15 กรกฎาคม 2551 13:10 น.

เสียงตามสาย

ใบคา

เป็นเดือนที่ 2 ของผมกับหน้าที่เลขานุการหน้าห้องหัวหน้าแผนกกองคลัง มหาวิทยาลัย ธรรมดาหน้าที่เลขาฯ มักเป็นสาวสวย หรืออย่างน้อยๆ ก็หนุ่มหล่อเจ้าสำอางนิดๆ แต่ทว่าผมนั้นไม่เข้าข่ายที่ว่าเลยแม้แต่น้อย จะมีดีอยู่บ้างก็ร่างกายแข็งแรงเท่านั้น เพราะร่างกายที่กำยำนี่เอง หน้าที่เลขานุการหน้าห้องจึงตกเป็นของผม 

จริงอยู่ที่หัวหน้าแผนกตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ ซึ่งนั่งหัวฟูเนื่องจากวุ่นกับบัญชีเงินเดือนของคณาจารย์และบุคคลากรมหาลัยกองโตอยู่นั้นเป็นผู้หญิง แต่อย่าเข้าใจผิดไปเชียวว่า ท่านมีใจเสน่ห์หากับร่างกายกำยำดูแข็งแรงของผม ที่ได้รับเกียรติในตำแหน่งนี้เป็นเพราะเจ้าเอกสารเกี่ยวกับการเงินกองโตนั่นเอง หญิงสาวอ้อนแอ้นไหนเลยจะทนยกเอกสารอันหนักอึ้งวันละหลายๆ รอบ ไปส่งแผนกต่างๆ ทั่วทั้งมหาลัยไหว --- และนั่นก็คือเหตุผล

	ใช่ว่าทุกคนจะตัดสินใจไปเองว่า หน้าที่เลขานุการ สาขาเดินเอกสารนั้นไม่เหมาะกับผู้หญิงร่างบอบบาง ก่อนหน้าที่ผมจะเข้ามา ทราบว่ามีผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาหลายคนแล้ว เพราะความที่สาวๆ ต่างพากันทยอยเข้าทยอยออกนี่แหล่ะ ตรรกะง่ายๆ เกี่ยวกับการเดินเอกสารจึงผุดขึ้นพร้อมสรุปออกมาว่า งานหน้าที่นี้หนักเกินไปสำหรับผู้หญิง ก็แน่ล่ะ...เอกสารแต่ละชุดเบาๆ ซะที่ไหน ไหนจะส่ง ไหนจะไปรับกลับ แค่เดินอย่างเดียวขาก็ล้าพออยู่แล้ว --- ขอบ่นหน่อยเถอะ เขาน่าจะให้เลขาฯ แต่ละแผนกเดินมาส่ง และเมื่อพิจารณาเสร็จ เขาก็น่าลงแรงเดินมารับเองบ้าง อย่างน้อยก็เป็นการออกกำลังกาย ร่างกายจะได้แข็งแรงไม่ใส่แค่หน้าสวย หน้าหวานอย่างเดียว สวยและแข็งแรงจึงจะเรียกว่าสวยสมบูรณ์แบบ แต่นี่ไม่เลย...หน้าที่ทั้งหมดล้วนเป็นความรับผิดชอบของผมทั้งนั้น ซ้ำร้ายเอกสารบางส่วนหายไป ซึ่งแน่นอนเกิดจากความผิดพลาดบางประการของเขา ผู้ต้องสงสัยไม่ใช่ใครอื่นใดไอ้กระผมคนนี้นี่แหล่ะครับ --- มันน่าท้อใช่ไหมล่ะ

	ผ่านมา 2 เดือนก็เห็นจะมี 2 วันนี่แหล่ะที่รู้สึกสบายขึ้นมาหน่อย เพราะว่าง ว่างจนน่าเบื่อ ถึงกระนั้นผมก็ต้องรีบตักตวงความว่างที่ไม่รู้จะหมดไปเมื่อไหร่ให้มากที่สุด ใช่! ผมไม่ทำอะไรเลยนอกจากนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ตรงโต๊ะของผม แล้วหาวหวอดๆ มือขวาเลื่อนเม้าท์เลือกหาเรื่องขำๆ มาบริการสมอง เพื่อขับไล่อาการง่วงเป็นระยะๆ แม้หน้าที่ผมจะเป็นเด็กเดินเอกสาร ก็ยังมีโต๊ะนั่งทำงานเหมือนคนอื่นเขาเช่นกัน นอกจากนั้นยังมีโทรศัพท์ และเบอร์ต่อสายตรงเป็นการส่วนตัวอีกด้วย แหม! ก็ไม่ได้โก้เก๋อะไรหรอก แค่เอาไว้ตามตัวไปยกเอกสารง่ายหน่อยเท่านั้นเอง 

