สัตว์โลกย่อมวิ่งร้อน...........ตามเกมส์
เกิดแก่เจ็บตายเอม...................อิ่มอ้าง
สุขโศกสลับกับเปรม-.................ปรีดิ์บวก
อ่านออกทางสัตว์สร้าง..............สื่อแล้วใคร่ครวญ ทวนเกมส์เป็นบทถ้อย..............ทฤษฏี อ่านกับดักวางตี...................ตอกแกล้ง หากพระเดชพระคุณมี..............บำเหน็จ กลบชั่วฉาบดีแสร้ง...............เสร่อแล้วสนุกสนาน เชี่ยวชาญเกมส์ย่อมเข้า-..............ใจธรรม จริงเท็จเผด็จกรรม..................ก่อได้ สร้างภาพฉาบชั่วจำ.................กันเถิด แหย่ยุวาทกรรมไว้..................ว่าต้องสรรเสริญ
เก็บอักษรทุกคำเรียงลำดับ มานั่งนับเล่นเล่นเน้นความหมาย ว่าคิดถึงซึ้งกันมันมากมาย เป็นสหายมิตรรักของนักกลอน มีข้อความแปะวางอย่างห่วงห่วง หมดคำลวงอ่านได้ในอักษร มีภาพกอดกันกลมพร้อมชมกลอน บ้างอวยพรสุขขีจงมีชัย มีรอยยิ้มเหยอกเย้ากระเซ้าแหย่ มีรักแท้ให้กันไม่หวั่นไหว เหมือนหยุดโลกโศกห่างอย่างวางใจ เกิดขึ้นในทุกครั้งที่นั่งมอง แต่ละวันแสนดีเป็นที่สุด ไม่อยากหยุดร่วมทางหรือห่างผอง อยากเลือกลมหายใจตามใฝ่ปอง เห็นเพื่อนพ้องพร้อมหน้าเฮฮากัน เราไม่อาจเลือกได้แต่วันดี กระโดดข้ามวันที่เลวร้ายนั้น ลมหายใจเข้า้ออกแต่ละวัน ดีไม่ดีปนกันเช่นนั้นไป เมื่อไม่อาจเปลี่่ยนร้ายกลายเป็นดี เราปรับตัวเปลี่ยนวิธีคิดกันใหม่ มองทุกอย่างง่ายง่ายสบายใจ มีสติตั้งไว้เพื่อใช้งาน แก้วประภัสสร
ใบมีดกระทบเนื้อ เเล่เถือๆให้เลือดหลั่ง ชิมเลือดที่ไหลคั่ง น้ำตาหลั่งปรุงรสเค็ม ทอดมองข้างๆกาย เธอหายแล้วแลไม่เห็น ชีวิตนี้ ช่างลำเค็ญ หยิบมีดเย็นปาดหลอดคอ อ่อก อ่อก แอ่ก แค่ก แค่ก ตาเหลือก ล่อก แล่ก หายใจไม่ออกหนอ ไม่สามารถหายใจคอ ทุรนทดท้อ ตะเกียกตะกาย ผนังฝ้า เริ่มลางเลือน เจ็บเนื้อที่เฉือน มากกว่าใจ มองทอดออกไปไกล เเว่วเสียงร่ำไห้ ของใครกัน? นี่เลือดแม่ นี่หนังแม่ นี่เนื้อแม่ นี่ใจเเม่ ใครกันเป็นเจ้าของที่แท้ ใยเจ้าทำแม่ได้ลงคอ ฟื้นสิลูกฟื้น ลืมตาตื่น เถิดลูกรัก มีดนี้ที่ลูกฟัก มันปักตรงกลางลำใจ ทรมานมากไหมลูก ที่ลูกกรีดเนื้อของแม่ เจ้าคงเจ็บ เป็นแน่แท้ ใยฆ่าแม่ไปทั้งเป็น โอ้แม่จ๋า น้ำตาแม่ไหล ใครหนอใครทำแม่นี้ เเม้จ๋า บอกลูกที