23 เมษายน 2548 10:16 น.

+++ChiNa VoL vi+++

ardin

วันที่ 17 

วันสุดท้ายในดินแดนมังกรแห่งนี้ เช้านี้เราเดินทางไปยังสักการะพระหยกขาวกันก่อนเพื่อเป็นสิริมงคล  9 โมง เราก็มาถึง ภายนอกวัดกำแพงเป็นสีเหลืองสดสะดุดตา วัดนี้มีพระหยกขาว 2 ปาง ที่อัญเชิญมาจากพม่า ภายในนักท่องเที่ยวเยอะมาก เราจะเข้าไปดูพระหยกขาวปางมารวิชัยกันก่อน อยู่บนชั้นสอง คนแน่นมาก ค่อยๆเดินผ่านไปได้เรื่อยๆ ซึ่งเขาไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ เราก็ได้แค่ยกมือไหว้รีบๆแล้วก็จะถูกดันลงมา  เข้ามาอีกวิหารหนึ่งเป็นพระหยกขาวปางไสยาสน์ มีสองฝั่งตั้งตรงข้ามกัน ฝั่งหนึ่งเป็นองค์จำลองจากสิงคโปร์  อีกฝั่งเป็นองค์จริง เมื่อไหว้เสร็จก็เดินกลับมาข้างหน้าเข้าไปไหว้พระประธานคือ พระศรีศากยะมุนี ด้านหน้าวิหารก็มีโคมเจดีย์ ที่ให้โยนเหรียญเหมือนทุกๆวัด ออกจากวัดเราก็เดินลัดเลาะตามถนนไปไม่นานก็ถึงร้านไข่มุก ที่จะมีการจัดแสดง และแนะนำไข่มุกรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากไข่มุกให้ทราบและเลือกซื้อหากัน เริ่มต้นการอธิบายด้วยการนำหอยมุกมาเพื่อให้เราได้ทายว่ามีไข่มุกอยู่ภายในกี่เม็ด ใครที่ทายได้ถูกจะมีครีมไข่มุกแจกเป็นรางวัล และไม่น่าเชื่อว่าในหอยมุกหนึ่งๆจะมีไข่มุกมากถึง 30 กว่าเม็ด มีหลายสีคละกัน ทั้งขาวและชมพู ไข่มุกถูกหรือแพงนั้นขึ้นอยู่กับขนาดเล็กใหญ่และความกลมของไข่มุกนั้น ถ้าเลี้ยงมานานหลายปีก็จะมีขนาดใหญ่กว่า ต่อมาผู้บรรยายก็ได้อธิบายถึงการดูไข่มุกของจริงกับของปลอม ซึ่งมีหลายวิธีเช่นการนำไข่มุกมาถูกันถ้ามีความรู้สึกว่าสากๆ ไม่เรียบจะเป็นของจริง ส่วนถ้าลื่นกลมจะเป็นของปลอม หรือการนำไข่มุกไปถูกับกระจกใส ถ้ามีรอยเมื่อขูดไข่มุกลงไปจะเป็นของจริง เนื่องจากไข่มุกจริงจะต้องไม่เรียบสนิท จะมีสะเก็ดสากๆของมุก ถ้าเป็นของปลอมจะทำมาเรียบ กลมเกินจริงจึงไม่มีรอย และยังมีการแนะนำผลิตภัณฑ์ต่างๆเช่น แป้ง ครีม ที่ทำมาจากไข่มุก หรือไข่มุกที่กินได้ รวมถึงสร้อยไข่มุกขนาดต่างๆให้เราเลือกกันตามชอบใจ				
23 เมษายน 2548 10:00 น.