	เหมือนใครบางคนจะไม่ยอมปล่อยให้ผมตักตวงความว่างได้อย่างราบเรียบ ในขณะที่กำลังสาวความเซื่องซึมขึ้นมาจากบ่อแห่งความว่างนั้น ผมดันตักความวุ่นวายติดมาด้วย มันมาพร้อมเสียงโทรศัพท์ งานเข้าแล้วไง --- ผมพึมพำกับตัวเอง

	หมดแล้ว...หมดแล้วความว่างอันน้อยนิดของผม หมดลงแล้วหรือนี่ หรือเป็นเพราะผมใช้มันมากและเร็วเกินไป มันจึงร่อยหรอลงอย่างรวดเร็ว

	สวัสดีครับ กองคลังมหาลัยครับ ผมกล่าวทักทายผ่านหูโทรศัพท์

	มหาลัยใช่ไหมคะ เสียงจากคู่สายตอบมา ไม่ใช่สิเป็นคำถามต่างหาก เอ๊ะ! สักครู่นี้ผมบอกไปแล้วนี่นาว่า สวัสดีครับ กองคลังมหาลัยครับ --- ไม่เป็นไรหล่อนอาจจะไม่ได้ยินคงบังเอิญตอนผมพูดเธอไม่ได้แนบโทรศัพท์ไว้ชิดหู หรือเธออาจจะต้องการทวนเพื่อความแน่ใจว่า ไม่ได้ต่อผิด

	ใช่ครับ ที่นี่กองคลังครับ ผมตอบ

	อาจารย์พงษ์ศักดิ์อยู่ไหม ขอสายอาจารย์พงษ์ศักดิ์หน่อยสิ เธอว่า

	ที่นี่ไม่มีอาจารย์พงษ์ศักดิ์นะครับ ที่นี่กองคลัง ผมชี้แจง --- สงสัยเธอคงต่อผิดจริงๆ

	ฉันบอกว่าขอคุยกับอาจารย์พงษ์ศักดิ์ ไม่ได้ยินเหรอ เธอเริ่มมีอารมณ์...อารมณ์ฉุนเฉียว ขัดใจ และผมก็รู้สึกว่า ไม่ชอบเหตุการณ์อย่างนี้เลย ไม่เป็นไรอดทนไว้ๆ --- ผมพูดกับตัวเอง 



จำได้ว่าสมัยยังเป็นนักศึกษาอยู่ เคยทะเลาะกับผู้หญิงวัยกลางคนนางหนึ่ง ใช่! นางหนึ่ง...เพราะหล่อนมากับลูก ตอนนั้นผมเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ให้กับร้านสะดวกซื้อ เพื่อนกัน 24 ชั่วโมง หน้ามหา ลัย อืม...คือว่าผมเคยเรียนที่มหาลัยแห่งนี้ จบที่นี่ และทำงานที่นี่ นี่เข้าเดือนที่ 2 แล้ว

	วันนั้นผมในฐานะหัวหน้ากะ กับลูกน้องอีกหนึ่ง พนักงานทั้งร้านมีแค่เรา อาแป๊ะที่เป็นทั้งผู้จัดการและเจ้าของไม่อยู่ แกไว้วางใจให้เราจัดการดูแลกันเอง จำได้ว่าวันนั้นเที่ยงตรง แดดจัด และเป็นวันเสาร์ ลูกค้าไม่เยอะแต่ร้อนเอาการ

	จำได้ว่าร้านกำลังอยู่ในช่างโปรโมชั่น ชิ้นส่วนไอศกรีม 10 ชิ้นสามารถแลกเป็นคูปองลุ้นทองรูปพรรณหนัก 2 สลึงได้ 1 เส้น วันนั้นหล่อนพาลูกมาแลก เดินฝ่าแดดเข้ามา เธอและลูกคงร้อนมากเพราะเหงื่อแตกเป็นเม็ดโตเห็นชัดเจน