หันมาทางนี้ ระบายให้ลูกฟัง แม่จ๋าแม่ ได้ยินลูกไหม แม่จ๋า ใจลูกป่วย แม่จ๋า โปรดช่วยเป่าโรคร้ายไป เหมือนสมัย ลูกยังคลาน แม่จ๋าแม่ ยินเสียงลูกไหม ใยไม่ใส่ใจ ลูกเหมือนเก่าก่อน นั่นใครเล่าแม่ที่แม่กอดตระครอง ใยกายเขานองไปด้วยเลือดแดง แม่จ๋า อย่าร้อง.... แม่จ๋า โปรดหันหาลูก... แม่จ๋า... แม่ แม่ แม่ . . . . . ใยแม่ไม่ได้ยินเสียงลูก... ใยแม่ไม่ให้ลูกเห็นตาที่โอบอารีนั้นอีก แม่จ๋า แม่
ลือว่า เขาสามารถ ดั่งทายาท ปราชญ์เมธี อักษร กลอนกวี รู้ถ้วนถี่ ดีเหนือใครเป็นสื่อ ถือปากกา สืบคุณค่า ภาษาไทย แต่ฉัน กลับหวั่นใจ นึกสงสัย ในผลงานเขาไย ไม่พิทักษ์ ฉันทลักษณ์ หลักบุราณ มักง่าย ไร้เชิงชาญ ทิ้งแก่นสาร ลาญครรลอง นี่หรือ คือแบบอย่าง ผู้สรรค์สร้าง ทางร้อยกรอง ผิดทิศ ผิดทำนอง ข้อบกพร่อง ฟ้องชัดเจนศักดิ์ศรี กวีพจน์ มาถอยถด เสียกฎเกณฑ์ ด้วยมือ สื่อเบี่ยงเบน เหมือนมิเห็น เป็นสำคัญชะตา ภาษาศิลป์ เจียนหมดสิ้น กลิ่นสุคันธ์ มธุรส บทประพันธ์ ถูกแปรผัน บั่นไชชอนใครเลย เคยทักท้วง สำนึกหวง ห่วงอาวรณ์ ชุบฟื้น-คืนกาพย์กลอน ให้สุนทร ก่อนสูญไปผู้รู้ ครู,บัณฑิต โปรดมีจิต คิดห่วงใย กวดขัน โดยทันใด ร่วมแก้ไข ให้ฟื้นฟูมรดก-ชาติตกทอด ควรต่อยอด ปลอดริปู ช่วยกัน หมั่นค้ำชู เพื่อคงอยู่ คู่ไผท
บาสิกาหนึงน้อง ทรงศีล มิใช่ลาวแขกจีน ต่างด้าว สาวไทยใฝ่ใจปีน สวรรค์ที่ สุขนา บุญแม่จักพาก้าว อยู่ห้องสุขศานต์ อรุณฉานเธอใส่ข้าว ลงบาตร์ พระพี่สวดพรศาสน์ ส่งให้ จากกันเมื่อลาขาด ศีลห่ม ขาวนา หากว่าบวชอีกได้ อย่าต้องศึกศีล อุปัชฌาย์แต่งตั้ง สำนัก เรียนเอย เป็นที่ศิษย์จิตรัก ใฝ่รู้ บาลีนี่เรียนหนัก จำท่อง ศัพท์นา เปรียญสี่มีพระผู้ ผ่านได้สองตน เราศึกษาเพื่อรู้ บาลี เขียนอ่านจำมากมี มุ่งไว้ สวดแปลที่มนตี พุทธท่าน สอนนา สืบส่งพุทธศาสน์ให้ กว่าห้าพันวสา เทียนวสาท่านได้ ทานถวาย คุณแม่คนึงสุขนาย แต่งแต้ม จักรวาลแห่งธรรมสาย สกุลเก่ง จิตแม่งามธรรมแย้ม ดั่งฟ้าอาบอรุณ *13กค56* ผีมันหลอกอื่อร้อง กลางดึก ลุกนิ่งฟังดูนึก หวั่นสู้ เป็นตายไม่ขอสึก หนีแน่ เงียบอยู่ไยจักรู้ ว่านั้นใดฤาผี อีกวันเห็นที่ข้าง กุฎี เป็นแม่หมาคือผี อื่อร้อง นอนยาวบ่ผอมพี พุงเป่ง นางแม่หมามีท้อง บ่นร้องหนาวฝน