+++ChiNa VoL v+++

ardin

วันที่ 16

เช้านี้เราต้องเสียเวลารอรถตู้ที่จะมารับนานมาก ซึ่งทางไกด์ก็อธิบาย ไม่ใช่แก้ตัวนะครับ ว่านักท่องเที่ยวเยอะเหลือเกิน ซึ่งต้องรอคิวรถบนเกาะที่วิ่งกลับไปกลับมา หลังจากรอท้าลมหนาวอยู่หน้าโรงแรมอยู่นาน ในที่สุดพวกเราก็ได้ออกเดินทางสักที ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำด้วยการซิ่ง ปาดซ้ายขวาของโชเฟอร์ก็ทำให้เรามาถึงที่หมายโดยปลอดภัยทุกท่าน สถานที่แรกของวันนี้ คือ วัดฝาอี่				
23 เมษายน 2548 09:51 น.

+++ChiNa VoL iv+++

ardin

วันที่ 15 

เช้าวันนี้เราจะออกจากหังโจว เพื่อเดินทางไปยังเมืองหนิงปอ โดยเราจะจัดกระเป๋าใบเล็กเพื่อไปค้างคืนกันที่ เกาะผู่ถ่อซาน ซึ่งเป็นเกาะที่เป็นสถานที่ตั้งเจ้าแม่กวนอิม และวัดต่างๆ ควรแก่การเดินทางไปสักการะ ใช้เวลานั่งรถประมาณ 3 ชั่วโมง เพื่อมาขึ้นเรือข้ามฝากไปยังเกาะผู่ถ่อซาน ตอนแรกคิดว่าจะได้ขึ้นเที่ยวบ่ายโมงแต่เรามาช้าไปนิดหน่อยทำให้ต้องรออีก 1 ชั่วโมง การเดินทางบนเรือซึ่งไม่ใหญ่มากจุประมาณ 100 คนเห็นจะได้  ระหว่างอยู่บนเรือ ก็มีการเปิด VCD สถานที่ท่องเที่ยว และ บทสวดต่างๆ ให้ดู แล้วก็เดินขาย ถ้าไม่มีใครซื้อก็จะเดินมาปิดแล้วก็เปลี่ยนแผ่นใหม่ ขายต่อเรื่อยๆ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อเรามาถึงท่าขึ้นเรือพนักงานก็มาโล้งเล้งอีกเช่นเดิมให้เราวางกระเป๋าทิ้งไว้ แล้วเขาจะขนไปเองไม่ให้เราเอาเข้าไปในที่นั่งภายในเรือ พวกเราก็คิดว่าเขาห้ามเอาเข้าคงต้องไปเก็บรวมไว้อีกทาง แต่ที่ไหนได้พอขาลงเราจึงรู้ว่า กรุ๊ปอื่นเขาก็ยกกระเป๋าตัวเองเข้ามาทั้งนั้น ส่วนไกด์สาวจีนของเรา เลยต้องไปฉะกับชายร่างสันทัด สามสี่คนที่มาล้อมเพื่อจะขอเก็บค่าขนกระเป่าของเรา ไกด์เราก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน พวกเราก็ลุ้นอย่างหวาดเสียวแทนจริงๆ  เมื่อมาถึงก็มีรถตู้มารับเป็นรถที่วิ่งอยู่บนเกาะเพื่อวนรับนักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ แต่ทุกท่านที่ได้นั่งมายอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่ารถที่นี่มีแต่คันเร่ง กับ แตร คงไม่ได้ติดเบรกไว้แน่ๆ เพราะแล่นได้สะใจมากๆ ไม่มีการเข้าโค้งแล้วแตะเบรกเด็ดขาดมีแต่เพิ่มความเร็ว หรือถึงจะมีใครมาขวางทางก็ไม่มีแตะเบรกมีแต่บีบแตรไล่ ให้หลบไม่หลบคงมีเสยกันไปบ้าง เป็นคนไทยขับรถอย่างนี้คงได้ยินเสียงคนข้างทางสบถออกมากันเป็นสวนสัตว์และมีการเรียกผู้ปกครองกันแน่ๆ วัดแรกที่เราเข้ามาไหว้กัน คือวัดผู่จี้				
23 เมษายน 2548 09:30 น.