	ขาดเท่าไหร่ หล่อนนำชิ้นส่วนมาให้ ผมนับได้สามสิบกว่าชิ้น กว่าเท่าไหร่นั้นผมไม่ได้สนใจเพราะนับคร่าวๆ แล้วไม่ถึงสิบ เกินมาไม่ 5 ก็ 6 ชิ้น ผมอยู่กันแค่ 2 คนต้องทำเวลา

	แลกได้ 3 ใบครับ ผมตอบ

	ไอ้ควายนี่ ถามว่าขาดกี่ชิ้น ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง ทำไมถึงตอบไม่ตรงคำถาม เธอโมโหทันทีที่ได้ยินคำตอบของผม โมโหไม่โมโหเปล่าเธอกลั่นอารมณ์นั้นเป็นผรุสวาทออกมาด้วย ทั้งๆ ที่ไม่ควรจะเดือดดาลขนาดนั้น ผมไม่แน่ใจว่า อากาศข้างนอกเกี่ยวข้องอะไรด้วยหรือเปล่า

	ก็มันแลกได้แค่ 3 ใบผมก็ต้องบอกว่าแลกได้ 3 ใบสิครับ เพราะชิ้นส่วนมันเกินมาแค่ 5  6 ชิ้น พี่คงไม่ซื้อเพิ่มทันทีหรอกมันขาดอีกมาก ผมพยายามระงับอารมณ์เอาไว้ ทั้งๆ ที่อารมณ์เริ่มเดือดแล้วเช่นกัน

	เอ๊ะ! เป็นอะไรของมึง ถามว่าขาดกี่ชิ้นก็ตอบมาให้มันตรงประเด็นสิ ขาดเท่าไหร่จะได้ซื้อให้ครบ เธอยังไม่เลิกขึ้นเสียง ทั้งยังหยาบคาย 

	เพราะยังขาดชิ้นส่วนอยู่เยอะ ผมคิดว่าหล่อนคงไม่ซื้อแล้วแกะให้ลูกกินทีเดียวทั้งหมดหรอก จึงตอบไปอย่างนั้น ไม่นึกเลยว่าจะทำให้หล่อนโมโห
	ผมนับกัดฟันกรอด

	ขาด 5 ชิ้น ผมตอบห้วน ซื้อสิขาด 5 ชิ้น ไอติม 5 อันอยู่นั่นไง ผมชี้ไปที่ตู้ไอศกรีม

	ไม่ หล่อนยังตอบห้วน คงอารมณ์เดิม เยอะขนาดนั้นใครจะกินหมด ทำไมฉันต้องซื้อด้วย

	แล้วบอกว่าจะซื้อทำไม ก็ซื้อสิ อารมณ์ผมเดือดพล่านเก็บไว้ไม่อยู่อีกแล้ว ลองอารมณ์ขึ้นแล้ว สำหรับผมลงยากด้วยสิ ต่อให้ลูกค้าเป็นพระเจ้าก็เหอะ แต่พระเจ้าเลวๆ ผมก็ไม่นับถือให้เสียเวลาหรอก อีกอย่างคนจะเข้าร้านเยอะหรือน้อย ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับผม ถึงอย่างไรค่าแรงที่ได้ก็เท่าเดิมอยู่แล้ว ในทางกลับกันวันใดลูกค้าเยอะเท่ากับว่า ต้องเหนื่อยมากขึ้นเป็นเท่าตัว มันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

	เอ๊ะพูดแบบนี้กับฉันได้ไง เสียงหล่อนยังคงกระด้างปนน้ำโหไม่เสื่อมคลาย ไม่ซื้อแล้วจะทำไม อยากแลกแค่นี้ ไหนล่ะคูปองเอามาจะรีบไป