นำนักเรียนเข้าค่าย ธัมมา คือแม่จันวิทยา แห่งนั้น อาจารย์ห่วงสิสสา ตกชั่ว พาสู่ผาเงาปั้น แต่งแต้มใจงาม 15กค56 - 19กค56 เชียงแสนวิทย์หมู่ท้าว ถวายทาน ครูใหญ่อำนวยการ อยู่หน้า เกิดตายว่ายสังสาร นานเนิ่น บุญท่านรอฤาช้า อยู่เบื้องหกสวรรค์ 16กค56 บิณฑบาตรแต่เช้า กลับมา ฉันอิ่มทำกิจจา ใหญ่น้อย ธรรมบทสี่ภาคหนา แปลอ่าน ศัพท์กี่คำเกินร้อย ท่องไว้หนักครัน นางสาวลาวแม่ข้าม มาไทย ถึงที่ผาเงาไง แห่งนี้ ทำบุญร่วมวันใน สาฬหะ งามแต่งงา
ใช้ชีวิต เรียบง่าย ตามสายกาล ก้าวข้ามผ่าน ทุกข์เข็ญ ทั้งเย็น-ร้อน แปรไปตาม ช่วงจังหวะ แต่ละตอน คอยโอนอ่อน เปลี่ยนผัน ผ่านวันคืน... เพียรเรียนรู้ ทดสอบ กรอบชีวิน ไม่เคยสิ้น เรี่ยวแรง กล้าแกร่งฝืน เพิ่มแรงใจ ปลอบปลุก ล้มลุก-ยืน ยิ้มหน้าชื่น อกตรม แม้นขมใจ... ยามสุขสันต์ ราบรื่น ฉ่ำชื่นจิต หว่างชีวิต ปรากฏ ความสดใส ทุกย่างก้าว พุ่งเฟื่อง เรืองไสว พร้อมสู้ไป ตามเพรง มิเกรงกลัว... แต่เมื่อยาม ทุกข์โศก คล้ายโลกมืด วัน-คืนยืด เนิ่นช้า กว่าสลัว เข้าข่มเหง รุมเร้า คล้ายเมามัว กว่ารู้ตัว ดิ่งจม ระทมทรวง... เป็นอย่างนี้ หนอชีวิต ลิขิตฟ้า กำหนดมา บาป-บุญ ที่หนุนหน่วง การกระทำ หนหลัง เรื่องทั้งปวง เปรียบดุจบ่วง พ่วงพัน ลงทัณฑ์เรา...
๑. จะกล่าวถึงกรุงเทพมหานคร ราชรัฐแห่งสยามานุสรณ์ เมืองอมรมิ่งโกสินทร์มหินทรา ๒. นับสองศตวรรษหมุนผลัดผ่าน ประวัติศาสตร์สืบสานการศึกษา โลกแซ่ซร้องสรรพกิจวิทยา งามวัดวาเหมือนวาดราชมณเฑียร ๓. กว่าห้าสิบเชื้อชาติคือญาติมิตร ล้วนพึ่งพิงใกล้ชิดสถิตเสถียร บนผืนดินถิ่นสยามตามแบบเรียน สัญชาติไทยอ่านเขียนเพียรอ้างอิง ๔. พระมหาประมุขแห่งยุคสมัย รุ่งเรืองไกรเกริกเกียรติยศยิ่ง สัตว์มนุษย์เทวดามาพึ่งพิง สรรพสิ่งกลืนกลมตามสมดุลย์ ๕. ประชาราษฏร์ทั้งดี-บ้า มหาฤาษี ประชาชีไพร่ทาสอำมาตย์หนุน พระ-พราหมณ์อำนาจเก่าเจ้าประคุณ ทั้งนายทุนทั้งกุลีล้วนปรีดา ๖. ฝนตกต้องตามฤดูกาล ธรรมชาติบันดาลสุขทั่วหน้า จะลงน้ำในน้ำก็มีปลา จะลงนาก็มีข้าวให้ชาวเรา ๗. ทศพิธราชธรรมคอยค้ำโลก ดับอุปัทวิโยคทุกข์โศกเศร้า ภัยหนักก็กลับเห็นผ่อนเป็นเบา มีทุกข์ก็บรรเทารู้เท่าทัน ๘. เมื่อถึงปีที่สองร้อยสิบเก้า คือแรกเริ่มเรื่องราวคราวคับขัน ประชาราษฏร์มีสิทธิ์เสียงเท่ากัน คล้ายคล้ายจะหฤหรรษ์สันติ์สุขดี ๙. ด้วยเกิดความนึกคิดริษยา สมดุลย์สูญค่าสิ้นราศี จึงเกิดความเมืองเรื่องกาลี ในยุคเทคโนโลยีรุกตีเมือง ๑๐. ประชาชนหมดสิ้นศีลธรรม ความตกต่ำขู่ฟ่ออย่างต่อเนื่อง ที่ยากจนยิ่งสุดแสนจะแค้นเคือง ที่รุ่งเรืองก็ยิ่งอยากมากกว่าใคร ๑๑. ฝูงสัตว์จึงเกรียวกรูสมสู่คน ทุกแห่งหนเพลิงมารเผาผลาญไหม้ คึกคะนองร้องโหมโถมทุกข์ภัย จนเกิดเรื่องแปลกใหม่ยี่สิบประการ
ฝนพรำ.. พรำลงมาผืนฟ้าเปียก นิ่งสำเหนียกในเพรียกร้องปองคิดถึง ฟังเสียงฝน เพียงลำพังนั่งรำพึง ไม่โศกซึ้ง แค่หลงทางระหว่างใจ หลงอยู่ในความทรงจำแห่งคำเขียน หลงวนเวียน อาขยานที่ขานไข อ่านแล้วเหงาเรายิ่งอ่านไม่ผ่านไป ยิ่งซึ้งในทุกถ้อยคำที่ขำคม อ่านกลอนเก่า.. แกล้มกับกาแฟดำ ดื่มขม-อ่านคำ ยิ่งย้ำขม ความเหงางามหลามไหลในอารมณ์ ..สู่ภวังค์จ่อมจม ในห้วงใจ ความเหงามีความงามในความเหงา อยู่ที่เราจะมองเห็นมันหรือไม่ มองให้เป็น ก็จะเห็นความเป็นไป ถ้าทนไหวมันจะงามตามเวลา ..ดื่มด่ำ ค่ำคืนเหงาให้เข้าถึง ..ลึกซึ้ง ดื่มความเหงาให้เข้าท่า มองความเหงาให้แจ่มชัดถนัดตา จะเห็นว่าก็แค่เหงา เราเลือกมัน และเราเลือกใช้ใจได้หลายอย่าง เลือกจะวาง หรือยึดยื้อถือไว้มั่น กาแฟดำที่รินรอก็เหมือนกัน รู้เท่าทันความขมพอ ..ก็หวานใจ
๑ ดึกดื่นดาวหนาวจางมองกลางบ้าน หอมนานนานเบิกบานชีวิตที่หยั่ง เก็บทุกอย่างรอบข้างชื่นคืนพลัง ไกลสุดฝังสายตาจะคว้าชม ๑ คือหัวใจไหวตามความรู้สึก ผ่านภูพฤกษ์นึกไกลใดหวานขม สำเร็จหรือล้มเหลวเก็บเกี่ยวปม ชีวิตห่มคมปัญญาสัจจาธรรม ๑ กว่าเป็นเรือนเช่นนี้ที่สัมผัส กว่าเป็นมัดกล้ามเนื้อเถือปลุกปล้ำ กว่าเป็นทุกสิ่งปลูกสร้างทางเคี่ยวกรำ คืนกระจ่างธรรมกลางใจใต้เดือนดาว ๑ สุดฟ้าทะเลหมอกดึกหยอกเย้า ไกลเทือกเขาเงาป่าท้าสืบสาว ผ่อนคลายสายตัวปลอดทุกทอดยาว อาบลมหนาวดาวเดือนเป็นเพื่อนตาย ๑ เพียงเท่านี้ที่เห็นเป็นแก่นสาร ประภาคารสานใจมิให้พ่าย มืดอย่างไรอย่างนั้นอันตราย มิใช่ควายเหมือนควายงัว..มิกลัวงาน ๑ คือเราเป็นเจ้าเรือนเหมือนทุกสิ่ง คือความจริงงามแท้แผ่หลักฐาน คือวันนี้สัญญาอนาคตกาล คือวิมานสถานเดียวเกี้ยวเดือนดาว ........