+++ChiNa VoL iii+++

ardin

วันที่ 14  
    
เช้าวันนี้เรา Morning call กัน 6 โมงเช้าเพื่อลงมาทานอาหารและเตรียมขนย้ายกระเป๋า เอ้อ การเดินทางทริปนี้เราจะต้องเปลี่ยนโรงแรมกันทุกๆวัน ดังนั้นกลับมาถึงผมจึงมีของฝาก ของที่ระลึกจากโรงแรมต่างๆมากไปสักหน่อย เวลา 8 โมงเศษ เราก็ขึ้นรถเดินทางออกจากเมืองซูโจว เพื่อไปยังเมืองหังโจว เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์บนโลกมนุษย์ เพราะพร้อมด้วยบรรยากาศสถานที่ที่สวยงาม อาหารอร่อย และสาวสวย ที่แรกของวันนี้เราจะไปชิมชาดอกไม้กัน ก็เหมือนทั่วไปคือ ทางสถานที่จะนำพวกนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ไปยังห้องเพื่อแนะนำสินค้า ทดลองชิม และใครถูกใจก็ซื้อหากันได้ตรงนั้น ส่วนผมไม่ซื้อ ไม่เสียตังค์สักอย่าง ใช่ว่าผมจะขี้เหนียวนะ ก็ไม่มีอะไรถูกใจ ผมก็ไม่ซื้อ ผมไม่ผิดนะครับ ชาดอกไม้ที่ได้ชิมกันไป ก็คือ เก๊กฮวย  บ้านเรานี่แหละครับ แต่รู้สึกว่าเขาจะใช้ดอกเก๊กฮวยขาว มาต้มชงแบบน้ำชาคือมีกากของดอกเหลืออยู่ด้วย ไม่ได้นำมากรองออกก่อนแบบเก๊กฮวยที่ขายตามบ้านเรา ซึ่งดอกที่เหลืออยู่นั้นก็สามารถทานได้เช่นกัน หลังจากชิมเรียบร้อยผมก็เดินทะลุมาอีกห้องหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่ เป็นที่ขายขนม มีตั้งแต่ลูกอม ขนมห่อๆ น้ำ เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ก็คล้ายกับซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆนี่แหละ เดินออกไปอีกจะเป็นคล้ายๆตลาดขายของสด ซึ่งจะส่งกลิ่นแรงอยู่ไม่น้อย ผมซึ่งไม่รู้ว่าจะซื้ออะไร เลยขอหลบไปรออยู่บนรถก่อนละกัน หลังจากพวกเรากลับขึ้นรถกันเรียบร้อยก็ออกรถมุ่งหน้าไปทานอาหารเที่ยงกัน ซึ่งทัวร์ลีดเดอร์ของเราได้แจ้งว่าจะต้องรีบทำเวลาเพราะจองเรือที่จะล่องทะเลสาปซีหูไว้ในเวลาบ่ายโมง ถ้าเราไปไม่ทันจะตกเรือและคนจะเยอะมากๆ เพราะช่วงนี้ก็เป็นไฮล์ซีซั่นของเมืองหังโจว เพราะถือเป็นช่วงที่อากาศกำลังดีเข้าฤดูใบไม้ร่วง เมืองหังโจวนี่เวลาเข้าหน้าร้อนก็จะร้อนมากๆอุณหภูมิทะยานเกิน  40 องศาเซลเซียส ส่วนถ้าหนาวก็จะหนาวสุดๆแบบถึงขั้นติดลบเลยทีเดียว ถือว่าโชคดีที่เรามาเที่ยวกันในช่วงที่เรียกว่าอากาศดีที่สุดของหังโจว หลังจากรับประทานกันเสร็จ ก็ได้พบกับไกด์ท้องถิ่นของเมืองนี้ ซึ่งที่นี่จำเป็นต้องมีไกด์ท้องถิ่นไปกับเราด้วย คาดว่าคงเป็นการเพิ่มอาชีพให้กับท้องถิ่นด้วย และใครก็คงไม่รู้ประวัติสถานที่ต่างๆ ดีเท่าท้องถิ่นประจำตัวเอง ไกด์ของเราเป็นสาวสวย ดูอวบอิ่มสมบูรณ์ ซึ่งเจ้าตัวก็ยังแซวว่า อย่าผิดหวังนะ ถ้ามาเมืองหังโจวทำไมไม่เจอสาวสวย แต่เป็นสาวอ้วนไปได้ อิอิ อันนี้เรียกว่าผมไม่ได้ว่านะ เล่ามาให้ฟังกันอีกที จากแผนที่วางไว้สงสัยว่าต้องผิดแผนไปสักหน่อยเมื่อทางเรือที่จองไว้โทรมาเลื่อนเวลาเนื่องจากคนเยอะมากๆ ทำให้ทัวร์ลีดเดอร์ของเราตัดสินใจพาไปยัง วัดจินฉือ
 