	ผมเก็บชิ้นส่วน แล้วยื่นคูปองให้ เห็นไหม บอกไปแล้วก็ไม่ซื้ออยู่ดี ผมยังไม่ยอมเลิก

	นี่ยังไม่จบใช่ไหม หล่อนว่า

	ก็ซื้อซะสิ


	ก็กูบอกไม่เอา ซื้อไม่ซื้อ แลกไม่แลกมันก็เรื่องของกู มึงเป็นใครอยากโดนไล่ออกนักเหรอ รู้ไหมว่ากูเป็นใคร ผมไม่รู้หรอกแต่ที่รู้ๆ วันนี้เป็นไงเป็นกัน พระเจ้าก็พระเจ้าเถอะ ได้รู้จักกันแน่ กูเป็นอาจารย์ที่นี่ ไหนมึงชื่ออะไรกูจะโทร. ไปแจ้งสำนักงานใหญ่เดี๋ยวนี้เลย วอนไม่เข้าเรื่อง

	ผมบอกชื่อหล่อนไปอย่างไม่สะทกสะท้าน ด้วยน้ำเสียงท้าทาย อย่าลืมไปฟ้องล่ะ นึกว่ากลัวหรือไง

	เดี๋ยวก็รู้ หล่อนพูดจ้องหน้าผมเขม็ง สาขาอะไรเนี่ย สาขามหาลัยใช่ไหม

	จดให้เอาไหม จะได้ไม่ลืม หรือจะเอาเบอร์ผู้จัดการก็ได้นะ ผมยังคงท้าทายไม่เลิก

	ไม่จำเป็น...แค่นี้ก็เกินพอแล้ว เธอว่า แล้วเดินจากไปท่ามกลางแดดจ้า

	วันรุ่งขึ้นผมถูกขอให้ออกทันที สมควรแล้วล่ะ --- ผมคิด



แม้เจ้าของเสียงจากปลายสายทำให้เริ่มอารมณ์เสีย ผมก็จะทน...ทนจนกว่าจะทะลักออกมา ผมจบแล้วนี่ ผมเรียนจบมหาลัยแล้ว ผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีวุฒิภาวะพอที่จะควบคุมตัวเองได้

	เอ่อ...คุณต้องติดต่อไปยังแผนกของอาจารย์ท่านนั้นนะครับ เพราะที่นี่ไม่มีอาจารย์ชื่อพงษ์ศักดิ์ประจำอยู่ ผมแนะนำด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

	ที่นี่กองคลังมหาลัยใช่ไหม เธอถามห้วน


	ใช่ครับ

	จ่ายเงินเดือนอาจารย์ด้วยใช่ไหม น้ำเสียงเธอยังคงห้วนเหมือนเดิม

	ครับใช่

	วันนี้สิ้นเดือนเขาต้องมารับเงินเดือนสิ คราวนี้เธอกระแทกเสียงหนักแน่น

	เอาละสิ! ให้หายเหอะ สมัยนี้ใครเขาจ่ายเงินใส่ซองให้ลูกจ้างกันอยู่อีกเล่า องค์กรต่างๆ เลิกระบบนั้นมานานแล้ว เดี๋ยวนี้โอนเข้าธนาคาร ง่าย และเร็วกว่าเยอะ เธอไปอยู่ไหนมา

	คือ ผมเน้นเสียงให้ฟังชัด อาจารย์ไม่ต้องมารับเงินเดือนเองครับ ทางการเงินจะโอนเข้าบัญชีเอง ผมอธิบาย

	ฝากบอกอาจารย์พงษ์ศักดิ์ด้วยนะว่า ฉันรออยู่ มารอนานแล้วด้วย เหมือนเธอจะไม่ฟังอะไรเอาเสียเลย คล้ายกับว่าเธอเตรียมที่จะพูด จะถาม มาแล้ว และจะพูดจะถามอย่างนั้นเท่านั้น คำพูดและคำถาม-ตอบใดนอกจากนั้น เธอจะไม่ได้ยินเลย บอกเขาด้วยว่าฉันมาถึงโรงแรมแล้ว และรอเขาตั้งแต่เช้าแล้ว เมื่อไหร่จะมาสักที

	เอ่อ...ที่นี่ไม่มีอาจารย์พงษ์ศักดิ์จริงๆ ครับ ผมยืนยันคำเดิม ก็ที่นี่ไม่มีอาจารย์ชื่อนี้จริงๆ นี่นา

	ไม่มีได้ไง ที่นี่มหาลัยหรือเปล่า


	ครับ...ใช่ครับ

	งั้นบอกอาจารย์พงษ์ศักดิ์ด้วยว่า ฉันมารอที่โรงแรมนานแล้ว เขานัดมาเองนะ แล้วทำไมมาทำกับฉันแบบนี้