ที่ใด...ไหนล้วนประะจักษ์
มีรัก...รัดรุมลุ่มหลง
ที่นั่น...น้ำตาบ่าลง
มีทุกข์...ยิ้มส่งทายท้า
ที่ใด...ประสบพบเห็น
มีรัก...ดังเช่นหินผา
ที่นั่น...ชอกช้ำชินชา
มีทุกข์...ทาบทาถักทอ
ที่ใด...เร่งเร้าริเริ่ม มีรัก...ไว้เสริมเติมต่อ ที่นั่น...มีการเฝ้ารอ มีทุกข์...มีท้อปะปน ที่ใด...ที่ใด ที่ใด มีรัก...อยู่ไหน? สับสน! ที่นั่น...อยู่ในใจคน มีทุกข์...มากท้นหลั่งริน ที่ใด...ที่ใฝ่ที่ฝัน มีรัก...ให้ฉันไม่สิ้น ที่นั่น...ยังย้ำยังยิน มีทุกข์...ก็ชินเสียแล้ว!
กระเพื่อมไหววิบวับระยับแสง อวดสำแดงหนึ่งว่าเพชรเกล็ดวาวใส ยามพระพายพริ้วพรมโลมลงไป น้ำผืนใหญ่กลับตื่นเป็นคลื่นพลัน สาดกระเซ็นกระเด็นลู่เข้าสู่ฝั่ง โถมถาถั่งเซาะหินดินทรายนั่น พัดกัดเซาะกะเทาะร่อนกร่อนทุกวัน กลับกลายพลันเป็นสันทรายในธารา สรรพสิ่งเปลี่ยนผันในวันนี้ คุณความดีดุจเพชรใสนั้นไร้ค่า ระลอกคลื่นแห่งความดีเคยมีมา ไร้ราคาเป็นแค่ทรายในสายธาร ไม่มีเหลือสิ่งใดให้ยึดถือ ชีวิตคือสิ่งใดเจ้าจงเล่าขาน ฤาเป็นเพียงเรื่องเก่าอันยาวนาน เพียงเจือจานหล่อเลี้ยงไว้ในใจคน ฤาสันดานคือสันทรายในใจนี้ พอน้ำมีกลับหายให้ฉงน พอน้ำลดจึ่งเห็นเช่นเล่นกล เหมือนใจคนเดี๋ยวร้ายดีมีหมุนเวียน
ใครจะว่าอะไรยังไงก็ช่างเขา เราเป็นเราน่ะดีที่สุดแล้ว คิดเสียว่า...เสียงนกกา...มาเจื้อยแจ้ว ใจแน่แน่วซะอย่าง เดี๋ยวดีเอง ให้อภัยเขาเถอะนะ... เขายังอ่อน คงเมื่อตอนเด็กเล็กโดนข่มเหง จึงใช้ถ้อยคำหยาบคายไม่กริ่งเกรง ให้คนอื่นคิดเดาเองถึงตระกูล เพียงถ้อยคำเล็กน้อย แค่แสบคัน อย่าไหวหวั่น ปล่อยไปให้เป็นศูนย์ คิดเสียว่า ประสบการณ์ พอกเพิ่มพูน เอาไว้ใช้เป็นข้อมูลเมื่อต้องการ ทำไปเถอะถ้าใจยังเรียกร้อง ใช้สมองคิดสิ่งที่สร้างสรรค์ ยังมีเพื่อนมากมายพร้อมแบ่งปัน กำลังใจให้กันและกัน ด้วยหวังดี
เวลา มิอาจ ย้อนหลัง หลายอย่าง จึงน่า เสียดาย หลายเรื่อง หลายราว มากมาย เสียดาย ที่ไม่ ได้ทำ เวลา มิอาจ หวนคืน ขมขื่น และเจ็บ ชอกช้ำ เลวร้าย เคยได้ กระทำ ตอกย้ำ ช้ำจิต ชีวิตตรม เวลา มีแต่ ผ่านเลย มิควร เพิกเฉย ฝึกข่ม กิเลส ตัณหา โสมม ก่อทุกข์ ระทม ขมขื่นใจ เวลา มีแต่ ผ่านเลย มนุษย์เอ๋ย พึงเอา ใจใส่ สะสม กรรมดี ให้มากมาย ดั่งฝาก ทรัพย์ไว้ ธนาคาร สัจจะ แห่งกาล เวลา นำพา เสื่อมถอย สังขาร เติบโต เต่งตึง หย่อนยาน วายปราณ มอดไหม้ ในกองเพลิง สุขกาย หาใช่ สุขแท้ ไตร่ตรอง ให้แน่ อย่าเหลิง ใครเล่า กายตน พ้นเพลิง อย่ามัว ระเริง สุขมายา ครั้นถึง ซึ่งวัน ดับดิ้น สุดสิ้น แห่งร่าง สังขาร์ อิสระ จากกาย คือวิญญาณ์ ผ่องผุด โสภา สู่สวรรค์
ขิงกะข่า ข้ากะเอ็ง !