      วัดจินฉือหรือที่เรียกว่าวัดจี้กงก่อน ภายในวัดมีพื้นที่กว้างขวางมากดูร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ เมื่อเดินเข้าไป ทางด้านขวามือจะเป็นศาลเจ้าหลังหนึ่ง เราจะได้เข้าไปดูระฆังที่ใหญ่มาก ซึ่งอยู่ชั้นสองของศาลเจ้า เมื่อขึ้นไปถึงเจ้าหน้าที่ก็ออกมาโล้งเล้งไม่ให้เราถ่ายภาพ หรือแม้แต่สัมผัสระฆังนี้ ผมก็นึกว่าคงศักดิ์สิทธิ์และเคารพกันมาก ดูเป็นของหวงห้าม ไกด์ก็แนะนำประวัติ ว่าถ้าได้ตีระฆังใบนี้จะทำให้เรื่องทุกข์ หายไปได้ หลังจากฟังบรรยายจบ ทางเจ้าหน้าที่ก็ลุกมาตีระฆังให้ดู เสียงสะท้อนดังไกลมากๆ แล้วที่นี้ก็เริ่มขายของแล้วครับ จากของที่เราคิดว่าศักดิ์สิทธิ์จับต้องไปไม่ได้ เปลี่ยนมาเป็น จ่าย10 หยวน จะได้ขึ้นไปตีระฆัง 1 ที แล้วก็แอ็คท่าถ่ายรูปได้แล้ว โธ่ ที่แท้คุณพี่จะเอาเงินก่อนนี่เอง มาถึงถึงได้ห้ามทุกอย่างซะน่ากลัวเชียว ผมก็เลยได้เก็บภาพระฆังศักดิ์สิทธิ์ใบนี้มาได้ด้วยเหตุฉะนี้แล ผมออกมาเดินชมบริเวณรอบๆวัด มีแท่นหินสลักอักษรจีนสูงใหญ่ตั้งอยู่ ส่วนด้านหน้าวิหารใหญ่ก็มีเก๋งจีนลักษณะอย่างเดียวกันให้โยนเหรียญใส่ช่อง ผมแวะเข้าไปไหว้พระองค์ประธาน ในวิหารใหญ่ ทะลุไปข้างหลังยังมีบันไดขึ้นไปอีกศาลเจ้าหนึ่ง เมื่อถ่ายรูปเป็นที่เรียบร้อยก็เดินกลับออกมาทางเก่า เพื่อไปขึ้นรถมุ่งหน้าไป ไร่ชาหลงจิ่ง ซึ่งเป็นชาเขียวที่มีชื่อของเมือง ปลูกกันเป็นไร่ๆกว้างใหญ่มากๆ เป็นของรัฐบาลจีน ปลูกเป็นเนินเขาขั้นบันได สวยงาม มีคนงานเดินเก็บยอดอ่อนของใบชาเต็มไปหมด ก่อนอื่นเราไปดูใบชาที่เขาเก็บมา เขาจะเลือกเก็บเฉพาะยอดอ่อนของใบชา แล้วจะนำมาผัดในกระทะร้อนๆด้วยมือเปล่า พลิกใบชากลับไปกลับมา โดยต้องมีการควบคุมอุณหภูมิให้ดี อยู่ประมาณ 80 องศาเซลเซียส แค่ผมยืนอยู่ข้างๆกระทะก็รู้สึกถึงไอร้อนแล้วครับ ไม่ต้องพิสูจน์ด้วยมือตัวเองก็ได้ หลังจากนั้นเราก็เข้าไปยังด้านในอาคารที่สร้างสไตล์บ้านจีนโบราณ ซึ่งมีรูปถ่ายครั้งสมเด็จพระเทพฯ เราเยือนเสด็จที่แห่งนี้ด้วย เมื่อเข้าไปในห้องเจ้าหน้าที่ก็รินน้ำลงในแก้งที่มีใบชาอยู่ ในสัดส่วน 1 ใน 4 ของแก้ว แล้วส่งมาแจกจ่ายกันครบ ชาที่รินมาครั้งแรกนี้เขาไม่ได้ให้เราดื่มนะครับ ไม่ใช่เขาจะใจจืดใจดำให้เราชิมแค่นี้ แต่แก้วนี้เขาจะให้เราดมกลิ่นของใบชา ว่าหอมขนาดไหน หลังจากนั้นเขาจะเดินมารินน้ำให้เรา 3 ยก เหมือนนกผงกหัว 3 ครั้งก็จะเต็มแก้วพอดี เขาก็เริ่มบรรยายถึงสรรพคุณของชาเขียว ซึ่งผมก็คิดว่าเหมือนๆกับ ชาเขียวหลายๆยี่ห้อ ที่เป็นที่นิยมของวัยรุ่นบ้านเราอยู่ในขณะนี้แหละครับ ทั้งช่วยป้องกันมะเร็ง ลดระดับน้ำตาลช่วยควบคุมโรคเบาหวาน ช่วยลดไขมัน อ้อ ที่แถมมาด้วยก็คือ เมื่อเรารินน้ำชาใหม่ๆเต็มแก้วแล้วให้ใช้มือปิดปากแก้วครึ่งหนึ่ง แล้วก้มหน้าให้ลูกตาไปใกล้ รับไอร้อนของชา เขาว่าจะช่วยรักษาตาให้สดใส แถมด้วยเมื่อทานชาหมด อืมที่นี่ไม่เรียกว่าดื่มชานะครับ เขาจะเรียกว่า กินชา เพราะใบชาของเขาสามารถเคี้ยวกลืนไปได้ด้วย กากชาที่เหลือให้นำไปผสมไข่ขาว มาพอกหน้ารักษาผิวพรรณได้อีกต่างหาก ส่วนผมไม่ขอลองดีกว่าใช้แค่ครีมบำรุงบ้าง ครีมกันแดดบ้าง ก็มากมายเหลือเกินแล้วครับ ใบชาที่ขายที่นี่มี 4 เกรด คือเกรดเอ บี ซี และมีแบบเกรดดับเบิ้ลเอ คือเป็นแบบที่สมเด็จพระเทพฯ ของเราทรงดื่มอยู่ ราคาก็ต่างกัน รู้สึกว่าแบบที่ได้รับการนิยมซื้อกันคือ เกรดเอ นี่ตกกระป๋องละ 200 หยวน อ้อ ที่นี่เขาไม่มีตาชั่งมาตวงวัดใบชากันหรอกนะครับ เขาใช้วิธีการวัดโดยการยัด ใส่เท่าไหร่ก็ได้เท่าที่กระป๋องจะรับไหว ยินดีให้เราใส่เองด้วยต่างหาก แต่เท่าที่ผมดูให้เจ้าหน้าที่เขาใส่นั้นแหละดีแล้ว เขากรอกใบชาลงไปพูนๆ พร้อมกระทุ้งแบบไม่บันยะบันยัง ทำซ้ำๆอย่างนี้อยู่หลายรอบ ซึ่งคงอัดจนไม่มีอากาศหรือช่องว่างในกระป๋องนั้นเลย เราคงไม่สามารถยัดได้มากเท่าเขาแล้วละครับ ปล่อยให้มืออาชีพจัดการไปเถอะครับ ออกจากห้องชิมชา ก็เดินมาทางออก ซึ่งทางออกที่นี่เขาสร้างไว้ให้เราเดินผ่านร้านขายของที่ระลึกต่างๆมากมาย มีทั้งขนมที่ทำจากชาเขียว ยังไปถึงพวงกุญแจ ที่คั่นหนังสือ เสื้อผ้า กระเป๋า หนังสือ สร้อยคอ กาชงชา และยังของอีกต่างๆนานา ซึ่งก่อนจะถึงทางออกเราจำเป็นต้องได้ดูทุกร้านจริงๆ เรารีบเดินทางต่อไปยังทะเลสาปซีหู				
22 เมษายน 2548 19:41 น.