	ที่นี่ไม่มีอาจารย์พงษ์ศักดิ์จริงๆ ครับ

	พูดไม่รู้เรื่องหรือไง ไปเรียกอาจารย์พงษ์ศักดิ์มาคุยกับฉันเดี๋ยวนี้ ไปกันใหญ่แล้ว ทำอย่างไรดี ผมควรวางโทรศัพท์เลยดีไหม ไปบอกกับเขาเดี๋ยวนี้ว่า ฉันรออยู่ที่โรงแรม ถ้าช้ากว่านี้อีกเดี๋ยวฉันจะไม่รอแล้วนะ คุณรู้ไหมว่าเขานัดฉันมาทำไม อาจารย์นัดฉันมาขอแต่งงาน เขารักฉันมาก และตอนนี้ฉันก็รอให้เขามาขออยู่ บอกให้เขารีบๆ มานะ ฉันรออยู่ แล้วเธอก็กระแทกโทรศัพท์เสียงดังกึง! มาถึงผม มันง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ อะไรว่ะเนี่ย --- ผมคิด

	หลังๆ เหมือนเสียงเธอจะสงบลงนะ

	ใครคนหนึ่งเคยบอกผม การที่นักศึกษาได้ทำงานพิเศษระหว่างเรียน แน่นอนสิ่งที่เขาได้คือเงิน แต่สิ่งที่แฝงมาและเป็นสิ่งดีนั่นคือวุฒิภาวะในการแก้ปัญหา และจัดการอารมณ์ยามคับขัน ใครคนนั้นชมเปาะเมื่อรู้ว่าผมก็ทำงานพิเศษระหว่างเรียนเช่นกัน ตอนนั้นผมไม่เชื่อหรอก อารมณ์คนเราเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวอยู่แล้ว แค่การทำงานพิเศษเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างเรียน จะมาเป็นตัวกำหนดอะไรได้ จนกระทั่งได้มาเจอเสียงตามสายเมื่อครู่ จึงได้รู้ว่า วุฒิภาวะของตัวเองเติบโตขึ้นมาก คงเป็นเพราะประสบการณ์ที่เคยถูกให้ออกมาก่อน คอยข่มอารมณ์รำคาญของผมไว้

	เสียงตามสายหายไปแล้วได้เวลาเก็บเกี่ยวความว่างให้มากที่สุดอีกครั้ง นานๆ จะว่างสักทีต้องรีบๆ

	ใครเหรอ ป้าสุ เจ้าหน้าที่ตรวจบัญชีเก่าแก่ เดินมาถามผม เพราะแกสังเกตเห็นผมตอบเสียงตามสายเป็นคำตอบเดิมซ้ำๆ คำตอบนั้นไปสะกิดต่อมอยากรู้ของป้าสุเข้า แกจึงรีบเดินเข้ามาหาผมทันที 

	ป้าสุเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีความสามารถสูง ตงฉิน และสอดรู้สอดเห็น ลักษณะนิสัยของแกมักจะไปขัดขาพวกพนักงานรุ่นใหม่ๆ ที่ไม่ค่อยเอาใจใส่กับงาน และพวกกังฉินเป็นประจำ จนไม่ค่อยมีใครใส่ใจกับแก ซ้ำร้ายไปกว่านั้นฝ่ายตรงข้ามจะคอยหาเรื่องโยนความผิดใส่เสมอ นิสัยโดยรวมค่อนข้างหัวโบราณหน่อยแต่แกใจดี ผมในฐานะน้องใหม่จะได้รับกล้วยปิ้งจากป้าสุเสมอ แกบอก ซื้อมาฝาก 

ต่างจากป้าวิ สองคนนี้อายุงานและอายุตัวไล่เลี่ยกัน แต่นิสัยตรงข้ามกันเป็นส่วนใหญ่ ดูเหมือนเรื่องสอดรู้สอดเห็นเท่านั้นที่ทั้งสองเข้ากันได้ดี ป้าวิจะมีคนรักมากกว่าเนื่องจากแกซิกแซ็กเก่ง ของขวัญที่แผนกอื่นมอบให้ แกจะเป็นฝ่ายจัดการดูแล เพราะถือความเป็นอาวุโสกว่า น้องๆ คนไหนถูกใจแก แกก็จะมอบของขวัญนั้นให้ ส่วนป้าสุด้วยความตรงการกระทำอย่างนั้นไม่มีแน่ แกจะส่งไปให้หัวหน้าแผนกทันที