คือเรื่องจริงขิงก็รา.. ข่ายังแรง
ต่างตะแบงแย่งยื้อถือตนเหนือ
พริกแกงที่กลมกล่อมพร้อมจะเชื่อ
รสคงเบื่อ เมื่อขิงข่ากล้าหักหาญ
รสขิงแรง ..แข่งกะข่า ข้าต่างแน่ ไม่ยอมแพ้ปล่อยวางรสต่างต้าน แย่งกันแรงแข่งขันกันสะท้าน แย้งขนาน ไม่คลุกเคล้าเข้าเนื้อใน หากขิงข่า..สามัคคี ไม่มีแฝง พร้องสำแดง รสชาติไม่ขาดไข คงถูกปาก ถูกลิ้นคนกินได้ รสชาติใหม่คงปรากฎ..ได้รสแกง ขิงเจ้าข้า ! ข่าเจ้าเอ๋ย เคยเคียงข้าง แกงหลายอย่าง ไม่ห่างกันร่วมปันแบ่ง หากขิงข่าไม่แตกกันตะบันตะแบง คงเป็นแกงอร่อยเลิศประเสริฐศรี.. แกงเขียวหวาน แกงเผ็ดผัด รสจัดจ้าน มีขิงข่า มาเสริมสานผ่านวิถี หากสองฝ่ายไร้คุณค่าสามัคคี แกงรสดี จะมีได้ อย่างไรกัน !! คือเรื่องจริง.. อาจไม่จริงที่นิ่งอยู่ ต่างรวมหมู่ กู่ความชอบก่อม็อบปั่น ขิงไม่ราข่ายังแรงตะแบงตะบัน โศกนิรันดร์ มันยังรอ ..นะพ่อเอย.. ! ขิงกะข่า ข้ากะเอ็ง ..ต่างเร่งรุก ประเทศทุกข์ สนุกกันมันส์จริงเหวย เอาชนะคะคานกันอย่างเคย บทลงเอย..น่าสังเวช ประเทศไทย !!
วัวลืมตีนคนโบราณท่านกล่าวไว้ ถ้าเมื่อใด ได้มา จงหย่าหลง อย่าลืมถิ่นกำเนิดเกิดเป็นคน คิดว่าตนยิ่งใหญ่เหนื่อใครๆ หากลืมสิ้นแม้ถิ่นกำเนิดแล้ว ไม่คาดแคล้วจะวิบัติเป็นไหนๆ จะเป็นเพียงเถ่าถ่านในกองไฟ ไม่มีค่าอะไรให้จดจำ คนบางคนลืมว่าตนเคยลำบาก จ้องสร้างฉากบังหน้าอันเลิศล้ำ ทำให้ดูมีค่าดั่งทองคำ กำเอ๋ยกรรม ลืมค่าความเป็นคน ลืมหมดสิ้นสัญญาที่ว่าไว้ ความไว้ใจที่ให้ไปไม่มีผล ช่วยทุกอย่าง ให้ทุกอย่าง อย่างอดทน ช่วยให้คน คนหนึ่ง จนได้ดี ช่างเขาเถอะคิดเสียว่าเป็นเวณกรรม ใครกระทำอย่างไรจะเกิดผล เวณกรรมนั้นติดจรวด ตามตัวตน ให้ทุกคนชดใช้กรรมที่ทำมา เรามีบุญร่วมกันเพียงเท่านี้ ได้แค่นี้ก็ดีเป็นหนักหนา เมื่อหมดบุญหมดเวรกรรมที่ทำมา ต้องจากลา เสมือนว่า ทางใครทางมัน....