+++ChiNa VoL ii+++

ardin

วันที่ 13

เครื่องลงเวลา 7.30 น.ของไทย แต่เราจะเสียเวลาไปหนึ่งชั่วโมง เพราะที่จีนจะเร็วกว่าเราหนึ่งชั่วโมง ดังนั้นเมื่อมาถึง ก็เป็นเวลา 8 โมงครึ่งของเซี่ยงไฮ้ ไกด์ท้องถิ่น ของเราทริปนี้ มายืนถือป้ายชื่อทัวร์รอรับเราอยู่ด้านหน้าที่ออกมาจากการตรวจเอกสารเข้าเมือง แฮะ ผมก็เกือบไม่ได้เข้าประเทศเขาซะแล้ว แบบว่าหา boarding pass ไม่เจอ เอาไปใส่ไว้ในช่องไหนของกระเป๋าก็ไม่รู้ ต้องใช้เวลาหาพอสมควร แต่ในที่สุดก็หลุดออกมาได้ ยังดีที่เจ้าหน้าที่ที่ตรวจผม ท่าทางจะใจดี นั่งยิ้มรอผมได้ ต่างกับคนข้างๆที่โล้งเล้งซะมองกันทั่วสนามบิน กลุ่มของเราขนกระเป๋ากันออกมาขึ้นรถ coach ที่ทางทัวร์จัดมารับ เรียบร้อย แนะนำตัวกัน ทัวร์ลีดเดอร์ 2 คน คราวนี้ของเราเป็นผู้หญิงท่าทางใจดีกันทั้งคู่  ดูเป็นคนตั้งใจทำงาน เทคแคร์กรุ๊ปเราดีมากๆ อำนวยความสะดวกต่างๆ ส่วนทัวร์ลีดเดอร์สาวจีน พูดไทยได้พอสมควรไม่ชัดเจนเท่าไหร่ บางคำอาจมีผิดเพี้ยนไปบ้างเป็นที่เรียกเสียงเฮฮาได้ตลอดทริปนี้ วันแรกของโปรแกรมเราจะออกเดินทางไปเที่ยวยังเมืองซูโจว ซึ่งเป็นเมืองโบราณ ที่มีความสวยงามมาก ใช้เวลาเดินทางมาประมาณ 3 ชั่วโมง แวะทานข้าวเที่ยงที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง เมนูหลักๆในทัวร์นี้ ก็คงเป็น ไข่เจียวน้ำมันเยิ้ม เต้าหู้ทุกรูปแบบ ไก่ต้ม หมูสามชั้น ผัดผัก แกงจืด อันนี้เป็นสิ่งที่จะพบปะกันทุกๆมื้อ อ้อ แล้วทางคุณทัวร์ลีดเดอร์สาวไทยของเรา ก็เตรียมพริกน้ำปลา น้ำพริกแมงดา น้ำพริกตาแดง ไปแกล้มทุกมื้อเช่นกัน  อาหารจะมี ประมาณ 10 อย่าง เสิร์ฟลงแบบสายฟ้าแลบ นั่งครบปุ๊บ ยังไม่ต้องทำอะไร ยังไม่ทันจับตะเกียบด้วยซ้ำ พนักงานจะเสิร์ฟอาหารลูกเดียว วางไม่พอก็ใช้วิธีวางทับๆกันไป เล่นเอาแค่เห็นก็อิ่มไปครึ่งแล้วละครับ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟardin
Lovings  ardin เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟardin
Lovings  ardin เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟardin
Lovings  ardin เลิฟ 0 คน
  ardin
ไม่มีข้อความส่งถึงardin