	ผมในฐานะพนักงานหน้าใหม่ที่ค่อนข้างวางตัวเป็นกลาง เป็นคนที่ทั้งสองฝ่ายต้องการตัวไปอยู่ด้วยมากที่สุด หลายครั้งที่ป้าสุโดนกลั่นแกล้งให้ถูกไล่ออก แต่ด้วยผู้ใหญ่เบื้องบนต่างรู้นิสัยความซื่อสัตย์ของแกดี ป้าสุเลยรอดมาได้จนถึงปัจจุบัน หลังๆ ฝ่ายตรงข้ามไม่ใส่ร้ายแกแล้ว แต่จะใช้วิธีกดดันให้แกอยู่ไม่ได้ ลาออกไปเอง ส่วนผมไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ใครมาดีด้วยผมก็ดีตอบ

	ไม่รู้ใครเหมือนกันครับ ขอสายอาจารย์พงษ์ศักดิ์อยู่ได้ ทั้งๆ ที่บอกแล้วว่าไม่มี พูดจาก็ไม่รู้เรื่อง บอกว่ารออยู่ที่โรงแรมอะไรของเขาก็ไม่รู้ ผมตอบ

	บอกว่ารอให้ไปขอแต่งงานใช่ไหม ป้าสุถาม น่าแปลกทำไมแกรู้ สีหน้าผมคงแสดงอาการมากจนเห็นชัด ป้าสุจึงยิ้มแล้วว่า อย่าไปถือสาเลย ประจำแหล่ะสายนี้น่ะ คนแถวนี้โดนประจำ แต่เอ...น่าแปลกนะ เขาหายไปนานแล้วเหมือนกันนึกว่าหายแล้วเสียอีก

	หาย ผมทวนคำที่สงสัย

	เขาค่อนข้างไม่เต็มบาทน่ะ ชอบโทร. มาหาอาจารย์พงษ์ศักดิ์

	แล้วอาจารย์พงษ์ศักดิ์มีจริงหรือเปล่า 

	มีสิ เป็นอาจารย์ที่นี่แหล่ะ ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นไปเอาชื่อมาพูดได้ไง

	แล้วอาจารย์พงษ์ศักดิ์รู้จักผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่าครับ ผมถาม ในใจสงสัยว่าถ้าไม่รู้จักผู้หญิงคนนั้นจะแอบอ้างชื่ออยู่ทำไมกัน

	อาจารย์บอกว่าไม่รู้จัก ป้าสุตอบ

	แต่แปลกนะ ไม่รู้จักกันแล้วผู้หญิงคนนั้นเอาชื่อมาอ้างทำไม

	อาจจะเห็นรายชื่อในทำเนียบอาจารย์ก็ได้ ขนาดเบอร์โทร. ยังหาเจอเลยนี่

	ก็จริงเนาะ เธอไม่ได้บ้านี่ แค่ไม่ค่อยเต็มเท่านั้นเอง

	อย่าไปใส่ใจเขาเลย ป้าสุว่า

	ครับ รู้อย่างนี้ผมก็ไม่ถือหรอก แต่ถ้าโทร. มาทุกวันก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ ผมพูด

	นี่ยังดีนะ เมื่อก่อนหนักกว่านี้อีก ป้าสุบอก แล้วเล่าว่า มีครั้งหนึ่งเขามาอาละวาดที่นี่เลยนะ บอกจะขอพบอาจารย์พงษ์ศักดิ์ให้ได้ ใครเข้าไปขวางเขาด่ายับ ป้าจะให้ยามอุ้มไปก็ไม่ได้ เพราะเขาเป็นผู้หญิงเดี๋ยวจะเป็นเรื่องไปอีก กว่าจะหยุดและยอมกลับไปได้ต้องหลอกอยู่นาน นึกถึงแล้วยังขำไม่หาย แต่ละคนนี้ทำอะไรไม่ถูกเลย โดนเฉพาะป้าวิยืนแข็งเหมือนตอไม้เลย ฮ่าฮ่าฮ่า แต่อย่าไปพูดเชียว เล่าไปแกก็อดไม่ได้ที่จะกระแนะกระแหนคู่อริ