คำกลอนของท่านพุทธทาสมีมากกว่า 100 บท แต่ละบทมีเนื้อหาสาระและมีความไพเราะเพราะพริ้งราวกวีรังสรรค์ ดังที่ผมคัดสรรมาสำหรับประกอบบทความในครั้งนี้เพียง 4 บท บทกลอนสอนใจบทแรก ท่านตั้งหัวข้อว่า มองแต่แง่ดีเถิด (บทกลอนบทนี้จัดว่าเป็นกลอนยอดฮิต คนทั่วไปมักรู้จักและท่องได้) เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่ เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลย ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง บทกลอนที่ 2 ว่าด้วย เป็นอยู่ด้วยจิตว่าง จงทำงาน ทุกชนิด ด้วยจิตว่าง ยกผลงาน ให้ความว่าง ทุกอย่างสิ้น กินอาหาร ของความว่าง อย่างพระกิน ตายเสร็จสิ้น แล้วในตัว แต่หัวที ท่านผู้ใด ว่างได้ ดังว่ามา ไม่มีท่า ทุกข์ทน หม่นหมองศรี ศิลปะ ในชีวิต ชนิดนี้ เป็น เคล็ด ที่ ใครคิดได้ สบายเอย บทกลอนที่ 3 ว่าด้วย การงานคือการปฏิบัติธรรม อันการงาน คือคุณค่า ของมนุษย์ ของมีเกียรติ สูงสุด อย่าสงสัย ถ้าสนุก ด้วยการงาน เบิกบานใจ ไม่เท่าไร ได้รู้ธรรม ฉ่ำซึ่งจริง เพราะการงาน เป็นตัวการ ประพฤติธรรม กุศลกรรม กล้ำปนมา มีค่ายิ่ง ถ้าจะเปรียบ ก็เปรียบคน ฉลาดยิง นัดเดียววิ่ง เก็บนก หลายพวกมา คือการงาน นั้นต้องทำ ด้วยสติ มีสมาธิ ขันติ มีอุตสาห์ มีสัจจะ มีทมะ มีปัญญา มีศรัทธา และกล้าหาญ รักงานจริง สุดท้ายเป็น
...ชิงสุกก่อนห่ามนั้น..............ไม่ดี จงรักสงวนศรี.......................ศักดิ์ไว้ จงอย่าปล่อยใจนี้...................ใจง่าย พิสูจน์รักที่ให้.......................รักแท้หรือลวง ...เขาหลอกควงล่วงเย้ย.........เชยควง ลวงหลอกปลอกปลิ้นทรวง.....อกช้ำ หมายคิดพิชิตล่วง.................เลยร่าง หมายมาตรสวาทซ้ำ..............จะน้ำตาคลอ ...คิดล่อลวงย่างกร้ำ..............กรายกาย หมายชิดเชยเนื้อทราย...... .ผุดเพี้ยง ผิวผาดผ่องผุดผาย...............เพียงผ่อง ผิวผ่องใสขาวเกลี้ยง............หมายหล้อลวงนาง ...ระวังชายหนุ่มไว้...............ให้ดี ชายหนุ่มนั้นหาดี.................ยากได้ ผู้คนสมัยนี้ ..ยากเชื่อ ใจนา ลวงหลอกกลอกกลิ้งไซร้ ยากรู้ใจคน คลอเคลียโลมเล้าซบ แอบอิง มือโอบกอดกายหญิง รุ่มร้อน คลอเคลียชิดเชยชิง ชิมชอบ เคียงชิดบิดกายซ้อน เร่งรู้เร่งรัก หญิงร้ายระร่านร้อน ร่านตน คงอยากได้ผัวจน .อดกลั้น ได้ฤๅ ทำตัวร่านร้อนรน .เยี่ยงแรด คงกระสันอัดอั้น .ปรี่เข้าหาชาย อยากเตือนนางให้ห่าง .ตัวชาย อย่าเร่งร้อนเสนอกาย ..ร่างเนื้อ จะไร้ซึ่งความหมาย ใจง่าย จะทอดทิ้งสิ้นเหยื้อ ..เมื่อเจ้าไร้ค่า