าอยากจะพูดอะไรด้วย แต่ก็ไม่ได้พูด 
ผมเดินไปแปรงฟันและอาบน้ำ 
ตอนเดินออกมาพ่อก็ออกไปทำงานเสียแล้ว 
วันนี้รู้สึกดีใจเป็นพิเศษ 
ผมทำคะแนนจากข้อสอบปีเก่าๆได้คะแนนสูงมากกว่าที่ประเมินไว้ 
ประมาณสิบเอ็ดโมง ผมทำข้อสอบชุดสุดท้ายเสร็จ 
และก็ตั้งใจว่าถัดจากนี้ไป 2 วัน 
จะเป็นวันพักผ่อน เพราะไม่ต้องการให้เครียดก่อนวันสอบมาถึง 
ผมทำข้อสอบอยู่ชั้นสองของบ้าน 
น้องชายก็ขึ้นมาบอกว่าพ่อแวะเอาอาหารเข้ามาให้เรา 
ความรู้สึกตอนนั้นผมอยากจะลงไปบอกพ่อว่าทำคะแนนได้ดี 
แต่ก็คิดว่าอีกซักเดี๋ยวค่อยลงไป 
พอลงไปอีกทีพ่อก็ออกไปทำธุระเสียแล้ว 
ผมนั่งดูทีวีอยู่จนกระทั่งบ่ายสามโมง มีโทรศัพท์ดังขึ้น 
ผมเดินไปรับ เสียงของผู้หญิงลอดมาตามสาย 
ผมจับใจความได้ว่า เค้าพูดถึงชื่อพ่อผม 
และก็บอกว่ารถคว่ำเพราะหักหลบเด็กวิ่งข้ามถนน 
อาการไม่หนักนัก ผมเขียนโน๊ตไว้บนโต๊ะ 
แล้วรีบไปโรงพยาบาล ในใจตอนนั้น
คิดว่าไปถึงพ่อคงใส่เฝือกอะไรแค่นั้น 
พอไปถึงอาผมก็ไปถึงพร้อมกันพอดี 
หมอนำเอกสารอนุญาติให้ผ่าตัดมาให้เซ็นต์ 
แล้วก็บอกว่าตอนนี้อยู่ห้อง X-Ray 
อาการไม่ค่อยดี เลือดคั่งในสมองต้องผ่าตัดด่วน 
แล้วเค้าก็เอาตัวพ่อเค้าห้องผ่าตัด 
ผมไม่ได้เจอพ่อเลย ตอนเย็นแม่มา ก็สั่งให้เรากลับบ้าน 
มีอะไรจะโทรไปบอก 

เช้าวันเสาร์แม่โทรมาบอกว่าตอนนี้พ่ออาการดีขึ้นแล้ว 
อยู่ห้อง ICU แต่ยังไม่ได้สติ 
ผมตัดสินใจบอกแม่ว่าวันจันทร์ผมไม่เข้าสอบ 
ผมอยากเฝ้าอาการพ่อ แม่รีบกลับมาบ้าน
โดยให้อาเฝ้าที่โรงพยาบาลแทน 
แล้วก็บอกกับผมว่ารู้รึเปล่าว่าพ่อเค้าอยากให้ผมสอบติดแค่ไหน 
แล้ววันนี้ที่เค้ารีบออกไป รู้ไหมว่าเค้าไปไหน ผมบอกว่า "ไม่รู้" 
แม่ขอร้องให้ผมไปเข้าสอบ แล้วแม่ก็บอกว่า 
"พ่อเค้ากำลังจะไปบนพระพรหม ขอให้ลูกสอบติด 
แต่รถคว่ำเสียก่อน"
วันนั้นผมบอกแม่ว่าผมกลัวว่าพ่อได้สติขึ้นมาแล้วจะรู้ว่า
ผมไม่เข้าสอบ และจะเสียใจ ผมตกลงเข้าสอบ 
ผมหลบเข้าห้องน้ำ ยืนนิ่งแล้วก็ร้องไห้ออกมาไม่หยุด 
เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าต้องเจอกับปัญหาที่หนักมาก 
ผมร้องไห้อยู่นานมาก ............ 

วันอาทิตย์แม่โทรมาบอกว่าพ่อได้สติแล้ว แต่ยังไม่ให้ผมไปเยี่ยม 
บอกแค่ว่าขอให้สอบให้เสร็จก่อน ทางนี้แม่จะดูแลเอง 
ผมสบายใจขึ้น คิดอย่างเดียวว่าพ่อจะต้องดีใจถ้ารู้ว่าผมสอบติด 
ผมมั่นใจมาก ทุกๆวันอาการของพ่อดีขึ้นเรื่อยๆ 
แต่แม่ก็ไม่ยอมให้ผมไปเยี่ยม 
ผมและน้องเข้าสอบพร้อมกันอยู่ 5 วันจนเสร็จ 
ที่แรกที่ผมและน้องไป คือโรงพยาบาลทั้งชุดนักเรียนแบบนั้นแหละ 
ผมไปถึงแม่และอาก็ยังคงอยู่หน้าไอซียู 
แม่ถามว่าสอบเสร็จแล้วเหรอ 
ผมบอกว่าเสร็จแล้ว ทำข้อสอบได้ไม่ดีนัก แต่มั่นใจว่าน่าจะติดที่ไหนสักแห่ง แม่ให้เข้าไปเยี่ยมพ่อ 


พอผมเห็นพ่อ ผมยืนตัวแข็งเดินต่อเข้าไปไม่ได้ 
พ่อผมถูกโกนศรีษะเพื่อผ่าตัด 
พ่อยังไม่ฟื้น แม่ขอโทษ แม่บอกว่าอาการจริงๆดีขึ้น 
แต่ยังไม่รู้สึกตัว ผมเดินเข้าไปกุมมือพ่อ ผมเริ่มน้ำตาคลอ 
แต่ก็บอกกับพ่อว่าผมสอบเสร็จแล้ว 
รีบตื่นมาดูผลสอบด้วยกันนะ ทุกคนเห็นว่านิ้วมือพ่อขยับได้ 
นิ้วมือเขาขยับได้จริงๆ นางพยาบาลเดินเข้ามาดูอาการ แล้วก็บอกกับผมว่าอย่างนี้คงไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว 


วันรุ่งขึ้นตอนหกโมงเช้า แม่ไปถึงโรงพยาบาล 
โทรกลับมาบ้านแต่เช้า บอกว่าข้างเตียงบอกว่าเมื่อคืนเห็นพ่อลืมตามองไปรอบๆ แม่ดีใจมาก 
ผมบอกว่าผมจะรีบไปก่อนแปดโมง 


........... ซักเจ็ดโมงนิดๆ แม่โทรมาอีกครั้ง 
แม่บอกว่าให้เอาเสื้อสูทของพ่อไปด้วย..... 
ตอนนั้นผมร้องไห้ออกมาทันที 
ผมรู้ว่าแม่หมายถึงอะไร ผมรู้ว่าผมได้สูญเสียคนที่ผมรักที่สุดในชีวิตไปแล้ว ผมไม่มีโอกาสจะได้คุยกับพ่ออีกแล้ว 
พ่อรอจนกระทั่งผมสอบเสร็จ ........ 
พ่อรอจนกระทั่งลูกของพ่อเดินไปบอกว่าสอบได้แล้วพ่อถึงไปอย่างสงบ ........... 
ครั้งเดียวในชีวิตที่ผมร้องไห้มากที่สุด 
ผมจะไม่มีใครชงไมโลมาให้อีกแล้ว 
ผมจะไม่มีใครมาคอยตบบ่าให้กำลังใจ 
ผมจะไม่มีวันได้พูดว่ารักพ่อ........... ทั้งๆที่เค้าคือคนที่ผมรักที่สุด 

วันนี้เวลาผ่านไปเกือบสิบปี สิ่งหนึ่งที่ยังคงทำให้ผมเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้ คือวันศุกร์เมื่อสิบปีที่แล้ว 
ผมเดินสวนกับพ่อโดยที่ไม่ได้คุยกับพ่อซักคำ 
ผมควรจะได้พูดว่าผมรักพ่อมากแค่ไหน แต่ผมก็เดินสวนไปเฉยๆ 
ทุกวันนี้ผมไม่เคยหยุดที่จะคิดเมื่อเวลาบอกคนที่ผมรักว่าผมรักเค้ามากแค่ไหน 
ผมจะไม่ยอมเสียใจกับสิ่งที่ผมไม่ได้ทำอีก . 


"พ่อครับ...ผมรักพ่อ"				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟผ่านมา...
Lovings  ผ่านมา... เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟผ่านมา...
Lovings  ผ่านมา... เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟผ่านมา...
Lovings  ผ่านมา... เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงผ่านมา...