 นินทาอะไรกันย่ะ เสียงป้าวิ คือว่าแกเหลือเห็นป้าสุพูดเสียงกระซิบเบาๆ เลยอยากรู้บ้างว่าเรื่องอะไร จึงเดินเข้ามาถามตรงๆ

	ไม่มีอะไรครับ พอดีมีคนบ้าโทร. มาหาผมน่ะครับ ป้าสุเลยเล่าให้ฟังถึงตอนที่เขามาอาละวาดถึงที่ห้อง ผมตอบ แต่ป้าวิทำหน้างง

	อะไรกันสุ แกหันไปทางป้าสุ พูดเสียงดัง คนนั้นตายไปแล้วนะ โดนรถชนเมื่อต้นเดือนนี้เอง

	เอาล่ะสิครับ ถึงตรงนี้ไม่เพียงแต่ป้าสุที่หน้าซีดผมเองก็ไม่เหลือเลือดฝาดบนใบหน้าเหมือนกัน นี่ผมคุยกับผีไปหมาดๆ เหรอเนี่ย

	รู้ได้ไง ป้าสุถามป้าวิ

	ก็บ้านมันอยู่ใกล้ๆ บ้านฉัน ชาวบ้านแถวนั้นเขารู้กันดีว่ามันบ้า แล้วชอบโทร. หาผัว 

	แน่ใจนะว่าจำไม่ผิด

	จะผิดได้ไง ก็ฉันถามแล้วว่าเป็นคนที่เคยมาอาละวาดที่นี่หรือเปล่า ชาวบ้านก็บอกใช่ ฉันยังไปงานศพมันเลย ที่บ้านมันก็บอกว่าใช่

	อาจจะโทร. ผิดก็ได้ ผมตัดบท ไม่อยากฟังต่อแล้ว

	เป็นอันว่าวันว่างวันที่ 2 ของผมโดนเจ้าความวุ่นวายนี้ตีแตกซะกระเจิงไม่เหลือชิ้นดี สรุปทั้งวันเรื่องเสียงตามสายเข้ามารบกวนจิตใจผมตลอดเวลา ผีที่ไหนจะมาโทรศัพท์ไม่ใช่หรอกน่า ---ผมปลอบใจตัวเอง


วันที่ 1 ของเดือนที่ 3 แม้จะไม่ว่างเหมือนเมื่อ 2 วันก่อน แต่ก็ไม่ยุ่งจนไม่มีเวลานั่งหาว งานเดินส่งเอกสารขาดช่วงไประยะเวลาหนึ่ง และเมื่อผมเริ่มเซื่องซึมโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมภาวนา อย่าเป็นเสียงนั้นเลย

	ที่นี่มหาลัยใช่ไหม แย่แล้วใช่ จริงๆ ด้วย ตอนนี้ใจผมเต้นระทึก ตึกๆ แทบทะลุออกมาข้างนอก

	ครับ ผมตอบเสียงสั่น ติดต่อเรื่องอะไรครับ

	ที่นี่มหาลัยใช่ไหม เธอถามทวน ขอบใจมากนะ ฉันรักมหาลัยมากๆ เลย จุ๊บๆ แล้วเธอก็วางหูไป

	ทีนี้หน้าผมซีด ปากซีด ลงทันที ไม่กล้าเดินไปหาป้าสุ กลัวจะเป็นเรื่องใหญ่โต ได้แต่นั่งเงียบๆ ใช้สมาธิลำพัง ผีที่ไหนจะมาโทรศัพท์ไม่ใช่หรอกน่า --- ผมบอกตัวเอง

	แล้วโทรศัพท์ก็ดังอีกครั้ง

	ที่นี่มหาลัย ใช่ไหม เสียงห้วนเดิมมาอีกแล้ว 

	ครับใช่ ติดต่ออะไรครับ ผมตอบเสียงสั่น

	ขอบใจมากนะ อาจารย์พงษ์ศักดิ์เขามาขอฉันแต่งงานแล้ว ขอบใจมากนะที่ช่วยบอกให้ ฉันรักมหาลัยมากเลย แค่นี้นะมหาลัยที่รัก

	เธอวางสาย ผมวางสาย แต่ไม่หยุดแค่นั้นผมรีบไปเล่าให้ว่าสุกับป้าวิ ซึ่งขณะนั้นยืนอยู่ใกล้กัน ฟังทันที

	เธอจำผิดคนแล้ววิ ป้าสุว่า

	ไม่นะฉันจำได้ รูปหน้าศพนั่นฉันจำได้ ป้าวิยืนยันคำเดิม

	หรือเป็นวิญญาณ ทั้งสองอุทานพร้อมกัน แล้วหันมาหาผม ระวังให้ดีนะ แล้วทั้งคู่ก็หันไปทำงานของตัวเองต่อ

	แหม! คนแก่นี่ --- ผมว่าในใจดังๆ แล้วเดินคอตกกลับไปที่เดิม

	หรือป้าวิจะจำผิดจริงๆ แต่แกก็ยืนยันว่าใช่ผู้หญิงคนนั้น คนที่เคยมาอาละวาดถึงแผนก รวมทั้งคนที่เคยโทรศัพท์มาก่อกวน และขอสายอาจารย์พงษ์ศักดิ์อีกด้วย ผู้หญิงบ้าคนนั้น คนที่ตายไป เป็นคนเดียวกันกับที่เคยมาที่แผนก แล้วคนที่ผมคุยด้วยเป็นใคร 

	ผีที่ไหนจะมาโทรศัพท์ไม่ใช่หรอกน่า --- ผมคิด

	ไม่ใช่ผีแล้วใคร ไม่ใช่คนเดิมแล้วใคร ผมสับสน แล้วถ้าไม่รู้จักอาจารย์พงษ์ศักดิ์ทั้งสองคนนั้น (ผมสรุปว่าไม่ใช่ผี) จะโทร. หาทำไม ถ้าคนแรกได้ชื่อมาจากทำเนียบอาจารย์จริงตามที่ป้าสุบอก แล้วคนที่สองนี่ล่ะได้มาจากนั้นด้วยเหรอ หรือเธอจะรู้จักกับอาจารย์พงษ์ศักดิ์จริงๆ แต่อาจารย์ไม่ยอมรับ ใครจะไปรับว่ารู้จักกับคนบ้า

	แต่ก็น่าแปลกอีกนั่นแหล่ะ ชีวิตนี้ทำไมอาจารย์พงษ์ศักดิ์ถึงมีสาวๆ ไม่เต็มบาทมาสนใจมากนัก เป็นผมขอเป็นโสดดีกว่า



วันที่ 2 ของเดือนที่ 3 เสียงตามสายยังคงไม่เลิกรากับผม

	ที่นี่มหาลัยใช่ไหม เธอถามเสียงห้วนเหมือนเดิม


	ครับใช่ครับ ไม่ทราบว่าจะติดต่อเรื่องอะไรครับ ผมว่า

	นี่ยังไม่ตายอีกเหรอ เธอด่าแล้วก็วางไป


	สักครู่ก็โทร. มาใหม่

	เมื่อไหร่จะตายไอ้มหาลัย คราวนี้เธอไม่พูดมาก ผมรับปุ๊บเธอด่าปั๊บ แล้วก็วางทันที

	สักครู่ก็โทร. มาใหม่

	อยากตายใช่ไหม รู้เอาไว้ด้วยว่ายังไงๆ ฉันก็ต้องแต่งงานกับอาจารย์พงษ์ศักดิ์อยู่ดี แล้วก็วางไป

	สักครู่ก็มาใหม่

	ทำไมอาจารย์พงษ์ศักดิ์ทำกับฉันแบบนี้ เราจะแต่งงานกันแล้วนะ แล้วก็วาง

	ทุกครั้งที่โทรมา ผมไม่มีโอกาสได้แย้มปากพูดเลย เธอพูดก่อน วางก่อนเสมอไป

	เอ๊ะ! เมื่อไหร่จะตายสักทีมหาลัย

	ยังไงฉันก็จะรอเขา เขารักฉันมากรู้ไหม

	บอกเขาด้วยฉันรออยู่ที่โรงแรมให้รีบๆ มานะ


	
	--- เฮ้อ				
Lovers  0 คน เลิฟใบคา
Lovings  ใบคา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟใบคา
Lovings  ใบคา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟใบคา
Lovings  ใบคา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงใบคา